everY
ทดลองอ่าน คดีลับใต้หมู่ดาว เล่ม 2 บทที่ 67-68 #นิยายวาย
บทที่ 68
หลิงซูรู้สึกว่าตัวเองโชคร้ายมาก
ทั้งที่คนสั่งให้เฉินเหวินต้งไปจับตาดูเหอโย่วอันไม่ใช่เขาแท้ๆ คนที่ตามฆ่าเฉินเหวินต้งก็ไม่ใช่เขา แล้วทำไมกลับกลายเป็นว่าเขาต้องมาถูกปืนของอีกฝ่ายจ่อขมับอยู่แบบนี้ ทำไมต้องโดนบีบให้พบกับจุดจบที่ตกต่ำไปพร้อมกับอีกฝ่ายด้วย
หรือตอนออกจากบ้านเขาไม่ได้ดูปฏิทินดวงชะตา หรือว่าเขาอยู่ใกล้เยวี่ยติ้งถังมากเกินไป โชคร้ายของคนคนนั้นก็เลยซึมซับมาถึงเขาด้วย
หลิงซูยังจำได้ว่าสมัยเรียนเยวี่ยติ้งถังน่ะเป็นตัวโชคร้ายของจริงทีเดียว เวลานั่งเล่นไพ่ด้วยกันหลายคน เยวี่ยติ้งถังก็มักจะจับได้ไพ่ที่แย่ที่สุดเสมอ หรือเวลาออกไปกินข้าว กับข้าวที่เยวี่ยติ้งถังสั่งก็จะหมด แม้แต่ตอนซื้อตั๋วหนัง ขอแค่เยวี่ยติ้งถังเป็นคนไปซื้อตั๋ว ก็จะต้องเหลือแค่ที่นั่งตรงมุมให้ซื้ออยู่เรื่อย
สรุปก็คือหลิงซูเชื่อว่าตัวเองคงจะแปดเปื้อนโชคร้ายประเภทนั้นของอีกฝ่ายเข้าไปแล้วแน่ๆ
“เขียนจดหมาย” เสียงเฉินเหวินต้งดังขึ้น
“จดหมายอะไร”
“จดหมายขอความช่วยเหลือจากเยวี่ยติ้งถัง” เฉินเหวินต้งเอ่ยเสียงเย็น “ทิ้งจดหมายไว้ แล้วไปกับฉัน ให้เขาเอาของที่ฉันต้องการมาแลกเปลี่ยนกับตัวนาย ไม่อย่างนั้นนายจะต้องตาย”
หลิงซูแค่นหัวเราะ “ฉันว่านะพี่เฉิน นายคิดว่าฉันมีอำนาจบาตรใหญ่อะไรหรือไง ฉันไม่ได้เป็นคนงามล่มเมือง แล้วก็ไม่ได้เป็นอาป๊าอาม้าของเยวี่ยติ้งถังเสียหน่อย เขาจะเห็นแก่อะไรล่ะถึงจะยอมรับการข่มขู่บังคับของนาย ยอมก้มหัวให้นายเพียงเพื่อเพื่อนสมัยเรียนอย่างฉัน นี่นายเห็นฉันสำคัญมากเกินไปหรือเปล่าเนี่ย”
“ไม่เห็นเป็นไรนี่ ยังไงซะขอแค่นายไปกับฉัน นายก็เข้าไปอยู่ในใบรายชื่อมรณะของคุณเฉิงแล้ว ทีนี้ต่อให้เยวี่ยติ้งถังไม่ยอมช่วยนาย นายก็ได้แต่ช่วยตัวเองโดยพยายามหนีเอาชีวิตรอดไปกับฉัน โอกาสที่คนสองคนจะรอดมันมีมากกว่าคนคนเดียวอยู่แล้ว”
หลิงซูรู้สึกแปลกๆ “แล้วทำไมฉันต้องถูกคุณเฉิงไล่ฆ่าด้วยล่ะ”
เฉินเหวินต้งมองเขาอย่างล้อเลียน เพียงแต่ว่าในแสงสลัวเช่นนี้สีหน้าของเขาก็ดูไม่สำคัญสักเท่าไหร่
“เพราะคนขี้สงสัยอย่างคุณเฉิงน่ะ เมื่อหมายใจเอาไว้แล้วว่าฉันเป็นหนอนบ่อนไส้ นายไปกับฉัน ฉันก็ต้องเปิดเผยเรื่องเกี่ยวกับคุณเฉิงให้นายรู้บ้างไม่มากก็น้อย รวมถึงเปิดเผยสถานะของเขาด้วย แทนที่จะปล่อยหายนะทิ้งเอาไว้ให้ระเบิดออกมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้แบบนั้น ไม่สู้ใช้โอกาสที่ฉันกับนายร่วมทางกันกำจัดพวกเราไปพร้อมๆ กันเสียเลยไม่ดีกว่าเหรอ”
“…”
“เพราะฉะนั้น…ตอนนี้นายไม่มีทางไปแล้ว เว้นเสียแต่ว่าเยวี่ยติ้งถังจะยอมออกแรงและหาเส้นสายมาช่วยนายเท่านั้น”
หลิงซูคิดแล้วก็เห็นด้วยตามนั้นจริงๆ
มิน่าเล่าเมื่อครู่เฉินเหวินต้งจึงดูสบายใจได้ขนาดนั้น ถึงกับเอาสถานะที่แท้จริงของคุณเฉิงมาบอกเขาหมด ที่จริงเจ้าหมอนี่ก็คิดวางระเบิดเอาไว้แล้วนี่เอง
“ฉันยังมีอีกทางเลือกหนึ่งนะ นั่นก็คือไม่ไปกับนาย” หลิงซูว่า
“นายไม่มีทางเลือก” เฉินเหวินต้งขึ้นนกปืน
ขอเพียงนิ้วชี้ของเขาขยับเบาๆ เหนี่ยวไกปืน ก็สามารถจะส่งหลิงซูขึ้นสวรรค์ได้ทันที
ยกผ้าห่มขึ้นอย่างกะทันหันเพื่อบังสายตาอีกฝ่าย ใช้เวลาเสี้ยววินาทีนั้นกลิ้งลงไปใต้เตียง ไม่ก็ขดตัวเข้าไปในผ้าห่มแล้วกลิ้งลงจากเตียงไปเลย หรือว่ายกถาดโลหะข้างตัวขึ้นบังด้านหน้าของศีรษะแล้วพุ่งเข้าชนอีกฝ่าย วิธีการเหล่านี้วาบขึ้นมาในสมองของเขาอย่างรวดเร็วแต่ก็ถูกปัดตกไปทั้งหมด
พวกเขาอยู่ห่างกันในระยะปลอดภัย แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้โอกาสที่หลิงซูจะต่อต้านได้สำเร็จนั้นมีน้อยยิ่งกว่าน้อย
สถานการณ์สำคัญกว่าความสามารถคน หลิงซูถอนหายใจ เขาเอาตัวออกมาจากผ้าห่มแล้วก็ชูสองมือขึ้น
“นายคงจะให้โอกาสฉันใส่เสื้อใช่ไหม”
ห้านาทีให้หลัง หลิงซูที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วก็เริ่มเขียนจดหมายขอความช่วยเหลือ
‘หัวหน้าเยวี่ยที่รัก
คุณเฉินเหวินต้งมาเยี่ยม หลังจากพูดคุยกับกระผมอยู่ครู่หนึ่ง เราสองคนก็มีความคิดความรู้สึกที่เข้ากันดียิ่งนัก…’
มองอย่างไรหลิงซูก็รู้สึกว่าประหลาด เขารีบขีดฆ่าคำท้ายๆ ทิ้งแล้วเขียนใหม่
‘เราสองคนพูดคุยกันราวกับเพื่อนเก่าแก่ เมื่อได้ยินว่าคุณเฉินต้องการไปพำนักที่ต่างประเทศ ผมรู้สึกอาวรณ์นักจึงเตรียมจะไปส่งเขาด้วยตัวเอง ขอให้หัวหน้าเยวี่ยได้โปรดเตรียมตั๋วเรือตั๋วรถและทุนในการเดินทางให้กับคุณเฉินด้วย เพื่อให้คุณเฉินเดินทางอย่างสะดวกราบรื่น ผมไม่ขอพูดมากความ บ่ายโมงตรงอีกสามวันให้หลัง พบกันที่ท่าน้ำทะเลสาบเสวียนอู่ หนานจิง’
เดิมเขาอยากจะทิ้งรหัสลับบางอย่างเอาไว้ในจดหมาย แต่เฉินเหวินต้งจ้องมองเขาเขียนจดหมายอยู่ทุกตัวอักษร ถ้าไม่ระวังสักนิดก็อาจถูกพบได้ เขาจึงไม่สามารถเล่นตุกติกได้เลย
ตอนนี้หลิงซูไม่ประหม่าสักนิด
กลับกัน ความรู้สึกของเขาซับซ้อนมาก และถึงกับมีบางส่วนที่วิ่งพล่านไปทั่วเสียด้วยซ้ำ
เฉินเหวินต้งคงไม่ฆ่าเขาไปสักระยะ เรื่องนี้แน่ใจได้ ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายก็คงจะลั่นไกไปตั้งแต่เปิดประตูเข้ามาแล้ว
เวลานี้เขาอยากหาทางรอดให้ตัวเอง แม้ว่าฟางข้าวอย่างหลิงซูจะดูเหมือนจมน้ำได้ง่ายดาย แต่เฉินเหวินต้งก็อยากจะลองดูสักหน่อย เมื่อแน่ใจในจุดนี้แล้วหลิงซูก็เริ่มหารูรั่วต่างๆ
ตอนนี้เขายังหารูรั่วของเฉินเหวินต้งไม่พบ ทว่าตอนที่กำลังเขียนจดหมายขอความช่วยเหลือนั้น เขากลับนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
ตอนแรกพวกเขาได้รับรูปภาพจากในภาพยนตร์ เป็นรูปในฉากที่เหอโย่วอันผูกคอตายในภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง ไม่เพียงเท่านั้น ด้านหลังภาพยังมีกลอนสั้นๆ แปลกประหลาดเขียนเอาไว้ด้วย
คนงามหน้าสระน้ำ กระดูกหอมหลังสะพาน สุสานร้างในเมือง เหมันต์ใกล้มาถึง แสงวสันต์จะมาเยือน นอกในล้วนเป็นเลือดและน้ำตา
ดูคล้ายเรียงร้อยถ้อยคำ แท้จริงเป็นขยะไร้แก่นสาร หน้าหลังขัดแย้งกัน
แต่เพราะไร้แก่นสารนั่นเองจึงทำให้หลิงซูจดจำไว้อย่างแม่นยำ
เขาไม่เคยเข้าใจมันเลยว่าความหมายที่แฝงอยู่ในบทกวีเล็กๆ นี้อยู่ที่ใด
ที่ยิ่งน่าสนใจก็คือตอนที่เหอโย่วอันได้รับจดหมายมรณะฉบับอื่นนั้นเธอได้รับมันเองกับมือทั้งสิ้น มีเพียงภาพจากภาพยนตร์ใบนี้ใบเดียวที่มีคนมายัดใส่หนังสือพิมพ์ให้พวกเขาระหว่างทาง
ชั่วขณะนี้เอง คล้ายแสงสว่างวาบขึ้นมา บทกวีบทนี้ผุดขึ้นมาในสมองอย่างไม่มีสาเหตุ มันกระโดดมาอยู่เบื้องหน้าเขา
หลิงซูที่อยากจะเขียนจดหมายขอความช่วยเหลือแล้วซ่อนข้อความเอาไว้แต่ยังไม่สำเร็จ กลับนึกถึงบทกวีแปลกประหลาดบทนี้ขึ้นมาได้
ถัง เฉียว เจิ้น ตง ชุน หลี่
นี่มันชื่อสถานที่นี่นา!
หลิงซูรู้จักตำบลถังเฉียว มันอยู่นอกเขตนครเซี่ยงไฮ้ แต่เขาไม่เคยไป ไม่รู้ว่ามีสถานที่ที่ชื่อตงชุนหลี่นี้จริงๆ หรือเปล่า แต่ปัญหาอยู่ที่…
ใครเป็นคนให้ที่อยู่นี้แก่พวกเขา เหอโย่วอัน? หรือว่ายังมีคนอื่นอีก?
แล้วจุดประสงค์ที่ให้ชื่อสถานที่นี้มาคืออะไร ให้พวกเขาไปหาของอะไรอย่างนั้นหรือ
ที่จริงบทกวีเล็กๆ นี้ไม่ได้ซ่อนกลเอาไว้ยากนัก เพียงแต่คนที่อยู่ในเหตุการณ์มักมองเห็นภาพได้ไม่ดีเท่าคนนอก ตอนนั้นไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงกลนี้ มีแต่จะไปคาดเดาถึงความหมายในบทกวีเพียงอย่างเดียว
หลิงซูอยากจะติดปีกบินไปที่ตำบลถังเฉียวเสียเดี๋ยวนี้ อยากดูว่าอีกฝ่ายซ่อนอะไรเอาไว้ที่นั่นกันแน่
“คิดอะไรอยู่”
ทว่าปากกระบอกปืนเย็นเฉียบที่ศีรษะของเขาดึงตนเองกลับมาสู่ความเป็นจริงอย่างรวดเร็ว
เสียงของเฉินเหวินต้งเหมือนยันต์เร่งตาย เร่งเขาจนรู้สึกปวดกะโหลก
หลิงซูจนใจ
“ไม่ได้คิดอะไร เขียนเสร็จแล้ว นายลองดูสิ”
เฉินเหวินต้งกวาดสายตาคร่าวๆ ก็พบว่าไม่มีปัญหาอะไร
“ไปกัน”
“เราจะไปไหนกัน”
“ไปแล้วก็รู้เอง”
พื้นที่ใช้สอยในห้องพักผู้ป่วยนั้นไม่ใหญ่โตนัก แต่เมื่อออกมาจากโรงพยาบาลก็ยากที่เฉินเหวินต้งจะมองให้รอบทิศและฟังให้รอบทาง หลิงซูคงจะหาโอกาสวิ่งหนีได้ไม่น้อยแน่ๆ
แต่เฉินเหวินต้งคล้ายนึกถึงจุดนี้เอาไว้ก่อนแล้ว เขาจึงระมัดระวังเป็นพิเศษ สองมือของหลิงซูถูกใส่กุญแจมือและบังเอาไว้ใต้ผ้าพันคอ ที่หลังเอวมีปืนจ่ออยู่ เฉินเหวินต้งพาดเสื้อโค้ตเอาไว้บนแขน คนทั่วไปเดินผ่านไปอย่างรีบเร่งก็คงมองเห็นความผิดปกติได้ยาก
ที่หน้าประตูมีรถลากคันหนึ่งจอดรออยู่นานแล้ว
คนลากรถกำลังนั่งสัปหงกอยู่บนรถ เมื่อเห็นเฉินเหวินต้งออกมาก็รีบเข้ามาทักทาย
“คุณ คุณมาเสียที ผมรอตั้งนานแน่ะ!”
“ขึ้นรถ” เฉินเหวินต้งพูดกับหลิงซู
สองคนนั่งรถลากคันเดียวกัน ที่นั่งเล็กแคบไม่สบายอย่างยิ่ง แต่หลิงซูก็ไม่เหลือพื้นที่ให้ปฏิเสธ
ปืนของเฉินเหวินต้งขึ้นนกปืนเอาไว้แล้ว
แต่คนลากรถกลับไม่พอใจ
“แหม คุณครับ เราไม่ได้ตกลงกันไว้นี่นาว่าจะมีคนมาเพิ่มอีกคน อย่างนี้ผมก็เปลืองแรงลากน่าดูเลยสิ แล้วยังต้องไปถึงสถานีรถไฟอีก!”
“จ่ายสามเท่า” เฉินเหวินต้งพูดกระชับเข้าใจง่าย เขาล้วงเงินต้าหยางออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วก็โยนให้ “นี่เป็นรางวัล ไม่นับรวมในค่ารถ”
คนลากรถไม่เคยได้รับเงินมากขนาดนี้มาก่อน เขารับมาแล้วก็มองสำรวจมันซ้ำๆ ทั้งยังเอาไปกัดดูอีกด้วย หน้าตาดูมีความสุขมาก
“ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณคุณมากเลยครับ!”
“ทีนี้ก็รีบไปได้แล้ว ไปสถานีรถไฟ ฉันจะไปให้ทันรถไฟเที่ยวที่เช้าที่สุด”
“ได้เลยครับ!”
ปกติแล้วคนลากรถนั้นยากที่จะลากคนโดยสารสองคนได้ไหว แต่หลิงซูพบว่าเฉินเหวินต้งจงใจเลือกคนลากรถที่ร่างกายแข็งแรงเป็นพิเศษ ตลอดทางที่นั่งมารถไม่ได้วิ่งช้าเลยแม้แต่น้อย
ถ้าอยากให้เร็วขึ้นอีกก็ต้องนั่งรถยนต์ แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ต้องให้คนหนึ่งเป็นคนขับ เฉินเหวินต้งไม่แน่ใจว่าหลิงซูจะขับรถเป็นหรือไม่ ต่อให้ขับเป็นเขาก็ไม่เชื่อใจหลิงซู เขากลัวว่าอีกฝ่ายจะพาเขาพุ่งลงคลองไปเสียก่อน
นี่แสดงให้เห็นว่าตอนนี้เฉินเหวินต้งไม่เชื่อใจใครทั้งนั้น ข้างกายก็ไม่มีใครที่พอจะเป็นมือเป็นเท้าให้เขาใช้งานได้ รอบด้านของเขามีแต่ศัตรู ได้แต่พึ่งตัวของเขาเอง
“พวกเราจะไปไหนกัน หนานจิงงั้นเหรอ ออกจากเซี่ยงไฮ้ไปหนานจิงรถไฟเที่ยวเช้าที่สุดคือแปดโมงห้านาที ถ้าเราไปกันตอนนี้มันจะเช้าไปหรือเปล่า น่าจะต้องรออยู่ที่สถานีรถไฟนานน่าดูนะ”
หลิงซูเริ่มหาอะไรมาพูด
“ตอนนี้กี่โมงแล้ว ขอยืมนาฬิกานายดูหน่อยสิ แหม ฉันว่านะพี่เฉิน นายทำท่าเดิมอยู่ตลอดแบบนี้น่าจะเมื่อยมือน่าดู นายก็เคยบอกนี่ว่าตั้งแต่วินาทีที่ฉันแยกจากนาย คุณเฉิงจะต้องจัดการฉันไปด้วยแน่ๆ ในเมื่อเป็นอย่างนี้พวกเราก็เหมือนเป็นตั๊กแตนบนเชือกเส้นเดียวกัน* แล้ว เรามาตกลงกันดีกว่าไหม นายวางปืนลง ฉันยังไปกับนายเหมือนเดิม จนกว่าเยวี่ยติ้งถังจะเอาของที่นายต้องการมาให้แล้วค่อยเปลี่ยนตัวประกัน ว่าไงล่ะ”
“หุบปาก”
เฉินเหวินต้งสุดจะทน เขาพูดลอดไรฟันออกมาแบบนั้น หลิงซูเงียบในที่สุด
แต่ผ่านไปไม่กี่นาทีเขาก็พูดขึ้นมาอีก
“นายล็อกปืนเอาไว้เหมือนเดิมเถอะ ฉันน่ะมันปอดแหก กลัวนายจะมือลั่นอยู่เรื่อยเลย ถ้าเกิดล้อรถไปสะดุดหินแล้วกระเด้งกระดอนขึ้นมา…”
พูดไม่ทันขาดคำก็เหมือนจะเกิดเรื่องยืนยันความคิดของเขา รถลากเซถลาไปครู่หนึ่ง สะเทือนขึ้นมาเล็กน้อย
ร่างของเฉินเหวินต้งก็เซมาทางหลิงซูโดยไม่ทันตั้งตัวเช่นกัน
หลิงซูตกใจจนหน้าถอดสี
“ตั้งสติสิ ตั้งสติ ประคองมือไว้ให้มั่น!”
เสียงปืนยังไม่ลั่น มือที่ถือปืนเพียงแค่สะเทือนตามแรงรถไปเล็กน้อยเท่านั้น จากนั้นก็กลับมาเป็นปกติ
หลิงซูผ่อนลมหายใจ
เฉินเหวินต้งหัวเราะ “นายนี่มันปอดแหกจริงๆ!”
“นายไม่รู้อะไร เพราะฉันปอดแหกนี่แหละ ตอนแรกถึงต้องให้พี่เขยใช้เส้นสายให้ฉันเป็นตำรวจน่ะ”
เฉินเหวินต้งกระทบกระเทียบ “ตำรวจไม่เสี่ยงอันตรายหรือไง นั่งอยู่เฉยๆ ฟ้าก็อาจจะถล่มลงมาได้ทุกเมื่อ สู้ไม่ทำอะไรเลยยังดีกว่า!”
หลิงซูว่า “นายคงไม่รู้ล่ะสิ ตำรวจก็แบ่งเป็นหลายประเภท มีทั้งสายตรวจที่เดินลาดตระเวนตามถนน สายสืบที่ทำคดี ตำรวจเสมียนทำงานเอกสารในสำนักงาน ตอนนั้นฉันเล่นเส้นผู้กำกับการสถานีตำรวจเขต เข้าไปก็ไปจัดแฟ้มคดี ทุกวันน่ะแสนจะสบาย อยากจะเข้างานกี่โมงก็ได้ อยากจะเลิกงานเร็วสักหน่อยก็ได้ ขอแค่ประจบหัวหน้าตัวเองเก่งๆ รับรองไม่มีใครมายุ่งเลย แต่หลังๆ ฉันชักจะรู้สึกว่าไม่ได้แล้วล่ะ!”
ดึกดื่นค่อนคืนบนถนนในเซี่ยงไฮ้ย่อมมีคนเดินไปมาบางตา แม้แต่แสงไฟถนนก็ยังพบเห็นได้ยาก มองออกไปก็พบเพียงความว่างเปล่าเคว้งคว้าง เฉินเหวินต้งตั้งป้อมระแวดระวังอยู่นาน ถึงเวลานี้ก็เริ่มจะเหนื่อยบ้างแล้ว เขาจึงไม่ได้ห้ามหลิงซูพูดอีก กลับเอ่ยรับคำเสียอย่างนั้น
“ไม่ได้อะไร”
หลิงซูหัวเราะเล็กน้อย “ไม่ได้ผลประโยชน์น่ะสิ นายคิดดูนะ เป็นตำรวจตัวเล็กๆ เดือนหนึ่งเงินเดือนน้อยนิดขนาดนั้น แล้วยังต้องเอาอกเอาใจผู้บังคับบัญชาอีก สานสัมพันธ์เพื่อนร่วมงานอีก มันจะไปพอได้ยังไง สู้ไปหางานพิเศษเล็กน้อยทำสักสองสามปีดีกว่า บั้นปลายชีวิตยังพอได้ใช้อย่างสุขสบายบ้าง แต่ว่าฉันน่ะมันปอดแหก ทนเจอเรื่องต่อยตีฆ่าฟันไม่ไหวหรอก ได้แต่ใช้เส้นสายเข้าไปเป็นครูฝึกในโรงเรียนตำรวจท้องที่อยู่ปีหนึ่ง พอออกมาแล้วก็…”
เฉินเหวินต้งขัด “เป็นครูฝึกได้ผลประโยชน์ตรงไหน”
“นายไม่เข้าใจล่ะสิ ถ้าอยากเป็นตำรวจน่ะ ยังไงที่บ้านก็ต้องใช้เส้นสายเงินทองบ้างไม่มากก็น้อย พวกคุณชายเจ้าสำราญร่ำรวยสูงส่งก็คงดูแคลนอาชีพพวกเราอยู่แล้ว แต่เศรษฐีที่ตระกูลใสสะอาดทั้งหลายก็อยากจะให้ลูกชายหลานชายในบ้านได้รับราชการกินเงินหลวงกันทั้งนั้น พอเข้ามาแล้วจะสอนอะไรมาก สอนอะไรน้อย จะแอบอู้หรือเปล่า หรือจะเรียนรู้อะไรได้มากหน่อย ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับครูฝึกไม่ใช่หรือไง”
เฉินเหวินต้งหมดคำพูด
หลิงซูเอ่ยต่อ “ที่เจ๋งก็คือนักเรียนพวกนี้น่ะไม่เหมือนนักเรียนในโรงเรียนทหารที่ทุกรุ่นจะต้องเรียนกันหลายปี พวกโรงเรียนตำรวจน่ะอย่างมากเดือนสองเดือนก็ไปแล้ว แค่เป็นการฝึกฝนก่อนเข้าทำงานเท่านั้น ต่อให้ทำให้พวกเขาไม่พอใจก็ไม่ได้สะสมกลายเป็นความเคียดแค้นนับวันนับเดือนขนาดนั้น สรุปแล้ว ครูฝึกที่แข็งแกร่ง นักเรียนตำรวจที่อ่อนแอ ผลประโยชน์ที่หามาได้ในหนึ่งปี แค่นี้ก็พอให้ฉันนั่งทำงานสบายๆ ในสำนักงานไปได้หลายปีแล้ว!”
เฉินเหวินต้งบอกว่า “นายนี่มันมีพรสวรรค์เรื่องลักไก่จริงๆ”
“พูดได้ดีๆ”
หลิงซูไม่ใส่ใจคำประชดของอีกฝ่ายสักนิด ทั้งยังภูมิใจอีกต่างหาก
“อย่าได้พูดไปเชียว วงการนี้น่ะนะจะว่าวุ่นวายมันก็วุ่นวายไปหน่อยนั่นแหละ แต่จะว่าดีก็ดีตรงที่ทำอะไรก็ได้ ขอแค่ไม่ล้ำเส้นก็จะไม่มีใครมากัดนายไม่ปล่อยหรอก ลื่นไหลสักหน่อย เก็บผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ เรื่องพวกนี้ไม่นับว่าใหญ่โตอะไรเลย เทียบกับการฆ่าคนวางเพลิงแล้วเรียกว่าเป็นประชาชนคนดีได้ด้วยซ้ำ แต่จะว่าไปนะ พี่เฉิน ฉันคงต้องว่านายหน่อยล่ะ จะทำอะไรไม่ได้เรื่องสักหน่อยก็คงไม่เป็นไร แต่เรื่องไปทำงานให้คนญี่ปุ่นที่ไม่ใช่คนชาติเดียวกันนั่น คนเขาพลีกายถวายชีวิตให้ขนาดนั้น แล้วไม่เท่ากับใช้ประโยชน์เสร็จก็เขี่ยเขาทิ้งหรือไง ถ้านายไปทำงานให้ลู่ถงชางหรือสกุลเจินแต่แรก ป่านนี้นายอาจจะนั่งไขว่ห้างสบายไปแล้วก็ได้ คงได้มีสาวให้โอบซ้ายกอดขวามีความสุขไปแล้วล่ะ”
เฉินเหวินต้งหัวเราะเสียงเย็น “นายคิดว่าสกุลเจินสะอาดแค่ไหนกัน ไอ้ตระกูลโด่งดังพวกนี้น่ะมีตระกูลไหนบ้างที่ไม่แอบทำเรื่องสกปรก! เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึงหรอก เอาแค่ว่าถ้าเสิ่นสือชีไม่มีคุณเฉิง เขาจะอวดโอ่วางอำนาจได้อย่างก่อนหน้านี้ไหม พวกนักเลงที่ยืดอกพูดปาวๆ ในหาดเซี่ยงไฮ้ทั้งหลายน่ะ มีใครบ้างที่มือไม่เปื้อนเลือด”
“คำพูดของนายก็มีเหตุผลเหมือนกันนะ ถ้าอย่างนี้เสิ่นสือชีก็เท่ากับขายชาติจริงๆ น่ะสิ เขาให้ข่าวลับกับคุณเฉิงไปมากเลยใช่ไหม”
เฉินเหวินต้งบอก “ไม่ใช่เสิ่นสือชีให้ข่าวคุณเฉิงหรอก แต่คุณเฉิงขายข่าวให้เสิ่นสือชีต่างหาก เรื่องความหูตาไวน่ะ ทั่วทั้งเซี่ยงไฮ้ไม่มีใครสู้คุณเฉิงได้ทั้งนั้น เขาถึงกับสามารถควบคุมการกำหนดนโยบายที่กองทัพกวนตงมีต่อรัฐบาล…”
หลิงซูกำลังรอฟัง แต่เฉินเหวินต้งกลับชะงักไม่พูดต่อ
“ทั้งสองท่านครับ สถานีรถไฟอยู่ข้างหน้าแล้วครับ!”
ในที่สุดรถลากก็หยุดลง คนลากรถหอบแฮกทั้งยังพูดไม่จบประโยคเสียด้วยซ้ำ
เฉินเหวินต้งจ่ายค่ารถสามเท่า จากนั้นก็ลากหลิงซูเดินไปทางห้องขายตั๋วของสถานีรถไฟ
หลิงซูยังฟังไม่จบแต่ก็รู้ว่าถามต่อไปไม่ได้แล้ว
เมื่อครู่เป็นช่วงเวลาที่เฉินเหวินต้งคลายความระมัดระวังที่สุด ทว่าเมื่อคนลากรถพูดว่าถึงที่หมาย เฉินเหวินต้งก็ระแวดระวังขึ้นมาอีกครั้ง ไม่ว่าคำพูดใดก็ไม่อาจทำให้เขาไขว้เขวได้
หลิงซูเอ่ย “เราจะไปหนานจิงกันจริงๆ เหรอ ตอนนี้อย่างน้อยก็อีกตั้งสามชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาแปดโมงห้านาที ยิ่งเราอยู่ที่นี่นานนายก็จะยิ่งถูกคนของคุณเฉิงตามมาเจอง่ายนะ”
“ตั๋วไปหางโจว เที่ยวที่เช้าที่สุด”
เขายัดเงินให้หลิงซูเพื่อให้อีกฝ่ายเป็นคนไปซื้อตั๋ว ส่วนตัวเขาเองยืนประกบอยู่ด้านหลังไม่ห่างแม้แต่เสี้ยววินาที
ซื้อตั๋วเสร็จแล้วก็มีเวลากว่ารถไฟจะออกอีกสี่สิบนาที ทั้งคู่นั่งลงตรงมุมของห้องรอรถไฟ
เฉินเหวินต้งกวาดสายตาไปรอบๆ เป็นระยะ เพื่อสังเกตหาคนน่าสงสัยซึ่งน่าจะเป็นคนที่คุณเฉิงส่งมาฆ่าเขา
ร่างกายของเขาเกร็งเครียดจนเกินไป ทำให้ที่คอเริ่มมีเหงื่อออกทั้งที่อยู่ท่ามกลางความหนาวเหน็บ
เดิมหลิงซูคิดจะพูดอะไรเบี่ยงเบนความสนใจของอีกฝ่ายสักหน่อย จะดูว่าสามารถล้วงอะไรออกจากปากอีกฝ่ายได้บ้างหรือไม่ แต่สภาพของเฉินเหวินต้งในเวลานี้เห็นได้ชัดว่าไม่เหมาะจะพูดคุยใดๆ ทั้งสิ้น หากมีลมพัดใบหญ้าไหวแม้สักนิดเดียวก็อาจจะทำให้เฉินเหวินต้งตื่นตระหนกได้ทันที และอาจจะทำอะไรจากความตื่นตระหนกเกินเหตุขึ้นมาก็ได้
เมื่อฟ้าสว่าง คนแรกที่มาเยี่ยมเขาก็คงจะเป็นเยวี่ยติ้งถังอย่างแน่นอน
ถ้าว่ากันตามความเคยชินยามปกติ เจ้าคนแซ่เยวี่ยตื่นนอนแล้วก็จะต้องไปเดินเล่นรับแสงอาทิตย์ที่สวนดอกไม้หลังบ้านก่อน จากนั้นจึงค่อยกินข้าวเช้า เสร็จแล้วก็ค่อยไปมหาวิทยาลัย ต่อให้ไม่มีสอนก็คงจะใช้เวลาตลอดช่วงสายอยู่ในห้องทำงานอยู่ดี อาจจะเตรียมการสอนหรือตรวจการบ้าน เมื่อถึงเวลาบ่ายจึงค่อยหาเวลาว่างไปกรมตำรวจประจำนครสักรอบ หรือไม่ก็ไปโรงพยาบาลเพื่อเยี่ยมเขาสักหน่อย
ถ้าคนแรกที่ได้รับจดหมายขอความช่วยเหลือไม่ใช่เยวี่ยติ้งถัง เวลาที่เขารู้ข่าวนี้ก็จะยิ่งช้าขึ้นไปอีก
ส่วนเรื่องที่ว่าเยวี่ยติ้งถังจะตอบรับเงื่อนไขของเฉินเหวินต้งจริงๆ หรือไม่นั้น หลิงซูก็ยังกังวล
อย่าว่าแต่ตอนนี้พวกเขาเป็นเจ้านายลูกน้องกันเลย แม้แต่เพิ่มความสัมพันธ์แบบเพื่อนสมัยเรียนเข้าไปบวกกับความรักใคร่เอ็นดูที่เยวี่ยชุนเสี่ยวมีต่อหลิงซูด้วยก็ยังถือว่าแค่เท่านั้น หลิงซูจะมีค่าพอให้เยวี่ยติ้งถังทุ่มเทเต็มที่ถึงขั้นพาคนมาช่วยเขาจริงเหรอ
ถึงเยวี่ยติ้งถังยอมช่วย ก็คงเป็นเพราะเห็นแก่มิตรภาพเก่าก่อน ช่างถือเป็นเกียรติและทรงคุณธรรมเสียนี่กระไร แต่หากเขาไม่ช่วย ก็ไม่มีใครตำหนิติเตียนเยวี่ยติ้งถังได้แม้แต่คำเดียว อย่างไรเสียเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเยวี่ยติ้งถังสักนิด
ครั้งนี้ต่อให้เยวี่ยชุนเสี่ยวถามขึ้นมา แค่เยวี่ยติ้งถังผายมือสองข้างแล้วพูดว่าเสียดายเสียใจสักนิดก็แล้วกันไปได้แล้ว
หลิงซูไม่ได้คาดหวังอะไรมากมายนักกับเรื่องนี้จริงๆ
เขาต้องหาโอกาสหนี คิดมาถึงตรงนี้ก็อดบ่นในใจไม่ได้ แต่โอกาสมันหาไม่ได้ง่ายๆ เลย
เฉินเหวินต้งเป็นคนที่เชี่ยวชาญมานานปี เขามีประสบการณ์ด้านนี้มากพอที่จะทำให้หลิงซูปวดหัว
รถไฟที่มาเทียบชานชาลาเปิดประตูให้คนขึ้นในที่สุด ผู้โดยสารทั้งหลายพากันมุ่งหน้าไปที่ประตูอย่างเนืองแน่น เฉินเหวินต้งกับหลิงซูไม่รีบไปเบียดกับคนอื่น เพราะเฉินเหวินต้งกลัวว่าคนมากเกินไปแล้วจะเบียดเสียดทำให้พวกเขาแยกกันได้ ดังนั้นจึงรอจนถึงสุดท้ายค่อยขึ้นรถ
ตู้โดยสารมีผู้คนมากมายคึกคักแต่เช้าตรู่ ทั้งคนที่ถือสัมภาระ ถือกระติกน้ำร้อน เข็นรถเข็นคันเล็กร้องตะโกนขายของ ตรงกันข้ามกับความหนาวเหน็บบนท้องถนน ไอร้อนประดังเข้ามารมให้ใบหน้าของผู้คนมีเหงื่อซึม
“หลีกๆ หลีกไป! ฉันจะไปตู้โดยสารชั้นหนึ่ง หลีกทางหน่อย!”
“เอ๊ะคุณนี่ ชนเด็กแล้วนะเนี่ย รู้หรือเปล่า!”
“นี่จะกล่าวหากันเหรอ เมื่อกี้ฉันไม่ได้ชนอะไรเลยนะ!”
ผู้คนทะเลาะเบาะแว้งกัน ไม่ว่าที่ไหนเมื่อไหร่ก็มีให้เห็นจนชินตา
ความเคลื่อนไหวเหล่านี้ดังเข้าหูเฉินเหวินต้ง แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาสะทกสะท้านใดๆ และมันก็เลือนหายไปในพริบตา
เขาพาหลิงซูไปหาที่นั่งว่าง
ยุคนี้รถไฟไม่มีการกำหนดเลขที่นั่งแล้ว ใช้ระบบมาก่อนได้ก่อน มือเร็วได้มือช้าก็ไม่เหลือ ถ้าซื้อตั๋วโดยสารตู้ใดแล้วก็ต้องหาที่นั่งในตู้นั้นเอง
ตั๋วที่พวกเขาซื้อเป็นตู้โดยสารชั้นสอง ไม่เหมือนชั้นหนึ่งที่ดูโดดเด่นสะดุดตา และก็ไม่เหมือนตู้โดยสารชั้นสามที่เบียดเสียดแน่นขนัด เปิดเผยตัวตนได้ง่ายทำให้เกิดปัญหาตามมา
ในตู้โดยสารนี้มีที่นั่งสี่ที่หันหน้าเข้าหากัน เฉินเหวินต้งต้องการเลี่ยงออกจากคนที่ไม่เกี่ยวข้องจึงซื้อตั๋วทั้งสี่ที่เอาไว้ แต่เขาต้องการจับตาดูหลิงซู จึงมานั่งฝั่งเดียวกัน
เมื่อคนอื่นจะมานั่งแล้วเห็นใบหน้าของเฉินเหวินต้งดูมีรังสีอำมหิต พวกเขาต่างก็พากันกลัวแล้วเดินหนีไปโดยไม่หันหลังกลับมาทั้งสิ้น
ดังนั้นตอนที่พนักงานรถไฟเดินผ่านมาตรวจตั๋วจึงเห็นผู้ชายสองคนนั่งเบียดกันในที่นั่งแถวเดียวกัน ไหล่ชนไหล่ ส่วนที่นั่งตรงข้ามสองที่ว่างเปล่า
เฉินเหวินต้งพยักพเยิดให้หลิงซูหยิบตั๋วออกมาให้พนักงานตรวจ
“คุณครับ ในเมื่อที่นั่งสองที่ตรงข้ามนี่พวกคุณซื้อเอาไว้เอง ก็นั่งกันคนละฝั่งไม่ดีกว่าเหรอครับ จะได้กว้างขวางขึ้นหน่อย” พนักงานรถไฟแนะนำอย่างใจดี
หลิงซูยิ้มพลางว่า “ไม่เป็นไรครับ ผมกลัวหนาว นั่งด้วยกันกับเพื่อนก็อุ่นดี”
เฉินเหวินต้งเหลือบมองพนักงานแวบหนึ่ง สายตาเหมือนมองคนตาย
พนักงานจึงไม่กล้าพูดอะไรอีกแล้วก็รีบจากไปทันที
“พี่เฉิน ฉันหิวน้ำ”
“ทนไป”
“เราจะไปหนานจิงกันไม่ใช่เหรอ ทำไมซื้อตั๋วไปหางโจวล่ะ”
ท่ามกลางเสียงหวูดรถไฟดังลั่น รถไฟก็เริ่มขยับ ทิวทัศน์นอกหน้าต่างไม่หยุดนิ่งอีกต่อไป
ผู้คนคึกคักเบียดเสียดเหล่านั้นค่อยๆ สงบลง กลับคืนสู่ความเป็นระเบียบขึ้นเล็กน้อย
เมื่อผู้คนที่เดินผ่านไปมาในรถไฟน้อยลง เฉินเหวินต้งก็ค่อยๆ กลับมาอารมณ์สงบนิ่งขึ้น
“จดหมายที่ฉันให้นายทิ้งเอาไว้บอกว่าหนานจิง แต่ก็ไม่จำเป็นต้องไปหนานจิงก่อนนี่” เขาว่า หลังพิงพนักที่นั่ง ค่อยๆ ผ่อนคลายลง “ไปหางโจวก่อน แล้วค่อยออกจากหางโจวไปอีกที”
หลิงซูหัวเราะพลางว่า “ก็ไม่เลวนะ หางโจวของกินเยอะ ทิวทัศน์ก็ดี ตอนกลางวันพอพวกเราไปถึงแล้วจะได้กินข้าวกันดีๆ สักมื้อ ฉันจะพานายไปร้านโหลวไว่โหลวเอง แต่เราต้องตกลงกันก่อน ฉันไม่ได้เอาเงินมานะ”
“นายนี่ไม่ว่าเจออะไรก็สงบนิ่งได้หมดเลยนะ ไม่กลัวฉันจะยิงแล้วเหรอ”
“กลัวสิ แต่กลัวแล้วมีประโยชน์อะไรล่ะ ถ้ายังไม่ตายคนเราก็ยังต้องกินข้าวดื่มน้ำ พี่เฉิน ไปหางโจวคราวนี้ต้องนั่งรถไฟกันห้าชั่วโมง นายคิดว่าระหว่างนี้จะไม่ให้ฉันได้ดื่มน้ำสักอึกเลยหรือไง”
เฉินเหวินต้งหลับตาเอาแรง ไม่พูดอะไร
หลิงซูก็ได้แต่เงียบปาก
เมื่อพนักงานรถไฟถือกาน้ำร้อนมา หลิงซูจึงรีบเรียกเอาไว้ เขาขอน้ำสองแก้ว
“คุณครับ คุณเอากระติกน้ำหรือแก้วน้ำมาไหม” อีกฝ่ายถาม
หลิงซูตอบว่า “ไม่มีครับ”
พนักงานรถไฟเอ่ย “ที่ตู้เสบียงมีแก้วให้บริการนะครับ คุณไปหยิบกับผมดีกว่า”
หลิงซูหัวเราะ “ผมกับเพื่อนไม่เจอกันหลายปี มีอะไรต้องคุยกันเยอะเลยครับ ไม่อยากจากกันเลยสักวินาทีเดียว คุณช่วยไปหยิบให้พวกเราหน่อยเถอะนะครับ”
พนักงานรถไฟทำหน้าแปลกๆ จะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็หยุดเอาไว้ สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรแล้วหันกายเดินไปหยิบแก้วให้พวกเขา
ในรถไฟขบวนนี้ ผู้โดยสารในตู้โดยสารชั้นหนึ่งและชั้นสองถ้าไม่ใช่เศรษฐีก็เป็นคนมีฐานะ อย่างน้อยก็เป็นพวกปัญญาชนหรือไม่ก็พวกที่มียศตำแหน่ง ปกติถ้าพวกเขาขออะไรพนักงานก็จะไม่กล้าล่วงเกิน มักจะทำสิ่งนั้นให้อย่างขยันขันแข็งเสมอ ถ้าเป็นผู้โดยสารในตู้โดยสารชั้นสามล่ะก็เขาคงจะไม่เกรงใจขนาดนี้ สิ่งที่เรียกว่ามองคนเสิร์ฟอาหาร* เป็นแบบนี้เอง
เมื่อเอาแก้วน้ำมาแล้วพนักงานก็รินน้ำร้อนให้ หลิงซูถือเอาไว้ในอ้อมแขน ท่าทางปลาบปลื้มพึงพอใจ
“หนาวขนาดนี้ แค่น้ำร้อนแก้วเดียวก็ทำให้ร่างกายและจิตใจของฉันอบอุ่นขึ้นแล้วล่ะ”
เฉินเหวินต้งไม่ได้หยิบแก้วไป และไม่ได้ห้ามเขาดื่มน้ำ
หลิงซูหัวเราะพลางว่า “ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นก็ได้ คนของคุณเฉิงคงไม่คิดหรอกว่านายจะไปหนานจิงแต่กลับอ้อมไปหางโจวก่อน…”
พูดยังไม่ทันขาดคำ ตู้โดยสารด้านหลังก็พลันมีการเคลื่อนไหว
“จับขโมยหน่อย! มีขโมย!”
“หยุดนะ!”
การเคลื่อนไหวแบบคนหนึ่งไล่ตามคนหนึ่งวิ่งหนีพ่วงมาติดๆ กับเสียงคนวิ่งอย่างรีบร้อน หลิงซูหันไปมองทันที เขาเห็นคนสองคนวิ่งจากที่ไกลๆ เข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว
คนที่วิ่งอยู่ด้านหน้าเป็นคนหนุ่มสวมหมวกติงลี่ คนที่ตามมาเป็นหญิงวัยกลางคน สวมกี่เพ้า รองเท้าหนัง ยากที่จะมีแรงไล่ตามได้ทัน เธอหอบหายใจแฮกๆ
ทุกคนพูดคุยหารือกันไปทั่ว ชั่วขณะนั้นยังไม่ทันมีใครตอบสนองได้ทัน ชายสวมหมวกติงลี่ก็วิ่งไปไกลเสียแล้ว เพียงพริบตาก็วิ่งจากตู้โดยสารชั้นสามมาถึงตรงที่พวกเขาอยู่
ตอนที่หลิงซูหันไปนั้นอีกฝ่ายกำลังวิ่งมาทางพวกเขาพอดี ชายคนนั้นโยนกระเป๋าถือไปส่งๆ ทำให้มันมาตกที่ขาของหลิงซู แต่ตัวนั้นวิ่งหายไปไม่เห็นเงาแล้ว!
ผู้หญิงด้านหลังกับสามีของเธอวิ่งตามมา เหงื่อออกเต็มศีรษะ รีบร้อนอย่างที่สุด
รถไฟกำลังจะเข้าเทียบสถานี จึงชะลอความเร็วลง เวลานี้หากชายสวมหมวกติงลี่กระโดดหนีออกไปทางหน้าต่างก็คงจะตามไม่ทันแน่
หลิงซูยื่นกระเป๋าถือออกไป
“นี่คือที่เขาทำตกไว้เมื่อกี้ครับ ของพวกคุณหรือเปล่า”
ผู้หญิงแย่งกระเป๋าไป เธอรีบพลิกดู
“ไม่เหลืออะไรแล้ว!”
เธอทั้งร้อนใจทั้งโกรธ ไม่เพียงแต่ไม่ขอบคุณเท่านั้น แต่ยังตะโกนใส่หลิงซูอีกด้วย
“พวกคุณเป็นพวกเดียวกันหรือเปล่า ทำไมมันโยนกระเป๋าให้คุณล่ะ!”
หลิงซูพูดไม่ออก “คุณทำตัวเป็นหมาพาลกัดคนดีนี่นา ถ้าผมเป็นพวกเดียวกับเขาผมจะมานั่งรอคุณอยู่ตรงนี้เหรอ”
ผู้หญิงโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง “ฉันจะไปรู้ได้ยังไง คุณมาขวางฉันแบบนี้ฉันก็ตามมันไปไม่ทันแล้ว! ชดใช้เงินฉันมาเลยนะ! ในกระเป๋าเงินของฉันเดิมมีเงินอยู่หลายสิบหยวน เป็นเงินเก็บของพวกเราทั้งนั้น!”
อย่างนี้มันปัญญาชนพบคนเถื่อน พูดยังไงก็เปล่าประโยชน์
หลิงซูแบมือ “ผมไม่มีเงิน แต่เพื่อนผมมี พวกคุณทวงเอากับเขาแล้วกัน”
สองสามีภรรยาได้ยินดังนั้นก็มองเฉินเหวินต้งที่อยู่ข้างกายหลิงซู
ตอนที่หลิงซูคิดว่าพวกเขาจะมาถกเถียงกับเฉินเหวินต้งนั้นเอง เรื่องราวก็พลิกผัน
แม้แต่เฉินเหวินต้งก็ยังคิดไม่ถึงว่าหญิงวัยกลางคนอายุสามสิบสี่สิบปีที่ดูธรรมดา มุมปากมีริ้วรอยเล็กน้อยคนนี้ จู่ๆ จะล้วงปืนกระบอกหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อโค้ตแล้วจ่อเข้าที่หว่างคิ้วของเขา!
หลิงซู “…”
วินาทีที่เสียงปืนดังขึ้น หลิงซูก็แทบจะก้มลงหลบพร้อมๆ กันกับเสียงปืน!
เขาไม่สนใจแล้วว่าเฉินเหวินต้งจะยิงเขาหรือไม่
ตรงกันข้าม เฉินเหวินต้งลุกขึ้นโถมตัวใส่หญิงวัยกลางคน เขาปัดข้อมือของอีกฝ่ายให้เบี่ยงออกไป ทำให้กระสุนเบนทิศทาง ไปฝังลงบนศีรษะของผู้โดยสารที่อยู่เยื้องออกไปแทน!
เลือดสาดกระจาย ผู้โดยสารคนนั้นล้มลงตามเสียง!
เสียงหวีดร้องดังขึ้นโดยรอบ ทุกคนในตู้โดยสารลุกขึ้นวิ่งหนีทันที พวกเขาวิ่งหนีอย่างสุดชีวิตออกไปยังตู้โดยสารถัดไปทั้งสองด้าน!
เมื่อโจมตีไม่ถูกเป้าหมาย ความลนลานของฝูงชนก็ทำให้แผนการของสองคนนั้นสับสน หลิงซูกับเฉินเหวินต้งใช้โอกาสที่ทุกอย่างกำลังวุ่นวายนี้แทรกตัวในฝูงชนและหลบหนีออกไป
มือสังหารนั้นแม้จะฆ่าคนอื่นตายได้อย่างไม่สะทกสะท้าน แต่ก็ไม่มีทางเปลืองกระสุนยิงปืนท่ามกลางผู้คนแน่นขนัดเช่นนี้
เฉินเหวินต้งกับหลิงซูวิ่งไปทางตู้โดยสารชั้นสามเหมือนกันโดยไม่ได้นัดหมาย
เพราะตู้โดยสารชั้นหนึ่งนั้นมีคนรวยอยู่มาก จำนวนคนน้อยกว่าจึงซ่อนตัวยาก แต่ตู้โดยสารชั้นสามราคาถูก ผู้คนวุ่นวายเบียดเสียด สะดวกต่อการซ่อนตัวปะปนอยู่ในฝูงชน
กลุ่มคนที่กำลังวุ่นวายเป็นอุปสรรคในแผนการหลบหนีของหลิงซู เขาอยากจะลงจากรถไฟแต่ประตูรถไฟก็ถูกขวางเอาไว้ รถไฟยังไม่จอดสนิท ถ้าจะพุ่งออกไปทางหน้าต่างรถก็น่าจะไม่ทัน
เขาได้แต่เบียดผู้คนเดินต่อไปข้างหน้า
เป้าหมายของมือสังหารสองคนนั้นน่าจะมีแค่เฉินเหวินต้ง แต่หลิงซูไม่อยากเสี่ยง อย่างไรเสียเฉินเหวินต้งก็พูดถูก ในสายตาของคุณเฉิง คนที่จะ ‘หนีตาย’ ไปพร้อมกับเฉินเหวินต้งก็คงมีแต่พวกเดียวกันเท่านั้น ถ้าจัดการไปพร้อมกันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
ด้านหลังมีเสียงปืนดังขึ้นอีก ไม่รู้ว่าใครโดนยิงใครล้มลงบ้าง ผู้คนเริ่มตื่นตระหนกจนอลหม่านอีกครั้ง
ห้องน้ำอยู่ตรงหน้า หลิงซูบิดลูกบิดประตูแล้วพุ่งเข้าไป
ติดตามเรื่องราวต่อได้ใน คดีลับใต้หมู่ดาว เล่ม 2
วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub และร้านหนังสือทั่วไป
รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่ Meb / OOKBEE / Fictionlog / Naiin App / SE-ED
/ Hytexts / comico และ ARN