everY
ทดลองอ่าน คดีลับใต้หมู่ดาว เล่ม 3 บทที่ 116-117 #นิยายวาย
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่
การทารุณกรรม ทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การกักขังหน่วงเหนี่ยว
การบังคับหรือโน้มน้าวให้
การฆ่าตัวตาย และการกินเนื้อเผ่าพันธุ์เดี
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 116
คนไหน
เหอผิงมึนงง เขามองตามที่อีกฝ่ายชี้
เวลานี้มีคนเดินไปเดินมาทั้งชายและหญิง เวลากลางคืนแสงไฟสลัว โคมไฟก็ส่องสว่างอย่างจำกัด ทำให้มองไปหน้าตาก็คล้ายคลึงกันไปหมด
คุณซ่งมองตามคนที่เดินด้วยท่าทางเร่งรีบคนนั้น ไม่นานก็หายไปท่ามกลางฝูงชน เห็นแล้วก็อดหงุดหงิดไม่ได้
“เขาไปทางตู้ชั้นสามแล้ว คุณไปหามา หาให้เจอให้ได้!”
เหอผิงเอ่ย “คุณจะให้ผมหาใครครับ ผู้หญิงหรือผู้ชาย หน้าตาเป็นอย่างไร”
“เดิมเขาเป็นนักบวชอาวุโส ไว้หนวดเครา แต่เมื่อกี้ที่ผมเห็นเขา ดูหน้าตาท่าทางเหมือนกันมากแต่เปลี่ยนเป็นผู้หญิง สวมหมวกคลุมขนมิงก์กับกระโปรงผ้าแพร กระโปรงนั้นเป็นสีม่วง สีม่วงเข้ม!”
เหอผิง “…”
เขากำลังสงสัยว่าเจ้าคนแซ่ซ่งนี่จะไม่พอใจกับงานก็เลยแกล้งเขาเล่นๆ สนุกๆ หรือเปล่า
ส่วนคนที่เดี๋ยวก็เป็นผู้ชายเดี๋ยวก็เป็นผู้หญิง เดี๋ยวก็เป็นนักบวชเดี๋ยวก็ใส่กระโปรงนี่ ตกลงว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงกันเล่า
ซ่งหลินได้สติ เขาเองก็รู้สึกว่าคำพูดของตัวเองฟังดูไร้สาระอยู่พอควร จึงถอนหายใจยาวก่อนจะพูดที่มาที่ไปอย่างคร่าวๆ
“ถ้าผมจำไม่ผิด คนคนนี้น่ะก่อนหน้านี้เป็นนักบวชอยู่ที่วัดกวนอินบนเขาฝูอวี้ วันนี้ผมเพิ่งได้พบตอนขึ้นเขาไปกับท่านจิน แต่ตอนนี้กลับมาแต่งตัวเป็นผู้หญิงแล้วปรากฏตัวที่นี่ ต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่!”
เมื่อเขาพูดอย่างนี้ เหอผิงก็นึกขึ้นได้
“รถไฟขบวนนี้มีโลงศพของมารดารองนายกเทศบาลเมืองจินอยู่ เห็นว่าจะส่งคุณนายไปทำพิธีฝังศพที่เป่ยผิงน่ะครับ”
คุณซ่งทำสีหน้ารังเกียจ “นี่พวกเราโดยสารรถไฟขบวนเดียวกับคนตายเหรอ คุณนายบ้านนั้นไม่ใช่ว่ารอสองสามวันก่อแล้วค่อยไปไม่ใช่หรือไงกัน”
“คุณจำผิดแล้วล่ะครับ พวกเราเดินทางกันล่วงหน้าก็เลยไปพร้อมกันพอดี แต่โลงศพของคุณนายน่าจะอยู่ที่ตู้สินค้า ตรงกลางก็มีตู้โดยสารชั้นสองกับชั้นสามคั่นเอาไว้ อยู่ห่างจากเรามากทีเดียว น่าจะไม่มีปัญหาหรอกครับ”
“มารดาของคนแซ่จินเสียไป เรื่องที่เก็บศพเอาไว้เกินเจ็ดวันนั่นก็ช่างเถอะ แต่ยังจะมาบอกว่าฝันเรื่องวัดกวนอินจึงต้องหามโลงศพขึ้นเขาไปกราบไหว้เสียให้ได้อีก ตอนนั้นผมก็รู้สึกแล้วว่าเรื่องนี้ไม่ชอบมาพากล”
เหอผิงถามอย่างอดทน “คุณคิดว่าเรื่องนี้ไม่ชอบมาพากลตรงไหนเหรอครับ”
“เจ้าคนแซ่จินทำงานในสำนักงานเทศบาลเมือง เอาแต่ขัดแย้งกับพ่อของผมทุกอย่างตลอดเวลา ที่เดินทางไปครั้งนี้ก็แปลก ไม่แน่ว่าอาจจะมีแผนการใดซ่อนอยู่ ต่อให้ไม่มีแต่ถ้าเราอาศัยโอกาสนี้มาจับผิดเขาได้มันจะไม่เป็นเรื่องดีหรอกเหรอ”
เหอผิงพูดในใจว่า พูดไปพูดมาอยู่นาน ที่แท้ก็แค่จะเล่นงานคนที่ไม่ใช่พวกตัวเองเท่านั้น
แต่เขาคิดว่าการที่ผู้ชายเปลี่ยนเป็นผู้หญิง นักบวชเปลี่ยนเป็นคุณป้านั้น มาคิดดูแล้วมันช่างไม่สมเหตุสมผลจริงๆ จึงโน้มน้าวอีกฝ่าย “คุณซ่ง ผมคิดว่าเมื่อกี้อาจจะเป็นแค่คนรูปร่างหน้าตาคล้ายกันก็ได้ คุณมองผิดไปแล้วล่ะครับ”
ซ่งหลินส่ายหน้า “ถ้าผมได้เห็นหน้าตาท่าทางของใครแล้วผมไม่เคยลืม ท่าทางของนักบวชคนนั้นผมรู้สึกคุ้นมาก คุณอย่ามัวมาพูดเหลวไหลอยู่เลย รีบพาคนนั้นไปที่ตู้ชั้นสามเดี๋ยวนี้แล้วก็เอาตัวคนสกุลจินมา ถ้าน่าสงสัยก็จับตัวเอาไว้ จะให้พวกเขาออกไปจากรถไฟขบวนนี้ไม่ได้…ช่างเถอะ คุณจับตัวมาแล้วกัน พามาหาผม ผมจะสอบสวนพวกเขาเอง”
เหอผิงขมวดคิ้ว สีหน้าดูไม่เห็นด้วย “ทำแบบนี้จะเป็นการล่วงเกินท่านจินนะครับ”
ซ่งหลินยิ้ม ท่าทางแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่เห็นรองนายกเทศบาลเมืองจินอยู่ในสายตา
เหอผิงไม่รู้จะทำอย่างไรกับคุณชายซ่งผู้ดึงดันเอาแต่ใจคนนี้ เขาได้แต่พาพรรคพวกลุกขึ้นเดินไปยังตู้โดยสารชั้นสาม
ตั้งแต่เข้าไปในตู้โดยสารชั้นสอง อากาศภายในตู้โดยสารก็เต็มไปด้วยกลิ่นต่างๆ ผสมปนเป เมื่อถึงตู้โดยสารชั้นสาม กลิ่นต่างๆ ก็ยิ่งเข้มข้นขึ้น ทั้งกลิ่นเหม็นจากรองเท้าถุงเท้า กลิ่นอาหารแห้งที่เหลือจากการรับประทาน กลิ่นกายจากคนหลากหลายประเภท หรือกระทั่งกลิ่นเหม็นเปรี้ยวจากผลไม้ที่เน่าเสีย…
ดังนั้นเหอผิงจึงบีบจมูก เขาโดนกลิ่นเหล่านั้นรมเสียจนวิงเวียน รู้สึกอยากจะหันกายวิ่งกลับไปเสียเดี๋ยวนั้น
ชุดกระโปรงผ้าแพรสีม่วงเข้ม เสื้อคลุมบุนวมสีน้ำเงิน เป็นหญิงสูงวัยหวีผมเรียบร้อย
จากคำบรรยายของซ่งหลิน เหอผิงก็มองหาไปทีละคน เขาทอดสายตาออกไปแล้วก็รู้สึกว่าหญิงวัยกลางคนหรือหญิงสูงวัยนั้นดูเข้ากับคำบรรยายของซ่งหลินไปเสียหมด
แต่ละคนทั้งก้มหน้า สัปหงก มองไม่เห็นว่ากระโปรงเป็นสีอะไร เหอผิงต้องยื่นศีรษะเข้าไปสำรวจดูอย่างละเอียด
ทุกที่ที่เขาไป ทุกคนจะมองมาด้วยสายตาแปลกๆ เหมือนกับว่าเขาเป็นโจรลามกที่จะลงมือกับหญิงสูงวัยโดยเฉพาะอย่างไรอย่างนั้น
เหอผิง “…”
เขาก็ไม่ได้อยากทำอย่างนี้หรอก!
เขาก็อยากจะไปนั่งสบายๆ ดื่มกาแฟในตู้โดยสารชั้นหนึ่งที่อากาศอบอุ่นเช่นกัน
แต่ใครใช้ให้คนที่อยู่เหนือเขาเป็นคุณชายซ่งที่ขี้สงสัยกันเล่า
เหอผิงรู้สึกคับแค้นทวีคูณ เขาทอดถอนใจให้ชุดสูทใหม่เอี่ยมของตน ในใจก็คิดว่ากลับไปไม่รู้จะต้องฉีดน้ำหอมมากแค่ไหนจึงจะกลบกลิ่นที่ติดตามตัวนี้ได้
“คุณเหอ คนที่สวมชุดยาวสีดำสวมหมวก ตรงแถวที่สองจากหลังสุดนั่นน่าจะเป็นคนสกุลจินนะครับ ผมเคยเห็น” ผู้ติดตามข้างกายพลันเอ่ย
เหอผิงรีบมองไปทางนั้น
ชายสามหญิงหนึ่ง คนแก่กับคนหนุ่มกำลังพูดคุยกันเบาๆ ในปากยังกินอะไรอยู่ด้วย
ชายหนุ่มหญิงสาวฝั่งตรงข้ามนั่งพิงกันสัปหงก
ผู้หญิงคนนั้นก็ยังดูสาว ไม่เหมือนหญิงสูงวัยที่คุณซ่งพูดถึงเลย
“ไปดูหน่อยแล้วกัน”
เหล่าจินกำลังกะเทาะเมล็ดแตงโมพลางฟังเสี่ยวจินเล่าเรื่องเล่าต่างๆ ในเมืองเฟิ่งเทียน จู่ๆ ก็มีคนมาตบบ่า ทำเอาเขาเกือบจะกลืนเปลือกเมล็ดแตงโมเข้าไปด้วยแล้ว
เขาเองก็มีสถานะสูงระดับหนึ่งในสกุลจิน อารมณ์ฉุนเฉียวเองก็เพิ่มขึ้นตามอายุจึงหันไปด่าทันที
“เชี่ยอะไร…พวกคุณเป็นใคร”
การแต่งตัวและมาดของเหอผิงไม่เหมือนกับผู้โดยสารในตู้ชั้นสาม
“คุณลุงจินใช่ไหมครับ ผมแซ่เหอ เป็นเลขาฯ ส่วนตัวของท่านใหญ่ซ่ง เมื่อสักครู่ลูกน้องของผมบอกว่าเขาเห็นคุณ ผมยังคิดอยู่เลยว่าเขาตาฝาดหรือเปล่า คุณจะมานั่งอยู่ที่นี่ได้อย่างไร รีบตามผมไปที่ตู้ชั้นหนึ่งเถอะครับ ผมจะให้คนมาเปลี่ยนที่นั่งให้คุณ!”
ซ่งหลินอาจจะใช้ให้เขามาจับตัวใครโดยที่ไม่สนเรื่องอื่น แต่เหอผิงจะทำอะไรโดยไม่คิดให้รอบคอบอย่างนั้นไม่ได้
อีกฝ่ายนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ถือเป็นคนของรองนายกเทศบาลเมืองจิน รองนายกเทศบาลเมืองจินกตัญญูต่อมารดาอย่างที่สุด เรื่องนี้ทุกคนในเฟิ่งเทียนรู้ดี คนที่จะเดินทางไปพร้อมกับศพของคุณนายย่อมต้องเป็นคนเก่าคนแก่ที่รองนายกเทศบาลเมืองจินไว้วางใจ จะตีสุนัขก็ต้องดูเจ้าของ เหอผิงไม่อยากล่วงเกินใครอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
เหล่าจินมีสีหน้าตะลึงงัน ในใจพลันเกิดความระแวง
“เสี่ยวเหอ ขอบคุณน้ำใจของเธอนะ แต่พวกเราอยู่ที่นี่เพราะมีหน้าที่ จะเสียการเสียงานไม่ได้ ตู้สินค้าด้านหลังนี่มีโลงศพของคุณนายอยู่ ฉันต้องคอยติดตามโลงศพ ไม่กล้าประมาทเลินเล่อ ไม่ทราบท่านใหญ่ซ่งอยู่บนรถไฟขบวนนี้ด้วยหรือเปล่า”
เหอผิงยิ้มพลางว่า “ท่านใหญ่ซ่งไม่อยู่ครับ ผมติดตามคุณชายซ่งไปเทียนจิน ไปธุระน่ะครับ”
เหล่าจินประสานมือ “ถ้าอย่างนั้นรบกวนบอกกล่าวขออภัยคุณชายซ่งแทนฉันหน่อยเถิด ฉันมีธุระติดตัว ไม่สะดวกไปทักทายคุณชายด้วยตัวเอง ถึงเป่ยผิงแล้วพวกเราจะเขียนจดหมายไปบอกนายท่านให้ท่านออกหน้าขอบคุณท่านใหญ่ซ่ง”
เหอผิงอาศัยจังหวะที่กำลังพูดคุยอยู่นี้มองสำรวจหลิงซู
กี่เพ้าสีน้ำเงิน ไม่ได้สวมกระโปรงผ้าแพร และไม่ใช่สีม่วง
เช่นนั้นก็น่าจะไม่ใช่แล้ว
“แหม ลุงจินเกรงใจเกินไปแล้วครับ แล้ว…ไม่ทราบว่าพวกเขาคือใครครับ”
“นี่หลานฉันเอง แซ่จินเหมือนกัน เป็นคนสกุลจินนี่ล่ะ นี่คือสองสามีภรรยาที่เป็นหลานของภรรยาฉัน คราวนี้ได้หนังสือตอบรับเข้าทำงานในโรงเรียนมัธยมที่เป่ยผิง ก็เลยเดินทางไปพร้อมกันกับพวกเราเพื่อไปรับตำแหน่งพอดี”
เหล่าจินว่าแล้วก็ยื่นมือไปสะกิดพวกเยวี่ยติ้งถัง
“มีแขกมาแน่ะ รีบทักทายเร็วเข้า! ท่านนี้คือคุณเหอ เจ้านายของเขาคือท่านใหญ่ซ่ง เป็นเพื่อนร่วมงานของท่านจิน”
เยวี่ยติ้งถังทำหน้างงอย่างคนเพิ่งตื่น ตอนลุกขึ้นยังเซเล็กน้อย
“สวัสดีครับคุณเหอ คนนี้ภรรยาผมครับ”
หลิงซูหลบหลังเยวี่ยติ้งถังครึ่งตัว กล่าวทักทายอย่างเหนียมอายด้วยเสียงเบาราวกับยุง
เหอผิงได้ยินไม่ถนัดว่าอีกฝ่ายพูดอะไรอยู่กันแน่ เขารู้เพียงว่าหลานสะใภ้ของเหล่าจินคนนี้หน้าตางดงามจริงๆ ทั้งยังดูมีการศึกษา สงบเสงี่ยมเรียบร้อย จึงอดมองนานขึ้นอีกนิดไม่ได้
อีกฝ่ายคล้ายจะยิ่งก้มหน้าก้มตาลงไปอีก
เยวี่ยติ้งถังพลันเอ่ย “ขออภัยคุณเหอด้วย ภรรยาของผมไม่ค่อยได้พบคนใหญ่คนโตมากนัก ตอนนี้เธอก็ตั้งครรภ์อยู่ด้วย รถไฟก็โคลงเคลง จึงทำให้ตื่นตระหนกและไม่คุ้นชินได้ง่ายน่ะครับ”
หลิงซู “…”
ที่เราเตรียมกันเอาไว้ก่อนหน้านี้ไม่มีเรื่องนี้นี่!
แต่เขามีปฏิกิริยาฉับไว เยวี่ยติ้งถังพูดไม่ทันขาดคำเขาก็ประคองท้อง ทำสีหน้าเจ็บปวด
“เหมือนลูกจะถีบฉันอีกแล้วล่ะค่ะ”
เยวี่ยติ้งถัง เหล่าจิน เสี่ยวจิน “…”
“มาเถอะ นั่งลงก่อนนะ!”
เยวี่ยติ้งถังประคองหลิงซูนั่งลง ก่อนจะส่งแก้วให้ถึงปากของอีกฝ่าย
สองคนกระซิบกระซาบกัน ดูเหมือนคู่สามีภรรยาอายุน้อยที่รักใคร่กันดีจริงๆ
เมื่อมีเสื้อผ้าหนาหลายชั้นบังอยู่ เหอผิงก็ดูไม่ออกว่าหลิงซูกำลังท้องหรือไม่ท้อง หรือว่าท้องกี่เดือนกันแน่ เขาไม่ค่อยสนใจเรื่องสองคนนี้สักเท่าไหร่จึงหันไปหาเหล่าจินอย่างรวดเร็ว “แล้วคุณป้าจินไม่ได้มาด้วยกันเหรอครับ”
เหล่าจินว่า “เธอยังต้องอยู่บ้านดูแลลูกอีกน่ะ เอาไว้ฉันอยู่ทางโน้นแล้วตั้งตัวได้ ค่อยมารับเธอไปอยู่ด้วย”
เหอผิงพยักหน้า เขามองโน่นมองนี่ ยังไม่อยากไป
“ในเมื่อมาแล้ว ผมขอเข้าไปเคารพศพคุณนายสักหน่อยดีกว่าครับ คราวที่แล้วในงานศพคุณนายผมได้รับคำสั่งจากคุณซ่งให้ไปทำงานข้างนอกพอดี กลับมาไม่ทัน รู้สึกละอายยิ่งนัก”
เหล่าจินปฏิเสธอ้อมๆ “ขอบใจในน้ำใจของเธอนะ แต่ตอนนี้อยู่บนรถไฟคงจะไม่ค่อยสะดวก ตู้สินค้าก็ไม่มีไฟ ถ้าเธอไปชนนั่นชนนี่คงจะไม่งาม”
เหอผิงยังยืนกราน “ผมแค่ไปเคารพครั้งเดียว ขอให้ท่านไปสู่สุคติ ไม่รบกวนคุณนายหรอกครับ”
เหล่าจินกับเสี่ยวจินสบตากัน คิดว่าถ้าห้ามต่อไปอาจจะทำให้อีกฝ่ายสงสัยเสียเปล่าๆ จึงว่า “ถ้าอย่างนั้นตามฉันมา”
ในตู้สินค้ามืดสลัว ไฟดวงเล็กพลันสว่างขึ้นที่ประตู
มันคือตะเกียงน้ำมันที่ผู้ติดตามของเหอผิงถือมา
โลงศพโลงหนึ่งวางอยู่บนกล่องเล็กๆ หลายใบ ข้างหน้ามีภาพขาวดำขนาดเล็ก กระถางธูป ธูปเรียวบางสามดอกที่ไหม้หมดแล้วปักอยู่ในกระถางนั้น
จริงๆ เหอผิงไม่อยากไปเคารพศพ
เพราะพื้นของตู้สินค้าสกปรกมาก ไม่รู้ว่าขนของมามากมายเท่าไหร่ตลอดกาลเวลาอันแสนยาวนานมานี้ บนพื้นจะมีเชื้อโรคอันตรายถึงชีวิตอยู่มากน้อยเพียงใด
แต่เขาพูดออกไปแล้ว เหล่าจินที่อยู่ข้างๆ เหอผิงก็กำลังจ้องมองอยู่ จึงได้แต่บีบจมูกแล้วเล่นละครให้ถึงที่สุด
โชคดีที่เหล่าจินห้ามเขาเอาไว้ “คุณเหอ พื้นสกปรก คุณไม่ต้องคุกเข่าหรอก แค่ทำพอเป็นพิธีก็พอ ยืนโค้งคำนับก็นับว่าทำตามมารยาทพอแล้วล่ะ คุณนายท่านคงไม่ถือสา”
เหอผิงทำเป็นฝืนพูด “ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามลุงว่านะครับ”
ถ้าไม่มองดูก็ไม่รู้ แต่เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆ ก็จะเห็นว่าภาพขาวดำของคุณนายนั้นดูค่อนข้างน่ากลัว
ไม่รู้ว่าจู่ๆ มีลมประหลาดมาจากไหน ลมพัดวูบทำให้ตะเกียงน้ำมันดับ
เหอผิงตกใจ เขากำลังจะหันกลับไปก็พบว่าที่มุมตู้สินค้ามีเสียงการเคลื่อนไหวบางอย่าง
เขาขนลุกซู่หนังศีรษะชา ไม่สนใจเรื่องอื่นอีกต่อไป พลันหันกายเดินจากไปทันที เขาพูดทิ้งท้ายเอาไว้โดยไม่แม้แต่จะหันหลังกลับ
“ลำบากลุงจินหน่อยนะครับ ผมจะกลับไปรายงานคุณซ่งให้เขาช่วยเปลี่ยนตู้โดยสารให้พวกคุณนะ!”
เหอผิงไม่เห็นว่าที่ด้านหลังของเขานั้น เหล่าจินกับเสี่ยวจินกำลังสบตากันหัวเราะ
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน เหล่าหยวนจึงค่อยตะเกียกตะกายขึ้นมาจากมุมตู้สินค้าพลางปาดเหงื่อ
“อึดอัดจะแย่อยู่แล้ว!”
เหล่าจินถามเขา “คุณรู้ได้อย่างไรว่าคุณซ่งจะส่งคนมา”
เหล่าหยวนไม่สบอารมณ์ “เมื่อกี้ผมเดินผ่านตู้ชั้นหนึ่งแล้วก็เห็นเจ้าคนแซ่ซ่งกำลังกินอะไรอยู่ข้างหน้าต่างรถโดยบังเอิญก็เลยรีบหนีกลับมา ที่นี่สกปรกขนาดนี้เจ้าคนแซ่ซ่งคงไม่มาตรวจดูด้วยตัวเองหรอก แต่ถ้าเขามาเองจริง ดีไม่ดีจะเผยความลับเอาน่ะสิ!”
เหอผิงกลับไปแล้วก็รายงานสิ่งที่ได้เห็นได้ยินต่อคุณซ่ง เขาบอกว่าตนไม่เห็นหญิงสูงวัยที่คุณซ่งพูดถึง
ซ่งหลินเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จนเมื่อพวกเขาไปถึงเทียนจินกันแล้วจึงโทรศัพท์กลับไปยังเฟิ่งเทียน ส่งคนขึ้นไปตรวจดูวัดกวนอินบนเขาฝูอวี้ ซ่งหลินจึงค่อยตระหนักได้ตอนนั้นเองว่าตนโดนหลอกเข้าเสียแล้ว เขาแน่ใจแล้วว่าคืนนั้นเขาไม่ได้มองผิดไป
แต่นั่นก็ช้าเกินไป นักบวชหนีไปนานแล้ว อย่าว่าแต่เรื่องที่ซ่งหลินไม่มีหลักฐานอะไรเลย แม้แต่จะไปหาเรื่องรองนายกเทศบาลเมืองจินเขาก็ทำไม่ได้ด้วยซ้ำ หลังจากเทียนจินมาที่อื่นก็ไม่ใช่ดินแดนของเขาแล้ว เขาอยากให้คนไปตามจับพวกเหล่าหยวนมา แต่ก็กลายเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
เหมือนดั่งที่เขาว่า มังกรลงมหาสมุทร ทั้งทีกลับไร้ร่องรอยให้ตามหา
เรื่องเหล่านี้ก็ให้เป็นเรื่องของภายภาคหน้าแล้วกัน