everY
ทดลองอ่าน คดีลับใต้หมู่ดาว เล่ม 3 บทที่ 116-117 #นิยายวาย
บทที่ 117
เมื่อมีคุณซ่งเป็นอุปสรรคระหว่างทาง เส้นทางต่อจากนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าคลายใจอีกต่อไป
เหล่าหยวนถึงกับไม่กล้ากลับไปที่ตู้โดยสารชั้นสาม เพื่อความปลอดภัยเขาจึงซ่อนตัวในตู้สินค้าต่อไป ทั้งยังกระซิบกระซาบอะไรให้คุณนายฟังไปตลอดทางจนกระทั่งรถไฟถึงเป่ยผิง
วินาทีที่รถไฟจอดเทียบชานชาลา ทุกคนก็เหมือนยกภูเขาออกจากอก
ความอกสั่นขวัญแขวนที่มีมาตั้งแต่เมืองเฟิ่งเทียนและความตื่นตระหนกจนไม่อาจสงบใจได้เลยตลอดทางนั้น ในที่สุดก็ทำให้พวกเขารอดชีวิตดังหมาย
รองนายกเทศบาลเมืองจินพอมีเส้นสายที่เป่ยผิงบ้าง หลังจากที่เขาเขียนจดหมายไปสองสามฉบับก็มีศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยโยวโจว สองคนมารับพวกเหล่าหยวนด้วยตัวเอง ทั้งยังพาศพของคุณนายไปที่บ้านเก่าของสกุลจินพร้อมพวกเขาอีกด้วย จากนั้นก็ขนพวกหีบต่างๆ เข้าไปในขบวนพิทักษ์ของมีค่าที่จะส่งไปทางใต้
ศาสตราจารย์ทั้งสองท่านรู้เป้าหมายที่แท้จริงของการเดินทางครั้งนี้ และรู้ด้วยว่าของที่มาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือเหล่านี้ถูกนำออกมาอย่างยากลำบากเพียงใด พวกเขาจึงประสานมือโค้งคำนับคารวะพวกเหล่าหยวน
“ท่านทั้งหลายต้องลำเลียงของมีค่ามากมายจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือมาไกลแสนไกลจนถึงที่นี่ เพื่อจะทิ้งสิ่งล้ำค่าทางอารยธรรมเอาไว้แก่ชนชาติของเรา พวกท่านต้องบุกฝ่าวงล้อม ยินยอมเสี่ยงภัย คุณธรรมสูงส่งเช่นนี้ทำให้ผมนับถือยิ่งนัก หากมีวันใดบ้านเมืองสงบสุข สมบัติแผ่นดินได้กลับคืนสู่แสงสว่างเมื่อใด ประชาชนคงจะชื่นชมความเสียสละและคุณความดีของพวกท่านยิ่งนัก!”
เหล่าหยวนรู้สึกว่าไม่อาจรับการสรรเสริญเยินยอเหล่านี้ได้ คนที่ปกติพูดเป็นต่อยหอยกลับกลายเป็นเบื้อใบ้ เขาโบกมือถอยหลังแล้วก็ดันให้คนรู้จักพูดอย่างหลิงซูไปอยู่ข้างหน้า
หลิงซูคิดดูแล้วไม่ว่าอย่างไรเขาก็คงต้องพูดจาถ่อมตัวออกไปสักหน่อย จึงเอ่ยว่า “สมบัติล้ำค่าของแผ่นดิน แม้เป็นเพียงคนธรรมดาก็มีหน้าที่ซึ่งไม่อาจเลี่ยง ทั้งสองท่านไม่ต้องเกรงใจ รีบทำพิธีฝังศพคุณนายก่อนแล้วขนย้ายหีบต่างๆ กลับไป หาสถานที่ตั้งตัวอันเหมาะสมในเร็ววัน ทุกคนก็จะได้วางใจได้โดยเร็ว”
ศาสตราจารย์คนที่หนึ่งทอดถอนใจ “ช่างสมกับเป็นสตรีแกร่งมิแพ้บุรุษ วิสัยทัศน์ของคุณนายสูงส่งกว้างไกล!”
หลิงซู “…”
เขาเพิ่งนึกได้ว่าตนยังสวมกี่เพ้าและวิกผมอยู่
แม้ว่าเสียงจะหยาบไปนิด ทุ้มไปหน่อย แต่ก็คล้ายจะยิ่งเป็นข้อพิสูจน์ว่าเขาคือคนพิเศษในหมู่สตรีด้วยกัน
เยวี่ยติ้งถังที่ยืนอยู่ข้างๆ พลันไอขึ้นมาสองครั้ง คิ้วตากระตุกเล็กน้อย
ศาสตราจารย์คนที่หนึ่งเห็นดังนั้นก็ลนลาน…นี่เขาพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า
ศาสตราจารย์คนที่สองรีบปราม “คุณพูดผิดไปแล้วล่ะ สุภาพสตรีท่านนี้ออกความเห็นตามความเข้าใจของตนเท่านั้น มิได้เอาอกเอาใจสามีจนไหลไปตามน้ำ ด้วยเหตุนี้ทำให้ผมตระหนักว่าเป็นเช่นนี้จึงยิ่งสูงส่ง เป็นตัวอย่างของสตรียุคใหม่!”
หลิงซูไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ “ทั้งสองท่าน เดิมผมเป็นผู้ชายครับ ครั้งนี้ต้องอำพรางตัวเพื่อจะได้เดินทางสะดวก ก็เลยแต่งตัวเป็นผู้หญิงน่ะครับ”
ศาสตราจารย์ทั้งสองปากอ้าตาค้าง พวกเขารีบขอโทษขอโพยอย่างกระอักกระอ่วน
เหล่าหยวนทนไม่ไหวในที่สุด เขาหัวเราะฮาๆ เสียงดัง
หลังจากอุปสรรคแทรกกลางได้ผ่านไปแล้ว ก็เลี่ยงไม่ได้ที่พวกเขาจะต้องแยกย้ายไปตามทางของตน
พวกเหล่าหยวนย่อมต้องตามศาสตราจารย์ทั้งสองท่านไป เขาได้รับการมอบหมายจากเหล่าเหยียจื่อจึงต้องคอยคุ้มกันของมีค่าไปตลอดทางลงใต้ ไม่แน่ว่าวันหน้าเขาอาจจะต้องไปตั้งรกรากตามสถานที่ที่สมบัติเหล่านี้อยู่เพื่อปกป้องมันต่อไปก็เป็นได้
ชีวิตครึ่งหลังของเขาก็นับว่าผูกติดอยู่กับของเหล่านี้ไปเสียแล้ว
ส่วนหลิงซูกับเยวี่ยติ้งถังก็ต้องกลับเซี่ยงไฮ้
เหล่าหยวนมองเพื่อนร่วมเป็นร่วมตายของตนแล้วตบบ่าอีกฝ่าย สีหน้าดูทอดถอนใจ
“ฉันยังคิดว่าชั่วชีวิตนี้เราจะไม่ได้เจอกันแล้วเสียอีก ไม่คิดเลยว่าจะได้มาเจอกันอีกครั้งที่เฟิ่งเทียน ได้รู้ว่านายยังสบายดี ร่าเริงสดใส ฉันก็วางใจแล้วล่ะ พี่ชายอย่างฉันคงต้องไปก่อนนะ ต่อไปนายก็ดูแลตัวเองดีๆ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เราจะได้พบกันอีก!”
หลิงซูเอ่ย “เอาไว้นายตั้งรกรากอยู่กับที่แล้วก็ควรจะคิดเรื่องแต่งงานมีลูกได้แล้วนะ จะมาร่อนเร่ไปตลอดชีวิตอย่างนี้ไม่ได้ ฉันหวังว่าคราวหน้าที่เราเจอกัน อย่างน้อยก็น่าจะมีเด็กๆ สักสองคนมาเรียกฉันว่าพ่อบุญธรรม แล้วก็รินเหล้าให้ฉันนะ!”
เมื่ออีกฝ่ายพูดเช่นนี้ เหล่าหยวนก็รู้สึกตื้นตันขึ้นมาเจ็ดแปดส่วนทันที เขาเอ่ยอย่างร่าเริง “ได้เลย! เอาตามนี้ล่ะนะ นายสอง ฉันสอง บวกกับเหล่าเยวี่ยอีกสอง ได้เป็นครอบครัวใหญ่พอดี ถ้าฉันมีลูกชายนายก็ควรจะมีลูกสาวสักคน เราจะได้ให้ลูกแต่งงานดองกันไว้ไงล่ะ”
หลิงซูหัวเราะ “นี่มันยุคสมัยใหม่แล้ว ไม่นิยมให้พ่อแม่หรือแม่สื่อแม่ชักมากำหนดเรื่องแต่งงานแล้วล่ะ อย่าวาดฝันสวยหรูอย่างนั้นเลย เว้นเสียแต่ว่านายจะแต่งกับเซียนสวรรค์ ไม่อย่างนั้นถ้ามีลูกชายหน้าตาน่าเกลียดก็อย่าหวังจะมาหมายปองลูกสาวแสนสวยของฉันเลย!”
เหล่าหยวนยกเท้าขึ้นจะถีบ แต่หลิงซูหูตาไวรีบถีบอีกฝ่ายตรงที่บาดเจ็บพอดี เหล่าหยวนร้องโอ๊ย แทบทรุดลงไปกองกับพื้น
“ฝากไว้ก่อนเถอะ แน่จริงเอาไว้ฉันจัดการธุระเรียบร้อยแล้วจะขึ้นมาคิดบัญชีกับนายที่เซี่ยงไฮ้อีกที!”
“พอได้แล้วๆ รีบไปเถอะ พูดมากจริง!”
เหล่าจินหัวเราะพลางดุไปเล็กน้อย เขาประสานมือคารวะให้หลิงซูกับเยวี่ยติ้งถังแล้วก็ลากเหล่าหยวนอย่างถูลู่ถูกังจากไป
“ไปๆ กลับบ้าน!”
หลิงซูโบกมือ ก้าวยาวๆ เดินออกไป
เมื่อทราบว่าพวกเขาต้องกลับเซี่ยงไฮ้ เมื่อครู่ศาสตราจารย์ทั้งสองจึงให้คนไปซื้อตั๋วกลับเซี่ยงไฮ้ให้พวกเขา
จากเป่ยผิงไปเซี่ยงไฮ้คราวนี้ไม่มีรถไฟแล่นตรงยาวถึงจุดหมาย พวกเขาต้องวกจากเป่ยผิงกลับไปเทียนจินก่อน แล้วจึงค่อยโดยสารรถไฟสายจินผู่เดินทางจากเทียนจินไปหนานจิง สุดท้ายก็ออกเดินทางจากหนานจิงไปเซี่ยงไฮ้ ต่อรถไฟสามทอด เรียกว่าเดินทางครั้งเดียวต้องหักเลี้ยวถึงสามครั้ง
แต่ถ้าพวกเขาผ่านเทียนจินกันตอนนี้ก็คงไม่ ‘โชคดี’ ถึงขนาดจะเจอคุณซ่งอีกรอบหรอก น่าจะปลอดภัยมากทีเดียว
เพิ่งเดินไปไม่กี่ก้าว เยวี่ยติ้งถังก็ดึงหลิงซูกลับมา
“นายยังใส่ชุดผู้หญิงอยู่ สำรวมหน่อย ถ้าโดนจับได้ที่นี่น่าจะไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่หรอกนะ”
หลิงซูมองไปรอบๆ ก็พบว่ามีคนไม่น้อยมองเขาอยู่จริงๆ บางทีอาจรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้หน้าตาสะสวยโดดเด่น แต่กิริยาท่าทางกลับไม่ได้สำรวมนัก
“ฉันอยากเปลี่ยนกลับเป็นชุดเดิม” เขาประท้วงแสดงความไม่พอใจ
“ไม่ทันแล้ว รถไฟไปเทียนจินกำลังจะออก ขึ้นรถไปก่อนค่อยว่ากัน ถึงเทียนจินแล้วค่อยเปลี่ยน”
เยวี่ยติ้งถังตัดบทแล้วลากอีกฝ่ายไป
ตลอดทางที่เปลี่ยนรถกลับทางใต้นั้นราบรื่นไร้คลื่นลม ไม่มีเรื่องใหญ่ใดๆ เกิดขึ้นอีก
จะมีก็เพียงเรื่องไม่คาดฝันเล็กๆ เท่านั้น นั่นคือตอนที่หลิงซูลงจากรถไฟที่เทียนจิน เขาพบคนที่มองเขาด้วยสายตาไม่ค่อยดีเท่าใดนัก อีกฝ่ายเห็นหลิงซูมองมาก็รีบเข้ามาถามไถ่อยู่นาน หลิงซูจึงได้ทราบว่าผู้ชายคนนั้นจำคนผิด คิดว่าเขาเป็นนักเขียนหญิงซูเชี่ยนจวิน
ซูเชี่ยนจวินกำลังโด่งดังในหมู่คนหัวสมัยใหม่ ปลายปากกาของเธอเผ็ดร้อนเฉียบคม เก่งเรื่องการเสียดสีสังคม เปิดเผยนิสัยบุคคลต่างๆ ในนิยาย พล็อตที่เขียนก็เข้าถึงใจของคนมากมาย ทุกคนชอบอ่านงานของเธอ แต่ก็อดอ่านไปด่าไปไม่ได้ ด่าจบแล้วก็ยังจะอ่านต่อ ดังนั้นในวงการวัฒนธรรมจึงมีคนไม่น้อยที่ด่าเธอ ทว่าก็มีคนไม่น้อยที่สนับสนุนเธอด้วย
แม้ว่าผลงานของซูเชี่ยนจวินจะถูกเผยแพร่ที่เป่ยผิงและเทียนจินเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ชื่อของเธอนั้นแม้แต่หลิงซูเองก็ยังเคยได้ยินผ่านหู
คนคนนี้เป็นนักอ่านตัวยงของซูเชี่ยนจวิน เขาได้ยินว่าวีรสตรีซูจะมาถึงเทียนจินวันนี้จึงมารอที่สถานีรถไฟ ในมือมีรูปขาวดำอยู่รูปหนึ่ง แต่ก็กลับจำคนผิดเกาะติดหลิงซูไม่ปล่อย จะให้หลิงซูเซ็นชื่อให้ตัวเองท่าเดียว และเขาก็อยากจะบอกความรู้สึกให้อีกฝ่ายฟังด้วย
ที่ยิ่งน่าโมโหคือเยวี่ยติ้งถังยืนเอามือล้วงกระเป๋าดูฉากนี้อย่างสนุกสนาน ทั้งที่ยืนอยู่ข้างๆ แต่ก็ไม่ช่วยแก้ต่างให้เขาสักคำ
หลิงซูทนจนทนไม่ไหว จึงเอ่ยปากไล่ออกไปตรงๆ ‘เรื่องบ้าบออะไรที่เขียนไปฉันไม่ได้อยากให้คนอย่างคุณดูสักนิด’ แล้วก็อาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายกำลังอึ้งนั้นผลักออกแล้ววิ่งหนี ถึงหลุดพ้นจากพันธนาการมาได้
ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าหน้าผมให้หมดทั้งตัวก่อนจึงจะยอมเดินทางต่อ
เยวี่ยติ้งถังมีแผนการร้ายในใจ เขาเอ่ยประชด “จะรีบทำไม อย่างไรคุณซ่งก็ปักหลักอยู่ที่เทียนจิน เรารอจนไปถึงหนานจิงค่อยเปลี่ยนชุดก็ยังไม่สายน่า”
หลิงซูเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “คุณเยวี่ยคะ คนท้องอารมณ์แปรปรวนมากๆ นะคะ ถ้าคุณทนให้ฉันด่าคุณไปตลอดทางและอาจจะเหวี่ยงหมัดเล็กๆ ใส่หน้าคุณสามีเพื่อระบายอารมณ์ได้ล่ะก็ ฉันก็เดินทางไปเป็นเพื่อนคุณได้ค่ะ”
เยวี่ยติ้งถังมอง ‘หมัดเล็กๆ’ ของหลิงซูแล้วก็เงียบไปสองสามวินาที
“เราไปหาโรงแรมใกล้ๆ นี้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วค่อยออกเดินทางกันเถอะ”
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 27 พ.ค. 65