everY
ทดลองอ่าน คดีลับใต้หมู่ดาว เล่ม 3 บทที่ 118-119 #นิยายวาย
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่
การทารุณกรรม ทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การกักขังหน่วงเหนี่ยว
การบังคับหรือโน้มน้าวให้
การฆ่าตัวตาย และการกินเนื้อเผ่าพันธุ์เดี
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 118
เมื่อถึงหนานจิง ในที่สุดการเดินทางก็ค่อยๆ ช้าลง
ต่อให้ซ่งหลินแขนยาวแค่ไหนก็คงไม่อาจยื่นมาถึงหนานจิงได้
อย่างไรเสีย เยวี่ยติ้งถังยามอยู่ที่นี่ก็นับว่าเป็นผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นกึ่งหนึ่งแล้ว
ทั้งคู่ถึงกับมีเวลาว่างไปเดินเล่นริมฝั่งแม่น้ำฉินไหว ชิมเป็ดต้มน้ำเกลือ รากบัวไส้ข้าวเหนียวน้ำตาลกรวด กับซาลาเปาไข่ปูด้วยซ้ำ
แผลก็ควรจะทำใหม่ได้แล้ว หลังจากจัดการอย่างเร่งรีบตอนอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือครั้งนั้นแล้วก็เดินทางลงใต้เรื่อยมา พวกเขายังต้องพยายามหลบซ่อนจากหูตาของคุณซ่งจึงทำได้อย่างมากคืออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ไม่มีเวลามาตรวจดูและทำความสะอาดแผลใหม่อีกครั้ง
เยวี่ยติ้งถังหาสถานพยาบาลตะวันตกที่รู้จักกันแห่งหนึ่งก่อนจะพาหลิงซูไปที่แห่งนั้น
แพทย์ที่นั่นกำลังรู้สึกเบื่อจากการว่างงาน เมื่อเห็นเยวี่ยติ้งถังก็ตาลุกวาว ร้องโอ้โหขึ้นมาทันที
“ไม่มีเรื่องก็คงไม่มาหรอกนะนี่ ยากนักที่จะได้พบคุณชายเยวี่ยมาเยี่ยมเยือนด้วยตนเอง มาหาหมอเหรอ”
เยวี่ยติ้งถังว่า “ถ้าไม่มาหาหมอจะมาเยี่ยมกันไม่ได้เชียว?”
หมอยิ้มแปลกๆ “ก็ต้องได้อยู่แล้ว แค่ตกใจที่จู่ๆ ก็โดนพูดเอาใจน่ะ แต่ตอนนั้นนายทำร้ายความรู้สึกอันแสนลึกซึ้งของฉันมากเลยนะ ไปโดยไม่บอกกล่าว ไม่ทิ้งข้อความอะไรไว้สักคำ วันนี้จู่ๆ ก็โผล่มา อยากจะชดใช้วันที่ทิ้งกันไปหรือไง”
ทำไมคำพูดเหล่านี้ฟังดูเหมือนพวกเขาสองคนมีความหลังกันแบบไม่ธรรมดา
เยวี่ยติ้งถังเห็นหลิงซูมองด้วยสีหน้าเหมือนกำลังดูฉากสนุก เขาจึงได้แต่อธิบาย
“เขาแซ่จี่ จี่จู๋ถิง เป็นเพื่อนสมัยเรียนของฉัน นายจำหมอหลิวที่มารักษาแผลให้เราที่ตะวันออกเฉียงเหนือได้ไหม เขาก็เป็นเพื่อนนักเรียนของหลิวเจิ้นเหมือนกัน เป็นพวกแมลงตามก้นของหลิวเจิ้นเลยล่ะ เห็นคนอื่นเรียนแพทย์แผนตะวันตกก็เรียนตาม เห็นคนอื่นเรียนศัลยศาสตร์ก็เรียนศัลยศาสตร์ด้วย”
“อะไรคือแมลงตามก้น เขาเรียนหมอแล้วฉันเรียนหมอไม่ได้หรือไง คณะแพทยฯ เขาเป็นคนก่อตั้งหรือไง” หมอจี่สีหน้าไม่พอใจ พูดไปครึ่งหนึ่งก็ตระหนักได้ “เดี๋ยวนะ! ไอ้คนแซ่หลิวอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือรึ!”
เยวี่ยติ้งถังบอก “หลิวเจิ้นมาหนานจิงนายก็ตามมาหนานจิง ที่ไหนได้เขาหลอกนายเต็มๆ แล้วก็หายเข้ากลีบเมฆไปเลย นายก็โดนหลอกไป คงจะรู้สึกแย่มากสินะ”
“เขาอยู่ที่ไหนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ”
เยวี่ยติ้งถังไม่ตอบ “หมอจี่ครับ พวกเรามาให้ตรวจดูแผลนะครับ”
จี่จู๋ถิงถลึงตาใส่เยวี่ยติ้งถัง แต่เยวี่ยติ้งถังไม่ยอมอ่อนให้สักนิด กลับเป็นหมอจี่เสียเองที่ต้องยอมแพ้ยอมลงให้ก่อน
“มาให้ดูซิ”
เยวี่ยติ้งถังเปิดทางให้หลิงซูที่อยู่ด้านหลัง
“ดูให้เขาก่อนเถอะ”
“จุ๊ๆ นี่มันแผลโดนยิงใช่ไหม ถือว่าพวกนายโชคดีนะนี่ ไม่มีเศษลูกกระสุนฝังอยู่ข้างใน เจ้าคนแซ่หลิวผ่าให้ล่ะสิ…ตลอดทางมานี่พวกนายไม่ได้ทำแผลใหม่กันเลยหรือไง แผลเปื่อยนิดๆ แล้วนะ มาช้ากว่านี้อีกสักวันสองวันได้ติดเชื้อแน่ ไม่แน่ว่าอาจจะต้องตัดขาด้วย โชคดีที่มาเจอฉันนะเนี่ย!”
“…”
“เป็นไง ดูสิ ฝีมือของหลิวเจิ้นไม่ดีเท่าฉันใช่ไหมล่ะ”
“…”
“ตกลงว่าเขาอยู่ที่ไหนของตะวันออกเฉียงเหนือกันแน่ ตอนนี้คงพูดได้แล้วใช่ไหม หรือว่าเขาไม่ให้นายพูด?”
หมอจี่พูดปาวๆ ไม่หยุด
เยวี่ยติ้งถังทนจนทนไม่ไหวในที่สุด “เขาอยู่เฟิ่งเทียน!”
หมอจี่ภูมิใจ “บอกตั้งแต่แรกก็จบแล้ว”
“นายคงไม่คิดจะตามไปเฟิ่งเทียนหรอกนะ”
หมอจี่หัวเราะเสียงเย็น “ฉันมีบ้านมีกิจการอยู่ที่นี่ ทำไมต้องไปเฟิ่งเทียนด้วย ตอนนี้ที่นั่นเป็นสถานที่แบบไหนนายไม่รู้หรอกเหรอ”
เยวี่ยติ้งถังว่า “ดูจากที่นายกระเหี้ยนกระหือรือ ปากไม่ตรงกับใจ ก็น่าจะอยากไปจริงนะ”
“เจ้าคนแซ่หลิวติดเงินฉันอยู่ จะไปถามสักหน่อยไม่ได้หรือไง”
“แค่ติดเงินเท่านั้นเหรอ”
หมอจี่ไม่พูดอีก เขาก้มหน้าทำแผลที่แขนให้เยวี่ยติ้งถัง
“พวกนายอยู่ที่นี่กันต่อสักสองวันเถอะ มาทำแผลที่นี่ทุกวัน อย่าวิ่งไปนั่นมานี่โดยมีแผลอยู่อย่างนี้เลย เดี๋ยวแขนเสียขาเสียกันซะก่อน คงได้เข้าร่วมสมาคมคนพิการหมดหนทางเยียวยากันล่ะ”
เยวี่ยติ้งถังว่า “เราซื้อตั๋วรถไฟกันไว้แล้ว เดี๋ยวต้องกลับเซี่ยงไฮ้ เดินทางแปดชั่วโมง คืนนี้คงถึงบ้าน เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยไปทำแผลที่คลินิกสักแห่งอีกทีก็ไม่สาย”
หมอจี่ได้ยินดังนั้นก็ไม่โน้มน้าวอีก
“ครั้งนี้พวกนายไปภาคตะวันออกเฉียงเหนือทำไม แล้วทำไมโดนยิง หลิวเจิ้นบาดเจ็บด้วยหรือเปล่า”
เยวี่ยติ้งถังเลิกคิ้ว “นายถามถึงพวกเราหรือถามถึงเขาล่ะ”
“ก็ถามหมดนั่นแหละ”
“เรื่องส่วนตัว ไม่สะดวกจะพูด”
หมอจี่มุมปากกระตุก “หลิวเจิ้นก็เป็นเรื่องส่วนตัวของนายด้วยหรือไง”
เยวี่ยติ้งถังเอ่ย “เขาไม่ได้รับบาดเจ็บ แค่โดนฉันเรียกมาช่วยผ่าตัดทำแผลให้เท่านั้น เขาอยู่ในเฟิ่งเทียนเจริญรุ่งเรืองไม่เลว เหมือนปลาได้น้ำเลยล่ะ ดูสนุกสนานมีความสุขจนลืมบ้านเกิดไปแล้ว นายอยากรู้อะไรอีก”
เมื่อทำความสะอาดฆ่าเชื้อแผลเรียบร้อย หมอจี่ก็ใช้ผ้าพันแผลพันแขนเขาเอาไว้สองสามรอบ สุดท้ายก็ผูกปมให้เรียบร้อย
“ก็แค่ถามข่าวคราวเพื่อนเก่า ถามไปเรื่อยแค่นั้น”
“คุณหมอจี่คะ มีคนไข้มา รบกวนคุณหมอออกมาดูหน่อยค่ะ”
พยาบาลโผล่มาที่ประตู หมอจี่จึงลุกขึ้นปัดมือ ถอดถุงมือกับผ้าปิดปาก
“พวกนายพักผ่อนอยู่ตรงนี้สักพักนะ ขอไปดูคนไข้คนอื่นหน่อย”
เสียงพูดคุยดังแว่วผ่านประตูกั้นเข้ามาจากข้างนอก
หลิงซูไม่ได้เข้ามาร่วมในบทสนทนาเมื่อครู่ เขารู้สึกง่วงงุนนานแล้ว และสะดุ้งตื่นตอนที่หมอจี่ขยับลุกออกไป จึงรู้สึกตื่นตัวขึ้นมาเล็กน้อย
“นายทำแผลเสร็จแล้วเหรอ งั้นเราไปกันเถอะ”
เยวี่ยติ้งถังก้มหน้าดูนาฬิกาพก “ยังอีกนานกว่ารถไฟจะออก เราพักอยู่ที่นี่สักหน่อยแล้วกัน”
หลิงซูเอียงศีรษะ “ได้ยินว่าพี่ใหญ่ของนายอยู่หนานจิง ไม่แวะไปเยี่ยมหน่อยล่ะ”
“เขาทำงานยุ่งมาก คงไม่มีเวลามาเจอฉันหรอก” เยวี่ยติ้งถังส่ายหน้า เขาหยุดไปครู่หนึ่งแล้วก็พูดต่อ “ตอนแรกที่จะไปเคารพศพกวนเหล่าเหยียจื่อน่ะ ภายในสกุลเยวี่ยมีท่าทีคลุมเครือ พี่ใหญ่ไม่เห็นด้วยที่จะไป พี่รองก็ทะเลาะกับเขาไปยกหนึ่ง ถึงได้แอบสั่งให้ฉันไปแสดงความเสียใจแทน ถ้าพี่ใหญ่เห็นฉันคงถามเรื่องนี้แน่ ถึงตอนนั้นคงต้องหาข้ออ้างมาอธิบายกันยาว สู้ลดความยุ่งยากลงเสียดีกว่า”
หลิงซูถอนหายใจ “ที่จริงฉันเคยอิจฉานายมากเลยนะ!”
เยวี่ยติ้งถังมองเขา
หลิงซูเอ่ยต่อ “นายไม่ได้มีแค่พี่ชุนเสี่ยว ยังมีพี่ชายอีกสองคน ตอนที่สกุลหลิงล้มละลายแล้วพี่สาวส่งฉันไปต่างประเทศ ตอนนั้นฉันไม่ไว้ใจให้เธออยู่ในประเทศคนเดียวเลย ถ้ามีพี่น้องอีกล่ะก็อย่างน้อยก็ยังมีคนดูแลได้บ้าง”
เยวี่ยติ้งถังว่า “ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าพี่หลิงเหยาแต่งงานหลังจากที่นายไปแล้วน่ะสิ”
หลิงซูพยักหน้า “ฉันก็ไม่คิดว่ากลับมาแล้วตัวเองจะมีพี่เขยโผล่มา ได้ยินว่าพี่สาวฉันน่ะหลังจากฉันไปก็ได้งานพิสูจน์อักษรที่บริษัทหนังสือพิมพ์แห่งหนึ่ง ได้ยินว่าเธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่บริษัทหนังสือพิมพ์นั้นจ้างด้วยนะ ภรรยาของบรรณาธิการใหญ่คิดว่าพี่สาวฉันฉลาดแล้วก็เชื่อถือได้ เลยเชิญเธอไปกินข้าวที่บ้านบ่อยๆ แล้วก็แนะนำพี่เขยให้เธอรู้จัก สองคนนั้นถึงได้แต่งงานกัน ฉันเป็นหนี้พี่เยอะมาก ถ้าตอนแรกฉันไม่เอาเงินที่บ้านไป บางทีเธออาจจะไม่ต้องรีบแต่งงานขนาดนั้นก็ได้ พี่สาวฉันเป็นคนที่ชอบใส่เสื้อผ้าใหม่ขนาดนั้น พอแต่งงานแล้วก็ต้องเอาชุดกระโปรงหลายชุดมาเวียนวนใส่ซ้ำ ไม่เห็นซื้อชุดใหม่เลย ฉันซื้อผ้าพับหนึ่งให้เธอ ก่อนหน้านี้เธอคงจะรังเกียจว่ามันไม่ทันสมัย แต่ตอนนี้เธอกลับบอกว่าที่ฉันซื้อมาน่ะเปลืองเงินเปล่าๆ”
เยวี่ยติ้งถังมักจะรู้สึกว่าเวลาหลิงซูเจอหน้าหลิงเหยาทีไรต้องดูหงอลงไปสามในสิบส่วนทุกครั้ง ดูต่ำต้อยจนต่อล้อต่อเถียงน้อยมาก ที่แท้ก็เพราะกำลังใช้วิธีนี้แสดงความรู้สึกผิดในใจที่มีต่อพี่สาวนั่นเอง
หลิงซูก็เป็นอย่างนี้มาตลอด ดูเหมือนจะอวดโอ่ลำพอง แต่ที่จริงเป็นคนละเอียดอ่อนเอาใจใส่มาก แต่ก็มีเพียงความละเอียดอ่อนเอาใจใส่นี้เท่านั้นที่อีกฝ่ายไม่เคยนำมาใช้กับตัวเองเลย
“เพราะฉะนั้น ตอนนี้ขอแค่พี่สาวขอร้องอะไรฉัน ถ้ามันไม่เหลือบ่ากว่าแรงฉันก็จะทำตามที่เธอขอทั้งหมด”
เยวี่ยติ้งถังเลิกคิ้ว “ทีเธอให้นายแต่งงานไม่เห็นนายยอมทำตามเลยนี่”
หลิงซูแบมือ “อันนั้นก็ต้องมีตัวเลือกที่เหมาะสมด้วยสิ คนมาชอบฉันตั้งเยอะแยะ ฉันต้องไปแต่งกับพวกเธอให้หมดเลยหรือไง ฉันน่ะไม่ว่าอะไรหรอกนะ แต่นายลองไปถามพวกเธอดูสิว่าติดอะไรหรือเปล่า แต่ก็ช่างเถอะ แค่เห็นพี่สาวกับพี่เขยทะเลาะกันก็ปวดหัวจะแย่ แทบอยากจะวิ่งไปซ่อนตัวเลยล่ะ จะว่าไป ได้ยินว่าพี่ใหญ่ของนายแต่งเมียไปสองนี่ นายคิดอย่างไรล่ะ”
เยวี่ยติ้งถังพูดไม่ออก “เขาเป็นคนแต่งนี่ ไม่ใช่ฉัน ฉันจะคิดยังไงได้ล่ะ”
หลิงซูเอ่ย “พี่สะใภ้ใหญ่กับพี่สะใภ้เล็กของนายไม่ทะเลาะแย่งชิงความรักกันทุกวันหรือไง”
“พวกเธอก็แก่งแย่งหึงหวงกันเงียบๆ นั่นล่ะ แต่ไม่เคยทะเลาะกันต่อหน้าพี่ใหญ่ของฉันเลยนะ ตอนแรกที่พี่ใหญ่จะแต่งภรรยาคนที่สองเข้ามา พี่สะใภ้ใหญ่ค้านหัวชนฝาเลย แถมยังจะให้ฉันกับพี่รองย้ายไปอยู่ที่นั่นเพื่อโน้มน้าวพี่ใหญ่กันอีก แต่พี่ใหญ่ไม่ได้อยู่กับพวกเรา เรื่องทางเขาพวกเราไปยุ่มย่ามไม่ได้ พี่สะใภ้ใหญ่เห็นว่าใครก็ทำอะไรสามีของเธอไม่ได้ก็เลยได้แต่เงียบไปนั่นล่ะ”
หลิงซูหาว “หลังจากนั้นล่ะ”
“หลังจากนั้นก็เริ่มทะเลาะกันแบบเงียบๆ พวกเธอสองคนน่ะฉลาดกันทั้งคู่ ต่อหน้าพี่ใหญ่คนหนึ่งก็เก่งกาจคนหนึ่งก็แสนดี อบอุ่นอ่อนโยนเอาใจใส่กันยิ่งกว่านางฟ้านางสวรรค์ลงมาจุติ ขอแค่พี่ใหญ่ไปเท่านั้นแหละ สองคนก็จะเผยธาตุแท้กันออกมาทันที แยกเขี้ยวฟ้อนเล็บกันสุดๆ พี่สะใภ้ใหญ่ของฉันอย่างไรก็มีชื่ออยู่ พี่ใหญ่ก็ไม่เคยคิดจะหย่ากับเธอ แต่พี่สะใภ้เล็กกลับได้รับความรักมากกว่านิดหน่อย ทั้งคู่ก็ดึงกันไปดันกันมา พี่ใหญ่ก็รู้แก่ใจแต่กลับปล่อยให้คลุมเครือ ทำอย่างกับดูละครลิง ดื่มด่ำกับการพินอบพิเทาของภรรยาทั้งสองไปเรื่อยๆ”
เยวี่ยติ้งถังไม่ได้ยินเสียงตอบกลับ เมื่อเขาหันไปมองก็เห็นหลิงซูสะลึมสะลือใกล้หลับ ทำเอาเขาโมโหจนอดหัวเราะไม่ได้
เจ้าหมอนี่เห็นเรื่องราวในบ้านของเขาเป็นนิทานก่อนนอนไปแล้วหรือไง
กว่าเขาจะหาโอกาสเปิดใจพูดเรื่องในสกุลเยวี่ยให้อีกฝ่ายฟังได้นั้นไม่ง่ายเลย เรื่องเหล่านี้คนอื่นอยากฟังแค่ไหนก็คงไม่ได้ฟัง แต่หลิงซูกลับไม่เห็นค่าของเรื่องเล่าเหล่านี้เสียอย่างนั้น
เขาจิ้มแขนอีกฝ่ายแต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง หลิงซูเอียงศีรษะพิงพนักเก้าอี้ ยังคงเล่นหมากรุกกับโจวกงอยู่อย่างนั้น
เยวี่ยติ้งถังถอนหายใจ “หลิงซู”
ออกจากปากไปแล้วสองพยางค์ ที่เหลือยังมีอีกเป็นพันเป็นหมื่นคำ ทว่าเขากลับพูดอะไรไม่ออก
ถ้อยคำมากมายถูกเอื้อนเอ่ยอยู่ในความทรงจำ ในหัวใจ วนเวียนไปมาเช่นนั้นเป็นพันเป็นหมื่นครั้งเนิ่นนานมาแล้ว จะพูดหรือไม่ ก็คล้ายไม่มีความแตกต่างเพราะยังไงอีกฝ่ายก็คงไม่รู้
สิ่งที่เยวี่ยติ้งถังอยากถามมากกว่าก็คือ…
วันนั้นที่ทางลับใต้ดินวัดกวนอิน ตอนที่ถูกเขาจูบ หลิงซูคิดอย่างไร
“หลิงซู”
เขาอยากตรึงฝีเท้าของอีกฝ่ายเอาไว้เช่นนี้ จับยึดเอาไว้ข้างกายอย่างแน่นหนา ต่อให้อีกฝ่ายอยากจะสยายปีกบินก็ไม่อาจบินขึ้นไปได้
ความเสียใจตลอดแปดปีมักกลับมากัดกร่อนหัวใจจนเป็นรูโหว่ใหญ่ ต้องใช้วิธีการอื่นๆ มาปะชุน
แต่นี่คือหลิงซูนะ
หลิงซูที่ใช้เลือดและชีวิตของตนทุ่มเทฟาดฟันกับศัตรูในสนามรบ หลิงซูที่ยอมตายไม่ยอมแพ้ในการรบทุกครั้งเพื่อพี่น้องสหายร่วมรบทั้งหลาย หลิงซูที่ยอมปลงกับชีวิตและใช้ชีวิตทำมาหากินรอความตายไปวันๆ เพียงเพราะคำขอร้องของสหายในวันวานคนหนึ่ง หลิงซูที่ยอมเสี่ยงอันตรายเพื่อทิ้งทรัพย์สมบัติเอาไว้ให้คนในชาติ
เยวี่ยติ้งถังไม่อาจทนและไม่อาจหักใจใช้แนวคิดของตนไปจำกัดล้อมกรอบอีกฝ่ายเอาไว้
ทรัพย์สมบัติที่เสียไปและได้กลับคืน ก็ควรจะประคองเอาไว้ในมือและปกป้องมันต่อไป ให้มันได้เปล่งแสงส่องประกาย ได้ทำอะไรอย่างที่เจ้าตัวต้องการ
ช่างเถอะ
“ที่เรียกหลิงซูสองรอบนี่ช่างเต็มไปด้วยอาการอยากจะพูดแต่ก็หยุดเอาไว้ วนไปเวียนมาเป็นร้อยเป็นพันรอบจริงๆ นะนี่!”
ไม่รู้หมอจี่โผล่มาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทั้งคำพูดคำจายังเสียดสีเย็นชาไร้ความปรานี
“ฉันออกไปสูบบุหรี่นะ”
เยวี่ยติ้งถังคร้านจะสนใจ เขาจึงลุกขึ้นเดินออกไป
หมอจี่ยืนอยู่ที่ประตูครู่หนึ่ง
กระทั่งเยวี่ยติ้งถังออกไปไกลแล้วเขาก็พลันเอ่ยปากกับคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้
“เลิกแกล้งหลับได้แล้วน่า”