ทดลองอ่าน คดีลับใต้หมู่ดาว เล่ม 3 บทที่ 118-119 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน คดีลับใต้หมู่ดาว เล่ม 3 บทที่ 118-119 #นิยายวาย

2 of 2หน้าถัดไป

บทที่ 119

หลิงซูไม่ขยับเขยื้อน ปากเผยอน้อยๆ น้ำลายเหมือนจะไหลลงมาอยู่รอมร่อ

หมอจี่มุมปากกระตุก เขาเดินเข้าไปใกล้แล้วก็ตบบ่าหลิงซู

“ตื่นๆ”

หลิงซูสะท้าน เขาลืมตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือ สีหน้าดูมึนงง

“หือ แผลเปิดอีกแล้วเหรอ”

หมอจี่ยกนิ้วโป้งให้เขา “เคยได้ยินคำว่าไป่เหล่าฮุ่ยไหม พวกเขาขาดนักแสดงเจ้าบทบาทอย่างคุณนี่ล่ะ!”

“ไม่เคย เคยได้ยินแต่ไป่เล่อเหมิน” หลิงซูหาว เขาดูเกียจคร้าน หน้าตาเหมือนนอนอย่างไรก็ไม่พอ “หมอจี่ คุณจะไปหาหมอหลิวหรือเปล่า ได้ยินว่าเขามีครอบครัวแล้วนี่”

หมอจี่หน้าตึงทันที ดูเย็นชาคล้ายไอเย็นเบาบางของฤดูใบไม้ร่วงพัดให้เกิดน้ำค้างแข็งเกาะอยู่อย่างกะทันหัน เป็นความหนาวแบบที่ทำให้หนาวตายได้อย่างไรอย่างนั้น

“เขาจะมีครอบครัวหรือยังมันเกี่ยวอะไรกับผม”

เมื่อพูดประโยคนี้จบหมอจี่ก็หันหลังเดินจากไป ไม่สนใจจะพูดคุยกับหลิงซูอีกแม้แต่ครึ่งประโยค

จิ๊ๆ เจ้าอารมณ์เหมือนกันนะนี่

หลิงซูขยับคอที่ปวดเมื่อย เขาเปลี่ยนท่ามานอนฟุบกับโต๊ะแล้วก็หลับครอกฟี้ต่อไป

เยวี่ยติ้งถังนับว่าเคยเห็นความสามารถในการนอนของเขามาแล้ว

หลังจากสูบบุหรี่กลับมาก็เห็นหลิงซูยังคงนอนหลับ ตอนนี้ยังเหลือเวลาอีกมาก เขาจึงออกไปเดินเล่นที่ร้านหนังสือรอบหนึ่ง เมื่อฟ้าใกล้มืดก็กลับมาที่คลินิกและพบว่าหลิงซูก็ยังนอนอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นท่านอนก็ยังไม่เปลี่ยนไปจากก่อนที่เขาจะออกไปข้างนอกเลยแม้แต่น้อย

แม้แต่หมอจี่ยังต้องซูฮก

“ฉันยังคิดว่าเพื่อนนายแกล้งหลับ ไม่คิดว่าจะหลับได้จริงๆ นี่ชาติที่แล้วเป็นหมูมาก่อนหรือเปล่า”

เยวี่ยติ้งถังมองมาที่เขา

หมอจี่ชูสองมือ “ได้ๆ ไม่พูดแล้ว เชิญทั้งสองท่านเลยขอรับ กระผมยังต้องรีบกลับบ้านไปกินข้าวอีก”

เยวี่ยติ้งถังเรียกหลิงซูสองสามครั้งแต่ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง เขาจึงได้แต่ดันตัวอีกฝ่าย

ต้องดันตัวถึงจะตื่น หลิงซูขยี้ตา ท่าทางเหมือนนอนไม่พอ

“ต้องไปสถานีรถไฟแล้ว กลับบ้านไปค่อยนอน” เยวี่ยติ้งถังว่า

หลิงซูยังง่วงงุนอยู่มาก สติครึ่งหนึ่งของเขายังอยู่ในห้วงฝัน ขณะลุกขึ้นยืนอากัปกิริยาช้าไปครึ่งจังหวะ เขาเดินตามอีกฝ่ายไปแต่โดยดี เยวี่ยติ้งถังไปที่ไหนเขาก็ตามไปที่นั่น คนหนึ่งสั่งอีกคนหนึ่งทำตาม ว่านอนสอนง่ายยิ่งกว่าตุ๊กตาหุ่นเชิดที่มีสายโยงเสียอีก

เยวี่ยติ้งถังได้แต่ดันอยู่ข้างหลัง เพื่อไม่ให้เขาเดินไปเดินมาแล้วพลัดหลงกัน

เวลาเร่งรัด พวกเขาซื้อตั๋วโดยสารชั้นหนึ่งไม่ทันจึงได้แต่ซื้อตั๋วโดยสารชั้นสอง แต่หากเทียบกับชั้นสามที่พวกเขานั่งมาแล้วก็ดีกว่ามากอย่างไม่ต้องสงสัย อย่างน้อยบนรถไฟก็มีของให้กิน ไม่ต้องเตรียมไปเอง อาหารการกินก็ไม่เลวทีเดียว

หลิงซูที่กำลังสะลึมสะลือนั้นเมื่อเห็นเกี๊ยวมาเสิร์ฟก็พลันมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที

ปกติแล้วบนรถไฟจะมีแต่อาหารตะวันตกให้ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะเคยชินกับการรับประทานอาหารแบบนั้น หลังจากผู้โดยสารทักท้วงกันบ่อยครั้ง ทางการรถไฟจึงออกมาตรการใหม่ในปีนี้ นั่นก็คือเริ่มให้บริการอาหารจีนในตู้โดยสารชั้นหนึ่งและสอง

แน่นอนว่าผู้โดยสารในตู้ชั้นสามนั้นหากไม่ได้นำอาหารมา ก็ได้แต่รอเวลาที่รถไฟจอดตามสถานีแล้วเรียกพวกพ่อค้าแม่ค้าหาบเร่ที่เดินมาขายตามหน้าต่างรถไฟ ใช้เงินซื้อไก่ย่างหรือซื้อผลไม้เมล็ดธัญพืชอะไรสักถุงเพื่อประทังความหิว

“ฉันได้กลิ่นเกี๊ยวหมู”

เกี๊ยวเพิ่งถูกนำมาเสิร์ฟตรงหน้า ยังไม่ทันจะลืมตามองดีๆ และยังไม่ทันชิมรสใดๆ หลิงซูก็รู้ก่อนล่วงหน้าแล้ว

“ไส้หมูกับผักกาดขาว มีเห็ดหอมด้วยใช่ไหม”

เยวี่ยติ้งถัง “…”

เขาไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ จึงคีบเกี๊ยวขึ้นมากัด แล้วก็พบว่าใช่จริงๆ

“นายนี่จมูกหมาจริงๆ สินะ”

หลิงซูหัวเราะฮาๆ “เรียกว่าใจสื่อถึงใจต่างหากล่ะ ฉันน่ะมีชะตาต้องกับมัน!”

เยวี่ยติ้งถังก็เหนื่อยแล้วเช่นกัน

เขาต้องใช้ปัญญาและความกล้าหาญอยู่ตลอดทาง เดินทางวนเวียนไปมานานๆ ถ้าพูดกันแค่เรื่องระยะทางยาวไกลก็คงทำให้ร่างกายอ่อนเพลียอย่างเดียว แต่เมื่อบวกกับอาการบาดเจ็บ ต้องคอยใช้สมอง ต้องใช้พลังใจไปมากมาย สิ่งเหล่านี้ก็ทำให้เขาอ่อนเพลียไปทั้งกายใจจริงๆ การงีบหลับสั้นๆ ในคลินิกหรือบนรถไฟคงไม่มีทางทำให้พลังของเขาฟื้นคืนมาได้

เมื่อรถไฟไปถึงเซี่ยงไฮ้ ยามดึกก็คืบคลานเข้ามาแล้ว

อย่างไรฤดูใบไม้ผลิของเซี่ยงไฮ้ก็อบอุ่นกว่าทางเหนือมาก เมื่อสูดหายใจเข้าลึกๆ ก็เหมือนจะได้กลิ่นหอมของต้นหญ้าลอยมาอย่างเลือนรางในอากาศ

หลิงซูคงจะสูดหายใจเข้าเต็มที่ไปหน่อย เขาจึงจามออกมากะทันหัน

“พี่ต้องคิดถึงฉันอยู่แน่…ไม่สิ! ตอนนี้ฉันกลับบ้านไม่ได้”

“ทำไม”

“อาการบาดเจ็บที่ขายังไม่หายดี กลับไปต้องโดนพี่ซักแน่ ถ้าไม่อธิบายออกมาเป็นฉากเป็นชั้นล่ะก็คงไม่ให้ฉันได้นอนหลับดีๆ หรอก คืนนี้ฉันขอไปยืมโซฟาห้องรับแขกบ้านนายนอนแก้ขัดสักสองคืนดีกว่า เอาไว้ผ่านไปสองวันแผลหายดีแล้วค่อยกลับบ้าน”

หลิงซูหัวเราะแหะๆ ทำตาปริบๆ ใส่เยวี่ยติ้งถัง

“ถ้านายคิดว่าต้อนรับแขกได้ไม่ดีพอ อยากจะทำความสะอาดห้องนอนแขกให้ฉันอยู่ล่ะก็ ฉันก็ไม่รังเกียจหรอกนะ”

เยวี่ยติ้งถังบอก “ต้องดูความประพฤตินายก่อน”

ไม่ปฏิเสธก็เท่ากับตกลง หลิงซูรู้จักหลักการหาผลประโยชน์จากจังหวะเวลาที่เหมาะสม เขาเดินตามอีกฝ่ายไปติดๆ

เมื่อเช้านี้ตอนอยู่ที่หนานจิงเยวี่ยติ้งถังโทรศัพท์ไปที่คฤหาสน์สกุลเยวี่ยแล้ว เขาบอกลุงโจวว่าคืนนี้จะกลับบ้าน คนขับรถของสกุลเยวี่ยจึงมารอรับพวกเขาที่ด้านนอกสถานีรถไฟนานแล้ว

ใบหน้าที่คุ้นเคย รถยนต์ที่คุ้นเคย เมื่อกลับมาพบสิ่งเหล่านี้หลังผ่านความเป็นความตายมา หลิงซูเห็นอะไรก็รู้สึกสนิทใจไปเสียหมด เขายิ้มให้คนขับรถสกุลเยวี่ยอย่างสดใสเป็นพิเศษ ทำเอาคนขับรถอดหยอกเล่นไม่ได้ว่า “คุณชายหลิงไปข้างนอกคราวนี้ได้ลาภมาเหรอครับ”

หลิงซูมีท่าทีสบายๆ “ลาภน่ะไม่ได้หรอก แต่เกือบเอาชีวิตไปทิ้งสิเรื่องจริง จะว่าไปตั้งแต่ผมเจอคุณชายบ้านนี้ก็เริ่มจะบาดเจ็บทุกสองสามวัน ถ้าไม่โดนยิงแขนก็โดนยิงขา ไม่ช้าก็เร็วคงมีสักวันที่หัวจะโดนด้วยสักโป้งนั่นล่ะ!”

คนขับรถมองผ่านกระจกมองหลัง สีหน้าของเยวี่ยติ้งถังค่อยๆ เคร่งเครียดขึ้น เขาคิดว่าคุณชายสี่คงโกรธแน่ แต่ที่ไหนได้คำที่พูดออกมากลับไม่เหมือนที่เขาคิดเอาไว้เท่าไหร่เลย

“อย่าไปสนใจคำพูดเด็กน้อยเลย เปิดปากก็พูดแต่อะไรไร้สาระ!”

ต้องเป็นเพราะประโยคสุดท้ายของคุณชายหลิงเมื่อกี้แน่

หลิงซูผ่อนลมหายใจ “ก็แค่พูดเล่นไปตามเรื่องตามราวล่ะน่า จริงจังไปได้!”

เยวี่ยติ้งถังพูดในใจว่า นายกลัวจะไม่รู้จักความสามารถด้านความปากเสียของตัวเองหรือไง แล้วเขาก็เอ่ยเสียงเย็น “ต่อไปคำพูดพวกนี้ถ้านายพูดอีกฉันจะหักเงินเดือนนายหนึ่งครั้ง”

หลิงซูแบมือสองข้าง “ยังไงเดือนหนึ่งฉันก็ได้ไม่เท่าไหร่อยู่แล้ว หักไปเถอะ แค่พอกินพอใช้ก็โอเคแล้ว”

เยวี่ยติ้งถังไม่รู้จริงๆ ว่าจะทำอย่างไรกับท่าทีเหมือนหมูตายไม่กลัวน้ำร้อนลวก แบบนั้นของอีกฝ่าย

คนคนนี้บุกตะลุยทั่วทั้งเหนือใต้ เสียความภาคภูมิใจและความหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีวัยหนุ่มไปแล้ว กลายเป็นคนที่หน้าหนาจนฟ้าผ่าก็ยังไม่สะท้านสะเทือน หนาพอจะให้ขึ้นไปกลิ้งลงมาจากหมู่บ้านบนยอดเขาสูงแล้วก็ยังไม่มีเศษหน้าแตกออกมาแม้แต่เสี้ยวเดียว

คฤหาสน์สกุลเยวี่ยเปิดไฟสว่างไสว

ประตูใหญ่เปิดอยู่ ลุงโจวยืนรออยู่บนบันไดหน้าประตูบ้านนานแล้ว เมื่อเห็นรถขับเข้ามาใกล้ก็รีบให้คนไปเปิดประตูเหล็กที่สวนหน้าบ้าน

“คุณชายสี่ คุณชายหลิง!”

รอยยิ้มของเขาเบ่งบานเต็มใบหน้า เห็นได้ชัดว่ารู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่คุณชายทั้งสองกลับมาถึงบ้านอย่างปลอดภัย

“ลุงโจวลำบากแย่เลยครับ!”

เยวี่ยติ้งถังพยักหน้าให้ เขาถอดหมวกส่งให้คนรับใช้ข้างๆ

พ่อบ้านเคยชินกับการแสดงออกอย่างเก็บกักความรู้สึกเอาไว้ข้างในเช่นนี้นานแล้ว ไม่เพียงแค่เยวี่ยติ้งถังเท่านั้น แต่ทุกคนในสกุลเยวี่ยล้วนเป็นแบบนี้กันทั้งหมด พวกเขาไม่ได้ไม่เคารพพ่อบ้านอาวุโส เพียงแต่ไม่อาจแสดงความรู้สึกออกมามากจนเกินไปเท่านั้น

เทียบกันแล้ว กิริยาของหลิงซูดูเกินจริงไปมากทีเดียว

เขาตรงเข้าไปสวมกอดพ่อบ้านทันที

“ลุงโจวผมกลับมาแล้วครับ! คิดถึงผมไหม”

น้ำเสียงที่สูงขึ้นนั้นเปล่งออกมาท่ามกลางค่ำคืนหนาวเหน็บ เหมือนกับก้อนหินที่หล่นลงไปในสระอันเรียบนิ่ง ก่อให้เกิดคลื่นน้ำกระเพื่อมเป็นระลอก และปลุกให้ดอกบัวที่หลับใหลอยู่ลึกลงไปในสระนั้นอย่างไม่รู้ว่าฤดูใบไม้ผลิจะมาเยือนเมื่อใดตื่นขึ้นด้วย

“คิดถึงครับ” พ่อบ้านยิ้มกว้างขึ้นโดยไม่รู้ตัว เขาเงยหน้าขึ้นตบหลังหลิงซู “คุณชายหลิงผอมลงนะครับ”

“จริงเหรอครับ” หลิงซูหมุนรอบตัวเอง เขาถามพ่อบ้านว่า “ผอมลงไปแค่ไหน เห็นชัดไหมครับ”

พ่อบ้านเอ่ยด้วยน้ำเสียงปวดใจ “จะเห็นไม่ชัดได้อย่างไรเล่าครับ หลังนี่ลูบก็เจอกระดูกแล้ว พวกคุณออกไปข้างนอกเจอเรื่องลำบากอะไรกันมาล่ะครับนี่!”

หลิงซูบอก “แย่แล้วๆ ถ้าอย่างนั้นพี่สาวผมต้องเห็นแล้วบ่นไปทั้งเดือนแน่ หูผมคงหลุดเลยล่ะ!”

“เข้าไปก่อน อย่ายืนบังประตู”

เสียงของเยวี่ยติ้งถังลอยอยู่ข้างหู หลิงซูจึงเดินเข้าบ้านตามคำบอกนั้น

พ่อบ้านยิ้ม เดินตามเข้ามาข้างใน

“อาหารเตรียมเอาไว้พร้อมแล้วครับ ทำเอาไว้ให้พอดีกับเวลาที่พวกคุณจะกลับมา เพิ่งเอาขึ้นโต๊ะเลย ยังร้อนอยู่ ซุปก็เตรียมเอาไว้สองชุด เป็นซุปยอดหน่อไม้ที่คุณชายสี่ชอบที่สุด แล้วก็มีซุปข้าวโพดกระดูกหมูที่คุณชายหลิงชอบด้วยครับ”

หลิงซูออดอ้อน “ผมก็ชอบกินซุปยอดหน่อไม้นะ ลุงทำไว้ชุดเดียวเองเหรอครับ”

“ทำไว้เยอะครับ ทำไว้เยอะ รับประทานกันพอแน่นอนครับ รับประทานกันให้พุงกางไปเลย แต่มากเกินไปก็ไม่ได้หรอกนะครับ เดี๋ยวดึกแล้วอาหารจะไม่ย่อย”

พ่อบ้านตักซุปให้พวกเขาด้วยตนเอง เมื่อเห็นหลิงซูกินอย่างตะกละตะกลาม ความรู้สึกเอ็นดูก็ยิ่งหลั่งไหลออกมา

“นี่คุณไปอยู่ข้างนอกลำบากแค่ไหนกันนี่ รับประทานช้าๆ หน่อยครับ เดี๋ยวจะสำลักเอา!”

“ก็ไม่ได้ลำบากอะไรนักหรอกครับ แค่บาดเจ็บนิดหน่อย ที่สำคัญคือกับข้าวที่นี่อร่อย ไม่ได้กินนานแล้วก็เลยคิดถึงน่ะครับ!”

หลิงซูพุ้ยข้าวโดยไม่เงยหน้า เคี้ยวกลืนๆ อย่างรวดเร็ว แม้แต่คำที่พูดออกมาก็ยังฟังดูอู้อี้ แต่ลุงโจวก็ยังได้ยินใจความสำคัญ เขาตกใจ

“ได้รับบาดเจ็บด้วยเหรอครับ บาดเจ็บจากอะไรครับนี่”

“โดนยิงน่ะครับ เหล่าเยวี่ยโดนที่แขนนัดหนึ่ง ผมโดนที่ขา”

พ่อบ้านชราสูดปาก “ผมจะไปติดต่อหมอเดี๋ยวนี้!”

“เลิกทำลุงโจวตกใจเสียทีน่า” เยวี่ยติ้งถังขมวดคิ้ว เขายกมือเป็นสัญญาณให้พ่อบ้าน “ลุงโจวนั่งก่อนเถอะครับ พวกเราแวะหาหมอระหว่างทางกลับมาแล้ว วันนี้เพิ่งจะทำแผลกันไปเอง ไม่มีอะไรร้ายแรงหรอก พรุ่งนี้ค่อยให้หมอดูใหม่ก็ไม่สาย อีกอย่างพวกเราก็เหนื่อยกันแล้ว กินข้าวเสร็จคงอาบน้ำพักผ่อนก่อน”

พ่อบ้านชรายังไม่วางใจ “เอากระสุนออกแล้วเหรอครับ”

เยวี่ยติ้งถังบอก “เอาออกแล้วครับ ลุงวางใจเถอะ หมอที่ดูแผลให้พวกเราเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนของผมเอง ฝีมือยอดเยี่ยม ไม่ด้อยไปกว่าหมอประจำสกุลเยวี่ยเลยครับ”

พ่อบ้านถอนหายใจ “คุณชายหลิงก็ผอมลงไปครึ่งตัวได้ พวกคุณอยู่ข้างนอกคงจะไปลำบากมากๆ เลยสินะครับ ช่วงนี้อยู่พักรักษาตัวที่บ้านกันก่อน ถ้าไม่มีอะไรก็อย่าออกไปเลย คืนนี้คุณชายหลิงก็พักที่นี่นะครับ”

หลิงซูกัดตะเกียบพลางเงยหน้า “ถ้าอย่างนั้นผมนอนโซฟาในห้องรับแขกก็ได้ครับ”

“โซฟาห้องรับแขกอะไรกัน! ผมเก็บกวาดห้องนอนแขกเอาไว้ให้แล้วล่ะครับ คุณนอนในห้องนอนแขกนี่ล่ะ”

หลิงซูเอ่ยอย่างใสซื่อ “แต่เมื่อกี้หัวหน้าเยวี่ยบอกว่าต้องดูพฤติกรรมของผมก่อน ถึงจะตัดสินใจว่าจะให้ผมนอนในห้องนอนแขกหรือเปล่า”

พ่อบ้านมองเยวี่ยติ้งถัง สีหน้าดูไม่เห็นด้วย

เยวี่ยติ้งถัง “…”

เจ้าหมอนี่ แม้แต่ห้องของเขาก็นอนมาแล้ว ยังจะมาแกล้งทำซื่ออีก!

แล้วลุงโจวก็ดันหลงกลอะไรแบบนี้เสียด้วยสิ!

“อยากนอนไหนก็นอนนั่นแหละ ยังต้องมาถามฉันอีกหรือไง”

พ่อบ้านยิ้มพลางเอ่ย “ดูสิครับ คุณชายสี่น่ะปากร้ายใจดี คุณสนใจแค่เรื่องนอนให้สบายก็พอครับ”

หลิงซู “ลุงโจว ผมว่าเดี๋ยวจะใช้สบู่ล้างหน้าหน่อยน่ะครับ”

พ่อบ้าน “ที่บ้านมีครับ ผมไปเอามาให้”

หลิงซู “ผมมักจะรู้สึกว่าชาดบนหน้ามันล้างไม่สะอาดทุกทีเลย”

พ่อบ้าน “คุณใช้ชาดทาหน้าทำไมกันครับ”

หลิงซูกระมิดกระเมี้ยน “ก็ตอนกลับมาเหล่าเยวี่ยให้ผมแต่งเป็นผู้หญิง แกล้งทำเป็นสามีภรรยากันกับเขา ถ้าไม่ใส่ชุดผู้หญิงก็ไม่ให้ผมขึ้นรถไฟกลับมา”

สีหน้าที่พ่อบ้านชรามองเยวี่ยติ้งถังนั้นเรียกได้ว่าดูแปลกประหลาดอย่างแท้จริง เหลือแค่ไม่ได้ถามออกมาโต้งๆ เท่านั้นว่าเขามีรสนิยมพิสดารอะไรหรือเปล่า

เยวี่ยติ้งถังไม่อยากพูดอะไรอีก

เขาคิดอยู่แล้วว่าเรื่องแต่งหญิงนี่ เจ้าคนแซ่หลิงคงไม่ยอมจบง่ายๆ

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 28 .. 65

2 of 2หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com