ทดลองอ่าน คดีลับใต้หมู่ดาว เล่ม 3 บทที่ 120-121 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน คดีลับใต้หมู่ดาว เล่ม 3 บทที่ 120-121 #นิยายวาย

2 of 2หน้าถัดไป

บทที่ 121

บางครั้งเยวี่ยติ้งถังก็รู้สึกว่าที่ที่มีหลิงซูอยู่จึงจะดูเหมือนบ้านจริงๆ

พี่สามเยวี่ยชุนเสี่ยวเข้าใจเรื่องนี้ก่อนเขาตั้งนานแล้ว ดังนั้นเธอจึงชอบให้หลิงซูอยู่กินข้าวบ้านเยวี่ยมาก

แม้จะเป็นการพูดคุยเรื่องสัพเพเหระทั่วไป คุยเรื่องดินฟ้าอากาศ คุยเรื่องที่ในสายตาของสามพี่น้องผู้ชายสกุลเยวี่ยมองว่าไม่ได้มีความหมายสำคัญอะไร

หากเทียบกับพวกเขาแล้ว หลิงซูดูเหมือนน้องชายแท้ๆ ของเยวี่ยชุนเสี่ยวมากกว่าเสียอีก

แต่คำพูดเหล่านี้เขาไม่มีทางพูดต่อหน้าเจ้าคนแซ่หลิงหรอก ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายคงมีแต่จะลำพองไปกันใหญ่น่ะสิ

“หลิงซูหนวกหูวุ่นวายขนาดนี้น่าจะรบกวนบ้านคุณน่าดู ผมจะพาเขากลับไปสั่งสอนเสียเดี๋ยวนี้”

กลับเป็นคนที่ร่วมทางมากับเขาเสียอีกที่ยืนฟังความเคลื่อนไหวข้างในด้วยสีหน้ากระวนกระวายและเอ่ยขอโทษซ้ำๆ

“ไม่เป็นไรครับ พี่เขยไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้นหรอก ถือเสียว่าเป็นบ้านตัวเองก็ได้ครับ มาครับ เชิญเข้ามาก่อน”

เยวี่ยติ้งถังพยักหน้าให้ ก่อนจะพาอีกฝ่ายเข้าบ้าน

โจวซ่าไม่แน่ใจไปชั่วขณะว่าเยวี่ยติ้งถังเกรงใจปลอมๆ หรือมีมารยาทจริงๆ

เขารู้ว่าหลิงซูทำงานกับเยวี่ยติ้งถัง และรู้ว่าทั้งคู่เป็นเพื่อนสมัยเรียนกัน แต่ต่อให้สนิทกันเพียงใดก็เป็นแค่เรื่องในอดีต โจวซ่ารับราชการ ได้เห็นความมีน้ำใจหรือความเย็นชาของคนมามากมาย คนที่ต่อหน้าเกรงใจแต่ลับหลังพูดจากระทบกระเทียบก็มีให้เห็นบ่อยครั้ง คนที่ไม่ได้มีสองหน้านั้นไม่มีทางใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นได้ แม้ว่าหลิงซูจะเป็นเพียงเลขาฯ ผู้ช่วยตัวเล็กๆ แต่ก็ต้องแบกรับความจริงที่ว่าเพื่อนสมัยเรียนซึ่งเคยพูดคุยเล่นหัวมาด้วยกัน และยืนอยู่ในระดับเดียวกันมาโดยตลอดนั้นกลายเป็นคนที่อยู่สูงกว่าตนไปแล้ว

แต่กลายเป็นว่าเมื่อครู่ตอนที่เขายืนอยู่นอกประตูและได้ยินเสียงหลิงซูเอะอะโวยวายอยู่ข้างในนั้น เขามองดูสีหน้าเยวี่ยติ้งถังแล้วก็อดกังวลไม่ได้ ในใจคิดว่าเจ้าน้องชายภรรยาคนนี้ไม่เห็นตัวเองเป็นคนนอกสำหรับสกุลเยวี่ยมากเกินไปแล้ว

เสียงหัวเราะเฮฮาค่อยๆ หยุดลงตอนที่พวกเยวี่ยติ้งถังเข้ามา

รอยยิ้มบนใบหน้าของลุงโจวยังไม่เลือนหาย ดูอารมณ์ดีอย่างเห็นได้ชัด

“คุณชายสี่กลับมาแล้ว กับข้าวเตรียมไว้พร้อม…ท่านนี้คือ…”

เขาพบว่าหลิงซูเผ่นแผล็วเตรียมจะหนีขึ้นข้างบนแล้ว

“หลิงซู!” โจวซ่าตะโกนเรียก

หลิงซูแอบถอนหายใจคิดว่าตัวเองกำลังบาดเจ็บทำให้วิ่งได้ไม่เร็วพอ จำต้องหยุดฝีเท้าจนได้

“พี่เขย”

โจวซ่าหน้าเครียด “กลับมาเมื่อไหร่ ทำไมถึงอยู่บ้านคุณเยวี่ยไม่ยอมกลับเสียที ตามพี่กลับไปซะ พี่สาวเธอบ่นถึงเธอทุกวัน หลิงเหยาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอกลับมาเซี่ยงไฮ้แล้วน่ะ!”

หลิงซูยังหาข้ออ้างดีๆ ไม่ได้ เยวี่ยติ้งถังก็พูดขึ้นเสียก่อน

“ออกไปครั้งนี้หลิงซูได้รับบาดเจ็บนิดหน่อยครับ เขาไม่อยากให้พี่หลิงเหยากังวล ผมเองแหละครับที่บอกให้เขารักษาตัวให้หายดีก่อนค่อยกลับบ้าน”

โจวซ่านิ่งงัน เขามองสำรวจหลิงซูทั่วทั้งตัว

“บาดเจ็บตรงไหน หนักหรือเปล่า ทำไมดูผอมไปตั้งเยอะ”

หลิงซูหัวเราะฮาๆ “เจ็บที่ขาน่ะพี่ ไม่ร้ายแรงอะไร พี่ก็มองออกว่าผมผอมลงใช่ไหมล่ะ งั้นพี่สาวก็คงยิ่งมองออกใหญ่เลย เพื่อชีวิตน้อยๆ ของผม พี่เขยก็อย่าเพิ่งให้ผมรีบกลับบ้านเลยนะ!”

โจวซ่ายิ้มขื่น เขามองเยวี่ยติ้งถัง อยากจะพูดแต่ก็หยุดเอาไว้ คล้ายเกรงใจที่จะพูดเรื่องในบ้านตัวเองยามอยู่ในบ้านคนอื่น

เยวี่ยติ้งถังว่า “ไหนๆ ก็มาแล้ว กินข้าวด้วยกันก่อนค่อยกลับเถอะครับ ส่วนหลิงซูก็ให้เขาอยู่ที่นี่อีกสักสองสามวัน ตอนกลางวันไปทำงานพร้อมผมก็สะดวกดี”

ฟ้าดินเท่านั้นที่รู้ว่าคุณชายใหญ่หลิงต้องไปทำงานที่ไหนกันเล่า ตอนนี้เขาอยู่บ้านกินๆ นอนๆ รอวันตายเหมือนปลาเค็ม* ทั้งวันนั่นแหละ

เหล่าเยวี่ยเอ๋ยเหล่าเยวี่ย ในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานก็ช่างมีน้ำใจเสียจริง

หลิงซูแอบยกนิ้วให้เยวี่ยติ้งถังลับหลังโจวซ่า

ขณะที่เยวี่ยติ้งถังนั้นสีหน้าเหมือนปกติ เขาทำเป็นมองไม่เห็น

เมื่ออยู่ต่อหน้าคนสกุลเยวี่ย โจวซ่าก็ดูสงวนท่าทีมาก ได้ยินดังนั้นก็รีบโบกมือ

“ไม่ล่ะๆ พวกเธอกินกันเถอะ กินกันเลย! พี่สาวของหลิงซูผัดกับข้าวรอพี่อยู่ที่บ้านแล้ว พี่ต้องรีบกลับ ไม่อย่างนั้นกับข้าวเย็นหมดแล้วเธอคงต้องเอาไปอุ่นใหม่อีกรอบ งั้นพี่ลาล่ะนะ!”

“พี่เขย!”

หลิงซูเรียกเขาเอาไว้ ก่อนหัวเราะแหะๆ แล้วก็ไม่พูดอะไร

ทว่าโจวซ่าก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังบอกใบ้ถึงอะไร

“วางใจเถอะ พี่จะไม่บอกพี่สาวเธอ แต่เธอก็รีบกลับบ้านล่ะ พี่สาวเธอคงทนได้ไม่เกินสองวันหรอก ถ้าพี่สาวเธอเห็นพิรุธขึ้นมาเราสองคนคงต้องรับกรรมที่ก่อเอาไว้กันเองแล้ว!”

เมื่อแขกดูไม่สบายใจ หากฝืนรั้งเอาไว้อีกฝ่ายก็คงจะกินข้าวไม่อร่อยเสียเปล่าๆ

เยวี่ยติ้งถังว่า “ถ้าอย่างนั้นผมไปส่งนะครับ”

โจวซ่ารีบบอก “ไม่ต้องๆ คุณอยู่ที่นี่เถอะ ผมไปเอง!”

เขาพูดพลางถอยหลังไปจนเกือบสะดุดธรณีประตูล้มอยู่แล้ว

พ่อบ้านเข้ามาประคอง ก่อนจะไปส่งโจวซ่าด้วยตนเองที่ประตูใหญ่

โจวซ่ากลัวเกรงจากใจจริง เขากลัวว่าถ้าอยู่ที่บ้านสกุลเยวี่ยนานกว่านี้อีกหน่อยคงแทบขาพันล้มลง ท่าทีที่เขามีต่อเยวี่ยติ้งถังนั้นเหมือนกับท่าทีที่มีต่อผู้บังคับบัญชาของตน หรือไม่อย่างนั้นก็ดูสุภาพกว่าท่าทีที่ปฏิบัติต่อผู้บังคับบัญชาของตนด้วยซ้ำ

คนโดดเดี่ยวเดียวดายอย่างหลิงซูต่างหากที่ดูจะสบายๆ กว่าเขามาก หากจะมีท่าทีเคารพนบนอบต่อหน้าเยวี่ยติ้งถังล่ะก็ เขาคงทำเพื่อยั่วโมโหเยวี่ยติ้งถังหรือไม่ก็แสร้งทำเพราะมีแผนการบางอย่าง…เยวี่ยติ้งถังมองโฉมหน้าที่แท้จริงของเจ้าคนแซ่หลิงออกตั้งนานแล้ว

แต่เรื่องนี้ก็เอามาเปรียบเทียบกันไม่ได้

เขาได้ยินมาว่าโจวซ่ามาจากครอบครัวเล็กๆ ในชนบท อาศัยความพยายามของตัวเองศึกษาหาความรู้ และมีคนชั้นสูงให้ความเกื้อหนุนจุนเจือ จึงได้มีตำแหน่งในสำนักงานเทศบาลนครอย่างทุกวันนี้

แม้แต่เยวี่ยติ้งถังเอง บางครั้งเขาก็ยังรู้สึกว่าการที่หลิงเหยาแต่งงานกับโจวซ่าก็คงจะรู้สึกลำบากอยู่เหมือนกัน

“อีกสองวันฉันคงต้องกลับบ้านสักรอบแล้วล่ะ”

ตอนที่กำลังกินปลากะพงนึ่งจู่ๆ หลิงซูก็พูดขึ้นมา

เยวี่ยติ้งถังมองเขา “ไม่กลัวพี่สาวแล้วเหรอ”

“ฉันก็ต้องกลับไปช่วยพี่เขยด้วยสิ ไม่เห็นเหรอเมื่อกี้เขาร้อนรนขนาดไหน แสดงว่าคงทะเลาะกับพี่สาวฉันอีกแน่ๆ!”

“พี่หลิงเหยาดูมีเหตุผลมากนะ”

ทำไมพอเป็นเขากับโจวซ่าทีไรเหมือนพี่หลิงเหยากลายเป็นยักษ์เป็นมารไปเสียทุกทีเลยล่ะ

หลิงซูถอนหายใจ “นั่นมันเวลาปฏิบัติต่อนาย นายเป็นคนนอกบ้านเธอก็ต้องมีเหตุผลอยู่แล้ว จะให้เธอแยกเขี้ยวใส่หรือไง”

มือที่เยวี่ยติ้งถังถือตะเกียบชะงักไป เขาถามเหมือนไม่ได้คิดอะไร “แล้วต้องทำยังไงถึงจะให้เธอมองฉันเป็นคนในบ้านล่ะ”

หลิงซูฟังคำถามแล้วถึงกับมึน เขาสบตาอีกฝ่าย จู่ๆ ก็นึกถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในทางลับใต้ดินคืนนั้นขึ้นมา

ณ สถานที่มืดมิด สัมผัสแนบชิด ความหวามไหวอันคลุมเครือ

ครู่ต่อมา หลิงซูก็ก้มหน้าซดน้ำซุป

“ลุงโจว ซุปนี้ดีมากเลยครับ”

เฮ้อ…ทำเป็นบื้ออีกแล้ว เยวี่ยติ้งถังหัวเราะขื่นอย่างไร้เสียงอยู่ในใจ ฉันจะคอยดูว่านายจะแกล้งทำไม่รู้เรื่องไปได้สักกี่ครั้ง

ลุงโจวหัวเราะฮาๆ บอกว่าพรุ่งนี้จะให้คนครัวต้มซุปนี้เพิ่มอีก แล้วเยวี่ยติ้งถังก็ตอบกลับว่า “ไม่ต้องรบกวนลุงโจวขนาดนั้นหรอก คืนนี้เขาจะกลับแล้ว”

ลุงโจวพูด “หา? ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้กระมังครับ”

หลิงซูทำหน้าใสซื่อไม่รู้ความ “ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้มั้ง”

เยวี่ยติ้งถังหนักแน่นไม่หวั่นไหว “พี่เขยนายกลัวภรรยาขนาดนั้น คงรับประกันได้ยากว่าจะไม่หลุดปากออกไป ถ้าพี่สาวนายรู้ว่านายกลับมาแล้วแต่ไม่ยอมกลับบ้าน สิ่งที่รออยู่ก็คงมีแต่พายุกระหน่ำเท่านั้นแหละ เจ็บยาวๆ ไม่สู้เจ็บสั้นๆ ตายช้าไม่สู้ตายเร็ว นายกลับไปก่อนให้พี่หลิงเหยาได้เห็นหน้า อีกสองสามวันอยากกลับมาใหม่ก็ไม่สาย”

หลิงซูพูดในใจว่าเขากลัวมีชีวิตกลับไปแต่ไม่มีชีวิตกลับออกมาจากบ้านน่ะสิ

เหล่าเยวี่ยโหดร้ายอำมหิตเกินไปแล้ว เมื่อกี้ที่ชมน่ะเสียเปล่าแท้ๆ

ไอ้คนขี้ใจน้อยระวังจะโชคร้ายนะ

“ลุงโจว ถ้าผมโดนพี่ลงโทษไม่ให้กินข้าว ลุงต้องมาส่งข้าวให้ผมนะครับ!”

เขาทำตัวน่าสงสาร ดูไปแล้วเหมือนนักโทษที่กำลังจะเข้าตะราง

พ่อบ้านชราเอ่ยด้วยความสงสารเอ็นดู “คุณชายหลิงวางใจเถอะครับ พรุ่งนี้ผมจะให้คนขับรถเอาข้าวไปส่งให้นะครับ”

สองคนทำอย่างกับจะจากเป็นจากตายกันอย่างนั้น เยวี่ยติ้งถังทนดูต่อไปไม่ได้จริงๆ

“ลุงโจว เดี๋ยวให้คนขับรถไปส่งเขานะ ผมกลับขึ้นห้องไปอ่านหนังสือก่อนล่ะ”

“ครับ รับทราบแล้วครับ”

พ่อบ้านชรารับคำ ระหว่างที่เยวี่ยติ้งถังเดินขึ้นชั้นบนก็พูดกับหลิงซูเบาๆ ว่า “คุณทำให้คุณชายสี่โกรธอีกแล้วเหรอครับ”

หลิงซูประท้วง “ผมจะไปกล้าทำให้เขาโกรธได้ยังไงกันเล่า เขากุมเงินเดือนผมอยู่ในมือนะ!”

พ่อบ้านชราลูบศีรษะหลิงซูเบาๆ

“คุณชายสี่น่ะตามใจคุณมาก คุณก็อย่าเล่นนักเลยครับ”

ที่จริงหลิงซูก็คิดว่าเขาควรจะกลับไปดูหลิงเหยาสักหน่อยเหมือนกัน เพราะเขาก็คิดถึงพี่สาวมาก ขอแค่หลิงเหยาไม่ด่าเขาก็พอ

อย่างไรก็ตามหลังจากพ่อแม่เสียชีวิตไป ก็เหลือเพียงแค่พวกเขาสองพี่น้องพึ่งพาอาศัยกันเอาชีวิตรอด เขาจากบ้านไปแปดปี แปดปีนี้ถ้าไม่ใช่เพราะไหล่บอบบางของหลิงเหยาคอยแบกรับภาระหนักอึ้งเอาไว้ ทั้งยังหาพี่เขยมาให้เขาคนหนึ่งด้วยล่ะก็ บางทีกว่าจะรอหลิงซูกลับมา ที่ข้างหลุมศพบิดามารดาสกุลหลิงอาจจะมีหลุมศพอีกหลุมเพิ่มขึ้นมาอีกก็ได้

แต่หนึ่งชั่วโมงให้หลังเขาก็พบว่าสิ่งที่คิดก่อนหน้าทั้งหมดล้วนแต่เป็นเรื่องเปลืองสมองทั้งนั้น

“พูดมา เธอไปภาคตะวันออกเฉียงเหนือนี่ไปขโมยไก่ลักสุนัขใครเขาหรือไงกัน ทำไมบาดเจ็บแล้วยังผอมซูบขนาดนี้!

เลิกเอาเยวี่ยติ้งถังมาอ้างสักที คนอย่างเขาจะไปกระโดดโลดเต้นไร้สาระทั้งวันอย่างเธอหรือไง แน่จริงก็ไปเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยแบบเขาสิ ถ้าอย่างนั้นน่ะพี่จะไม่ด่าเธอ!

พี่จะบอกให้นะ ครั้งนี้กลับมาก็ไม่ต้องคิดจะออกไปอีกเลย ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปเลิกงานแล้วก็ทำตัวเป็นเด็กดีกลับบ้านซะ ลูกสาวของผู้อำนวยการโรงเรียนซุนที่อยู่ข้างบ้านน่ะเขาเด็กกว่าเธอตั้งสองปี ปีนี้จะเรียนจบมัธยม วันข้างหน้าพวกเธอก็ไปเจอกันสักหน่อย ถ้าเหมาะสมกันก็ค่อยกำหนดเรื่องแต่งงาน”

“…”

“ได้ยินไหมหา!”

“เจ็บๆๆ! ปล่อย…โอ๊ย ผมเจ็บขาอีกแล้ว!”

หลิงเหยาตกใจ เธอรีบปล่อยมือที่บิดหูน้องชายอยู่ทันที

“เป็นอะไร ไหนพี่ดูซิ อาการหนักหรือเปล่า!”

หลิงซูหน้านิ่วคิ้วขมวด “โดนลูกกระสุนน่ะสิ แผลโดนยิงน่ะพี่ พี่ว่ามันอาการหนักไหมล่ะ”

“อย่ามาโกหก พวกเธอไปงานศพสกุลกวนกันไม่ใช่เหรอ ทำไมโดนยิงได้ล่ะ”

“ผมไม่ได้โกหกพี่นะ!”

หลิงซูถอนหายใจ เขารวบรัดตัดตอนแต่งเรื่องการเดินทางไปภาคตะวันออกเฉียงเหนือขึ้นใหม่ทั้งหมด และทำให้หลิงเหยาตกใจได้สำเร็จ

“แล้วขาเป็นยังไงบ้าง เราไปดูอาการกันที่โรงพยาบาลอีกทีดีไหม ขาดีๆ จะปล่อยให้เสียไปไม่ได้หรอกนะ!”

หลิงเหยาร้อนรนจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเดี๋ยวนั้น หลิงซูจึงรีบรั้งพี่สาวเอาไว้

“สกุลเยวี่ยมีหมอ เขาช่วยดูให้ผมแล้วล่ะ อีกสองวันทำแผลใหม่ก็พอ พี่ ผมคิดถึงพี่นะ ก็เลยรีบกลับบ้านมาดูพี่ไง แล้วพี่เขยล่ะ”

หลิงเหยาใจอ่อน เธอลูบศีรษะน้องชาย

“โตป่านนี้แล้วยังมาอ้อนเป็นเด็กเล็กๆ อีก! พี่เขยเธอยังไม่กลับมาเลย”

หลิงซู “…”

ถ้าอย่างนั้นพี่เขยจะรีบร้อนอย่างนั้นไปเพื่ออะไร เขากระโดดลงไปในกับดักเองงั้นเหรอ

ถ้าตัวเองต้องตายสู้ผลักให้คนอื่นตายดีกว่า

หลิงซูเลือกขายพี่เขยโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย เขาเปลี่ยนทิศความขัดแย้งทันที

“เป็นไปได้ยังไงพี่ เหล่าเยวี่ยเจอพี่เขยระหว่างทางกลับบ้าน ผมทั้งกินข้าวทั้งทำแผลที่บ้านเยวี่ยเสร็จถึงได้กลับมา เวลาระหว่างนั้นสองสามชั่วโมงได้ล่ะมั้ง แล้วพี่เขยจะยังกลับมาไม่ถึงได้ยังไง”

หลิงเหยาสีหน้าเปลี่ยนทันที เธอมีท่าทีเหมือนท้องฟ้ายามลมกระโชกแรงและฝนกำลังจะกระหน่ำ

ตอนนั้นเองก็มีเสียงไขกุญแจดังมาจากข้างนอก

ประตูถูกคนข้างนอกผลักเปิด โจวซ่าปรากฏตัวในสายตาของสองพี่น้อง

“หลิงซูกลับมาแล้วเหรอ อาเหยา ทำไมมองผมแบบนั้นล่ะ”

เมื่อเห็นท่าไม่ดี หลิงซูก็หันกายวิ่งหนี

เบื้องหลังของเขามีเสียงหลิงเหยาระเบิดขึ้นมาเหมือนภูเขาไฟระเบิด

“โจวซ่า รู้ไหมว่าตอนนี้มันกี่โมงกี่ยามแล้ว!”

หลิงซูเท้าติดล้อ รีบกลับห้องนอน

ในสามสิบหกกลยุทธ์ การหนีคืออันดับต้นๆ

ที่นอกห้องนั้นเสียงของคนสองคนเริ่มจากดังและค่อยๆ เบาลงจนค่อยๆ ฟังไม่ชัด

หลิงซูอยากจะออกไปไกล่เกลี่ย แต่เขาก็กลัวไฟสงครามลามมาถึงตัว จึงได้แต่นั่งเงี่ยหูฟังอยู่ที่ประตู ลังเลอยู่นานทีเดียวถึงค่อยวางมือลงบนลูกบิด

แต่ไม่คิดว่าประตูห้องจะถูกเปิดจากข้างนอกเสียก่อน ทำเอาเขาไม่ทันตั้งตัวล้มลงไปกับพื้น

หลิงเหยาไม่ได้ถือสาเรื่องที่เขาแอบฟัง และไม่ได้ว่ากล่าวเขาแม้สักครึ่งประโยค

ถ้าหลิงซูไม่เงยหน้าก็คงดีหรอก แต่เมื่อเงยหน้าเขาก็เห็นหลิงเหยานั่งลงที่ขอบเตียง น้ำตาเอ่อคลอ

เขาตกใจขึ้นมาทันที นี่หลิงเหยาผู้ห้าวหาญเชียวนะ

“พี่ เป็นอะไร อย่าทำให้ผมตกใจสิ! พี่เขยอาจจะมีเรื่องด่วนอะไรต้องไปทำก็ได้ ไม่ได้ตั้งใจจะกลับช้าหรอก พวกพี่ก็อย่าทะเลาะกันเลยนะ มีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจา ผมผิดเอง ผมกลัวพี่ด่าก็เลยโยนเผือกร้อนใส่พี่เขยน่ะ!”

“ไม่เกี่ยวกับเธอ!” หลิงเหยาเช็ดน้ำตาอย่างเกรี้ยวกราด “หลิงซู พี่เขยเธอมีคนอื่น”

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 29 .. 65

 

2 of 2หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com