everY
ทดลองอ่าน คดีลับใต้หมู่ดาว เล่ม 3 บทที่ 122-123 #นิยายวาย
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่
การทารุณกรรม ทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การกักขังหน่วงเหนี่ยว
การบังคับหรือโน้มน้าวให้
การฆ่าตัวตาย และการกินเนื้อเผ่าพันธุ์เดี
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 122
เรื่องราวทั้งหมดเริ่มขึ้นในช่วงไม่นานมานี้
ก่อนหลิงซูไปภาคตะวันออกเฉียงเหนือกับเยวี่ยติ้งถังเขาก็กลับบ้านสองสามวันครั้ง และอย่างมากก็กลับมากินข้าวกับนอน เขาจึงไม่ค่อยรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงที่บ้านสักเท่าใดนัก
แต่หลิงเหยารู้สึกได้ว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล
โจวซ่าทำงานที่สำนักงานเทศบาลนคร เวลาเข้างานเลิกงานนั้นแน่นอนตายตัว ทุกวันหลังจากหลิงเหยายกกับข้าวจานสุดท้ายขึ้นโต๊ะ ประมาณสิบห้านาทีสามีก็จะเปิดประตูบ้านเข้ามาแล้ว ไม่รู้ว่าตั้งแต่วันไหนที่กฎเกณฑ์นี้พลันทลายลง
โจวซ่าเริ่มกลับดึก
ถ้าเพียงครั้งหรือสองครั้งก็แล้วไปเถอะ เขาบอกว่าที่ทำงานมีปัญหาเล็กน้อย หลิงเหยาไม่สงสัยอะไร แต่หลังจากนั้นในหนึ่งสัปดาห์จะต้องมีวันที่เขากลับดึกถึงสาม สี่ ห้า หรือหกวันเสมอ
หลิงเหยาเริ่มสงสัย
เธอไม่ใช่แม่บ้านแม่เรือนที่อยู่ในโอวาทและพึ่งพิงบุรุษตลอดเวลา ช่วงเวลาที่สกุลหลิงระส่ำระสายนั้นหลิงซูยังเด็กนัก เธอคือคนที่แบกรับภาระในบ้านแต่เพียงผู้เดียว
มีครั้งหนึ่งหลิงเหยาอาศัยโอกาสที่โจวซ่ายังไม่กลับบ้านพยายามกะเวลาที่โจวซ่าใกล้เลิกงานแล้วไปรออยู่ข้างสำนักงานเทศบาลนคร รออยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง ในที่สุดโจวซ่าก็ออกมา
เขาออกมาคนเดียว ฝีเท้ารีบร้อน ข้างกายไม่มีเพื่อนร่วมงานหรือมิตรสหาย เมื่อเดินมาถึงถนนก็เรียกรถลาก ทว่าเขากลับเรียกไปยังทิศทางตรงกันข้ามกับบ้าน
หลิงเหยาอาศัยเพียงสองขาของเธอ ดังนั้นไม่นานจึงคลาดกับรถลากคันนั้นไป
เมื่อถึงครั้งที่สองเธอก็มีประสบการณ์แล้ว เธอจ้างรถลากคันหนึ่งให้รออยู่ในมุมมืดข้างนอก รอจนโจวซ่าขึ้นรถแล้วเธอก็รีบให้คนลากรถตามหลังเขาไปในระยะไม่ใกล้ไม่ไกล จนกระทั่งรถลากของโจวซ่าหยุดลงจึงค่อยหยุด จากนั้นก็ตามเขาเข้าไปในอาคารตะวันตกหลังหนึ่ง
คนบ้านนั้นดูท่าทางสนิทสนมคุ้นเคยกับโจวซ่ามาก ทั้งพูดคุยหัวเราะด้วยท่าทีเป็นมิตร
หลิงเหยามองดู อาคารในบริเวณใกล้เคียงล้วนเป็นอาคารตะวันตกทั้งสิ้น ทั้งยังมีคนต่างชาติเดินเข้าออกอีกด้วย
การพักอาศัยในเขตเช่านั้นไม่แปลก แต่การพักอาศัยเป็นเพื่อนบ้านกับคนตะวันตกที่มีสถานะสูงพอตัวได้นั้นไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปจะทำได้ ต้องมีเงินและเส้นสายรู้จักคนในเขตเช่าด้วย
“ตอนนั้นพี่ก็สงสัยอยู่แล้วเลยรออยู่ฝั่งตรงข้ามถนน รอจนฟ้ามืดถึงเห็นพี่เขยเธอออกมา เธอทายสิว่าพี่เห็นอะไร ผู้หญิงคนหนึ่งมาส่งเขา ส่งถึงประตู สองคนนั้นร่ำลากัน สีหน้าของผู้หญิงคนนั้นดูอาลัยอาวรณ์ไม่อยากจากเขามากๆ”
พูดมาถึงตรงนี้ หลิงเหยาก็แค่นหัวเราะ
“พี่กุลีกุจอกลับบ้าน กลับมาถึงก่อนพี่เขยเธอก้าวหนึ่ง พอเขาเข้าบ้านมาพี่ก็ถามเขาว่าไปไหนมา ทำไมกลับดึกขนาดนี้ เขาบอกว่าหัวหน้ามีเรื่องด่วนนิดหน่อยจึงเรียกเขาให้อยู่ต่อจนลืมเวลาไป ก็เลยกลับดึก
ตอนนั้นพี่ก็ว่าจะทะเลาะกับเขาสักยก แต่คิดไปคิดมาหลายปีมานี้เขาก็ปฏิบัติต่อพี่อย่างดีก็เลยอดทนเอาไว้ แต่ที่ไหนได้หลังจากนั้นกลับยิ่งหนักข้อขึ้นอีก จำนวนครั้งที่กลับบ้านดึกมากขึ้นทุกที เรื่องวันนี้เธอก็เห็นแล้ว พี่…”
หลิงเหยาทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอกำผ้าเช็ดหน้าร้องไห้ฮือๆ
หลิงซูตบบ่าเธอ
“พี่ วันนี้พี่อาจจะกล่าวหาพี่เขยผิดๆ จริงๆ ก็ได้ ระหว่างเวลาที่ผมเจอเขาที่บ้านเยวี่ยกับเวลาที่ผมมาถึงบ้านเนี่ยมันห่างกันไม่เกินสองชั่วโมงเลย เวลาสองชั่วโมงนี้ถ้าเขาวิ่งไปเขตเช่าแล้วยังต้องรีบกลับมาอีกมันก็อาจจะรีบร้อนเกินไป ว่ากันเรื่องเวลาแล้วน่าจะไม่ใช่นะพี่!”
หลิงเหยาเงยหน้าขึ้นทันที “แล้วจะไม่มีโอกาสที่พวกเขาจะนัดไปเจอกันที่ร้านกาแฟเลยหรือไง!”
“พี่เขยผมก็ดูไม่ใช่คนที่พยายามขนาดนั้นหรอกมั้ง”
หลิงเหยาโมโห “พี่คิดอยู่แล้วว่าผู้ชายก็คงพูดเข้าข้างผู้ชายนั่นแหละ!”
หลิงซูจนปัญญา “พี่ ผมก็คิดว่าพี่เขยคงมีเรื่องปิดบังพวกเราแน่ๆ ผู้หญิงคนนั้นมีที่มาที่ไปยังไง ตอนนี้อย่าเพิ่งไปพูดถึงดีกว่า มันคนละเรื่องกัน แต่การที่คืนนี้เขาจะไปนัดพบกับใครผมคิดว่ามันเป็นไปไม่ค่อยได้ พี่คิดดูนะ ถ้าพี่เป็นเขา เพิ่งจะออกมาจากบ้านที่น้องภรรยาอยู่ไม่เท่าไหร่ก็จะไปบ้านชู้รักแล้ว เขาไม่ได้มีรถยนต์ อย่างมากก็ต้องเรียกรถลาก อย่าว่าแต่ระยะทางไปกลับเลย ระหว่างนั้นเวลาที่เขาจะนัดพบกับคนอื่นได้มีไม่ถึงครึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ คงพูดได้แค่สองสามคำ กาแฟก็น่าจะยังร้อนจนดื่มไม่ได้อยู่เลย ผมว่าเมื่อกี้พี่เขยดูหิวมากเลยนะ เห็นได้ชัดว่าเขายังไม่ทันได้กินข้าวก็กลับมาก่อนแล้ว”
“งั้นเธอว่าเขาออกจากบ้านเยวี่ยแล้วเขาจะไปที่ไหนล่ะ”
“พี่ไม่ได้ถามพี่เขยเหรอ เขาบอกว่ายังไงบ้าง”
“เขาบอกว่าระหว่างทางเจอคนหมดสติก็เลยไปช่วย เขาพาคนนั้นไปที่ร้านน้ำชาข้างทาง พอเห็นว่าอีกฝ่ายไม่เป็นอะไรมากแล้วก็ค่อยกลับมา”
หลิงซูยิ้มพลางว่า “แบบนี้สิถึงจะเป็นนิสัยพี่เขย”
“ยังจะยิ้มอีก! ยังยิ้มออกอีกหรือไง!” หลิงเหยาโมโหทุบเตียงตุบๆ “พี่สู้อดทนลำบากรักษาบ้านหลังนี้เอาไว้นี่มันง่ายนักหรือไง! พี่เขยเธออยากให้พี่คลอดลูกสักคนอยู่นั่น แล้วคิดว่าพี่ไม่อยากเหรอ พี่เห็นว่าเขาก็ดีกับพี่ แล้วก็อยากมีทายาทให้สกุลโจวสักคน แต่…แต่พี่ไปหาหมอมาตั้งมากมายขนาดนั้น ในท้องก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงสักนิด แล้วพี่จะทำอะไรได้ล่ะ! พี่เขยเธอปากก็บอกว่าไม่เป็นไรๆ แต่ลับหลังกลับไปหานังปีศาจ!”
เธอยิ่งรู้สึกโศกเศร้ามากขึ้นทุกที เธอเปลี่ยนจากความโกรธเป็นความเศร้า น้ำตาไหลออกมาอีกครั้ง
“พี่ก็รู้ว่าเขาก็ยังติดใจกับเรื่องนี้เหมือนกัน เขาต้องคิดแน่ๆ ว่าปกติพี่เข้มงวดกับเขาจะตาย ดุก็ดุ เลยไปหาผู้หญิงอ่อนหวานข้างนอกโน่น พี่ได้ยินมาหมดแล้วว่าหัวหน้าของเขาซึ่งก็คือหัวหน้าของตึกนั้นแหละ เลี้ยงเมียน้อยเอาไว้ข้างนอกสองคน เมียเขารู้ทั้งรู้แต่ก็ทำเป็นไม่รู้…พี่น่ะคิดไม่ถึงเลย จนถึงตอนนี้พี่เขยเธอก็ยังไม่ทันก้าวหน้า ก็เริ่มจะเปลี่ยนไปเป็นคนแบบนั้นแล้ว!…น้องเล็ก เธอว่าพี่ควรทำยังไงดี ถ้าเขาไปมีผู้หญิงอื่นอยู่ข้างนอกจริงๆ พี่ควรจะทำยังไง”
“พี่…พี่ อย่าเพิ่งร้อนรน ถ้าพี่เขยทำผิดจริงผมก็ไม่ปล่อยเขาไว้แน่ อย่างมากพี่ก็แค่หย่าซะ ผมเลี้ยงพี่เอง!”
ได้ยินคำของหลิงซู หลิงเหยากลับไม่ยินดี เธอส่ายหน้า
“หย่าเหรอ เธอเคยได้ยินไหมว่าผู้หญิงดีๆ ที่ไหนจะหย่า ถ้าเป็นยุคโบราณก็เท่ากับถูกทิ้งร้างไม่ใช่หรือไง ชื่อเสียงพี่ไม่ดี ต่อไปเธอจะหาภรรยาได้ยังไงกัน”
หลิงซูถอนหายใจ “สมัยโบราณไม่ได้เรียกว่าถูกทิ้งร้าง น่าจะเป็นตกลงหย่าร้างมากกว่า อีกอย่างนะพี่ ตอนนี้มันยุคสมัยใหม่แล้ว ไม่ต้องใส่ใจกฎเกณฑ์คร่ำครึพวกนั้นแล้วล่ะ! ตอนนี้มีคนเขาหย่ากันเต็มบ้านเต็มเมือง หลายปีก่อนแม้แต่ฮ่องเต้ยังโดนทิ้งเลย พวกคุณหนูรวยๆ ขึ้นศาลแย่งมรดกกับพี่ชายหลายคน เรื่องนี้ก็วุ่นวายจนรู้กันไปทั่วเลยจริงไหม แย่งชิงสิทธิ์อันชอบธรรมของตัวเองมันจะมีอะไรน่าอายกันล่ะ ถ้าภรรยาในอนาคตของผมดูถูกพวกเราเพราะเรื่องนี้ การแต่งงานนี้จะมีประโยชน์อะไร”
หลิงเหยาสูดน้ำมูก “เธอพูดอย่างกับว่าเขาไปมีคนอื่นจริงๆ อย่างนั้นล่ะ!”
“…ผมก็แค่พูดในแง่ร้ายที่สุดให้พี่ฟังล่วงหน้าไง แย่แค่ไหนก็คงไม่มากไปกว่าหย่าแล้วล่ะ แล้วจะมีอะไรให้กังวลอีก อีกอย่างนะ พี่แต่งงานกับพี่เขยมาก็ตั้งหลายปี น่าจะเข้าใจเขาอยู่แล้ว ไม่แน่นะ ผู้หญิงคนนั้นอาจจะติดหนี้เขา หรือไม่หัวหน้าของเขาก็อาจจะวานให้เขาไปหาเธอก็ได้ ก่อนจะถามให้แน่ใจ พี่ก็อย่าเพิ่งด่วนสรุปไปมั่วๆ เลย ไม่มีความหมายหรอก”
“พี่ไม่กล้าถาม พี่กลัวว่าถามไปจะได้คำตอบที่พี่รับไม่ไหวน่ะสิ”
หลิงซูลุกขึ้น “งั้นผมไปถามเอง!”
หลิงเหยารีบรั้งน้องชายเอาไว้
“อย่าถามเลย ถ้าเขายอมรับขึ้นมาจะทำยังไง ถ้า…ถ้าหากว่า…เรากล่าวหาเขาผิดๆ ไปจริงๆ จะทำยังไง อย่าคิดว่าปกติพี่เขยเธอดูเหมือนเป็นคนใจดีแบบนั้นอย่างเดียวนะ ถ้ารู้ว่าพี่สงสัยเขาแบบนี้เขาต้องโมโหแน่!”
“แล้วพี่คิดจะทำอะไร” มุมปากของหลิงซูกระตุก เขาไม่รู้จะทำอย่างไรกับพี่สาวแท้ๆ คนนี้ดีแล้ว
หลิงเหยาคิด “เธอไปแอบสืบเขาหน่อยสิ”
“ผมเหรอ”
หลิงซูชี้ตัวเอง ไม่คิดว่าสุดท้ายภาระมันจะมาตกอยู่ที่ตัวเขาได้
“ใช่ เธอเคยไขคดีใหญ่ได้นี่ แถมตอนนี้ก็รับตำแหน่งที่กรมตำรวจประจำนครด้วย พอดีเลย เธอก็ไปสืบดูหน่อยแล้วกัน อย่าให้พี่เขยเธอรู้เข้าล่ะ สืบว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร แล้วก็ดูว่าพี่เขยเธอกับผู้หญิงคนนั้นเป็นอะไรกัน!”
หลิงซูหัวเราะเฝื่อน “พี่ ผมเป็นแค่ตำรวจตัวเล็กๆ เอง ไม่มีอำนาจอะไรเลย คงสืบไม่ได้ความอะไรหรอก อีกอย่างนะ คดีพวกนั้นมันเทียบกับเรื่องพี่เขยได้หรือไง อย่างมากก็เป็นแค่…”
คำว่า ‘เรื่องในบ้าน’ นั้นเขาไม่ได้พูดออกไป หลิงเหยาจ้องเขาเขม็ง จะร้องไห้อยู่รอมร่อ
หลิงซูยกมือสองข้างขึ้นอย่างยอมแพ้
“ผมสืบก็ได้”
แล้วจะสืบยังไงล่ะ จะเริ่มจากตรงไหนกัน
นี่แหละปัญหา
สามวันให้หลังหลิงซูก็พบว่านี่อาจจะเป็นปัญหาที่ยุ่งยากและเกี่ยวพันวุ่นวายยิ่งกว่าเรื่องเจินฉงอวิ๋นเสียอีก
ขณะเดียวกันนั้นเยวี่ยติ้งถังก็พบว่าหลิงซูเริ่มมีพฤติกรรมแปลกๆ