everY
ทดลองอ่าน คดีลับใต้หมู่ดาว เล่ม 3 บทที่ 124-125 #นิยายวาย
บทที่ 125
ตอนที่หลิงซูกลับมาถึงบ้าน หลิงเหยายังไม่นอน
เธอนั่งหลังตรงอยู่ที่โซฟา สองมืออยู่บนเข่า ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
หลิงซูคลำมุมปากกับคอเสื้อทันที
ถ้าไม่คลำดูก็คงไม่รู้สึก พอคลำดูก็เหมือนริมฝีปากจะบวมนิดๆ คอเสื้อก็ยังชื้นและยับย่นอยู่หน่อยๆ โดยเฉพาะที่หลังอาจจะยังติดคราบตะไคร่น้ำอยู่บ้างด้วยซ้ำ อีกทั้งไรผมชื้นๆ มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ปกติ
แต่หลิงเหยาไม่ได้ถาม เธอเพียงแค่มองหลิงซูแวบหนึ่งแล้วก็หลุบตาลงอีกครั้ง
“พี่เขยเธอยังไม่กลับ”
หลิงซูใจหล่นวูบ เขาไม่สนใจจะจัดระเบียบเสื้อผ้าหน้าผมตัวเองอีกต่อไป
“ดึกขนาดนี้ ทำงานล่วงเวลาหรือเปล่า”
หลิงเหยาเอ่ย “พี่โทรไปที่สำนักงานของเขา ไม่มีใครรับสาย”
ถ้าทำงานล่วงเวลาก็น่าจะมีคนรับโทรศัพท์ แบบนี้ผิดปกติแน่นอน
หลิงซูว่า “ข้างนอกฝนตก ไม่แน่ว่าเขาอาจจะมีเรื่องที่ทำให้ต้องติดฝนอยู่กลางทางก็ได้ ผมจะไปดูเขาหน่อย”
“เอาร่มไปด้วยสิ กินข้าวหรือยัง”
โชคดีที่หลิงเหยาไม่ได้ลืมถามไถ่ถึงน้องชายเสียทีเดียว เธอลุกขึ้นไปหยิบร่มให้
“กินแล้วๆ!”
หลิงซูรีบไป เพียงพริบตาก็หายลับไปที่ประตู
ยามค่ำคืนมืดมิดเมื่อฝนตกก็ยิ่งมองอะไรไม่เห็น ราวกับภาพเขียนหมึกจีนที่โดนสาดน้ำใส่ กลายเป็นภาพมัวๆ ไปหมดทั้งผืน
หลิงซูถือร่มเดินออกจากบ้าน ตรงหน้าเป็นกลิ่นบุหรี่ผสมปนเปกับกลิ่นดินโคลนชื้นแฉะ
…กลิ่นบุหรี่งั้นเหรอ
เขามองไปตามกลิ่นนั้น ที่ชายคามีคนหนึ่งยืนอยู่
ไม่ใช่โจวซ่า
“ทำไมยังไม่ไปอีก” หลิงซูประหลาดใจ
“ขอสูบมวนนี้ให้หมดก่อน”
เยวี่ยติ้งถังว่า เขาสูบเข้าไปลึกสุดลมหายใจ จากนั้นก็ทิ้งก้นบุหรี่ลงพื้นก่อนจะเหยียบให้ดับ
“ขอดับไฟร้อนอยู่ข้างนอกนี่ก่อนค่อยกลับ”
หลิงซู “…”
เขารู้สึกเหมือนเปลวไฟที่เพิ่งจะดับมอดไปเมื่อครู่กลับลุกโชนขึ้นอีกครั้งจากที่ไหนสักแห่งในตัวของเขาตามประโยคนั้นของเยวี่ยติ้งถัง
ความทรงจำย้อนกลับไปยังช่วงเวลาหนึ่ง ภาพเลือนรางนั้นเป็นคนสองคนที่เหมือนฟืนใกล้ไฟ ร้อนรุ่มแผดเผาไม่ลดละไม่หยุดยั้ง
โชคดีที่ฟ้ามืด ทำให้อีกฝ่ายก็มองไม่เห็นสีหน้าของตน
ไม่อย่างนั้นมาดของเขาคงไม่เหลือ
หลิงซูปัดชายเสื้อเหมือนมีอะไรติดทั้งที่ไม่มี
“ฉันจะไปตามหาพี่เขย”
เยวี่ยติ้งถังจึงถาม “เกิดอะไรขึ้น”
เขายังไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในสกุลหลิง หลิงซูจึงได้แต่อธิบายคร่าวๆ
“ฉันจะไปดูแถวเขตเช่าหน่อย ไม่แน่ว่าพี่เขยอาจไปที่นั่น”
เยวี่ยติ้งถังว่า “พี่เขยนายคงไม่อยู่ที่นั่นหรอก”
“ทำไมนายถึง…”
เขายังไม่ทันพูดคำว่า ‘รู้’ ก็เห็นโจวซ่าแล้ว
ฝีเท้าอีกฝ่ายรีบร้อน แม้แต่ร่มก็ไม่ได้ถือมา เดินก้มหน้าก้มตาจนมาถึงเบื้องหน้าพวกเขาถึงค่อยเห็นหลิงซู
“อาซู ทำไมมาอยู่ที่นี่ล่ะ แล้วนี่…คุณเยวี่ยเหรอ”
เยวี่ยติ้งถังพยักหน้า “สวัสดีครับ”
“สวัสดีครับ สวัสดีครับ!” โจวซ่ารู้สึกค่อนข้างเกรงใจ “เข้ามานั่งก่อนสิครับ!”
สภาพเขาดูแย่มาก เปียกม่อลอกม่อแลกไปทั้งตัว หลิงซูยื่นร่มไปอยู่เหนือศีรษะให้ แต่โจวซ่ากลับไม่รู้สึกเลย
แม้แต่เยวี่ยติ้งถังก็ยังมองออกว่าสติของเขาไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
โจวซ่าเพิ่งเสียบกุญแจเข้ารูกุญแจเท่านั้น ประตูก็เปิดออก
หลิงเหยายืนอยู่หลังประตู มองเขาด้วยสายตาเย็นชา
“ยังรู้จักบ้านหลังนี้อยู่เหรอ”
โจวซ่ายิ้มกระอักกระอ่วน “ผมมีธุระนิดหน่อย ก็เลยกลับช้าน่ะ”
หลิงเหยาหันกายเดินเข้าไปข้างใน ไม่แม้แต่จะมองเขาสักนิด
หลิงซูพึมพำ “เหมือนฉันจะได้กลิ่นสงครามโลกนะ วันนี้ฉันไปนอนบ้านนายก่อนดีกว่ามั้ง”
“การหนีไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาหรอกนะ”
เยวี่ยติ้งถังพูดอย่างใจร้ายพร้อมดันตัวอีกฝ่ายเข้าไปในบ้าน
โทสะของหลิงเหยาสะสมมาถึงระดับหนึ่งแล้ว เธอไม่สนใจเลยสักนิดว่าจะมีน้องชายกับคนนอกอยู่ที่นี่ด้วย
แล้วทั้งคู่ก็ทะเลาะกันขึ้นมาจริงๆ
จากที่โจวซ่าบอก เขาเล่าว่าระหว่างทางกลับบ้านไปพบเด็กหลงทางคนหนึ่ง เขาช่วยอีกฝ่ายตามหาบ้าน ดังนั้นจึงเสียเวลาไปมาก
แต่หลิงเหยาไม่เชื่อสักนิด
“คุณก็นับดูเองแล้วกันว่าสองเดือนมานี้คุณกลับบ้านดึกไปกี่วัน! เมื่อก่อนคุณไม่เคยกลับบ้านดึกขนาดนี้ ครั้งก่อนๆ คุณก็ไปเจอคนแก่บาดเจ็บ ครั้งก่อนหัวหน้าเรียกคุณเอาไว้ ครั้งนี้เจอเด็กหลงทาง ทำไมเรื่องราวทั้งโลกถึงมาให้คุณแบกรับเอาไว้คนเดียวล่ะ ที่พูดมานี่คุณไม่รู้สึกอายบ้างหรือไง โจวซ่า ระหว่างเรามันถึงขั้นที่ต้องเอาคำโกหกมาป้องกันตัวเองกันแล้วเหรอ”
พูดถึงตรงนี้ใบหน้าของหลิงเหยาก็ดูโศกเศร้าเหลือเกิน
โจวซ่าก็เริ่มร้อนรนขึ้นมาแล้ว “อาเหยา ฟังผมก่อนนะ ผมไม่ได้หลอกคุณจริงๆ!”
หลิงเหยาถามขึ้นมาทันควัน “ผู้หญิงที่เขตเช่าคนนั้นเป็นใคร”
โจวซ่าตะลึงงัน
หลิงเหยาเอ่ย “คุณคิดว่าเรื่องที่คุณไปพบใครที่เขตเช่าจะไม่มีคนรู้หรือไง ผู้หญิงคนนั้นเป็นบ้านเล็กของคุณหรือเปล่า”
โจวซ่ามองหลิงซูทันที
หลิงซูส่ายหน้าอย่างแรง เป็นการบอกว่าเขาไม่ได้เป็นคนสืบเรื่องนี้
โจวซ่าขมวดคิ้วถามหลิงเหยา “คุณสะกดรอยตามสืบเรื่องผมเหรอ”
หลิงเหยาหัวเราะเสียงเย็น “ทำไม โดนถามแล้วรู้สึกผิดหรือไง”
“ถ้าผมทำเรื่องละอายใจต่อคุณ ขอให้ฟ้าผ่า ไม่ได้ตายดี!”
“แล้วผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกันแน่”
โจวซ่าว่า “เธอเป็นแม่ม่าย ผมกับเธอบริสุทธิ์ใจต่อกัน ไม่มีอะไรทั้งนั้น!”
แบบนี้ก็ถือเป็นการยอมรับตัวตนของผู้หญิงคนนั้นทางอ้อมแล้ว
หลิงซูกุมขมับ
เป็นไปตามคาด หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ทะเลาะกันรุนแรงขึ้นอีก แนวโน้มของการทะเลาะดุเดือดขึ้นทุกที
หลิงซูปวดหัวกับการทะเลาะกันของสองสามีภรรยา เขารู้สึกว่าเหล้าที่ดื่มในฟลอเรนซ์เริ่มจะตีกลับขึ้นมาจากกระเพาะ จึงได้แต่ค่อยๆ ก้าวเท้ากลับห้องตนเอง
เมื่อเข้ามาในห้องแล้วจึงตระหนักว่ามีแขกไม่ได้รับเชิญมาด้วยอีกหนึ่งคน
“นายมาทำไมเนี่ย” เขาเบิกตาโพลง
“ว่าจะขอนอนบ้านนายสักคืน” เยวี่ยติ้งถังพูดเรียบๆ
เขาไม่เคยมาห้องนอนของหลิงซู จึงใช้โอกาสนี้เดินดูรอบๆ ให้เต็มที่
สภาพบ้านสกุลหลิงห่างไกลจากบ้านสกุลเยวี่ยมากนัก ห้องนอนของหลิงซูไม่ได้ตกแต่งอย่างหรูหราราคาแพงเหมือนห้องของเขา มีเพียงเตียงกับโต๊ะเขียนหนังสือ แล้วก็วางหนังสือกับเครื่องเขียนเอาไว้อย่างง่ายๆ เท่านั้น
เยวี่ยติ้งถังเปียกทั้งตัวจึงนั่งบนเตียงไม่ได้ เขาลากเก้าอี้ที่โต๊ะเขียนหนังสือมานั่งแหมะลงไป
หลิงซูรู้สึกยอมใจอีกฝ่ายจริงๆ “หัวหน้าไม่เห็นตัวเองเป็นคนนอกจริงๆ นะครับนี่”
เยวี่ยติ้งถังเอ่ย “แล้วนายเห็นฉันเป็นคนนอกหรือไง”
ประโยคนี้ทำเอาเขาหมดคำพูด
คนขับรถกลับไปนานแล้ว ตอนนี้ฝนกำลังตก บริเวณใกล้เคียงก็ไม่มีรถลาก คิดดูก็คงไม่มีทางอื่นแล้ว
หลิงซูบีบจมูกทนยอมรับความจริงข้อนี้ เขาหาผ้าขนหนูกับเสื้อผ้าแห้งสะอาดจากในตู้เสื้อผ้าอย่างยอมรับชะตากรรม
“เสื้อผ้าผมมีแต่ของถูกๆ หวังว่าหัวหน้าเยวี่ยจะไม่รังเกียจนะครับ”
เยวี่ยติ้งถังตอกกลับไปสบายๆ “ไม่เป็นไร ตัวคนฉันยังยอมรับแล้วเลย นับประสาอะไรกับเสื้อผ้า”
หลิงซูรู้สึกคันฟัน
เสียงโต้เถียงข้างนอกดังขึ้นเรื่อยๆ ทำเอาหลิงซูกลืนคำที่อยากจะโต้ตอบอีกฝ่ายกลับลงไป
การทะเลาะกันระหว่างสามีภรรยาอย่างนี้ ตัวหลิงซูที่เป็นน้องชายรู้สึกลำบากใจมาก
อย่างไรเสียความสงสัยของหลิงเหยาก็เป็นเพียงความสงสัย ยังหาหลักฐานไม่ได้ หลิงซูเองก็ยังไม่เคยเห็นผู้หญิงคนที่เธอพูดถึงเลย
แม้ว่าตอนนี้การกระทำของโจวซ่าจะน่าสงสัยอยู่บ้างจริงๆ แต่พวกเขาแต่งงานกันมาตั้งหลายปี ความดีที่โจวซ่าทำต่อหลิงเหยานั้นหลิงซูก็เห็นทั้งหมด หลิงเหยาไม่มีทายาท ในใจก็รู้สึกผิดมาตลอด หลิงซูเองก็รู้ดี
ต่อให้โจวซ่าไปมีผู้หญิงอื่นอยู่ข้างนอกจริง แต่หลิงเหยาก็ไม่คิดจะเดินไปถึงขั้นหย่าร้าง เธอเพียงแค่มาร้องไห้ระบายให้น้องชายฟังเท่านั้น หลิงซูเสนอวิธีการให้เธอ แต่เธอก็ไม่อยากใช้มัน
เรื่องในบ้านที่ยากต่อการตัดสินใจชี้ขาดแบบนี้หลิงซูรู้สึกว่าน่าปวดหัวมาก ปวดหัวยิ่งกว่าดื่มเหล้าขาวสามจินเสียอีก
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ เมื่อเยวี่ยติ้งถังเดินออกมาจากห้องอาบน้ำเขาก็เห็นหลิงซูกำลังนั่งเหม่อ
เสียงทะเลาะกันข้างนอกหายไปแล้ว ทุกอย่างเงียบกริบ
หลิงซูสีหน้าดูงุนงงเหม่อลอย เหมือนเด็กน้อยที่เจอปัญหายากจนไม่รู้จะลงมือจากตรงไหน ไม่รู้จะทำอย่างไร
ก็ดูน่ารักอยู่นิดๆ
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 31 พ.ค. 65