everY
ทดลองอ่าน คดีลับใต้หมู่ดาว เล่ม 1 บทที่ 1 #นิยายวาย
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่
และการฆาตกรรม ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 1
นิ้วเรียวยาวลูบไปป์ยาสูบที่ทำจากหยกขาวเบาๆ ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ปล่อยให้มันตกลงบนเตียง
หญิงสาวหาวหวอดแล้วลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า ก่อนจะเดินโซเซไปถึงอ่างล้างหน้า เธอบิดเปิดก๊อกน้ำอย่างเบามือ สายตาดูเรื่อยเอื่อยล่องลอย ร่างกายไร้เรี่ยวแรงปวกเปียกเหมือนเส้นบะหมี่
ข้างหลังมีการเคลื่อนไหว
หญิงสาวมองเห็นคนมาใหม่ในกระจกเงา
“มาได้ยังไงคะ” เธอค่อยๆ คลี่ยิ้ม ดูยั่วเย้าเสน่หา “พอดีเลย มาช่วยฉันเลือกกี่เพ้าหน่อยสิคะ วันนี้…”
พูดไม่ทันจบ สีหน้าในกระจกพลันแปรเปลี่ยนเป็นหวาดกลัว!
“คุณจะทำอะ…อ๊า!”
เสียงกรีดร้องที่กำลังจะออกมากลับถูกอุดเอาไว้อยู่ในลำคอ เธอพยายามดิ้นรนสุดชีวิตเพื่อตะกุยมือของอีกฝ่าย เล็บที่ปกติเธอบำรุงดูแลจนเป็นความภาคภูมิใจ ในตอนนี้กลับฉีกหักเพราะแรงจิกทึ้ง เลือดไหลออกมาจากร่องเล็บจนแยกไม่ออกว่าเป็นแผลของใครกันแน่
ทว่าสิ่งนี้ก็มีแต่จะทำให้อีกฝ่ายยิ่งตอบสนองด้วยความโหดเหี้ยมมากขึ้น
หญิงสาวอ้าปากกว้างทันที!
เธอไม่สามารถหายใจเอาอากาศที่กระหายจะกอบโกยเข้าไปได้แม้แต่น้อย และกำลังเดินไปสู่ความตายของตนเร็วยิ่งขึ้น
ใบหน้าที่ปกติจะยิ้มแย้มจนทำให้ผู้ชายทั้งหลายสติหลุดลอยได้นั้นกำลังบิดเบี้ยวอย่างรุนแรง เส้นเลือดที่หน้าผากปูดนูน ดวงตากลอกขึ้นข้างบนเล็กน้อย ณ เขตแดนแห่งสนธยาอันสลัวราง ความคิดที่วาบผ่านมาทำให้เธอตระหนักได้อย่างพรั่นพรึงว่าผ้าที่รัดอยู่บนคอตัวเองนั้นก็คือเสื้อคลุมนอนที่เธอเพิ่งจะทิ้งเอาไว้บนเตียงนั่นเอง
เธอซื้อเสื้อคลุมผ้าแพรตัวนี้มาเมื่อเดือนที่แล้ว เธอชอบมันมากจึงมักจะสวมอยู่บ่อยครั้ง
รองเท้าแตะถูกถีบออก ร่างของเธอถูกลากมาที่ห้องนอน เท้าเปล่าเปลือยทิ้งรอยชื้นบนพื้นเอาไว้สองรอย
คนที่กำลังรัดคอเธออยู่ไม่ได้มีความสงสารเห็นใจเธอแม้แต่น้อย เมื่อเห็นว่าเธอไม่มีแรงดิ้นแล้วก็ยิ่งเพิ่มแรงขึ้นอีก
สำหรับคนที่ใกล้ตาย ในขณะที่ชีวิตกำลังถูกบั่นให้สั้นลงทุกนาทีทุกวินาที
สองขาของเธอค่อยๆ…หยุดเคลื่อนไหว
ร่างของเธออ่อนปวกเปียกอยู่บนเตียง แต่ดวงตารูปเมล็ดซิ่ง กลับเบิกโพลง จ้องเขม็งไปที่เพดาน
ตายตาไม่หลับ
หย่าฉีกำลังหยิบจับเครื่องสำอางที่อยู่บนโต๊ะของตนอย่างร่าเริง
เธอลังเลอยู่นานระหว่างครีมสองยี่ห้อคือเซี่ยงไฮ้ ไวว์กับเฮซลีน แล้วก็ทนไม่ไหวเลือกเฮซลีนที่เพิ่งซื้อมาใหม่ในที่สุด
ฝาขวดของบรรจุภัณฑ์ใหม่เปิดยากอยู่บ้าง แต่กลิ่นหอมที่ลอยมาแตะจมูกเมื่อทาลงบนหน้าก็ดับความไม่พอใจของเธอได้อย่างรวดเร็ว
พอมองดูคนในกระจกแล้วหย่าฉีก็รู้สึกสดใสงดงามตามหน้าตาของตนไปด้วย
สำหรับเธอแล้ว มันก็เป็นเพียงค่ำคืนธรรมดาในบรรดาหมื่นพันคืนเท่านั้น
แต่ในคืนนี้ การมาของคนคนหนึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
“หย่าฉี คุณชายหลิงมาแล้ว เขาอยากพบเธอแน่ะ!”
หย่าฉีหันขวับไปทันทีแล้วก็หันกลับมาอย่างรวดเร็ว เธอคว้าลิปสติกของแทนจี้ ที่ยังไม่ได้เปิดและอยู่ไกลตัวเธอที่สุดมาเปิดออก บิดหมุน แล้วส่องกระจกพลางทาลงบนริมฝีปากด้วยความประณีต
นี่คือสินค้าฝรั่งที่เธอเพิ่งจะซื้อมาใหม่จากห้างหย่งอัน เธอทำใจใช้มันไม่ลงอยู่ตั้งหลายวัน
เสียงต้าปัน หัวเราะคิกคักจากด้านหลังดังใกล้เข้ามา
“ได้ยินว่าคุณชายหลิงมาแล้วดีใจขนาดนี้เลยเหรอ”
หย่าฉีเหลือบตามองในกระจก “ฉันว่าเธอดีใจกว่าฉันอีกนะ ปากจะฉีกถึงหูแล้วนั่น!”
ต้าปันเอ่ย “คุณชายหลิงทั้งรูปหล่อ พูดจาก็น่าฟัง แถมยังรู้จักเอาอกเอาใจอีก ใครจะไม่ชอบล่ะ น่าเสียดายที่เทียบกับพวกลูกคนรวยจริงๆ แล้วยังต่างกันนิดหน่อย แต่หน้าหล่อขนาดนั้นก็พอแล้ว ไม่รู้ว่าคืนนี้เขาจะซื้อเวลาพาเธอออกไปข้างนอกหรือเปล่า ถ้าเด็กกว่านี้อีกสักสิบยี่สิบปีนะ ฉันจะเกาะติดเขาเลย จะยอมออกไปกับเขาด้วยเอ้า!”
หย่าฉีเบ้ปาก เธอไม่ได้พูดอะไร มัวแต่มองพิจารณาตัวเองในกระจกให้ถี่ถ้วน
ริมฝีปากสีแดงสดทำให้ใบหน้าที่แต่งมาด้วยความประณีตดูงดงามยิ่งขึ้น คุณชายหลิงคงจะสังเกตเห็นว่าวันนี้เธอมีอะไรแปลกไป
ขณะกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ต้าปันก็เห็นเด็กสาวคนหนึ่งยืนอายๆ อยู่ข้างๆ
“มัวแต่มาอ้ำอึ้งอยู่ตรงนี้ทำไม ออกไปกับฉันสิ คุณชายหลิงพาเพื่อนมาด้วยแน่ะ พอดีเลย!”
เด็กสาวมีชื่อว่าโรส เธอเป็นสาวเต้นรำที่ฟลอเรนซ์เพิ่งรับเข้ามาทำงานเมื่อสองสามวันก่อน ยังไม่รู้กฎเกณฑ์มากนัก และยังไม่ค่อยมีประสบการณ์ด้วย
“คุณชายหลิงเป็นใครคะ เป็นลูกค้าประจำที่นี่เหรอ” เธอถามอย่างสงสัย
ทั้งสามเดินไปตามทางเดินรูปกรอบสี่เหลี่ยมที่มีแสงไฟกะพริบ รองเท้าส้นสูงกระทบพื้นจนเกิดเสียงใสดังเป็นจังหวะ
หย่าฉีไม่ได้สนใจจะตอบคำถาม ต้าปันจึงเอ่ยอีกประโยค “รีบตามมาสิ!”
โรสได้แต่รับคำแล้วพยายามทำตัวให้ชินกับความรู้สึกไม่คุ้นเคยกับรองเท้าส้นสูง
เดิมทีบ้านของเธอก็นับว่ามีฐานะพออยู่ได้ ตัวเธอกำลังเรียนมัธยมต้น ทว่าไม่กี่ปีก่อนพ่อก็ป่วยและเสียชีวิตกะทันหัน ที่บ้านขาดเสาหลัก ฟ้าถล่มภายในคืนเดียว และเพื่อจะส่งเสียน้องชายเรียน โรสจึงได้แต่เลือกมาทำงานที่ฟลอเรนซ์
คนโชคร้ายแบบนี้ในโรงเต้นรำต้าปันเห็นมามาก ยุคสมัยนี้ สิ่งที่มีไม่เคยขาดมากที่สุดก็คือคนที่ต้องใช้ชีวิตล่องลอยไร้จุดหมายอย่างไม่เต็มใจ ทว่าอย่างน้อยที่สุด การเป็นสาวเต้นรำก็มีรายได้ไม่เลว
ชื่อกึ่งจีนกึ่งฝรั่งอย่างโรส ต้าปันก็เป็นคนตั้งให้หลังจากเด็กสาวเข้ามาที่โรงเต้นรำแห่งนี้แล้ว นับว่าเป็นชื่อในวงการของเธอก็ว่าได้
บนแผ่นดินเซี่ยงไฮ้อันกว้างใหญ่นี้ แม้ฟลอเรนซ์จะไม่อาจเทียบเคียงโรงเต้นรำอย่างพวกไป่เล่อเหมิน เซียนเล่ออู๋กง ต้าปู้ฮุ่ย หรือเวียนนาได้ แต่ก็ถือว่าพอจะมีชื่อเสียงอยู่บ้าง อีกทั้งฟลอเรนซ์ยังไม่ปฏิเสธลูกค้า พวกเขารับลูกค้าระดับต่างๆ ด้วยขอบเขตกว้างทีเดียว
ไม่เหมือนอย่างพวกไป่เล่อเหมินซึ่งคนที่จะเข้าได้ต้องทั้งรวยและมีสถานะสูงส่ง ไม่ใช่ที่ซึ่งคนธรรมดาจะจับจ่ายได้ไหว
ถ้าโรสขยันสักหน่อย ภายในเวลาหนึ่งเดือนเธอก็จะมีเงินส่งเสียน้องชายเรียนได้สบายๆ และอาจจะเหลือเอาไว้จับจ่ายใช้สอยไม่น้อยอีกด้วย
โรสได้พบกับคุณชายหลิงที่ต้าปันบอกว่า ‘ทั้งรูปหล่อและพูดจาน่าฟัง’ คนนั้นอย่างรวดเร็ว
อีกฝ่ายสวมชุดแบบตะวันตกสีเทาดำ จัดแต่งทรงผมเหมือนวัยรุ่นมากมายสมัยนี้ เพียงแต่ไม่ได้ลงน้ำมัน เขาจึงดูสบายๆ และค่อนข้างสดชื่น การแต่งตัวก็ไม่ได้แปลกอะไร
โรสเคยเห็นพวกคุณชายที่ดูหรูหราไปทั้งตัว แล้วก็เคยเห็นพวกนกยูงที่ชอบแต่งตัวจนลายพร้อยยิ่งกว่านี้มาแล้ว แต่เธอก็รู้ได้ทันทีว่าหากใครสักคนหน้าตาดีพอ จะสวมชุดอะไรก็ไม่สำคัญ เพราะเขาจะสามารถสวมเสื้อผ้าธรรมดาๆ ให้ออกมาดูไม่ธรรมดาได้
บนโลกนี้มีคนมากมายที่หน้าตาขึ้นอยู่กับเสื้อผ้า แต่คนที่เสื้อผ้าขึ้นอยู่กับหน้าตาอย่างคุณชายหลิงนั้นมีเพียงหนึ่งในพัน มีน้อยเหลือเกิน
“คุณชายหลิง!”
โรสเห็นหย่าฉีโผเข้าไปเหมือนนกน้อยแสนสุข รองเท้าส้นสูงนั้นเมื่ออยู่กับเท้าของเธอก็ดูเบาหวิว
ใบหน้าของคุณชายหลิงมีรอยยิ้มเกียจคร้านประดับอยู่ “หย่าฉี ทาลิปสติกใหม่ใช่ไหม สวยกว่าครั้งที่แล้วอีกแน่ะ!”
หย่าฉีทั้งประหลาดใจทั้งยินดีดังคาด “มองออกด้วยเหรอคะ”
คุณชายหลิงเอ่ยว่า “มองเห็นตั้งแต่ไกลแล้ว ปากแดงสดเชียว แถมตัวยังไม่ทันมาก็ได้กลิ่นหอมก่อนแล้ว”
หย่าฉีพูดอย่างดีใจ “นี่เป็นลิปสติกแทนจี้ที่เพิ่งออกใหม่เลยนะคะ ทั่วทั้งเซี่ยงไฮ้มีแค่ที่ห้างหย่งอันเท่านั้น แล้วยังขายแบบจำกัดจำนวนด้วย ฉันให้คนไปต่อแถวตั้งนานแน่ะ เกือบจะซื้อมาไม่ได้แล้วล่ะค่ะ!”
เธอเดินไปกอดแขนคุณชายหลิงพลางพูดคุยกะหนุงกะหนิงกับเขา
โรสถูกต้าปันผลักให้ไปหาชายหนุ่มที่อยู่ข้างคุณชายหลิง
คนที่มาโรงเต้นรำก็มาเพื่อเต้นรำ
ท่ามกลางท่วงทำนองที่บรรเลง โรสสงวนท่าทีด้วยความขัดเขินเล็กน้อย เห็นได้ว่าเธอเก้ๆ กังๆ เมื่อขยับก้าวเต้นรำไปกับคู่เต้น
การเต้นรำดึงให้ระยะห่างของทั้งคู่เข้ามาใกล้กันอย่างรวดเร็ว แล้วเธอก็รู้จากปากของชายหนุ่มว่าคุณชายหลิงชื่อเต็มคือหลิงซู เป็นตำรวจนายหนึ่งของสถานีตำรวจเขตเจียงวัน ส่วนคนที่เต้นรำอยู่กับเธอชื่อเฉิงซือ เป็นเพื่อนร่วมงานและเพื่อนสนิทของหลิงซู
รูปร่างเฉิงซือก็นับว่าสมส่วน แต่เมื่ออยู่กับหลิงซูก็ยากจะเลี่ยงไม่ให้เปรียบเทียบกันเป็นแสงจันทร์กับประกายดาวได้
สายตาของโรสอดไม่ได้ที่จะไล่ตามแสงไฟบนฟลอร์เต้นรำไปยังเงาร่างนั้นอีกครั้ง
หลิงซูเต้นรำเก่งมาก ย่างก้าวของเขาทั้งพลิ้วไหวรวดเร็วและแข็งแกร่ง เส้นผมที่ไม่ได้ลงน้ำมันขยับพลิ้วไปตามจังหวะก้าวเดินเบาๆ
ครั้งแล้วครั้งเล่า เช่นเดียวกับหัวใจสาวน้อยของโรสที่เต้นตึกตัก เธอเลื่อนสายตาไปวางไว้ที่หางตาของอีกฝ่าย
แสงพริบวิบวาวโบยบินขึ้นเป็นสาย แล้วระเบิดกระจายทิ้งร่องรอยเอาไว้ในอกชั่วพริบตา ดอกท้อสีชาด งดงามละลานตา
“คนเราแค่หน้าตาดีมันก็ต่างออกไปแล้ว มีสาวเต้นรำมาให้ค่าขนมอีกแน่ะ!”
เสียงเฉิงซือบ่นให้ได้ยินข้างหู
โรสมองดูให้ชัดแล้วก็เห็นจริงๆ ว่าหย่าฉีเอาผ้าเช็ดหน้าห่ออะไรบางอย่างมิดชิดยัดใส่มือของหลิงซู
สมัยนี้โรงเต้นรำแบ่งเป็นระดับต่างๆ ลูกค้าที่มาโรงเต้นรำก็แบ่งเป็นระดับเช่นกัน แต่ต่อให้เป็นลูกค้าที่ใจแคบสักแค่ไหนก็ยังต้องเปิดขวดเหล้าให้สาวเต้นรำสักขวด จ่ายเงินเล็กๆ น้อยๆ บ้าง
ส่วนพวกลูกค้ามือใหญ่ใจโตก็อาจจะผลาญเงินมากๆ ในคราวเดียวอย่างการพาสาวเต้นรำออกไปเที่ยวข้างนอก หรือถึงกับเช่าห้องโรงแรมระยะยาว ซื้อห้องพัก เก็บเมียน้อยเอาไว้ในห้องแพงๆ ทว่าโรสเพิ่งจะเคยเห็นสาวเต้นรำเป็นฝ่ายให้เงินลูกค้าเป็นครั้งแรก
เธอควรจะรู้สึกตกใจ แต่เมื่อมองหลิงซูใจของเธอก็ค่อยๆ สงบลง
โรสถึงกับรู้สึกว่าเข้าใจได้เสียด้วยซ้ำ หากเป็นเธอก็ไม่แน่ว่าอาจจะ…
เพลงเต้นรำจบไปหนึ่งเพลง
หย่าฉียังอยากจะเต้นรำต่อ แต่เฉิงซือปล่อยมือโรสและเดินไปหาหลิงซูแล้ว
“นายดูเจ้าโล้นตรงนั้นสิ”
เฉิงซือใช้ข้อมือสะกิดศอกหลิงซูเบาๆ แล้วพยักพเยิดไปข้างหน้า
“ทำไมเหรอ”
“เมื่อเช้ามีคนจะเรียกรถลากแล้วไม่ทันระวังจนไปชนเจ้าโล้นนั่นเข้า เจ้าโล้นเลยอัดอีกฝ่ายไปหนึ่งยก ตอนอีกฝ่ายจากไปยังเดินกะเผลกอยู่เลย น่าสงสารมาก”
ฟังดูเหมือนอยากจะจัดการเสียอย่างนั้น
หลิงซูเอ่ย “นายสืบมาแล้วเหรอ”
เฉิงซือหัวเราะฮิๆ “เจ้าหมอนี่ดูกร่างขนาดนี้ ฉันยังคิดเลยว่าเขามีเส้นสายอะไรคอยสนับสนุนอยู่ พอสืบดูก็รู้ว่ามีน้าเป็นตำรวจระดับกลางอยู่กรมตำรวจเท่านั้นเอง เส้นของเขายังสู้นายไม่ได้เลย!”
หลิงซูหน้านิ่ง “ฉันจะไปมีเส้นสายอะไรได้ ก็แค่ตำรวจตัวเล็กๆ ทำมาหากินรอวันตายคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ต้องมาพาดพิงเลย”
“ได้ๆ ไม่พาดพิงนายก็ได้! เดี๋ยวฉันไปหาเรื่องต่อยเขาสักยกดีไหม”
หลิงซูเลิกคิ้ว ทันใดนั้นก็ยิ้มร้ายออกมา “ฉันมีวิธีที่ดีกว่านั้น”
เจ้าโล้นหวงไม่พอใจคู่เต้นของตนมาก เขาจ้องหย่าฉีที่อยู่ไม่ไกลมาสักพักแล้ว ติดที่ข้างกายอีกฝ่ายยังมีลูกค้าอยู่ และเขาก็ไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังลูกค้าคนนั้น จึงไม่กล้าบุ่มบ่ามเข้าไป
ใครๆ ก็รู้ว่าเซี่ยงไฮ้อันกว้างใหญ่นั้นเป็นที่ซึ่งมีเสือมีมังกรซ่อนตัวอยู่ หากไม่ระวังก็อาจไปกระทบกระทั่งกับคุณชายตระกูลใหญ่หรือพวกนายหน้าค้าขายกับชาวตะวันตกได้ และคนเหล่านี้ไม่ใช่คนที่เจ้าโล้นหวงจะไปแหย่ได้
เจ้าโล้นหวงหาโอกาสดักบริกรที่มาเสิร์ฟเหล้าแล้วยัดเงินไปเล็กน้อยเพื่อสอบถามสถานการณ์ของสองคนทางนั้น
เมื่อรู้ว่าเฉิงซือกับหลิงซูไม่ใช่แขกระดับสูงและไม่เหมือนคนที่มีเส้นสายใหญ่อะไร เขาจึงวางใจ แล้วเดินไปหาอีกฝ่าย
“พี่ชายแซ่อะไร ผมแซ่หวง มาคนเดียวเหรอ”
เจ้าโล้นหวงส่งบุหรี่ให้อีกฝ่ายอย่างเป็นธรรมชาติ ยื่นมือไปพลางยิ้มให้ด้วย จากประสบการณ์คร่ำหวอดในวงการของเขา วิธีนี้ได้ผลเต็มร้อย
อีกฝ่ายจะต้องถามแน่นอนว่าเขารับราชการที่ไหน แล้วเขาก็จะพูดถึงน้าของตนขึ้นมาอย่างเป็นธรรมชาติ อย่างไรอีกฝ่ายก็ต้องเห็นแก่หน้าน้าของเขาบ้าง จากนั้นสาวเต้นรำคนสวยคนนี้ก็จะเป็นของเขาในคืนนี้แน่นอน
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นกลับอยู่เหนือความคาดหมายของเขาโดยสิ้นเชิง
เฉิงซือรับบุหรี่ของเขาไป แล้วจู่ๆ ก็ร้องเอ๊ะขึ้นมา
“นี่ผมเคยเจอคุณที่ไหนหรือเปล่า”
เจ้าโล้นหวงนิ่งงัน เขาหัวเราะพลางพูด “ไม่หรอกมั้งครับ ผมรู้สึกไม่คุ้นหน้าพี่ชายเลยสักนิด”
“นึกออกแล้ว คุณคือผู้ต้องหาคดีฆ่าล้างครัวห้าศพเมื่อปีที่แล้วนี่เอง!” เฉิงซือดึงข้อศอกหลิงซู “มาดูซิ ภาพเหมือนของผู้ต้องหาเหมือนกับตัวจริงเป๊ะๆ เลยใช่ไหม”
หลิงซูมองสำรวจอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้า เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ก็เหมือนอยู่นิดๆ นะ”
เจ้าโล้นหวงพูดด้วยความโกรธ “เรื่องเหลวไหลบ้าบออะไร! ฉันแซ่หวง ชื่อซง ฟังให้ดีๆ นะ ชื่อซงจากคำว่าภูเขาสูง* ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับผู้ต้องหานั่นเลย น้าของฉันเป็นใคร พวกแกรู้หรือเปล่า!”
เฉิงซือทำสีหน้าจริงจัง “ต่อให้น้าของคุณเป็นนายกเทศบาลนครเซี่ยงไฮ้ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับการที่คุณจะทำผิดหรือไม่ผิด พวกเราเป็นตำรวจจากสถานีตำรวจเขตเจียงวัน รบกวนพี่ชายไปกับพวกเราหน่อย ถ้าสืบสวนออกมาแล้วพบว่าบริสุทธิ์ก็ต้องปล่อยตัวอยู่แล้ว”
พูดจบก็คว้าข้อมืออีกฝ่าย หยิบกุญแจมือทองเหลืองออกมาเพื่อจับกุม
เจ้าโล้นหวงทั้งตกใจทั้งโกรธ เขาไม่คิดว่าตนจะไม่ทันได้ตีสนิทอีกฝ่าย สาวเต้นรำคนสวยก็ยังไม่ทันได้จีบ กลับกลายเป็นฝ่ายหลงกลเสียเองแล้ว
“น้าฉันชื่อหวงหมิง หวงหมิงแห่งกรมตำรวจน่ะรู้จักไหม! ยังจะกล้ามาจับซี้ซั้วอีกเหรอ! ระวังเถอะเขาจะไล่พวกแกออกหมด แม่เอ๊ย พวกแกมันกล้าเกินไปแล้ว…โอ๊ย!”
หลิงซูถีบด้านหลังข้อพับเข่าของเขา
เจ้าโล้นหวงที่กำลังแยกเขี้ยวตวัดกรงเล็บจึงเสียหลักล้มลงไปด้านหน้า ทำให้ข้อมือยื่นออกไปเข้ากุญแจมือที่รออยู่พอดี เกิดเสียงดังกริ๊ก กุญแจมือทองเหลืองสัมผัสแนบกับผิวหนัง เฉิงซือยิ้มเผล่ให้เจ้าโล้นหวงที่กำลังเงยหน้ามอง
“ไปกันเถอะพี่ชาย”
เขาไม่สนใจว่าน้าของเจ้าโล้นหวงจะเป็นตำรวจสังกัดกรมตำรวจหรือเป็นนายกเทศบาลนคร พวกเขาจะควบคุมตัวเจ้าโล้นหวงไปสั่งสอนตลอดคืนอันยาวนาน หากเบื้องบนส่งคนมาก็มารับผิดชอบเท่าๆ กัน อีกฝ่ายจะมาตำหนิพวกเขาได้งั้นเหรอ
มีหรือเจ้าโล้นหวงจะยอมรับ เมื่อตัวถูกควบคุมตัวเอาไว้ปากก็ด่าทอหยาบคายไม่หยุดหย่อน
หย่าฉีกับโรสต่างตะลึงงัน แม้แต่ต้าปันก็ยังมาโน้มน้าวให้พวกเฉิงซือไว้หน้ากันสักหน่อย อย่าก่อเรื่องกันที่นี่เลย
หลิงซูหยิบขนมปังชิ้นหนึ่งมาจากด้านข้าง ก่อนจะยัดมันใส่ปากของเจ้าโล้นหวงที่กำลังอ้ากว้างด่าฉอดๆ
โลกกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
“ตอนนี้เขาเป็นผู้ต้องสงสัย ว่ากันตามกฎหมายแล้วก็ต้องให้ความร่วมมือต่อการสืบสวน ต้องสอบสวนให้แน่ชัด พวกคุณวางใจเถอะ เราไม่จับคนดีๆ ไปอย่างไม่เป็นธรรมแน่นอน”
หลิงซูพูดกับต้าปันแห่งโรงเต้นรำจบก็หันไปพูดกับเฉิงซือ “เอาล่ะ นายพาเขากลับไปก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันค่อยตามไป”
เฉิงซือถลึงตาใส่เขา “ทรยศกันนี่!”
“หย่าฉีเป็นคนที่นัดยากอย่างนี้ จู่ๆ ฉันนึกจะไปก็ไปเลยอย่างนั้นได้เหรอ ให้เราได้ใช้เวลาด้วยกันอีกสักพักหนึ่งเถอะ”
หลิงซูยิ้มให้หย่าฉี หย่าฉีก็หน้าแดงทันที
เฉิงซือคันปากเหลือเกิน เขาโน้มตัวเข้ามาใกล้แล้วลดเสียงลง “สามมื้อที่ภัตตาคารเต๋อซิง แล้วฉันจะไปเลย!”
หลิงซูไม่สบอารมณ์ “ปล้นกันหรือไง มื้อเดียว ไม่มากกว่านี้แล้ว!”
เฉิงซือพูดต่อ “สองมื้อ น้อยกว่านี้ฉันก็ไม่ไปเหมือนกัน จะคุมตัวเจ้าโล้นหวงดูนายเต้นรำอยู่นี่แหละ”
หลิงซูโบกมือเหมือนไล่แมลงวัน “สองมื้อ รีบไสหัวไป!”
เฉิงซือหัวเราะคิกคัก ไม่เสียดายแล้วที่คืนนี้ไม่ได้ใกล้ชิดกับโรสมากกว่านี้ เขาลากเจ้าโล้นหวงจากไปอย่างพึงพอใจ
“เอาล่ะ ในคืนนี้ นับตั้งแต่นี้ไปก็จะเป็นเวลาของเราแล้วนะ” หลิงซูยื่นมือให้หย่าฉีอย่างสุภาพบุรุษ “ไม่ทราบว่าหย่าฉีจะให้เกียรติผมอีกสักเพลงได้หรือเปล่า”
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งค่ะ” หย่าฉีอมยิ้ม
แต่ความสุขในคืนนี้ก็ไม่อาจอยู่กับเธอได้นานนัก
เมื่อเพลงเต้นรำดำเนินไปได้ครึ่งหนึ่ง ความวุ่นวายเล็กๆ ระลอกหนึ่งก็กระเพื่อมจากข้างนอกเข้ามาข้างใน
คนที่ออกไปรับหน้าก่อนเป็นต้าปันสองสามคน ไม่นานพวกเธอก็ต้องถอยร่นกลับเข้ามา อีกทั้งสีหน้าก็ดูไม่ดีเอาเสียเลย แต่ก็ยังฝืนยิ้มยกมุมปากขึ้น
คนที่ถูกทิ้งให้เคว้งคว้างอย่างโรสนั้นไม่ต้องพูดถึง ส่วนคนที่รับแขกอยู่ในโรงเต้นรำมาหลายปีอย่างหย่าฉี แค่ดูก็รู้แล้วว่าท่าไม่ดี
อย่างนี้แสดงว่ามีคนใหญ่คนโตมา
ไม่ใช่คนที่ชอบโอ้อวดแต่ที่จริงกลวงเปล่าอย่างเจ้าโล้นหวง ทว่าเป็นคนใหญ่คนโตที่ไปกระตุกหนวดไม่ได้จริงๆ
ลูกค้าและสาวเต้นรำมากมายไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็หลีกทางให้อีกฝ่ายโดยพร้อมเพรียง พวกเขาถอยแหวกออกเป็นสองฝั่งตามสัญชาตญาณ
คนที่อยู่หน้าสุดสองคนเป็นตำรวจฝรั่งจมูกโด่งตาลึก ถึงจะบอกว่าเป็นตำรวจฝรั่ง แต่ดูก็รู้ว่ามาจากเขตเช่า ทว่าสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของทุกคนกลับเป็นสองคนที่เดินตามหลังพวกเขามา
คนหนึ่งเป็นชาวตะวันตก อีกคนเป็นชาวจีน
ชาวตะวันตกสวมเครื่องแบบตำรวจ เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงในสำนักงานกิจการตำรวจเขตเช่าสาธารณะ
ปีนี้ทั่วเซี่ยงไฮ้ตลอดทั้งแผ่นดินจีน ชาวตะวันตกถือเป็นพวกที่จะไปมีเรื่องด้วยไม่ได้ ขอเพียงเป็นที่ซึ่งมีชาวตะวันตกปรากฏตัว เรื่องง่ายๆ ก็จะกลายเป็นเรื่องซับซ้อนยุ่งยากเสมอ
ส่วนคนจีนที่เดินเคียงบ่ามาคนนั้น…
ใบหน้าที่อยู่ใต้หมวกถูกปิดไว้ครึ่งหนึ่ง จนเกิดการประสานของแสงและเงา ภาพของเขาจึงดูเลือนรางแต่กลับดึงดูดใจคนที่มองอยู่ให้อยากค้นหาความจริงมากขึ้นไปอีก
จากนั้นเขาก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ใบหน้าทั้งหมดเผยออกมาใต้แสงไฟ
หลายคนส่งเสียงอุทานอยู่ในใจ แต่เสียงเหล่านั้นไม่นานก็ต้องเงียบลงด้วยความเกรงกลัวมาดของอีกฝ่าย ชั่วขณะนั้นพวกเขาไม่อาจแยกแยะได้อย่างชัดเจนว่าการอุทานเมื่อครู่เป็นเพราะกลิ่นอายหรือเพราะรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายกันแน่
หลิงซูกับหย่าฉีก็หยุดฝีเท้าที่กำลังเต้นรำเช่นกัน พวกเขามองดูคนพวกนั้นเดินผ่านฝูงชนมากมายมาทางตนเอง
หย่าฉีนิ่งงันไปเล็กน้อย เธอเริ่มทบทวนความทรงจำของตนว่าได้ไปล่วงเกินตำรวจฝรั่งเอาไว้หรือไม่
หลิงซูหรี่ตาลงเล็กน้อย
รองเท้าหนังเงาวับยามเหยียบย่ำบนพื้นกระเบื้องก็เกิดเป็นเสียงคล้ายกับกองกำลังนับพันนับหมื่น
หย่าฉีตื่นตระหนกจนไม่ทันสังเกตว่าสายตาของผู้ชายที่สวมเสื้อโค้ตนั้นจับจ้องอยู่ที่หลิงซูตั้งแต่ต้น
จู่ๆ หลิงซูก็หัวเราะออกมาอย่างเกียจคร้าน
“อ้าว คุณเยวี่ยนี่เอง ดูจากระดับของคุณแล้ว ทำไมถึงไม่ไปไป่เล่อเหมิน เซียนเล่ออู๋กง แต่มาที่โรงเต้นรำเล็กๆ อย่างฟลอเรนซ์นี่ล่ะครับ”
หย่าฉีสงสัยอยู่เล็กน้อย
ประโยคนี้ฟังดูเหมือนทั้งคู่รู้จักกันมาก่อน
พวกเขาอยู่ในระยะประชิด เผชิญหน้ากันตรงๆ
ขณะที่ยังไม่เข้าใจอะไรแน่ชัด หย่าฉีก็ได้ยินชายสวมเสื้อโค้ตเอ่ยว่า “ตู้อวิ้นหนิงตายแล้ว”
สีหน้าสบายๆ ไม่ใส่ใจอะไรนักของหลิงซูเปลี่ยนไปเล็กน้อย
จากนั้นนายตำรวจระดับสูงที่ยืนข้างผู้ชายคนนั้นก็เอ่ย “พวกเราสงสัยว่าฆาตกรคือคุณ”
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 15 ม.ค. 65