everY
ทดลองอ่าน คดีลับใต้หมู่ดาว เล่ม 1 บทที่ 3 #นิยายวาย
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่
และการฆาตกรรม ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 3
หลิงซูแน่ใจว่าตนถูกใส่ร้าย
แต่เขาคิดไม่ตกว่าทำไมถึงมีคนอยากจะโยนความผิดที่ฆ่าตู้อวิ้นหนิงตายมาให้เขา
เขาเป็นแค่ตำรวจตัวเล็กๆ ที่เพิ่งทำงานได้ไม่กี่ปีและมีแค่ผลงานธรรมดาๆ ไปรายงานทุกวัน ถึงเวลาก็เลิกงาน เลิกงานแล้วถ้าไม่ไปหาของกินตามตรอกซอกซอยต่างๆ ก็ไปดูงิ้ว เต้นรำไปทั่ว
ส่วนเรื่องครอบครัวของเขาก็ยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่
พ่อแม่ของหลิงซูเสียชีวิตไปนานแล้ว ไม่มีความคับแค้นชิงชังใดๆ
พี่สาวก็แต่งงาน เป็นแม่บ้านไปแล้ว
โจวซ่าพี่เขยของเขาเป็นหัวหน้าแผนกงานของเทศบาลนคร แม้ว่าจะมีเพื่อนร่วมงานคนสองคนที่รู้สึกขัดหูขัดตาพี่เขยอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงขนาดจะต้องอ้อมโลกมาทำให้โจวซ่าเสียชื่อด้วยการป้ายความผิดให้น้องชายของภรรยาอย่างเขา
หลิงซูไม่ได้พูดอะไร เยวี่ยติ้งถังก็ไม่ได้เร่งรัดเขา
ทั้งคู่เหมือนกำลังแข่งกันว่าใครจะนิ่งกว่า
หลอดไฟแบบแขวนแกว่งไกวอยู่ด้านบน ลมหนาวที่แทรกเข้ามาผ่านช่องหน้าต่างพัดวนเวียนกรีดผิวอยู่ในห้องสอบสวนเพื่อพาเอาความอบอุ่นเพียงเล็กน้อยที่มีบนร่างของคนสองสามคนในห้องไป
สำหรับเสิ่นเหรินเจี๋ยซึ่งเป็นผู้สอบปากคำนั้น…
เขาหิวจนไส้กิ่วแล้ว
ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงไม่พูดพร่ำทำเพลง จับหลิงซูโยนเข้าตะรางแล้วออกไปกินมื้อดึกตั้งนานแล้ว หลังจากนั้นก็รอให้คนที่บ้านอีกฝ่ายเอาเงินมาประกันตัว
แต่ตอนนี้เขาไม่กล้า
หนึ่ง คดีนี้ใหญ่เกินไป ส่งผลกระทบรุนแรง และสถานะของเหยื่อก็ค่อนข้างพิเศษ
สอง สมิธมาถามไถ่ด้วยตัวเอง แล้วเยวี่ยติ้งถังก็ยังจับตามองอยู่ข้างๆ
เสิ่นเหรินเจี๋ยไม่ค่อยแน่ใจเรื่องตำแหน่งของคุณเยวี่ยคนนี้นัก แต่ดูจากท่าทีของสมิธแล้ว เขาไม่ไปล่วงเกินอีกฝ่ายน่าจะดีที่สุด
“…คุณเยวี่ยครับ”
สองคนนั้นยังมีเวลามาเชือดเฉือนกันแบบไม่พูดไม่จาอีก แต่เสิ่นเหรินเจี๋ยหิวจนทนไม่ไหวแล้วจริงๆ เขาอดไม่ได้ จึงเอ่ยถามไปเสียงสั่น
เยวี่ยติ้งถังมองเขาแวบหนึ่ง “คุณไปก่อนก็ได้”
“ไม่เป็นไรครับไม่เป็นไร ต่อเลยครับ!” เสิ่นเหรินเจี๋ยหน้าตาขมขื่น เยวี่ยติ้งถังยังไม่ไปเขาจะกล้าไปได้ยังไง
เยวี่ยติ้งถังหันมาหาหลิงซู “จะปีใหม่แล้ว”
หลิงซู “…”
เยวี่ยติ้งถังเอ่ยต่อ “ฉันว่านายคงไม่อยากฉลองปีใหม่ในคุกหรอก”
“พี่สาวฉันคงหาทางมาประกันตัวฉันได้นั่นแหละ”
“คดีนี้มีความเกี่ยวโยงกับผู้มีอิทธิพล เธออาจจะประกันตัวนายออกไปไม่ได้ก็เป็นได้ ตอนนี้นายมีแต่ต้องร่วมมือกับพวกเราเท่านั้น ให้การตามความจริง ถึงจะมีทางรอด”
“ฉันสงสัยมาตลอดเลยนะว่าเป้าหมายที่นายสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องนี้คืออะไร หรือเพราะตอนนั้นตู้อวิ้นหนิงเลือกคบกับฉัน ไม่ใช่นาย”
เยวี่ยติ้งถังไม่พูดอะไร
เสิ่นเหรินเจี๋ยรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังฟังอะไรที่ไม่ควรฟังอยู่ เขารีบเงยหน้าขึ้นจ้องมองเจ้าหลอดไฟแบบแขวนที่น่าสงสาร แล้วจินตนาการให้มันเป็นน่องไก่ร้อนๆ ควันฉุยอันใหญ่
น่องไก่ที่เพิ่งออกจากเตา ถูกนึ่งจนเนื้อนุ่ม น้ำในเนื้อพุ่งออกมา ไอน้ำรวมตัวกันบนฝาหม้อด้านในจนกลายเป็นหยดน้ำและหยดลงบนเนื้อไก่อีก เพียงกัดลงไปก็เติมเต็มต่อมรับรสทั้งหมดทั้งมวลได้
แม้ว่าเสิ่นเหรินเจี๋ยจะเป็นตำรวจ แต่ที่บ้านก็ต้องรอให้ถึงเทศกาลปีใหม่เช่นนี้ก่อนจึงจะได้กินอย่างอิ่มหนำเต็มที่ โดยเฉพาะสองสามวันก่อนจะปีใหม่เช่นนี้แต่ละบ้านล้วนกำลังบูชาบรรพบุรุษ จะขาดของไหว้ไปไม่ได้ อย่าว่าแต่น่องไก่เลย แม้แต่พวกหมี่เกา* ที่ออกจากหม้อนึ่งมาใหม่ๆ…
คิดไปคิดมาสีหน้าของเขาก็ยิ่งดูเซ่อซ่า ถึงกับไม่ได้สนใจชั่วขณะว่าสองคนนั้นพูดอะไรกันไป
หลิงซูก็หิวแล้วเช่นกัน
แต่เขาไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองหลอดไฟเหมือนเสิ่นเหรินเจี๋ย เพราะต่อให้มองนานแค่ไหน หลอดไฟก็กลายเป็นน่องไก่ไม่ได้หรอก
เขารู้ว่าเยวี่ยติ้งถังกำลังรอให้เขายอมอ่อนข้อให้ เจ้าตัวปัญหานี่ไม่เคยเปลี่ยนเลยตั้งแต่อดีตจนถึงตอนนี้
หลิงซูเลือกเดินเกมเร็ว
เขาพูดว่า “ถ้าฉันน่าสงสัย งั้นหยวนปิงกับคนในคฤหาสน์สกุลหยวนก็น่าสงสัยกันหมดนั่นแหละ”
“แน่นอน คฤหาสน์สกุลหยวนถูกปิดตายไปแล้ว ห้ามทุกคนเข้าออก หยวนปิงก็ถูกจับไปแล้ว แต่ในบรรดาคนทั้งหมดนายน่าสงสัยที่สุด”
ว่าแล้วเยวี่ยติ้งถังก็ยืนขึ้น
“เสียใจด้วย คำให้การของนายไม่ได้ให้เบาะแสที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ได้ ในฐานะที่เราเป็นเพื่อนสมัยเรียนกันมา ฉันก็อยากจะช่วยนายมากนะ แต่ฉันช่วยไม่ได้จริงๆ”
เสิ่นเหรินเจี๋ยผ่อนลมหายใจ เขาลุกตามเยวี่ยติ้งถังอย่างดีอกดีใจ
ในที่สุดก็ได้กินข้าวแล้ว เขาคิดพลางดันสมุดบันทึกคำให้การออกไป
“เซ็นชื่อด้วยครับ”
หลิงซูมองผ่านๆ จากนั้นก็หยิบปากกา แล้วเงยหน้าขึ้นอีก
“คืนนี้ฉันต้องนอนในคุกเหรอ”
เยวี่ยติ้งถังมองมือของอีกฝ่ายที่ถือปากกาอยู่แล้วก็ถามกลับแทนการตอบ “ฉันจำได้ว่านายไม่ได้ถนัดซ้ายนี่”
หลิงซูยกมุมปากขึ้นอย่างเกียจคร้าน เซ็นชื่อลงไปส่งๆ “ก็เคยฝึกเล่นสนุกๆ อยู่ช่วงหนึ่ง เป็นเรื่องเมื่อหลายปีมาแล้วน่ะ คุณเพื่อนสมัยเรียน หวังว่าความผูกพันเล็กๆ น้อยๆ ของเราจะเปลี่ยนเป็นอาหารมื้อดึกให้ผมกินในคุกได้นะครับ”
ทั้งสามเดินออกจากห้องสอบสวน พวกเขาเผชิญหน้ากับหยวนปิงที่ถูกนำตัวออกมาจากห้องสอบสวนอีกห้องหนึ่ง
ตาสองคู่สบกัน ศัตรูที่ไม่อยากพบหน้ากลับต้องมาเจอกันอย่างยากที่จะหลีกเลี่ยง
จากนั้นหยวนปิงก็คำรามแล้วพุ่งเข้าหาหลิงซู!
เกิดเรื่องกะทันหันโดยที่ไม่ทันตั้งตัว คนข้างๆ จะรั้งก็รั้งเอาไว้ไม่อยู่
“ไอ้ลูกหมาเจ้าเล่ห์…”
หลิงซูยื่นเท้าออกไป
เสียงคำรามหยุดลงฉับพลัน แล้วท่าทางของหยวนปิงก็เปลี่ยนไปทันที เขากุมหน้าแข้งร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด ลงล้มคว่ำอยู่บนพื้น
“เขาเตะผม! เขาฆ่าผม! ช่วยด้วย!”
คนที่สูบฝิ่นมานานจะมีแรงพุ่งขนาดนั้นได้อย่างไร แต่แรงที่หลิงซูถีบออกไปก็ไม่เบา จากที่เยวี่ยติ้งถังเห็นนั้น ต่อให้หยวนปิงกระดูกไม่หักแต่ก็คงนับว่าบาดเจ็บหนักทีเดียว
ทว่าคนก่อเรื่องไปหลบหลังเยวี่ยติ้งถังเรียบร้อยแล้ว ทั้งยังทำหน้าเหมือนไม่เกี่ยวกับตัวเองด้วย
หยวนปิงยังร้องโอดโอยกลิ้งไปมาอยู่บนพื้น แม้แต่ถ้อยคำที่ด่าทอออกมาก็ยังพูดได้อย่างตะกุกตะกัก
เยวี่ยติ้งถังเอ่ยเสียงเย็น “พาทั้งสองคนเข้าไป”
คุณชายหยวนสถานะค่อนข้างพิเศษ ทุกคนจึงยังไม่กล้าลงมือ แต่เมื่อเยวี่ยติ้งถังพูดเช่นนี้จึงพากันดึงตัวเขาขึ้นมาทันที
“ไอ้คนแซ่หลิง ไอ้ชาติหมา แกฆ่าเมียฉันแล้วยังคิดจะป้ายความผิดให้ฉันอีก แกต้องไม่ตายดี!”
หลิงซูไม่ใส่ใจนัก “หยวนปิง ผมว่าคุณรีบๆ รับผิดเสียดีกว่านะ เดี๋ยวเข้าคุกไปไม่มีฝิ่นให้ดูดคงจะลำบากน่าดูเชียว”
หยวนปิงถูกลากไปแล้ว เสียงของเขาค่อยๆ ห่างไกลออกไป
เสียงร้องด้วยความไม่พอใจและโกรธเคืองดังก้องอยู่ในสถานีตำรวจ ทำให้เสิ่นเหรินเจี๋ยอดถอนหายใจออกมาไม่ได้
เขาเคยเห็นตู้อวิ้นหนิงจากระยะไกลครั้งหนึ่งตอนที่อีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่ ตอนนั้นตู้อวิ้นหนิงสวมกี่เพ้าสีชมพูกุ๊นขอบด้วยด้ายสีเงิน ชุดสีสดใสดาษดื่นเช่นนี้เธอกลับใส่ออกมาได้ดูงดงามชวนมอง ช่างแตกต่างจากคนทั่วไปเหลือเกิน หากมองดูทั่วทั้งหาดเซี่ยงไฮ้ก็คงพบว่าคนสวยอย่างตู้อวิ้นหนิงนั้นมีไม่มากเลย
น่าเสียดายที่คนงามชีวิตช่างแสนสั้น
และคดีนี้คงจะสั่นสะเทือนไปทั้งหาดเซี่ยงไฮ้แน่นอน
เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนเดินไปแล้วเสิ่นเหรินเจี๋ยก็ขอคำแนะนำเสียงเบา “คุณเยวี่ยครับ ที่หลิงซูบอกว่าอยากกินมื้อดึกเมื่อกี้นี้จะให้เขาหรือเปล่าครับ”
ที่จริงเรื่องนี้ไม่ต้องถึงกับให้เยวี่ยติ้งถังตัดสินใจก็ได้ แต่เมื่อครู่สมิธสบตากับเขา เสิ่นเหรินเจี๋ยจึงต้องใช้โอกาสนี้เอาใจอีกฝ่ายสักหน่อย
เยวี่ยติ้งถังเอ่ย “ถ้าเอาตามที่พวกคุณทำอยู่ประจำจะให้หรือเปล่าล่ะ”
เสิ่นเหรินเจี๋ยหัวเราะแหะๆ “คือว่า…”
เยวี่ยติ้งถังเข้าใจทันที ถ้าจะให้พูดก็คือ…ยัดเงินก็ให้ ไม่ยัดเงินก็ไม่ได้อะไรทั้งนั้น
เซี่ยงไฮ้นั้นเรียกได้ว่าเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคตะวันออกไกล เป็นแบบอย่างของสาธารณรัฐ แต่เบื้องหลังความรุ่งเรืองนี้ย่อมมีความสกปรกโสมมอยู่เช่นกัน
อย่างไรเสียราชวงศ์ชิงอันเน่าเฟะนั้นก็ห่างจากยุคนี้เพียงยี่สิบปีก่อนเท่านั้น
“อย่างนั้นก็ไม่ให้!” สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเที่ยงธรรมอย่างแรงกล้า
หลิงซูเป็นตำรวจ เขาย่อมรู้ดีว่าในคุกมีสภาพแบบไหน
ห้องปูกระเบื้อง ผนังมีรอยตะไคร่รอยแตก ดูกระดำกระด่าง
ที่ใต้ชายคามีหน้าต่างเล็กๆ บานหนึ่ง เป็นช่องทางของแสงเพียงทางเดียว ช่วงกลางวันก็จะมีแสงส่องเข้ามา แต่เมื่อถึงเวลากลางคืน ผู้คุมไม่มีทางสิ้นเปลืองเทียนไขหรือหลอดไฟไปกับนักโทษเด็ดขาด ทุกคนจะได้แต่ดมกลิ่นอากาศภายในความมืดและหลับไป
เมื่อถึงฤดูหนาวก็ยิ่งลำบาก เพราะพื้นหินทั้งเย็นเยียบทั้งขรุขระ อย่างมากก็ปูฟางเอาไว้ชั้นหนึ่ง ถ้าตอนที่เข้าคุกมาสวมเพียงเสื้อผ้าบางๆ ล่ะก็ ไม่เกินสามถึงห้าวันก็จะหนาวจนทนไม่ไหว นักโทษบางคนที่สุขภาพแย่นั้นอยู่รอถึงเวลาตัดสินโทษไม่ไหวก็มี
ร่างกายของหลิงซูนั้นอบอุ่น บนตัวเขามีเสื้อโค้ตหนาคลุมอยู่ เป็นเสื้อที่พี่สาวของเขาเพิ่งจะซื้อให้จากห้างหย่งอันเมื่อเดือนก่อน เดิมทีเขาคิดว่าจะใส่มันตอนฉลองปีใหม่ แต่คืนนี้หลิงซูออกมาเที่ยวจึงแอบสวมมาโดยไม่ให้พี่สาวรู้ ไม่คิดเลยว่าจะได้มาใช้ในสถานการณ์แบบนี้
หนาวเหน็บ ชื้นแฉะ มืดสลัว คือภาพจำทั้งหมดที่หลิงซูมีต่อคุก
ไม่ว่าจะเป็นคุกที่ไหนต่างก็มีส่วนที่เหมือนกัน จุดที่แตกต่างมีเพียงเล็กน้อย
ในความมืดมิดนั้นมีเสียงน้ำหยดเบาๆ กับเสียงพึมพำของตัวเองลอยมาให้ได้ยินอย่างเลือนราง จากทั้งไกลและใกล้ บางครั้งก็ได้ยิน บางครั้งก็ไม่ได้ยิน มันสามารถดึงเอาความหวาดกลัวในใจลึกๆ ของคนออกมาได้อย่างง่ายดาย
แหล่งที่มาของแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวมาจากหลอดไฟที่แขวนเอาไว้ต่ำมากบนเพดานปูกระเบื้อง แสงอันอ่อนแรงนั้นไม่แม้แต่จะก่อให้เกิดความอบอุ่น ทั้งยังสะท้อนให้แสงและเงาที่เชื่อมต่อกันยิ่งดูสลัวรางยากจะคาดเดาขึ้นไปอีก
เขายืนอยู่ที่ประตูห้องขัง กลิ่นเหม็นของปัสสาวะและอากาศชื้นที่ปะทะใบหน้าทำให้เขารู้สึกลังเล
ผู้คุมที่อยู่ด้านหลังผลักแรงๆ อย่างไม่ใส่ใจให้เขาเข้าไปข้างใน
เกิดเสียงดังเคร้ง แล้วประตูห้องขังก็ปิดลงอีกครั้ง
“ทำตัวดีๆ หน่อย!”
หลังจากทิ้งคำเตือนที่ไม่ได้รุนแรงอะไรนักเอาไว้แล้ว ผู้คุมก็เดินจากไป
ในห้องขังเป็นโลกอีกหนึ่งใบ รอบด้านมืดมิด เสียงลมหายใจหยาบกระด้างไม่ได้มีเพียงหนึ่ง เขาฟังออกว่าในห้องขังนี้อย่างน้อยคงมีอีกห้าหกคน
การอยู่ในที่สว่างแล้วมาอยู่ในความมืดมิดอย่างกะทันหันทำให้ดวงตาของเขายังไม่คุ้นชิน หลิงซูจึงเห็นรอบด้านไม่ชัดเจนนัก แต่คนที่อยู่ในนี้แต่เดิมกลับอาศัยแสงสว่างเพียงเล็กน้อยจากนอกหน้าต่างมองสำรวจเขาได้อย่างละเอียด
คนหนุ่มผิวบอบบาง ตัวสูงมากทีเดียวแต่ก็ไม่นับว่าบึกบึนนัก มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นคุณชายใจกว้างที่ปกติไม่เคยต้องลำบากอะไร
คนแบบนี้เข้ามาในคุกก็ไม่ต่างอะไรกับแกะเข้ามาในฝูงหมาป่า เป็นเป้าเดินได้ เป็นหิ่งห้อยในคืนมืดมิด เหลือแค่ไม่ได้เขียนเอาไว้บนหน้าว่ามารังแกฉันเร็ว มากรีดเนื้อเถือหนังฉันเร็ว
ดวงตาในความมืดพวกนั้นไม่ได้ละไปจากส่วนไหนบนตัวเขาเลย โดยเฉพาะเสื้อโค้ตขนแกะที่ห่อตัวเขาเอาไว้อย่างแน่นหนา
หลิงซูไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่นิด
เขารู้ดี สัตว์ป่ามักจะต้องแน่ใจในจุดอ่อนของเหยื่อเสียก่อนถึงจะลงมือ ขอเพียงเขาขยับตัวเล็กน้อย ดวงตานับไม่ถ้วนในความมืดนั้นก็จะมองจุดอ่อนของเขาออกทันที
ปีนี้คนที่ถูกจับมาขังคุกไม่ได้มีเพียงแค่ผู้ต้องสงสัยอย่างเขากับหยวนปิง
ตั้งแต่สมาชิกสมาคมชิงปัง พวกที่คิดแค่จะหนีตาย พวกหลอกลวงต้มตุ๋น ไปจนถึงฆ่าคนวางเพลิง คนอ่อนแอและคนถูกรังแกได้ง่ายจะทนอยู่ที่นี่ได้ไม่กี่วัน มีแต่คนที่โหดเหี้ยม ลื่นไหล และเชี่ยวชาญเท่านั้นถึงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้
ลมหนาวหอบหนึ่งพัดมา ทำให้เขารู้สึกคันจมูกเล็กน้อย
หลิงซูอดทนแต่ทนไม่ไหว เขาอ้าปากแล้วก้มหน้าจากนั้นก็จามเบาๆ ขณะที่เขากำลังจะยกมือขึ้นถูจมูกนั่นเอง จู่ๆ ก็มีมือข้างหนึ่งวางบนบ่า
หลิงซูยังไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบสนอง ทั้งร่างก็ถูกผลักอย่างแรงไปทางประตูเหล็ก!
เสียงเคร้งดังสนั่น ประตูเหล็กด้านหลังของเขาถูกชนจนสั่นไหว เสียงนั้นดังสะท้อนไปทั่วคุกอันโล่งกว้างสะท้านสะเทือนจนแสบหู
เขาได้ยินเสียงฝีเท้าของผู้คุมวิ่งมาจากที่ไกลๆ แต่ฝีเท้านั้นก็หันกลับไปอย่างรวดเร็วก่อนเงียบหายไป
ปกติแล้วในสถานที่แบบนี้ขอแค่ไม่เอาถึงตายก็ไม่มีใครมายุ่มย่าม หรือต่อให้เอาถึงตาย ขอเพียงคนที่ตายไม่ได้มีสถานะหรือเบื้องลึกเบื้องหลังที่ใหญ่เกินไปนัก ก็อาจไม่ได้ส่งผลตามมาอย่างหนักหนาสาหัสเสมอไป
ในกลียุคชีวิตคนก็เหมือนต้นไม้ใบหญ้า แม้จะอยู่ในเมืองที่เจริญที่สุดแห่งภูมิภาคตะวันออกไกลก็ไม่ได้ต่างกัน
คาดการณ์เอาไว้ได้เลยว่าสิ่งที่รอต้อนรับเขาอยู่ต้องเป็นค่ำคืนอันโหดร้ายอย่างแน่นอน
เขาแค่อยากกินมื้อดึกเท่านั้น ทำไมถึงยากเย็นขนาดนี้
หลิงซูรู้สึกเศร้าเหลือเกิน
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 20 ม.ค. 65