everY
ทดลองอ่าน คดีลับใต้หมู่ดาว เล่ม 1 บทที่ 4 #นิยายวาย
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่
และการฆาตกรรม ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 4
ตอนที่รถยนต์คันเล็กจอดหน้าประตูคฤหาสน์สกุลเยวี่ย เข็มนาฬิกาพกของเขาก็หยุดที่เวลาเที่ยงคืนพอดี
คนขับรถวิ่งเหยาะๆ มาเปิดประตูรถ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเย็นที่แก้มขวา พอเอามือลูบ เยวี่ยติ้งถังถึงรู้ว่ามันคือน้ำจากหิมะ
เมื่อไฟหน้ารถส่องอยู่เช่นนี้ก็จะเห็นหิมะเกล็ดเล็กละเอียดอย่างชัดเจน บางครั้งก็จะมีลมพัดมาเล็กน้อย พัดเกล็ดหิมะเหล่านั้นเข้าไปในคอเสื้อ คนขับรถย่นคอทันทีพลางบ่นเบาๆ “ทำไมหิมะยังตกอยู่ล่ะ”
ทว่าเมื่อก้าวเข้าประตูใหญ่ไปก็อบอุ่นแล้ว ลมอุ่นมากระทบใบหน้า แทรกด้วยกลิ่นหอมระลอกหนึ่ง ชั่วขณะที่ความหนาวและความร้อนปะทะกันทำให้รู้สึกคันจมูก คนขับรถอดก้มลงจามไม่ได้
“น้องเล็ก!”
ร่างของสาวงามคนหนึ่งกำลังเดินลงมาจากชั้นสอง ทั้งที่เธอน่าจะเดินค่อนข้างลำบากเพราะสวมรองเท้าส้นเข็มกับชุดกี่เพ้า แต่กลับวิ่งมาได้คล่องแคล่วเหมือนลมพัด
เยวี่ยติ้งถังไม่จำเป็นต้องมองหน้าอีกฝ่ายเขาก็เอ่ยออกมาได้ทันที “พี่สาม ทำไมกลับมาได้ล่ะครับ”
เยวี่ยชุนเสี่ยวหัวเราะคิก “ทำไม ไม่อยากเจอพี่เหรอ พี่เขยของเธอกลับมากับท่านทูตน่ะ แต่พี่ไม่อยากไปหนานจิงก็เลยกลับมาบ้านเลย”
“หนานจิงมีคุณนายเจี่ยงอยู่ก็คงมีงานเลี้ยงงานเต้นรำทุกวัน งานพวกนั้นน่ะพี่ชอบที่สุดเลยไม่ใช่หรือไง”
เยวี่ยชุนเสี่ยวเบ้ปาก “พี่ชอบไปเปิดหูเปิดตา ไม่ได้ชอบไปทรมานคอยก้มหัวพินอบพิเทาทุกวี่วันนะ ถ้าไม่ไปหนานจิงก็ไม่รู้ว่าใครสูงใครต่ำ พวกญาติเชื้อพระวงศ์มากมายขนาดนั้น พี่ไม่สนใจจะไปรับใช้หรือไปคบค้าสมาคมหรอกนะ กลับบ้านมายังจะสบายใจกว่าอีก แถมคนพวกนั้นคิดว่าการไปต่างประเทศเป็นเรื่องน่ารื่นรมย์ จะต้องถามโน่นถามนี่แน่ๆ คิดว่าพี่เขยของเธอต้องควักเนื้อตัวเองตั้งเท่าไหร่ล่ะ!”
เยวี่ยติ้งถังพยักหน้า “พี่นี่ยังเจ้าอารมณ์เหมือนเดิมเลยนะ”
เยวี่ยชุนเสี่ยวทำท่าจะตี น้องชายจึงหลบหลีกอย่างรวดเร็ว มือของเธอฟาดมาถึงกลางทางก็เปลี่ยนจากทั้งฝ่ามือเป็นสองนิ้วแล้วบิดหูน้องแทน
เยวี่ยติ้งถังร้องซี้ด “เบาหน่อยพี่!”
“จะยอมไม่ยอม”
“กราบกับพื้นเลยครับ”
เยวี่ยชุนเสี่ยวปล่อยมือด้วยความพอใจ “พี่ห่อเกี๊ยวเอาไว้ ทำบะหมี่เอาไว้ด้วย อยากกินอะไรล่ะ เกี๊ยวน้ำหรือบะหมี่คลุกน้ำมันหอม”
“บะหมี่คลุกน้ำมันหอม”
เยวี่ยชุนเสี่ยวพูดด้วยน้ำเสียงติดรำคาญ “ยังชอบกินเหมือนเดิมเลยนะ ตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยเปลี่ยน”
ว่าแล้วก็เดินไปเตรียมอาหารให้อย่างอารมณ์ดี
บะหมี่คลุกน้ำมันหอมนั้นทำได้เร็วมาก รอน้ำมันหอมในหม้อร้อนจนกระทั่งต้นหอมเปลี่ยนสี จากนั้นก็ต้มเส้นบะหมี่ให้สุกแล้วยกขึ้นมา เท่านี้ก็เอาน้ำมันหอมร้อนๆ ราดลงไปได้เลย
บะหมี่คลุกจานหนึ่งกลายเป็นความโหยหาของคนส่วนใหญ่ในเมืองนี้ ตั้งแต่เจ้าหน้าที่รัฐใหญ่โตลงไปถึงสามัญชนคนธรรมดาล้วนไม่มีข้อยกเว้น
เยวี่ยชุนเสี่ยวไม่ได้ทำเพียงแค่บะหมี่คลุกน้ำมันหอมเท่านั้น บนโต๊ะยังมีเซียงกูเนี่ยง กับเสี่ยวทังเปา วางเอาไว้ด้วย ซึ่งสองอย่างนี้ไม่ใช่อาหารที่จะทำออกมาได้ในระยะเวลาอันสั้นเลย
เยวี่ยติ้งถังยกมุมปากขึ้น “มื้อดึกที่บอกไว้นี่ไม่กลัวผมท้องแตกเลยนะ”
เยวี่ยชุนเสี่ยวไม่ขอแรงจากคนรับใช้ เธอยกบะหมี่คลุกน้ำมันหอมมาเสิร์ฟด้วยตัวเองก่อนจะวางไว้ตรงหน้าน้องชาย
“พี่คิดว่าพี่รองของเธอจะกลับมากินน่ะ ที่ไหนได้เขาดันมีธุระกะทันหันไปเป่ยผิง โน่นแล้ว” เยวี่ยชุนเสี่ยวนั่งลงตรงข้าม เธอถอนหายใจ “ยังไงบ้านเราก็ดีที่สุด พี่มองไปตรงไหนก็สบายตา ขนาดตู้ที่ประตูหายไปในห้องยังดูดีกว่าข้างนอกเลย”
เยวี่ยติ้งถังก้มหน้ากินบะหมี่สองสามคำแล้วก็หัวเราะพลางว่า “ไปเจอเรื่องอะไรมาอีกล่ะ พี่ถึงได้ถอนหายใจแบบนั้น เมื่อก่อนพี่ชอบบอกว่าประเทศทางตะวันตกดีกว่าสถานที่ของบรรพบุรุษไม่ใช่เหรอ ทั้งก้าวหน้าทั้งสวยงาม มีตึกสูงระฟ้า มีอารยธรรม พี่พูดไว้แบบนี้ไม่ใช่หรือไง”
เยวี่ยชุนเสี่ยวกลอกตาใส่เขา “เมื่อก่อนพี่ไปเรียนหนังสือ ไปเรียนกับไปอยู่ที่นั่นเลยมันเหมือนกันหรือไง เธอก็ได้แต่พูดจาแดกดันพี่อยู่ที่นี่แหละ เธอน่ะควรไปเห็นกับตาตัวเองจริงๆ นะ คนที่รู้ก็จะบอกว่าที่นั่นน่ะคือสถานทูต ส่วนคนที่ไม่รู้คงจะคิดว่าเป็นบ้านผีสิงที่ถูกทิ้งร้างมานานมากกว่า!”
เยวี่ยติ้งถังประหลาดใจ “ยังไงพวกพี่ก็เป็นหน้าเป็นตาของประเทศ รัฐบาลหนานจิงจะไม่ให้ทุนสักหน่อยหรือไง”
เยวี่ยชุนเสี่ยวหัวเราะขื่น “เป็นหน้าเป็นตางั้นเหรอ จริงๆ แล้วเมืองหนานจิงควรให้เงินเดือนพวกพี่เขยเธอด้วยซ้ำ แต่เขาติดค้างมาตั้งแต่ครึ่งปีแรกจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้ให้เลย คนที่ครอบครัวมีฐานะอยู่บ้างอย่างพวกเราก็ยังพอจะมีเงินหมุนเวียนใช้ได้บ้าง แต่บางคนครอบครัวยากจนหน่อย แม้แต่เสื้อผ้าฤดูหนาวยังซื้อไม่ไหวด้วยซ้ำ! ไหนจะค่าซ่อมแซมสถานทูตอีก ทุกครั้งที่ฝนตกเพดานก็จะมีน้ำรั่ว ห้องทำงานของพี่เขยเธอนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง หน้าต่างก็พังปิดไม่ได้ เวลาฝนตกก็สาดเข้ามาข้างในทำให้พื้นข้างหน้าต่างชื้นไปหมด นานวันเข้าก็คงจะขึ้นรา เรื่องจะเปลี่ยนที่น่ะ…ขนาดเงินเดือนยังติดค้างพวกเราเลย แล้วจะเอาเงินที่ไหนมาย้ายสถานทูตล่ะ”
ตอนแรกมือที่คีบเส้นบะหมี่นั้นไม่มีท่าทีจะหยุดนิ่ง แต่สักพักความเร็วก็ค่อยๆ ลดลง
ความเงียบไหลผ่านระหว่างคนสองคน
“อย่างนั้นทางหนานจิงว่ายังไงบ้างล่ะพี่ ท่านทูตเฉินส่งโทรเลขมาหรือเปล่า”
“ส่งมาแล้ว ส่งอยู่หลายวันเลยล่ะ ทั้งเร่งเงินเดือน เร่งเรื่องค่าใช้จ่าย ทางหนานจิงก็บอกแต่ว่าลำบากๆ ให้พวกเขาหาเงินกันเอาเอง พี่ว่านะ ไอ้รัฐมนตรีต่างประเทศตูดหมานี่น่ะเป็นก็เหมือนไม่เป็น! ที่มีหน้ามีตาเนี่ยก็แย่งชิงมาเองทั้งนั้น คนอื่นไม่ได้มอบหมายให้ แม้แต่เรื่องเป็นหน้าเป็นตาของประเทศชาติตัวเองยังไม่สนใจเลย แล้วพวกพี่เขยเธอจะไปลำบากลำบนอยู่ต่างประเทศทำไมกันล่ะ!”
“…”
“เธอไม่รู้อะไร ก่อนพวกเราจะกลับมาท่านทูตอังกฤษจัดงานเต้นรำ พี่เขยเธอก็พาพี่ไป ตอนนั้นอัครราชทูตที่ปรึกษาของฝรั่งเศสคนนั้นถามพี่เขยเธอต่อหน้าเลขาฯ และอัครราชทูตที่ปรึกษาของประเทศอื่นๆ ว่าได้ยินว่าข้างนอกฝนหยุดตกแล้วแต่มีแค่ประเทศจีนประเทศเดียวเท่านั้นที่ในสถานทูตยังมีฝนตกไม่หยุด ถือว่าเป็นปรากฏการณ์เลยทีเดียว เป็นความจริงไหม”
เธอมีแต่ความคับแค้นแน่นอก ไม่ได้ภาคภูมิใจในความสำเร็จอย่างยิ่งยวดเหมือนก่อนจะออกไปอยู่ต่างประเทศเลย
เยวี่ยติ้งถังเอ่ยถาม “แล้วพี่เขยตอบว่าอะไรครับ”
“พี่เขยเธอบอกว่าตอนนี้โลกยังไม่สงบนิ่ง พวกเราชาวจีนชอบนึกถึงอันตรายในยามสงบ มักคอยเตือนตนเองอยู่เสมอว่าไม่อาจลืมความยากลำบาก แบบนี้ถึงจะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนได้”
เยวี่ยติ้งถังยิ้มพลางว่า “คำตอบนี้ไม่เลวเลยนะครับ”
เยวี่ยชุนเสี่ยวพูดด้วยความโมโห “ยังจะมายิ้มอีก! ถ้าพี่เขยของเธอเป็นคนของสถานทูตอเมริกาหรืออังกฤษล่ะก็ อีกฝ่ายจะกล้ามาล้อเล่นแบบนี้หรือไง!”
“จริงๆ คำพูดประชดประชันแบบนี้ก็พูดในสถานการณ์ที่ไม่เป็นทางการเท่าไหร่อยู่แล้ว แถมยังมีปัญหาทั้งภายนอกภายในแบบนี้ จะโกรธที่คนอื่นมาดูถูกเราก็คงไม่ได้หรอกครับ”
“เพราะอย่างนั้นพี่ถึงไม่มีทางไปหนานจิงเด็ดขาดยังไงล่ะ พวกพี่เขยเธอไปลำบากลำบนอยู่ข้างนอก กินไม่อิ่มตัวไม่อุ่น แต่พวกที่หนานจิงกลับใช้ชีวิตหรูหราฟู่ฟ่ากันทั้งวี่ทั้งวัน พี่กลัวว่าไปแล้วจะอดไม่ไหว ไปตบโต๊ะด่าใครเข้าน่ะสิ เดี๋ยวจะทำให้เส้นทางอาชีพของพี่เขยเธอไม่ราบรื่นเสียเปล่าๆ สู้อยู่บ้านสบายๆ ดีกว่า จะได้ออกไปช็อปปิ้งเจอเพื่อนเก่าบ้าง”
เธอบ่นโน่นนี่ออกมามากมาย แต่เยวี่ยติ้งถังก็ทนฟังจนจบ เพราะถ้าสองสามีภรรยาต้องไปต่างประเทศอีก พวกเขาทั้งครอบครัวก็ไม่รู้ว่าปีไหนเดือนไหนถึงจะได้พบหน้ากันอีกครั้ง
“อ้อ ใช่” เยวี่ยชุนเสี่ยวใช้ตะเกียบจิ้มเสี่ยวทังเปาจนแตก น้ำซุปไหลออกมา กลิ่นหอมลอยไปทั่ว “วันนี้พี่ไปดื่มชาตอนบ่าย เจอหลิงเหยาด้วย เธอจำได้ใช่ไหม พี่สาวของเพื่อนที่เรียนโรงเรียนเดียวกับเธอ คนที่ชื่อหลิงซูน่ะ”
เยวี่ยติ้งถังที่กำลังยกชามขึ้นดื่มน้ำซุปชะงัก
“เธอทำไมเหรอพี่”
“ก็ไม่ทำไมหรอก แต่พี่กลับมาคราวนี้ก็เพิ่งรู้ว่าเธอแต่งงานกับหัวหน้าแผนกของเทศบาลนครตัวเล็กๆ คนหนึ่ง คนเรานี่ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนเลยนะ โชคชะตาก็เป็นอย่างนี้ จิๆ เมื่อก่อนสกุลหลิงยิ่งใหญ่มีหน้ามีตา ตอนนี้กลับตกต่ำซะแล้ว เธอยังคิดจะรักษาภาพลักษณ์คุณนายผู้ร่ำรวยต่อหน้าพี่อีกแน่ะ ถึงได้โดนพี่ฉีกหน้าอย่างไม่ปรานีไป”
“ผมจำได้ว่าเมื่อก่อนพวกพี่ก็ดีต่อกันมากเลยไม่ใช่เหรอ”
เยวี่ยชุนเสี่ยวหัวเราะ “เธอน่ะไม่เข้าใจผู้หญิงเอาซะเลยนะ เราน่ะคบกันแบบเธออยากจะกดฉัน ฉันก็อยากจะกดเธอ เข้าใจหรือเปล่า”
เยวี่ยติ้งถังสรุป “ก็คือคบกันแบบหน้าไหว้หลังหลอก”
พูดจบก็เบี่ยงศีรษะหนีอย่างรวดเร็ว จึงหลบมือของพี่สามได้อย่างทันเวลา
เยวี่ยชุนเสี่ยวทอดถอนใจต่อไป “พี่จำได้ว่าสมัยเรียนหลิงเหยาเปลี่ยนแบบเสื้อผ้าทุกวัน แต่ละวันชุดของเธอจะไม่เหมือนกันเลย ตอนนั้นในจีนยังไม่มีกระเป๋าถือกับน้ำหอม เธอก็มีคนเอาสองอย่างนี้มาให้จากประเทศทางตะวันตก แต่ตอนนี้งั้นเหรอ กี่เพ้าลายตารางบนตัวเธอนั่นน่ะ ขอบนี่ลุ่ยออกมาหมดแล้วเธอก็ยังสวมมันอยู่ จินตนาการได้เลยว่าตอนนี้หลิงเหยาใช้ชีวิตยังไง! จะว่าไป เพื่อนชื่อหลิงซูที่เคยเรียนโรงเรียนเดียวกับเธอเป็นยังไงบ้างล่ะ เธอไม่ได้ติดต่อกับเขาเลยใช่ไหม”
“ติดต่อกันน้อยมาก”
“สุภาษิตว่ามิตรภาพเพื่อนเก่าควรรักษาเอาไว้ ถ้าเธอมีเวลาก็เรียกเขามานั่งเล่นที่บ้านบ้างสิ มานั่งคุยกัน คุยเล่นถึงเรื่องสมัยก่อนก็ได้ เด็กคนนั้นพี่เห็นก็รู้สึกชอบมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ทั้งหน้าตาดีทั้งมีไหวพริบ ถ้าไม่ใช่เพราะครอบครัวตกต่ำ ไม่แน่ว่าตอนนี้เขาอาจจะมีชีวิตดีกว่าเธอก็ได้นะ!”
“พี่เป็นอะไรของพี่เนี่ย รังเกียจพี่สาวเขา แต่ก็ให้ผมชวนเขามานั่งเล่นที่บ้านเนี่ยนะ”
เยวี่ยชุนเสี่ยวหัวเราะออกมา “มันขัดแย้งกันมากหรือไง เกลียดพี่สาวเขาก็ไม่ได้หมายความว่าจะเกลียดเขานี่”
เยวี่ยติ้งถังวางชามซุปลง
“เกรงว่าคงจะทำให้พี่ผิดหวังแล้วล่ะครับ”
เยวี่ยชุนเสี่ยวไม่เข้าใจ
เยวี่ยติ้งถังจึงกล่าวต่อว่า “หลิงซูเข้าไปเกี่ยวพันกับคดีฆาตกรรมคดีหนึ่ง เขาเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่ง”
เยวี่ยชุนเสี่ยวมีสีหน้าตกตะลึง “งั้นหลิงเหยา…”
“เธอคงจะยังไม่รู้เรื่องนี้ ตอนนี้พวกเราปิดข่าวเอาไว้ หนังสือพิมพ์ก็ห้ามพิมพ์ข่าวนี้ชั่วคราว เพราะสถานะของผู้ตายคงจะเกิดเรื่องวุ่นวายใหญ่โตแน่”
“เป็นไปไม่ได้ สมัยเรียนหลิงซูเป็นเด็กน่ารักจะตายไป พี่ยังจำได้ว่า…”
“ผู้ตายคือตู้อวิ้นหนิง พี่สาม พี่ก็น่าจะรู้จักเธอนะ เธอคือเพื่อนที่เรียนมาด้วยกันกับทั้งผมและหลิงซู”
เยวี่ยชุนเสี่ยวไม่พูดอะไรอีก
“ผมกินเสร็จแล้ว”
เยวี่ยติ้งถังลุกขึ้น เขาเตรียมจะขึ้นชั้นบนกลับไปห้องตัวเอง
“น้องเล็ก” เยวี่ยชุนเสี่ยวเรียกเขาไว้ “หลิงเหยาน่ะ ถึงพี่จะไม่ชอบเธอ แต่ก็ไม่ได้จงเกลียดจงชังอะไรขนาดนั้น จะว่าไปทุกคนก็เป็นเพื่อนที่เรียนด้วยกันมา ตอนนี้สกุลหลิงเป็นแบบนี้ หลิงซูก็เป็นผู้ชายเสาหลักคนเดียวของสกุลหลิงแล้ว เรื่องนี้มันจะมีอะไรผิดพลาดหรือเปล่า”
“คดีเกิดขึ้นในเขตเช่าสาธารณะ ผมจะช่วยสมิธติดตามคดีนี้ ตอนนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการรวบรวมหลักฐาน”
เยวี่ยชุนเสี่ยวนิ่งงัน จากนั้นก็ถอนหายใจ
“เธอว่านี่มันเรื่องอะไรกัน อีกแป๊บเดียวก็จะปีใหม่แล้ว ถ้าหลิงเหยารู้เรื่องนี้คงเหมือนฟ้าถล่มแน่”
เยวี่ยติ้งถังเดินขึ้นบันไดไปแล้วก็หันกลับมามองอีกรอบ บนโต๊ะนั้นยังมีกับข้าวทำเองที่ร้อนจนควันฉุยวางอยู่เต็มไปหมด และยังมีเยวี่ยชุนเสี่ยวที่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ที่โต๊ะ
เขากลับเข้ามาในห้อง อาบน้ำชำระร่างกายเรียบร้อย เดิมทีเขาคิดจะขึ้นเตียงพักผ่อน เพราะพรุ่งนี้ยังต้องไปตรวจวิทยานิพนธ์ที่มหาวิทยาลัยอีก แต่เยวี่ยติ้งถังกลับนอนพลิกไปพลิกมา ไม่รู้สึกง่วงสักนิด
ในหัวมีแต่คำพูดที่ว่า ‘หลิงซูเป็นผู้ชายเสาหลักคนเดียวของสกุลหลิงแล้ว’
เขาหยิบนาฬิกาพกที่วางอยู่บนตู้หัวเตียงมาดู นาฬิกาบอกเวลาตีสาม
เยวี่ยติ้งถังถูจมูก เขาลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง ถอดชุดนอนที่ถูกทับจนยับแล้วสวมชุดสูทอย่างช้าๆ จากนั้นก็เรียกคนรับใช้
“คุณชายสี่ มีอะไรหรือคะ”
“ไปปลุกคนขับรถ ฉันจะออกไปข้างนอกหน่อย”
“ดึกขนาดนี้น่ะเหรอคะ”
“อืม ไปสิ”
เมื่อเดินเข้ามาในสถานีตำรวจ เสิ่นเหรินเจี๋ยก็รีบมารับหน้า
เยวี่ยติ้งถังพอจะจำนายตำรวจชาวจีนที่รูปร่างอวบน้อยๆ คนนี้ได้บ้างแล้ว
“คุณเยวี่ย ดึกขนาดนี้ทำไมยังมาอีกล่ะครับ”
เสิ่นเหรินเจี๋ยไม่ได้มีสีหน้ายินดีแบบคนที่พยายามเอาอกเอาใจอย่างครั้งก่อน มุมปากของเขายกขึ้นอย่างฝืนๆ
เยวี่ยติ้งถังเกิดความสงสัยในใจ
“คดีตู้อวิ้นหนิงผมคิดอะไรได้บางอย่าง อยากจะมาสอบถามผู้ต้องสงสัยสักหน่อย คุณเอาตัวหลิงซูออกมาให้ผมที”
“คือว่า…” เสิ่นเหรินเจี๋ยมีสีหน้าลำบากใจ
“ทำไม ไม่ได้งั้นเหรอ”
“เปล่าครับๆ คือว่านี่ก็ดึกขนาดนี้แล้ว ดึกดื่นค่อนคืนแบบนี้ ผมว่าเอาไว้พรุ่งนี้ดีกว่าไหมครับ ยังไงก็ให้ผู้ต้องสงสัยได้นอนสักตื่น พรุ่งนี้จะได้นึกอะไรๆ ด้วยสมองปลอดโปร่งหน่อย จริงไหมครับ”
เรื่องการปฏิบัติต่อผู้ต้องหาของสถานีตำรวจนั้นเยวี่ยติ้งถังได้ยินมามาก แม้เขาจะไม่เคยเห็นกับตา แต่เขาก็รู้ว่าส่วนใหญ่เป็นเรื่องจริง
ถ้าอยากจะให้คนคนหนึ่งลำบาก สามารถใช้วิธีการต่างๆ ได้มากมายนับไม่ถ้วน…ทำให้คนนั้นอยากตาย ทำให้คนนั้นอยากมีชีวิตอยู่ แล้วก็ทำให้คนนั้นร้องขอมีชีวิตไม่ได้ จะขอตายก็ทำไม่ได้
“ผมไม่ยักรู้ว่าสถานีตำรวจใจกว้างกับผู้ต้องหาขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน จะสอบสวนเรื่องคดียังมีการแบ่งกลางวันกลางคืนเสียด้วย”
เมื่อถูกเขาจับจ้องด้วยสายตาคมกริบราวกับเหยี่ยว ต่อให้อยู่ท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บในเดือนสุดท้ายของปี เสิ่นเหรินเจี๋ยก็มีเหงื่อผุดพราวบนหน้าผาก
“อย่างนั้น…อย่างนั้นคุณรอสักเดี๋ยวนะครับ ผมจะให้คนไปเอาตัวเขามาเดี๋ยวนี้!”
“ไม่ต้องแล้วล่ะ”
เขาเดินผ่านเสิ่นเหรินเจี๋ย แล้วก้าวยาวๆ ไปยังห้องขังด้านหลัง
“ผมจะไปพาตัวเขามาเอง!”
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 22 ม.ค. 65