everY
ทดลองอ่าน คดีลับใต้หมู่ดาว เล่ม 1 บทที่ 6 #นิยายวาย
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่
และการฆาตกรรม ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 6
ภายในเวลาเพียงคืนเดียว ท่าทีที่ตำรวจในสถานีตำรวจเขตเช่ามีต่อหลิงซูก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ
ตอนแรกที่เขาถูกพาเข้ามา คนที่นี่ก็ไม่ได้ปฏิบัติกับเขาแย่ขนาดนั้น
เสิ่นเหรินเจี๋ยเป็นคนเจ้าเล่ห์ แม้ว่าตัวเขาจะไม่มีดีอะไร แต่ก็พูดอ้อมค้อมไว้เผื่อทางหนีทีไล่เสมอ เมื่อกลางคืนยังจัดความบันเทิงพิเศษเพิ่มเติมให้ ถึงจะบอกว่าถ้ามีเงินจะให้ผีมาหมุนโม่ให้ก็ยังได้ แต่เรื่องนี้ก็ต้องได้รับการยกเว้นจากอีกฝ่ายด้วย
ทว่าเมื่อหลิงซูหลับไปตื่นหนึ่ง ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
ไม่ใช่แค่เปลี่ยนคนสอบสวนเท่านั้น แม้แต่ท่าทีที่เสิ่นเหรินเจี๋ยมีต่อเขาก็ไม่ได้ดูผ่อนปรนอย่างก่อนหน้าแล้ว
คนที่พาตัวเขาออกไปก็คือเสิ่นเหรินเจี๋ย
“เหล่าเสิ่น พวกเราก็สนิทกันในระดับหนึ่งแล้ว บอกผมหน่อยได้ไหมว่าเรากำลังจะไปที่ไหนกัน”
เสิ่นเหรินเจี๋ยสีหน้าเย็นชาไม่พูดอะไร เหมือนเป็นคนละคนกับที่ควงแขนกระทบไหล่หลิงซูเมื่อคืน
หลิงซูไม่ถือสา ความรู้สึกของคนเราก็ต้องมีอบอุ่นบ้างเยือกเย็นบ้างเป็นธรรมดา หลายปีมานี้เขาสัมผัสถึงสิ่งนี้ได้นานแล้ว แล้วจะนับประสาอะไรกับเสิ่นเหรินเจี๋ยที่พบปะกันเพียงผิวเผิน เขาคงหวังให้อีกฝ่ายมามีน้ำใจกับเขามากไม่ได้นัก
“คุณคิดดูนะ ผมน่ะเป็นฆาตกรไม่ได้หรอก ถ้าลบเรื่องความแค้นออกไป พวกเราก็เป็นเพื่อนร่วมอาชีพกัน คุณก็รู้นี่ว่าพี่เขยผมทำงานที่เทศบาลนคร แต่คุณคงไม่รู้สินะว่าเขาทำงานเกี่ยวกับสำมะโนครัว คุณเคยบอกไม่ใช่หรือว่าพ่อแม่คุณยังอยู่ในบ้านเก่าๆ น่ะ คุณไม่อยากเปลี่ยนบ้านใหม่ให้พวกท่านหน่อยเหรอ”
ตอนแรกเสิ่นเหรินเจี๋ยไม่คิดจะสนใจเขา แต่เมื่อฟังถึงตรงนี้ก็อดเยาะเย้ยไม่ได้ “พี่เขยคุณก็ถูกจับไปแล้ว ยังจะช่วยอะไรได้อีก ช่วยยังไงล่ะ ช่วยตอนอยู่ในคุกงั้นเหรอ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วคุณยังเอาตัวเองไม่รอดเลย เลิกดิ้นรนสักทีเถอะ”
หลิงซูเอ่ยเสียงหนักอย่างจริงจัง “เหล่าเสิ่น ตอนนี้โลกมันเป็นยังไงคุณก็รู้ คอร์รัปชันรับสินบนมีทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ พี่เขยผมเป็นคนซื่อตรง อย่าว่าแต่เขาไม่มีทางทำเรื่องแบบนั้นเลย ต่อให้เขาถูกคนอื่นดึงให้ลำบากไปด้วย แต่เจ้าหน้าที่บริหารเทศบาลนครอายุน้อยอย่างเขาน่ะ จะไม่มีคนที่ระดับสูงดูแลงั้นเหรอ คุณคิดดูนะ เอาไว้เขาออกมาต้องพยายามสุดตัวเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้ผมแน่นอน”
เสิ่นเหรินเจี๋ยไม่ตอบรับอะไร แต่เขาก็ไม่ได้พูดขัดหลิงซู
หลิงซูรู้ว่าเขากำลังหูผึ่งตั้งใจฟังอยู่
“สกุลหลิงของผมน่ะนะเป็นตระกูลที่มีพื้นเพ ถึงตอนนี้จะไม่ยิ่งใหญ่เท่าแต่ก่อน แต่เรือแตกก็ยังมีหมุดสามนิ้วอยู่* ถึงเวลาก็จ่ายเงินนิดหน่อยประกันตัวผมออกไป เรื่องใหญ่ก็กลายเป็นเรื่องเล็ก เรื่องเล็กก็กลายเป็นไม่มีเรื่อง กลับไปก็เป็นแค่ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง พวกเราต่างก็อยู่ที่เซี่ยงไฮ้ ถึงเวลายังไงก็ต้องเจอหน้ากันอยู่แล้ว สะดวกคนอื่น สะดวกตัวเอง คุณว่าจริงไหม”
“เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เบื้องบนสั่งการลงมา ผมไม่มีอำนาจตัดสินใจ”
เสิ่นเหรินเจี๋ยมีทีท่าอ่อนลงในที่สุด
หลิงซูจึงเอ่ยว่า “ผมรู้ เรื่องนี้ผมไม่โทษคุณหรอก แต่พวกเรากำลังจะไปไหนกันล่ะ เบื้องบนเขากำหนดลักษณะคดียังไงให้ผมอีกเนี่ย”
เสิ่นเหรินเจี๋ยคิดแล้วก็ถอนหายใจ “เห็นว่าจะส่งคุณไปที่สถานีตำรวจกลางแห่งเขตเช่าฝรั่งเศส เรื่องรายละเอียดผมไม่ค่อยรู้ คุณก็เลิกคิดจะติดสินบนได้แล้ว เรื่องนี้น่ะยาก! ถ้าคนที่บ้านมาเยี่ยมคุณก็รีบบอกพวกเขาแล้วกันว่าให้หาเส้นสายเอาไว้ เอาชีวิตให้รอดก่อนแล้วค่อยว่ากัน อย่าให้กลายเป็นว่าขึ้นตะแลงแกงแล้วยังไม่รู้ว่าตัวเองตายยังไง!”
เขาไม่ได้ขู่โดยไม่มีมูล ตอนนี้หลิงซูเป็นผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรม แล้วผู้ตายก็ไม่ใช่คนธรรมดา แต่เป็นถึงหญิงสาวที่มีชื่อเสียงแห่งหาดเซี่ยงไฮ้ และเธอยังมีสามีที่เป็นที่รู้จักยิ่งกว่า ในสถานการณ์แบบนี้ หากความเห็นของสาธารณชนปั่นป่วนขึ้นมา หลิงซูก็จะไม่มีแม้แต่พื้นที่ให้หลุดรอดไปได้เลย
ถึงเสิ่นเหรินเจี๋ยจะมองว่าเขาดูไม่เหมือนฆาตกรฆ่าคน แต่ตอนนี้บ้านเมืองกำลังวุ่นวาย อาชญากรที่หน้าตาท่าทางเหมือนคนมีคุณธรรมสูงส่งนั้นมีน้อยเสียเมื่อไหร่
“นี่ เหล่าเสิ่น ผมมีความคิดดีๆ แหละ”
ขณะนั้นทั้งคู่เดินมาถึงประตูพอดี มีรถจอดรอพวกเขาอยู่ตรงนั้นนานแล้ว
เสิ่นเหรินเจี๋ยฟังสิ่งที่อีกฝ่ายกระซิบเรียบร้อยก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
“คุณบ้าไปแล้วเหรอ!”
ครึ่งชั่วโมงให้หลัง เสิ่นเหรินเจี๋ยก็รู้สึกว่าหลิงซูไม่ได้บ้าหรอก แต่เขาเองต่างหากที่บ้าไปแล้ว
ทั้งคู่กำลังยืนอยู่หน้าประตูบ้านของหลิงซู
“คุณมีเวลาชั่วโมงเดียวนะ” เสิ่นเหรินเจี๋ยเอ่ยอย่างเคร่งเครียด “ผมช่วยถ่วงเวลาให้คุณได้ไม่นาน ถ้าเกินหนึ่งชั่วโมงแล้วคุณยังไม่กลับไปพวกเขาก็จะเริ่มสงสัยแล้ว!”
หลิงซูเอ่ยปลอบ “วางใจเถอะน่า คุณเข้าไปกับผม ถ้าถึงเวลาแล้วคุณก็พาผมออกมาเลย ผมไม่มีทางทำให้คุณเดือดร้อนไปด้วยแน่นอน พี่สาวผมรักผมจะตาย ต้องช่วยผมติดสินบนได้แน่ ไม่พลาดส่วนของคุณไปหรอก”
ถ้าไม่ใช่เพื่อประโยชน์ข้อนี้ เสิ่นเหรินเจี๋ยก็คงไม่เสี่ยงแอบหลบออกมากลางทางหรอก เขารับปากหลิงซูว่าจะพากลับมาดูที่บ้านครู่เดียว อีกสองคนที่มาส่งผู้ต้องหาด้วยกันนั้นจึงต้องทำเป็นหลับตาข้างเดียวให้อยู่แล้ว ทุกคนเข้าใจกันโดยปริยาย แค่ทำเป็นว่าปล่อยไปครู่หนึ่งเพราะหลิงซูปวดปัสสาวะเท่านั้น
หลิงซูรู้ว่าทำอย่างนี้อันตราย
ตั้งแต่เขาถูกกล่าวหาว่าเป็นฆาตกร เรื่องราวก็ลื่นไถลไปในทิศทางที่ไม่อาจควบคุมได้มากขึ้นทุกที
ราวกับว่ามีใครถือตาข่ายแล้วกำลังจะครอบลงมาบนศีรษะของเขา มัดเขาเอาไว้แน่นไม่ให้หลบหนีไปได้อย่างไรอย่างนั้น
เรื่องของพี่เขยยิ่งแปลกประหลาดเข้าไปใหญ่ ครั้งนี้เขาจึงต้องกลับมาบ้านจริงๆ
คนที่มาเปิดประตูคือป้าหง
หลังจากหลิงเหยาแต่งงาน เธอก็พาน้องชายกับป้าหงซึ่งเป็นคนรับใช้เก่าแก่ของสกุลหลิงมาอยู่ด้วยกัน คนรับใช้อาวุโสคนนี้ดูแลสองพี่น้องมาตั้งแต่เล็กจนโต สำหรับพวกเขาแล้วเธอเป็นเหมือนคนในครอบครัว
ทว่าเมื่อได้พบหน้าป้าหง หลิงซูก็รู้สึกว่ามีอะไรแปลกไปทันที สีหน้าของป้าหงไม่แตกต่างจากยามปกติเลย และเพราะอย่างนี้จึงแปลก
ถ้าพี่เขยของหลิงซูถูกจับไปเพราะต้องสงสัยว่ารับสินบน ตัวของหลิงซูเองก็ถูกลากไปพัวพันในคดีฆาตกรรม ตอนนี้ที่บ้านน่าจะวุ่นวายมาก แล้วคนรับใช้อาวุโสของเขาก็คงไม่มีทางเปิดประตูอย่างเชื่องช้าเหมือนเวลาปกติได้ สีหน้าของเธอยังดูผ่อนคลาย หาความร้อนรนจากใบหน้านั้นไม่พบสักนิด
เมื่อเห็นเขา ใบหน้าของคนรับใช้อาวุโสก็ดูประหลาดใจระคนยินดี
“คุณหนูกลับมาสักทีนะคะ! หายไปไม่เห็นหน้าตั้งหนึ่งวันหนึ่งคืน ไปไหนมาคะ ไม่ฝากใครมาบอกอะไรเลยด้วย คุณหนูใหญ่เป็นห่วงมากเลย ไอ้หยา เดี๋ยวคุณหนูต้องระวังหน่อยนะคะ ในบ้านมีแขกมา อย่าไปยั่วโมโหคุณหนูใหญ่ต่อหน้าแขกนะคะ!”
ป้าหงพูดไปเรื่อยๆ หลิงซูฟังแล้วรู้สึกปวดศีรษะ โดยเฉพาะประโยคสุดท้ายนั่นทำให้เขาได้สติและถามกลับไป “ใครมาเหรอครับ”
“เพื่อนที่เรียนที่เดียวกับคุณหนูไงคะ คุณคนที่แซ่เยวี่ยน่ะค่ะ”
เพื่อนแซ่เยวี่ยที่เรียนที่เดียวกับเขา นอกจากเยวี่ยติ้งถังแล้วจะเป็นใครไปได้อีก
เสียงกริ่งเตือนภัยในใจหลิงซูดังลั่น
จู่ๆ เขาก็ตระหนักได้ว่าตัวเขาอาจจะเหยียบลงไปบนกับดักเสียแล้ว คิดจะถอนตัวกลับมาก็คงไม่ทัน
“น้องเล็ก”
หลิงเหยาเดินออกมาจากข้างใน สีหน้าของเธอเปลี่ยนจากประหลาดใจระคนดีใจและเป็นห่วงมาเป็นหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความขุ่นเคืองภายในไม่กี่วินาที
“วันนี้ไปไหนมาทั้งวัน เมื่อคืนก็ไม่ได้กลับมาทั้งคืนน่ะหือ!”
หลิงซูหัวเราะแห้งๆ “ไปเจอเพื่อนเก่าน่ะครับ คุยเรื่องเก่าๆ กันเพลินเลยลืมพากลับมาทักทายพี่ ทำพี่เป็นห่วงแย่เลย!”
สายตาของเขาย้ายไปที่ด้านหลังของหลิงเหยาแล้วก็รีบเปลี่ยนประเด็น
“มีแขกเหรอครับ”
“เยวี่ยติ้งถังไง จำได้ไหม สมัยเรียนพวกเธอสนิทกันมากเลย เขายังเคยมากินข้าวที่บ้านด้วยแน่ะ นี่เขาเพิ่งกลับมาจากไปเรียนที่ต่างประเทศ ไม่เจอกันหลายปีพวกเธอคงมีเรื่องคุยกันเยอะเชียว”
หลิงเหยาหัวเราะพลางพาเขาเดินเข้ามาข้างใน แล้วจู่ๆ เธอก็ทำจมูกฟุดฟิด ขมวดคิ้วมุ่น
“ทำไมตัวเธอมีกลิ่นล่ะ”
“เพราะเมื่อคืนดื่มนิดหน่อยมั้งครับ ฉลองกันที่บ้านเพื่อนทั้งคืน”
“ทำไมพี่ได้ยินเฉิงซือบอกว่าเธอไปเต้นรำกับสาวเต้นรำล่ะ แถมค้างคืนอีก หือ?” สายตาของเธอเลื่อนไปที่เสิ่นเหรินเจี๋ยซึ่งอยู่ข้างๆ หลิงซู “แล้วคนนี้ใครกัน”
หลิงซูสีหน้าไม่เปลี่ยน “นี่เพื่อนที่รู้จักกันตอนผมปฏิบัติภารกิจน่ะครับ เป็นตำรวจในเขตเช่าสาธารณะ เมื่อคืนก็ไปดื่มกับเพื่อนเก่าที่พี่พูดถึงเมื่อกี้ด้วย”
เสิ่นเหรินเจี๋ยไม่รู้ว่าควรจะยิ้มหรือควรจะทำหน้าเคร่งขรึมดี สีหน้าของเขาดูกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที
“ยินดีต้อนรับจ้ะ ใครมาก็ถือว่าเป็นแขกของบ้านนี้ทั้งนั้น เชิญเข้ามาเลย” หลิงเหยามีสีหน้าสงสัยแต่ก็โชคดีที่เธอไม่ได้ถามมากความ
ระหว่างที่พวกเขาพูดคุยกัน หลิงซูกับเสิ่นเหรินเจี๋ยก็เห็นเยวี่ยติ้งถังที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนโซฟาในห้องรับแขก
เยวี่ยติ้งถังสวมชุดสูทสามชิ้นดูเรียบร้อย ผมถูกหวีเสยไปข้างหลังทั้งหมดและใส่น้ำมันเล็กน้อยไม่มากเกินไป นับว่ายังดูสบายๆ บนสันจมูกมีแว่นตากรอบบาง ในสายตาของหลิงซู เยวี่ยติ้งถังคือสัตว์ป่าในคราบมนุษย์ชัดๆ หน้าเนื้อใจเสือ
เยวี่ยติ้งถังได้ยินการเคลื่อนไหวก็เงยหน้าขึ้นยิ้มให้เขา
“หลิงซูกลับมาแล้วเหรอ”
รอยยิ้มนี้เหมือนคนที่ได้พบเพื่อนซึ่งจากกันไปนานอีกครั้ง มันดูสนิทสนมยินดีเป็นพิเศษ ในความเรียบนิ่งนั้นมีความตื่นเต้นแฝงอยู่อย่างที่คนอื่นไม่อาจจับสังเกตได้
แต่สำหรับหลิงซูแล้ว อีกฝ่ายราวกับเป็นนายพรานที่กำลังรอกระต่ายมาติดกับมากกว่า แล้วก็ได้พบกับกระต่ายโง่ตัวหนึ่งเข้าจริงๆ เสียด้วย
กระต่ายตัวนั้นก็คือตัวหลิงซูเอง
เสิ่นเหรินเจี๋ยตะลึงงัน เขาเพิ่งจะรู้สึกเป็นครั้งแรกว่าสมองที่ตัวเองมีนั้นไม่พอเสียแล้ว ที่จริงเขาควรจะเดินนำหน้าไปทักทายเยวี่ยติ้งถัง แต่ตอนนี้กลับยืนนิ่งงันอยู่กับที่
“คุณ…คุณเยวี่ย!”
ท่าทางของเยวี่ยติ้งถังนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ดูไม่เหมือนมาแจ้งข้อกล่าวหาให้สกุลหลิงรับทราบเลย เหมือนเป็นคนละคนกับตอนอยู่ในห้องสอบสวน
เสิ่นเหรินเจี๋ยไม่รู้จะแสดงท่าทีอย่างไรไปชั่วขณะ
“คุณก็มาด้วยเหรอ” เยวี่ยติ้งถังพยักหน้าให้เขา ใบหน้ามีแววหยอกเย้าเหมือนนายพรานรอกระต่ายที่ได้เห็นสิ่งที่คาดเอาไว้ก่อนแล้ว
เสิ่นเหรินเจี๋ยคิดขึ้นได้กะทันหัน “ผมเพิ่งนึกได้ว่ามีเรื่องด่วนต้องรีบกลับไป อย่างนั้นผมไม่รบกวนเพื่อนเก่าอย่างพวกคุณสองคนแล้วนะครับ!”
หลิงเหยาเห็นว่าเขากำลังจะไปก็รีบรั้งเอาไว้ “ไม่อยู่ต่ออีกหน่อยเหรอคะ”
“ไม่แล้วล่ะครับ ไม่ล่ะ!” เสิ่นเหรินเจี๋ยยิ้มฝืนๆ เขาหันไปทำปากบอกหลิงซูว่า ‘ผมจะรออยู่ข้างนอกนะ’
เขามีท่าทีรีบร้อน เมื่อพูดจบก็ไปทันทีโดยไม่ได้เอ่ยลา
หลิงเหยาห้ามไม่อยู่ ได้แต่เอ่ยว่า “น้องเล็ก รีบไปส่งเพื่อนเร็ว!”
“ไม่ต้องหรอกครับ เขารู้ทาง”
หลิงเหยารู้สึกว่าสองคนนี้แปลกๆ แต่เพราะอยู่ต่อหน้าเยวี่ยติ้งถังจังไม่กล้าถามมาก
เยวี่ยติ้งถังยิ้มพลางว่า “เพื่อนเก่าสมัยเรียนไม่ได้เจอกันหลายปี แต่ทำไมหลิงซูเห็นฉันแล้วดูเหมือนไม่ค่อยดีใจเท่าไหร่เลยนะ”
เล่นละครน่ะใครจะทำไม่เป็นบ้าง หลิงซูยิ้มที่ปากแต่ไปไม่ถึงตา
“จะไม่ดีใจได้ยังไง ฉันก็แค่ดีใจเกินไปน่ะ เหล่าเยวี่ย นายดูตัวเองสิ แก่ขึ้นตั้งเยอะ ฉันเกือบจำนายไม่ได้แน่ะ เราไม่ได้เจอกันกี่ปีแล้วนะ”
เขาเน้นเสียงหนักตรงคำว่ากี่ปี เอาคำที่แสดงความสนิทสนมเหมือนกำลังถามไถ่สารทุกข์สุกดิบบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของเยวี่ยติ้งถัง มาเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มกระตือรือร้นบนใบหน้าทั้งหมด เขาอ้าแขนไปทางอีกฝ่าย
เมื่ออยู่ต่อหน้าหลิงเหยา เยวี่ยติ้งถังจึงฝืนเข้าใกล้อีกหน่อย แต่เขากลับถูกหลิงซูดึงเข้าไปกอดหมับโดยไม่ทันตั้งตัว เศษฝุ่นสกปรกที่ติดมาจากการอยู่ในคุกหนึ่งคืนหนึ่งวันเปื้อนตัวเขาอย่างจัง
เยวี่ยติ้งถัง “…”
หลิงเหยารู้สึกตื้นตัน “ไม่คิดเลยนะว่าพวกเธอไม่เจอกันหลายปีแต่ยังสนิทกันขนาดนี้น่ะ!”
เยวี่ยติ้งถังยกมุมปากขึ้น ในที่สุดก็เข้าใจว่ายกหินขึ้นมาแต่กลับหล่นทับขาตัวเอง นั้นหมายความว่าอะไร
เขาทำตัวแข็งปล่อยให้หลิงซูกอดเอาไว้แน่น
หนึ่งวินาที สองวินาที สามวินาที
แล้วเยวี่ยติ้งถังก็ทนไม่ไหว เปล่งเสียงลอดไรฟันออกมา “อย่าให้มันมากไปนะ!”
“ช่วยกันน่า ช่วยกัน” หลิงซูหัวเราะเย็นชาอย่างไร้เสียง
“พี่ครับ ผมหิวแล้ว พี่ช่วยไปทำอะไรให้ผมกินหน่อยนะ ผมกับเหล่าเยวี่ยไม่ได้เจอกันนาน จะได้คุยเรื่องเก่าๆ กัน”
หลังผ่านไปหลายวินาที ในที่สุดเขาก็แสดงความเมตตาด้วยการปล่อยเยวี่ยติ้งถังแล้วหันมาที่หลิงเหยา
หลิงเหยาขมวดคิ้ว เธอมองน้องชายที่ดูสกปรกมอมแมมไปทั้งตัวอย่างรังเกียจ “ไม่ไปอาบน้ำก่อนล่ะ!”
เยวี่ยติ้งถังเอ่ย “ไม่เป็นไรครับพี่ ผมกับหลิงซูก็เพื่อนเก่าเพื่อนแก่ นานๆ ได้เจอกันที พี่ให้พวกเราได้คุยกันก่อนสักหน่อยเถอะครับ”
หลิงเหยาถลึงตาใส่หลิงซู สื่อความหมายว่าให้เขาทำตัวดีๆ หน่อย
“เดี๋ยวพี่ไปเตรียมอาหารกลางวันให้แล้วกัน เที่ยงนี้ติ้งถังก็อยู่กินข้าวด้วยกันสิ เดี๋ยวพี่ให้ป้าหงเพิ่มกับข้าว!”
“งั้นก็รบกวนพี่ด้วยนะครับ”
เยวี่ยติ้งถังสุภาพเรียบร้อยและยังเป็นคนซื่อตรง ทำให้หลิงเหยาอดที่จะยิ้มให้เขาก่อนจะเดินจากไปไม่ได้
หลิงซูมองออกว่าพี่สาวของเขามีภาพจำเกี่ยวกับเยวี่ยติ้งถังดีมาก ชนิดที่ว่าแทบจะขอให้คนแซ่เยวี่ยคนนี้อยู่กินข้าวเย็นที่บ้านด้วย
หลิงซูมองตามจนหลิงเหยาเข้าครัวไปแล้ว องศามุมปากของเขาก็เปลี่ยนมาเป็นเย็นชาอย่างคนที่ไม่ใส่ใจนัก
เขามองเยวี่ยติ้งถังที่นั่งอยู่บนโซฟาอีกตัว ปากยิ้มตาไม่ยิ้ม
“เรื่องที่พี่เขยฉันถูกจับไปเพราะต้องสงสัยว่ารับสินบน คงจะเป็นเรื่องที่นายจงใจให้คนไปปล่อยข่าวปลอมเพื่อข่มขู่ฉันสินะ”
“ใช่”
เมื่อหลิงเหยากับป้าหงไม่ได้อยู่ด้วย เยวี่ยติ้งถังก็ขี้เกียจจะเสแสร้งอีกต่อไป เขาเปลี่ยนท่าทางมาปล่อยตัวตามสบายมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“ฉันไปนอนกับเมียนายหรือไปวางเพลิงฆ่ายกครัวนายหรือไง ทำไมต้องกัดฉันไม่ปล่อยด้วย”
หลิงซูรู้สึกโกรธขึ้นมาแล้วจริงๆ ท่าทีที่เคยเกียจคร้านนั้นหลังจากผ่านมรสุมการเข้าคุกไปก็ไม่หลงเหลืออยู่อีก ผ้าพันคอที่โดนถูโดนบิดเสียจนดูไม่ได้พันอยู่รอบคอเขาอย่างลวกๆ แต่เจ้าของผ้าพันคอกลับดูเหมือนสุนัขจรจัดที่โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง พร้อมจะพังที่นี่ให้ราบได้ทุกเมื่อ
เยวี่ยติ้งถังรู้สึกว่าการเปรียบเทียบของตนนี้เห็นภาพค่อนข้างตรงมากทีเดียว น่าเสียดายที่เขาพูดออกมาไม่ได้ ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายอาจจะพุ่งเข้ามากัดเขาจริงๆ
“ถ้าฉันไม่บีบนายแบบนี้ ตอนนี้นายคงยังพูดอ้อมโลกกับฉันอยู่”
หลิงซูหัวเราะเสียงเย็น “ฉันไม่เข้าใจที่นายพูด”
“คำให้การของนายมีแต่คำโกหกไม่จบไม่สิ้น อย่างน้อยที่สุด นายก็ต้องมีอะไรที่ยังพูดไม่หมด”
“การไขคดีเป็นหน้าที่ของพวกนาย”
“แต่ชีวิตเป็นของนายเอง ถึงพี่เขยนายจะปลอดภัยดี แต่ระหว่างทางนายติดสินบนตำรวจเขตเช่าเพื่อกลับมาบ้าน นายไม่ได้รับอนุญาต ทั้งยังหลบหนีโดยพลการ นายคิดว่าตัวเองมีความผิดข้อหาอะไรล่ะ”
เมื่อเห็นหลิงซูไม่พูด เขาก็พูดต่อ “นายเองก็รู้ดี ตอนนี้หลักฐานทั้งหมดของคดีเป็นไปในทิศทางที่ส่งผลไม่ดีต่อตัวนายทั้งนั้น ถ้านายอยากล้างข้อสงสัยก็มีแต่จะต้องร่วมมือกับฉัน บอกทุกสิ่งทุกอย่างมาให้หมด ไม่เพียงแต่จะเป็นผลดีต่อตู้อวิ้นหนิงเท่านั้น แต่ยังจะเป็นผลดีต่อตัวนายเองด้วย”
ทั้งคู่สบตากัน ความเงียบไหลเข้ามา
จะเชื่อใจเขาได้หรือไม่…ในใจของหลิงซูมีคำถามใหญ่ผุดขึ้นมา
หลายปีก่อน ช่วงเวลาที่เรียนโรงเรียนเดียวกับเยวี่ยติ้งถังนั้น พวกเขาเริ่มต้นด้วยการทะเลาะ จบลงที่สงครามประสาท ไม่สามารถเรียกได้ว่ามีความสุขจริงๆ ดังนั้นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมาร่วมสอบสวนเขาที่สถานีตำรวจเขตเช่า จึงยากที่หลิงซูจะไม่รวมเยวี่ยติ้งถังไว้ในความสัมพันธ์แบบคนที่ต้องแก้แค้น
ถ้าจะต้องเปลี่ยนภาพจำที่ฝังแน่นนั้นก็คงจะเป็นเรื่องยาก แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะไม่มีทางเลือกอื่น
“ฉันสงสัย”
หลิงซูค่อยๆ เอ่ยออกมาในที่สุด
“ว่าตู้อวิ้นหนิงยังไม่ตาย”
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 27 ม.ค. 65