everY
ทดลองอ่าน คดีลับใต้หมู่ดาว เล่ม 1 บทที่ 7 #นิยายวาย
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่
และการฆาตกรรม ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 7
ตอนที่พูดประโยคนั้น สายตาของหลิงซูไม่ได้ละไปจากใบหน้าของเยวี่ยติ้งถังเลย และปฏิกิริยาของอีกฝ่ายก็อยู่เหนือความคาดหมายของเขา
เยวี่ยติ้งถังเผยสีหน้าตกใจออกมาเล็กน้อย
“ทำไมนายถึงคิดแบบนั้นล่ะ”
หลิงซูไม่ตอบแต่กลับย้อนถาม “นายเห็นศพของตู้อวิ้นหนิงกับตาหรือเปล่า เคยไปตรวจสอบด้วยตัวเองไหมว่าเป็นตู้อวิ้นหนิงจริงๆ”
เยวี่ยติ้งถังครุ่นคิด
“ฉันจำได้ แขนซ้ายส่วนล่างใกล้กับข้อศอกของเธอมีปานแดงอยู่จุดหนึ่ง สมัยเรียนพวกเพื่อนผู้หญิงยังหัวเราะเธออยู่เลย พวกนั้นล้อเธอว่ามันคือโส่วกงซา* ยังมีอีก เมื่อก่อนเธอขี่จักรยานแล้วล้ม เข่าก็เลยมีรอยแผลเป็นอยู่ ทั้งสองอย่างนี้ฉันเห็นมาแล้ว”
หลิงซูขมวดคิ้ว
เยวี่ยติ้งถังกล่าว “เพราะอะไรนายถึงตั้งคำถามแบบนี้”
หลิงซูเอ่ยช้าๆ “ตอนตู้อวิ้นหนิงยังมีชีวิตอยู่ ช่วงที่ฉันกับเธอติดต่อกันหลายครั้งนั้น ฉันพบว่าเธอไม่ใช่แค่มีท่าทีไม่พอใจหยวนปิงเท่านั้น แต่ยังดูเป็นไปได้ที่จะคิดหนีออกจากสกุลหยวนด้วย ขนาดหนึ่งวันก่อนที่จะเกิดเรื่องเธอก็ยังคงพูดถึงเรื่องหนีกับฉันอยู่เลย หลังจากฉันปฏิเสธไป เธอยังพูดอีกประโยคหนึ่งด้วย”
เยวี่ยติ้งถังส่งเสียงเป็นคำถาม
หลิงซูตอบว่า “ถ้าเธอไม่ยอมไปกับฉัน ฉันไปเองก็ได้ จะไปให้ไกลสุดขอบฟ้าเลย อย่าเสียใจก็แล้วกัน”
“ก็ฟังดูเป็นคำพูดของเธออยู่นะ”
หลิงซูไม่พอใจ “หรือนายคิดว่าฉันแต่งเรื่องล่ะ”
“ก็ต้องไม่ใช่อยู่แล้ว แต่ตั้งแต่เล็กจนโต อวิ้นหนิงมักจะพูดไปอย่างนั้น ทำจริงๆ น้อยมาก ถึงจะไม่พอใจในสถานการณ์ที่ตัวเองเป็นอยู่ แต่ก็ไม่เคยกล้าพอจะเปลี่ยนแปลงอะไร ตอนไปเรียนที่ต่างประเทศนั่นก็ใช่ พอมาแต่งงานเข้าไปอยู่สกุลหยวนก็ใช่เหมือนกัน”
“แต่จะว่าตามนี้อย่างเดียวคงไม่ได้อยู่แล้ว นายจำที่ฉันเคยบอกพวกนายได้ไหม เธอจะเอาทรัพย์สมบัติก้อนหนึ่งมาให้ฉันช่วยเก็บไว้เพื่อไม่ให้หยวนปิงเอาไป”
เยวี่ยติ้งถังครางอืม เขาไม่ได้คิดว่าหลิงซูกำลังถ่วงเวลา ที่อีกฝ่ายพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีกครั้งในเวลานี้ แสดงว่าก่อนหน้านี้มีข้อมูลที่ขาดหาย แล้วนี่ก็คงเป็นเรื่องใหม่ที่ยังไม่ได้พูด
แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เขาได้ยินหลิงซูเอ่ยว่า “ตอนนั้นเธอให้ใบรายการทรัพย์สินมาใบหนึ่ง ในนั้นมีรายชื่อทรัพย์สมบัติที่เธออยากจะย้ายที่เขียนเอาไว้ แต่ในใบนั้นฉันเห็นลายมือของคนสองคน”
“คนรับใช้ของเธอช่วยเขียนหรือเปล่า”
“ฉันรู้มาว่าตอนที่เธอแต่งเข้าสกุลหยวนไป เธอพาคนไปอยู่ด้วยคนหนึ่งซึ่งก็คือคนรับใช้หญิงที่ติดตามเธออยู่ทุกวันนี้ แต่คนรับใช้คนนั้นไม่รู้หนังสือ”
“นั่นก็หมายความว่ายังมีอีกคนที่ช่วยเธอวางแผน ช่วยเธอหนีไปจากสกุลหยวน”
“ตู้อวิ้นหนิงมีนิสัยอ่อนไหว ไม่มีความคิดที่หนักแน่น ลำพังเธอเพียงคนเดียวคงไม่มีความกล้าพอจะหนีออกจากสกุลหยวนหรอก เมื่อก่อนเธอนัดฉันออกมาก็แค่มาบ่นมาร้องไห้ แต่สองสามครั้งหลังเธอเริ่มพูดถึงเรื่องหนีตามกันไป จนกระทั่งเอารายการทรัพย์สินออกมาให้ฉันช่วยเก็บรักษา เธอจัดลำดับทีละขั้นตอน มีแผนการ ซึ่งดูไม่เหมือนสิ่งที่เธอจะคิดออกมาได้เองเลย”
เยวี่ยติ้งถังพึมพำเสียงหนัก “เพราะฉะนั้นนายก็เลยสงสัยว่าเธอจะใช้นายมารับบทฆาตกรดึงความสนใจของทุกคน แล้วก็ใช้โอกาสนี้แกล้งตายก่อนจะหนีไปกับคนอื่นเหรอ”
“ก็ไม่ได้เอาความเป็นไปได้นี้ออกไปเสียทีเดียว”
“เบาะแสสำคัญขนาดนี้ทำไมไม่รีบบอก”
หลิงซูจึงบอกว่า “เพราะช่วงเวลาที่นายโผล่มามันเหมาะเจาะเกินไป ฉันไม่มีทางแน่ใจได้เลยว่านายมีส่วนเกี่ยวข้องกับตู้อวิ้นหนิงหรือเปล่า”
“ก็เหมาะเจาะจริงๆ นั่นแหละ แต่นั่นก็เพราะว่าฉันรู้จักกับสมิธแล้วก็ตู้อวิ้นหนิงพอดี หรือนายไม่อยากหาตัวฆาตกรที่แท้จริงให้เธอล่ะ เธอจะได้นอนตายตาหลับ ถึงยังไงเธอก็เคยเป็นผู้หญิงที่ดีคนหนึ่งนะ”
หลิงซูไม่พูดอะไร
เยวี่ยติ้งถังไม่พบเบาะแสใดๆ จากสีหน้าของหลิงซู
สมัยก่อนเมื่อนานมาแล้ว หลิงซูยังไม่ได้เป็นอย่างนี้
คนคนนี้จะชอบเอาชนะเรื่องผลการเรียน ทั้งยังพูดคุยกับคนอื่นเรื่องสถานการณ์บ้านเมืองและเรื่องราวเกี่ยวกับสังคมในตอนนั้นอย่างออกรสออกชาติ ไม่รู้ว่าเขารู้ข่าวคราวมากมายขนาดนั้นมาจากไหน ทุกครั้งที่เลิกเรียนเขาก็มักจะถูกเพื่อนล้อมหน้าล้อมหลัง ทุกคนต่างรู้สึกสนุกสนานที่ได้ฟังเขาเล่าเรื่องราวที่ดูเกินจริงนิดๆ แต่ก็ฟังดูเรียบง่ายมีขึ้นมีลงพวกนั้น
แม้เยวี่ยติ้งถังจะรู้สึกว่าเรื่องราวเหล่านั้นส่วนใหญ่ฟังดูเหลวไหลไร้สาระ แต่ที่จริงเขาก็ชอบฟังเช่นกัน ถึงภายนอกจะไม่ยอมรับ แต่ก็มักจะแอบยืนอยู่นอกวง ทำเป็นเดินผ่านโดยไม่ได้ใส่ใจอะไรแล้วก็เงี่ยหูฟังนิดๆ หน่อยๆ
ท่ามกลางคนในกลุ่มนั้น หลิงซูมักจะเป็นจุดสนใจที่ทุกคนไล่ตามเสมอ เขาแสดงสีหน้าได้หลากหลาย ในท่าทางร่าเริงและภาคภูมิใจนั้นยังแฝงไปด้วยความทะนงตนเล็กๆ อีกด้วย โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้น แม้เขาจะไม่ได้ยิ้มแต่ดวงตาก็เหมือนกำลังยิ้ม ยิ่งเวลายักคิ้วหลิ่วตาก็ยิ่งดูมีชีวิตชีวา
ไม่ใช่อย่างที่เป็นตอนนี้ คนที่ดูเกียจคร้าน ไร้ความมุ่งมั่นในการต่อสู้ ทำอะไรแค่พอให้ผ่านไป
“ฉันออกไปสูบบุหรี่ก่อนนะ”
เยวี่ยติ้งถังลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอกพลางเอามือล้วงกระเป๋า แต่ก็พบว่าตัวเองรีบออกมาจนลืมแม้กระทั่งหยิบบุหรี่มา
บุหรี่ครึ่งซองถูกโยนมาจากหลิงซู ฝ่ายนั้นเหยียดริมฝีปากก่อนจะหันมาทางเขา
เยวี่ยติ้งถังยังไม่ทันซาบซึ้งถึงครึ่งวินาทีก็ได้ยินหลิงซูเอ่ย “ยืมหนึ่งคืนสองนะ ฉันจน”
เยวี่ยติ้งถัง “…”
หลิงซูคิดว่าเขาคงไม่ได้ออกไปสูบบุหรี่จริงๆ อย่างไรเสียก่อนหน้านี้ที่เสิ่นเหรินเจี๋ยมาส่งเขา ข้างนอกก็ยังมีตำรวจเขตเช่าอีกสองคนรออยู่ แล้วเสิ่นเหรินเจี๋ยก็ไม่กล้าแบกความรับผิดชอบนี้หรอก คงต้องให้เยวี่ยติ้งถังออกหน้าด้วยตัวเอง
และก็เป็นดังคาด เวลาผ่านไปเท่าบุหรี่ไหม้ไม่ถึงครึ่งมวน คนแซ่เยวี่ยก็กลับมาแล้ว
หลิงเหยากับคนรับใช้อาวุโสจัดวางอาหารเอาไว้เต็มโต๊ะ แม้ว่าจะไม่ได้เป็นอาหารที่ดูประณีตงดงามเหมือนของคฤหาสน์สกุลเยวี่ย แต่ก็ดีกว่าครอบครัวธรรมดาทั่วไป
“รอบนี้ถ้าออกไปซื้อของที่เธอชอบกินก็คงไม่ทัน พี่กับป้าหงเลยทำอะไรง่ายๆ นิดหน่อย กินเยอะๆ ล่ะ!”
เยวี่ยติ้งถังกวาดตามองแล้วยิ้ม “พี่ใหญ่ กับข้าวเยอะขนาดนี้เรียกว่าทำอะไรง่ายๆ นิดหน่อยเหรอครับ บ้านผมเวลากินข้าวกับข้าวยังไม่เยอะขนาดนี้เลย”
หลิงเหยาหัวเราะคิก “ไม่เหมือนกันสักหน่อย เธอมาเป็นแขก พี่ก็ต้องให้แขกรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน มาๆ นั่งเร็วเข้า ไม่ต้องเกรงใจนะ กินเยอะๆ เลย วันนี้ถ้ากินไม่อิ่มพี่ไม่ให้เธอออกไปหรอกนะ!”
จริงๆ เยวี่ยติ้งถังไม่ได้คิดจะอยู่รับประทานอาหาร แต่หลิงเหยาทั้งเอื้อเฟื้อจริงใจ หลิงซูก็ยังไม่ได้ให้คำตอบสุดท้ายเรื่องคดีตู้อวิ้นหนิงเสียที เขาจึงตอบตกลงแล้วถอดเสื้อโค้ตกับผ้าพันคอออก
ไม่ต้องพูดให้มากความ คนรับใช้อาวุโสก็รีบมารับเสื้อโค้ตกับผ้าพันคอของเขาไปวางรอให้แขกหยิบไปก่อนกลับ
คนรับใช้ของบ้านที่มีฐานะแค่ในระดับหนึ่งนั้นไม่ค่อยจะทำอะไรเป็นระเบียบขั้นตอนและมีวิสัยทัศน์แบบนี้ คนที่ใส่ใจสักหน่อยย่อมมองดูสถานการณ์เหล่านี้แล้วรู้ได้ทันทีว่าเมื่อก่อนสกุลหลิงเฟื่องฟูแค่ไหน
เยวี่ยติ้งถังเลื่อนสายตาจากคนรับใช้อาวุโสมาที่โต๊ะอาหาร เขาเห็นโดยบังเอิญว่ามุมโต๊ะมีรอยสึกหรออย่างหนัก ขาโต๊ะข้างหนึ่งยังมีกระดาษหนุนเอาไว้ไม่ให้โยกด้วย
หลิงเหยามีฝีมือทำอาหารไม่เลว เมื่อก่อนเยวี่ยติ้งถังเคยมากินข้าวที่คฤหาสน์สกุลหลิง ตอนนั้นหลิงเหยาก็เข้าครัวด้วยตัวเองเหมือนกัน รสชาติอันคุ้นเคยที่เขาไม่ได้สัมผัสมานาน ประกอบกับความกระตือรือร้นของหลิงเหยา เท่านี้ก็เพียงพอจะขจัดความเย็นชาของหลิงซูได้แล้ว
“ติ้งถัง ตอนนี้เธอไปรับตำแหน่งอยู่ที่ไหนล่ะ” หลิงเหยาตักซุปไก่ให้เขาชามหนึ่งแล้วถาม
เยวี่ยติ้งถังตอบว่า “ตอนนี้ผมสอนกฎหมายอยู่ในมหาวิทยาลัยครับ สอนประวัติศาสตร์กฎหมายตะวันตกเป็นหลัก”
หลิงเหยาตาวาว “งานนี้ดีมากเลยนี่ มีหน้ามีตาแล้วก็สบายด้วย งั้นในมหาวิทยาลัยมีอาจารย์ผู้หญิงที่ดูฉลาดภูมิฐานอยู่เยอะหรือเปล่า”
“ก็มีบ้างครับ แต่ไม่เยอะ”
หลิงซูรู้สึกไม่ชอบมาพากล “เหมือนมีเสียงเคาะประตูจากข้างนอกนะ เดี๋ยวฉันไปดูก่อน”
“นั่งลง!”
หลิงเหยาดุเขาด้วยสายตา จากนั้นก็หันไปยิ้มแย้มพลางมองเยวี่ยติ้งถัง
“เป็นผู้หญิงแบบไหนบ้างเหรอจ๊ะ มีคนที่ยังไม่แต่งงานไหม เธอกับหลิงซูก็เป็นเพื่อนสมัยเรียนกัน พี่ก็ไม่ได้จะขออะไรหลิงซูเขามากมายหรอกนะ แค่อยากให้เขารีบมีครอบครัว ฝ่ายหญิงไม่ต้องร่ำรวยสูงส่งนักก็ได้ ขอแค่เป็นคนมีคุณธรรม ครอบครัวเป็นคนสุจริตก็พอแล้ว หลิงซูน่ะไม่เหมือนเธอ ทำงานอยู่สถานีตำรวจทั้งวัน เพื่อนร่วมงานก็มีแต่ผู้ชาย ผู้หญิงประเภทเดียวที่เจอก็คือผู้ต้องหา ถ้าให้เขาหาเองล่ะก็ อายุสามสิบก็ยังโสดอยู่แบบนี้แหละ!”
หลิงซูหนีไม่สำเร็จ ได้แต่ทำหน้าจนใจ “พี่ ให้แขกกินข้าวอย่างสบายใจไม่ได้หรือไง เดี๋ยวเขาก็ตกใจวิ่งหนีหรอก”
เยวี่ยติ้งถังกล่าว “ไม่เป็นไรครับพี่ ในมหาวิทยาลัยมีอาจารย์ผู้หญิงที่อายุเหมาะสมอยู่ไม่เยอะ แต่พี่สาวคนที่สามของผมรู้จักคนเยอะ เอาไว้ผมจะให้เธอช่วยดูให้นะครับ”
หลิงเหยาหน้าตาเบิกบาน ตอบรับคำไม่ขาดปาก
“ติ้งถัง เธอเก่งขนาดนี้คงจะมีครอบครัวแล้วใช่ไหม เอาไว้พามากินข้าวด้วยกันบ้างสิ พี่น่ะไม่มีอะไรอย่างอื่นเลย จะมีก็แต่ฝีมือการทำอาหารนี่แหละที่พอไหว”
เยวี่ยติ้งถังหัวเราะ “ยังไม่แต่งงานครับ คนที่บ้านเขาตามใจผมกัน พวกเขาไม่รีบครับ”
หลิงเหยาถอนหายใจ “เด็กเก่งๆ อย่างเธอน่ะไม่ต้องเศร้าไปหรอก คงมีผู้หญิงมาตามจีบเธอจนเข้าแถวยาวจากไว่ทันไปถึงซูเป่ย* นั่นแหละ ไม่เหมือนหลิงซู ต่อให้ยืนตะโกนเรียกลูกค้าอยู่ริมถนนใหญ่ยังไม่มีใครเอาเลย”
หลิงซู “…”
คนแซ่เยวี่ยยังแสร้งทำเป็นพูดสนับสนุนอีก “ไม่แน่นะครับ ตอนอยู่ข้างนอกหลิงซูอาจจะคบสาวอยู่แล้วแต่ไม่ได้บอกพี่ก็ได้”
หลิงเหยาเบ้ปาก “เขาน่ะนะ ขอแค่วันดีคืนดีไม่พาสาวเต้นรำกลับมาแล้วบอกว่าจะแต่งงานกับเธอ พี่ก็ต้องขอบคุณฟ้าดินแล้วล่ะ!”
หลิงซูอดบ่นไม่ได้ “พี่ คราวที่แล้วพี่ยังพูดอยู่เลยว่าขอแค่ผมยอมแต่งงาน ต่อให้พาสาวเต้นรำกลับมาพี่ก็ยอมน่ะ”
หลิงเหยาถลึงตาใส่เขา
สามวินาทีให้หลัง
“ติ้งถัง ก่อนหน้านี้เธอไปเรียนที่ต่างประเทศมากี่ปีเหรอ ทำไมไม่ส่งข่าวคราวกลับมาบ้างเลยล่ะ”
“เรียนที่ฝรั่งเศสสามปีครับ แล้วตอนหลังก็ตระเวนเรียนไปทั่วยุโรปอีกสองปี ไปหลายประเทศน่ะครับ”
“อย่างนี้เธอก็พูดภาษาทางยุโรปได้หมดน่ะสิ”
เยวี่ยติ้งถังถ่อมตัว “ไม่หรอกครับ ถ้าพูดภาษาอังกฤษกับฝรั่งเศสก็คล่องหน่อย นอกนั้นพวกภาษารัสเซียหรือสเปนก็พูดได้ไม่กี่ประโยค พอกลับมาไม่ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นภาษานั้นๆ ก็ลืมไปเยอะแล้วล่ะครับ”
หลิงเหยาเอ่ยชม “เก่งจริงๆ สมกับที่ไปเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย หลิงซูของพี่นี่ไม่ไหวเลย ตอนนี้ขนาดภาษาอังกฤษสองสามประโยคยังพูดไม่ค่อยจะถูก”
หลิงซู “…”
ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าเยวี่ยติ้งถังก็คือ ‘ลูกคนข้างบ้านยอดเยี่ยมเสมอ’ นั่นเอง ขอแค่มีเยวี่ยติ้งถังอยู่ เขาก็คงไม่ได้กินข้าวอย่างสงบสุขหรอก
“พี่ใหญ่ครับ จะพูดอย่างนั้นก็ไม่ได้ ยังไงตั้งแต่เล็กจนโตเราก็พูดภาษาจีน จู่ๆ ไปต่างประเทศก็ต้องไม่ชินอยู่แล้ว ผมเคยเห็นบางคนไปต่างประเทศตั้งหลายปีแต่พูดภาษาต่างประเทศไม่ได้สักคำด้วยซ้ำ พอเจอคนต่างชาติทีไรก็อ้ำๆ อึ้งๆ ทุกที”
เยวี่ยติ้งถังอธิบายไม่ช้าไม่เร็วจนเกินไปนัก
“ที่เธอพูดก็ถูก แต่ก็ไปเรียนต่างประเทศเหมือนกัน ยังไงเขาก็ควรจะเก่งสู้เธอได้บ้าง ไม่ใช่ห่วยกว่าเธออย่างนี้ ถ้าหลิงซูได้สักครึ่งของเธอพี่ก็คงไม่ต้องมาปวดหัวทั้งวี่ทั้งวันอย่างนี้หรอก”
หลิงเหยามองเขา ยิ่งมองก็ยิ่งมีแต่ข้อดี สีหน้าของเธอดูเบิกบาน น้ำเสียงก็อ่อนโยน ต่างกับเวลาพูดกับน้องชายตัวเองอย่างเห็นได้ชัด
“สมัยเรียนหลิงซูโดดเด่นมากเลยนะครับ แต่เพราะตอนนี้ทุกคนเรียนจบออกไปแล้วมีโชคชะตาต่างกัน ทิศทางไม่เหมือนกัน ถ้าดูจากความสามารถของหลิงซูแล้ว ไม่นานเขาคงมีวันที่โดดเด่นขึ้นมาได้แน่นอนครับ”
เยวี่ยติ้งถังพูดปลอบ เขามองหลิงซูที่ดูเฉยเมยไม่กลัวเกรงสิ่งใดแม้แต่ตอนอยู่ในคุก ซึ่งตอนนี้กำลังทำหน้าหมดอาลัยตายอยาก เห็นแล้วเขารู้สึกดีขึ้นมา
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 29 ม.ค. 65