everY
ทดลองอ่าน คน • สื่อ • วิญญาณ เล่ม 2 บทที่ 3 #นิยายวาย
บทที่ 3
“ดังนั้นนายเลยคิดว่าบริษัทที่มีชื่อว่า ‘ผูกวาสนา’ เป็นคนทำงั้นสิ”
ไอโม่ซินอ่านเนื้อหาในแฟ้มข้อมูลเสร็จก็เงยหน้ามองสือหมิงพร้อมถาม
“เก้าสิบเปอร์เซ็นต์” สือหมิงรินชาให้เขา พอนั่งลงก็ดันแฟ้มข้อมูลอีกสองเล่มมาให้ “ในบรรดาสามสกุลที่สามารถทำวิวาห์ผีได้ มีแค่สกุลกัวเท่านั้นแหละที่กล้าลากคนตายมาเกี่ยวข้องกับคนเป็น”
ไอโม่ซินขมวดคิ้วพลางเปิดอ่านแฟ้มข้อมูลอีกครั้ง ผูกวาสนาก็คือธุรกิจของสกุลกัว พวกเขาเชี่ยวชาญเรื่องการจัดวิวาห์ผี นอกจากนี้ยังขายสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับพิธีการแต่งงาน ของใหญ่หน่อยก็เป็นเรือนหอ คนรับใช้กระดาษติดตามเจ้าสาว เกี้ยวเจ้าสาวและรถต้อนรับแขก พวกของเล็กหน่อยก็เป็นช่อดอกไม้ ขนมมงคล รูปแต่งงาน ไปจนถึงการจัดเลี้ยงก็ยังทำ ใบปลิวราคาสินค้าที่อยู่บนแฟ้มข้อมูลระบุอาหารชุดเอาไว้มากมาย มีไปหมดทุกอย่าง อ่านแล้วเขาก็ถึงกับตกตะลึงจนตาค้าง
ถึงแม้ช่วงที่ไอโม่ซินเริ่มเรียนอักษรเถี่ยน ท่านแม่ของเขาจะเคยพูดว่านอกจากชนเผ่าเถี่ยนแล้วก็ยังมีผู้คนหรือบริษัท องค์กร และสกุลอีกมากมายที่กำลังทำงานใน ‘วงการ’ นี้ เพียงแต่เผ่าเถี่ยนนับว่าอยู่ในสถานะสันโดษ แทบจะไม่ได้ไปมาหาสู่กับคนในวงการเลย สิ่งที่พวกผู้อาวุโสสามารถบอกแก่เขาได้ส่วนมากจึงเป็นสถานการณ์เมื่อร้อยกว่าปีก่อน ในทางตรงกันข้าม สือจิ้งเจ๋อสามารถเปิดเผยเรื่องซุบซิบนินทาในวงการปัจจุบันให้เขาฟังได้ และสือหมิงก็สามารถเล่าเรื่องการกระจายอำนาจของวงการให้เขาฟังได้นิดหน่อย
“สกุลกัวผูกวาสนาคนเป็นให้คนตายจะไม่เสียบุญกุศลเหรอ” ไอโม่ซินไม่เข้าใจ
“นอกจากสกุลเจียงก็ไม่มีใครเขียนเรื่องการสั่งสมบุญกุศลเอาไว้ในกฎสกุลแล้ว” สือหมิงอธิบายอย่างสบายๆ “กฎของสกุลกัว คนเป็นต้องยินยอมถึงจะสามารถทำพิธีวิวาห์ผีได้”
“แต่เพื่อนของฉันไม่ได้ตกลง” ไอโม่ซินขมวดคิ้วมุ่นเปิดหาข้อมูลเพราะอยากจะดูว่าอำนาจของสกุลกัวแข็งแกร่งแค่ไหน ตนเองจะสามารถจัดการปัญหานี้ได้หรือเปล่า
สือหมิงคล้ายจะมองออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ “มีสกุลเจียงหนุนหลัง นายอยากจะเปิดโปงสกุลกัวก็ไม่มีปัญหาหรอก”
ไอโม่ซินมองฝ่ายตรงข้ามเงียบๆ ครู่หนึ่งโดยที่บนใบหน้าเขียนข้อกล่าวหาเอาไว้ชัดเจน สือหมิงพอจะรู้ได้จากสีหน้าของเขาว่าการพูดแบบนี้คงไม่ดีนัก จึงขบคิดและพูดเสริมไปอีกประโยค “คนในวงการก็ไม่ต่างอะไรกับคนทั่วไป ทุกคนต้องดูเบื้องหลัง ถ้าพูดเรื่องความสามารถนายก็เอาชนะสกุลกัวได้อยู่แล้ว แต่ถ้าพูดเรื่องอำนาจ สกุลกัวเริ่มเล่นการเมืองตั้งแต่ยี่สิบปีก่อน เพราะแบบนั้นเลยใช่ว่าจะหาเรื่องได้ง่ายๆ สำหรับศาลคนกระดาษของฉัน ถ้าไม่ใช่ว่าฉันมีอารามหลวงเจิ้งหลงหนุนหลังอยู่ล่ะก็ ชีวิตคงไม่มีทางสงบสุขหรอก”
เป็นเรื่องยากที่สือหมิงจะอธิบายมากมายขนาดนี้ในอึดใจเดียว ไอโม่ซินคิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าตัวเองมัวแต่เสียเวลาจัดการปัญหาที่แก้ไม่ได้ ถึงแม้เขาจะไม่อยากพึ่งพาสกุลเจียง แต่ในความเป็นจริงถ้าไม่มีเจียงหลีอยู่ด้วย ตลอดหลายปีมานี้จะไม่มีใครมาขัดขวางเขาได้ยังไง
เขานึกถึงตอนที่เพิ่งรับสืบทอดเผ่าเถี่ยน หลังจากทำการสืบทอดอย่างเป็นทางการแล้วท่านตาก็บอกให้เขาไปเยี่ยมเยือนท่านสือแห่งอารามหลวงเจิ้งหลง
ท่านตามีสีหน้าเคร่งขรึมไม่ยิ้มแย้มพร่ำเพรื่ออยู่เสมอ และบ่อยครั้งที่เขามักจะเห็นความโศกเศร้าเล็กน้อยบนใบหน้าเรียบนิ่งของชายชรา แต่ท่านยายกลับยกยิ้มอย่างมีความสุขอยู่ด้านหลังของท่านตา ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ถามมากมาย ในสุดสัปดาห์นั้นเขาจึงไปเยี่ยมเยือนท่านสือแห่งอารามหลวงเจิ้งหลง
ท่านสือและท่านตามีนิสัยแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ท่านสือมีนิสัยอ่อนโยน มักจะยกยิ้มจนตาหยี หลังจากที่รู้ว่าเขาเป็นคนของเผ่าเถี่ยนก็เป็นกันเองกับเขายิ่งกว่าเดิม ทั้งยังถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของท่านตาท่านยายของเขา และถามถึงบรรดาลุงป้าน้าอาอีกต่างหาก ดูเหมือนจะค่อนข้างสนิทสนมกับผู้อาวุโสในครอบครัวของเขาเลยทีเดียว เขาเองก็เคารพนบนอบเหมือนผู้น้อยที่รู้จักกันมานาน ตอบกลับแต่ละคำถามและบอกว่าผู้อาวุโสของตัวเองสบายดี
วันนั้นท่านสือยังสอนกฎในวงการนิดๆ หน่อยๆ ให้เขา และยังแนะนำบริษัทกับสกุลที่มีการเคลื่อนไหวค่อนข้างบ่อยให้เขาอีกด้วย ซึ่งในบรรดาคนเหล่านั้นก็รวมไปถึงสกุลเจียงและมังกรวารีในตำนานของสกุลเจียง
เขาคิดซะว่าเป็นการฟังนิทานและไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีวันที่ตัวเองได้พบเจอกับมังกรตัวนั้น
บางทีอาจจะเป็นโชคร้าย หรือบางทีอาจจะวาสนาไม่ดี วันนั้นท่านเทพก็ไม่อยู่พอดี ท่านสือเลยรู้สึกเสียดายนิดหน่อย แต่ก็เรียกคนรุ่นหลังของตระกูลสือที่อยู่ในอารามวันนั้นมาทักทายสี่ห้าคน เด็กวัยรุ่นกลุ่มนั้นพออยู่ต่อหน้าท่านสือก็ว่านอนสอนง่ายมาก แต่ละคนต่างยิ้มแย้มให้เขา แต่พอท่านสือหันหลังไปก็ทำหน้าตาบึ้งตึงไร้อารมณ์ไปหมด เขารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เป็นที่ต้อนรับอะไรนัก ไม่รู้ว่าท่านสือมองออกว่าเขาคิดอะไรอยู่หรือมีตาหลังคอยจับจ้องพวกเด็กน้อยตระกูลสือเหล่านั้น ท่านสือถึงได้พูดขึ้นมาด้วยใบหน้าอ่อนโยนว่า ‘ในสกุลของฉันมีเด็กอยู่สองคน ไว้มีโอกาสก็มาทำความรู้จักสักหน่อยสิ อายุของพวกเธอไม่ต่างกันมาก น่าจะเข้ากันได้’
ตอนที่ท่านสือพูดแบบนั้น พวกวัยรุ่นที่อยู่ด้านหลังเขาบ้างก็ขมวดคิ้วบ้างก็ทำหน้าเหยเก และบางคนก็ทำหน้าโกรธเกรี้ยวออกมาตรงๆ
‘ครับ ท่านปู่สือ’
ปากไอโม่ซินตอบตกลงไปแบบนั้น แต่ในใจกลับตัดสินใจแล้วว่าจะรักษาระยะห่างกับตระกูลสือ ท่านสือเป็นกันเอง แต่เด็กตระกูลสือไม่เหมาะจะไปมาหาสู่ เขายังอายุน้อยและเป็นมือใหม่ในวงการนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่อยากถูกเหมารวมว่าเป็นคนที่มาเกาะต้นขาของอารามหลวงเจิ้งหลง ในเมื่อเขาไม่ได้พบท่านเทพก็ถือว่าวาสนาไม่ถึง ส่วนเด็กดีสองคนของท่านสือก็คงต้องแล้วแต่โชคชะตา เมื่อเขามาเยี่ยมเยือนท่านสือแล้ว หลังจากนั้นก็โทรศัพท์ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบอยู่เป็นประจำ เทศกาลปีใหม่ก็มาทักทายถึงประตูบ้าน ตราบใดที่ไม่เสียมารยาทก็เป็นอันใช้ได้
ตอนที่เขาเล่าบทสรุปของเขาให้ท่านตาฟัง สีหน้าเคร่งขรึมเป็นนิตย์ของท่านตาก็ดูเหมือนจะอ่อนโยนลงเล็กน้อย ถึงจะไม่ได้เอ่ยปากพูด แต่บนใบหน้าของท่านตาก็ฉายแววปลื้มใจและรู้สึกเสียใจน้อยๆ ในทางกลับกันมันกลับทำให้เขาเข้าใจในเหตุผลที่ถึงแม้ท่านตาจะไม่เต็มใจ แต่ก็บอกให้เขาไปเยี่ยมเยือนท่านสือด้วย
เพราะถึงแม้เบื้องหลังของตัวเองจะมีเผ่าเถี่ยนกว่าพันคนคอยปกป้อง แต่ในความเป็นจริงเขาก็เป็นเพียงแค่เด็กคนหนึ่ง ไม่มีภูมิหลังและไม่มีฐานะ เดิมทีเขาก็ไม่ได้วางแผนจะเข้าไปในวงการอย่างจริงจังอยู่แล้ว เขาแค่อยากเป็นเหมือนท่านแม่ พบเจอกับอะไรก็จัดการกับอันนั้น หากไม่ได้พบเจออะไรก็ตั้งใจเรียนหนังสือไปแต่โดยดี มีชื่อเสียงจากผีสู่ผีและจากคนสู่คน ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีงานมาถึงที่ เขาทำแบบนี้มาตั้งนานหลายปีก็ไม่ได้มีคนดังในวงการมาหาเรื่อง คนในวงการคนแรกที่เขาได้พบเจอก็คือเจียงเฉิงฟางและได้ขึ้นเรือสกุลเจียงมาตั้งแต่นั้น
ต่อมาไม่นานก็ไปศาลคนกระดาษและได้รู้จักกับสือหมิง ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะมีคนคุ้นเคยนอกจากเพื่อนร่วมชั้นสักคน หนำซ้ำคนคนนี้ยังรู้ตัวตนของเขาจริงๆ ด้วย ทั้งยังเข้าใจว่าเขากำลังทำอะไร ฉะนั้นสำหรับเขาแล้วก็เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนแท้ได้เลยทีเดียว
สือหมิงพูดน้อยและเย็นชา ตัวเขาเองก็ไม่ได้มีนิสัยชอบพูดคุยหยอกล้อ มีแค่ตอนที่ต้องการเติมกระดาษเท่านั้นถึงจะมาที่ศาลคนกระดาษ บางทีชนเผ่าเถี่ยนอาจจะชอบป่าไผ่แห่งนี้ หรือบางทีถึงแม้คำพูดคำจาของเจียงหลีจะแฝงความรังเกียจ แต่ก็ยังเกรงใจศาลคนกระดาษอยู่ ตอนที่เขาอยู่กับสือหมิงก็ดูเป็นธรรมชาติมาก เวลาที่เขามีปัญหาก็ไม่ได้รู้สึกเกรงใจสือหมิง และถ้าหากสือหมิงต้องการให้เขาช่วยเหลือก็จะส่งกระดาษมาขอให้เขาเขียนอักษร ทั้งสองคนไปมาหาสู่อย่างตรงไปตรงมาและเข้ากันได้ดี
สือหมิงยังหาเวลาว่างพาเขาไปเจอท่านเทพที่อารามหลวงเจิ้งหลงด้วย เวลาอยู่ต่อหน้าสือหมิงพวกเด็กที่เคยไม่ชอบเขาในตอนนั้นก็ว่านอนสอนง่ายยิ่งกว่าตอนที่อยู่ต่อหน้าท่านสือซะอีก พอลับหลังสือหมิงก็ไม่กล้าก่อเรื่อง แต่ก็อาจจะเป็นเพราะท่านน้าแปดคน ท่านลุงสามคน รวมถึงท่านตาของเขายืนอยู่ด้านหลังเขาก็เป็นได้
เขาไม่ใช่เด็กชายวัยสิบสองปีผู้อ่อนแอที่มาเยี่ยมเยือนท่านสือถึงบ้านจนถูกหาว่ามากอดต้นขาหาผลประโยชน์อย่างในอดีตอีกแล้ว และยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเขายังมีคู่หมั้นที่วางมาดใหญ่โต ต้องรอให้ท่านเทพมาเชิญถึงจะยอมเข้าประตูไปอีกต่างหาก สือหมิงเองก็ไม่ได้สนใจและยืนอยู่ที่หน้าประตูอารามเป็นเพื่อนเขาตั้งนานสองนาน รอคอยให้ท่านเทพออกมาต้อนรับแขกแล้วค่อยเข้าไปเป็นเพื่อนเขา รุ่นสองรุ่นสามของตระกูลสือที่ไม่อาจเรียกได้ว่าเด็กน้อยต่างยืนเรียงแถวอยู่ด้านในและก้มหน้าก้มตาด้วยท่าทางเคารพนบนอบ พวกเขามองไม่เห็นท่านเทพและเจียงหลีที่ทักทายกัน แต่เห็นสือหมิงนำไอโม่ซินเข้าประตูมา ทั้งยังเปิดปากบอกเล่าสถานการณ์ในอารามหลวงเจิ้งหลงอย่างน่าแปลกใจสุดๆ ด้วยน้ำเสียงทื่อๆ ทว่าอ่อนโยนมาก เด็กตระกูลสือหลายคนมองดูด้วยความตกตะลึงจนตาค้าง มีเพียงคนที่มีท่าทางเป็นธรรมชาติคนหนึ่งเท่านั้นที่สือหมิงเรียกมารินชา สือหมิงเอ่ยแนะนำว่าเขาคือสือจิ้งเจ๋อ เป็นลูกคนที่สาม ขณะที่อีกฝ่ายรินชาให้เขาด้วยรอยยิ้ม สือหมิงก็ให้สือจิ้งเจ๋อไปยกชามาให้ท่านเทพกับแขก และถึงแม้ว่าสือจิ้งเจ๋อจะมองไม่เห็น แต่จุดที่วางถ้วยชากลับแม่นยำมาก
เจียงหลีมองดูสือจิ้งเจ๋อแวบหนึ่งก่อนหันไปชมกับท่านเทพว่าเขาดูเฉลียวฉลาดมีไหวพริบมาก ท่านเทพหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ปากก็พูดอย่างไม่ใส่ใจสองสามประโยค แต่ก็มองออกว่านี่คือคนที่เขารักใคร่ทะนุถนอมมากที่สุดในบรรดาเด็กตระกูลสือ
ไอโม่ซินและสือหมิงเองก็ได้แต่นั่งดื่มชากินขนมอยู่ตรงนั้น รอให้เขาเข้าไปในประตูอารามแล้วถึงค่อยออกมา มีเพียงท่านลุงใหญ่อยู่ข้างกายคล้ายไม่อยากเข้าใกล้อารามหลวงเจิ้งหลง สือจิ้งเจ๋อมีหน้าตาซื่อๆ แต่ความจริงกลับเฉลียวฉลาดมาก บางทีเจ้าตัวอาจจะมองออกว่าท่านอาเล็กของตนกับท่านผู้นำไอคนนี้เพียงแค่มาอยู่เป็นเพื่อนระหว่างที่ท่านเทพพูดคุยกับผู้อาวุโสชนเผ่าเถี่ยนบางคนเท่านั้น สือจิ้งเจ๋อจึงหาโอกาสเอ่ยปากพูดคุยกับไอโม่ซิน สิ่งที่ไม่คาดคิดก็คือสือหมิงดูเหมือนจะไม่ได้คัดค้าน
ตอนนั้นสือจิ้งเจ๋อทำให้เขาประทับใจในความจริงใจและความตรงไปตรงมา ด้วยเหตุนั้นในเวลาต่อมาเมื่อเทียบกับสือหมิงแล้ว คนที่เขาติดต่อด้วยมากที่สุดกลับกลายเป็นสือจิ้งเจ๋อ กระทั่งเขาพบว่าแท้จริงแล้วสือจิ้งเจ๋อเป็นจิ้งจอกน้อยที่มีโฉมหน้าธรรมดาสามัญ เขาก็คุ้นเคยจนไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยแล้ว
แต่คราวนี้ไอโม่ซินไม่ได้มาหาสือจิ้งเจ๋อ เขาคิดว่าเรื่องของเจียงอี๋อันคงไม่สามารถแก้ไขได้ง่ายขนาดนั้น ดังนั้นหลังจากที่เขาโทรศัพท์มาแล้วจึงตรงมาหาสือหมิงที่ศาลคนกระดาษทันที
“มันก็ถูก ฉันคิดมากไปเอง” ไอโม่ซินถอนหายใจ ขณะที่กำลังคิดจะปิดแฟ้มข้อมูลในมือทั้งหมด จู่ๆ เขาก็มองเห็นตัวอักษรเล็กๆ บรรทัดหนึ่งที่มุมกระดาษข้อมูล เขาตกตะลึงไปเล็กน้อย เมื่ออ่านอย่างถี่ถ้วนก็พบว่าตัวอักษรเล็กๆ บรรทัดนั้นเขียนไว้ว่า ‘เอกสารลับกองงานบุคคลกรมตำรวจนครบาล’
สือหมิงเห็นเขาหน้าเปลี่ยนสีฉับพลัน พอมองตามสายตาไปก็รู้ว่าเขากำลังอ่านอะไรอยู่ เจ้าตัวถามด้วยความสงสัยเล็กน้อย “นายไม่รู้เหรอ”
“คดีนี้เป็นของพวกเราเหรอ ฉันไม่รู้จริงๆ นายไปเอามาจากไหน” ไอโม่ซินถามด้วยความประหลาดใจสุดๆ
“ตอนรับช่วงต่อศาลคนกระดาษมันก็อยู่นี่แล้ว” สือหมิงหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง “หัวหน้าของพวกนายไม่เคยเล่าเรื่องห้องเก็บเอกสารของพวกนายให้ฟังเหรอ”
“ไม่เลย พวกเรามีห้องเก็บเอกสารด้วยเหรอ” ไอโม่ซินแปลกใจยิ่งกว่าเดิม
สือหมิงมองเขาอ่านอยู่เงียบๆ ใบหน้านิ่งสนิทฉายแววล้ำลึกเล็กน้อยอย่างหาได้ยาก “คงไม่ใช่ว่านายไม่รู้ว่าพวกนายมีการลงทะเบียนขอความช่วยเหลือจากภายนอกหรอกนะ”
สือหมิงเห็นไอโม่ซินอึ้งกิมกี่อยู่ตรงนั้นก็รู้แล้วว่าเขาไม่รู้จริงๆ “…แล้วที่นายทำงานมาครึ่งปีกว่านี่นายทำอะไรอยู่”
“ดูแฟ้มคดีของวันก่อนๆ ว่าต้องการให้ช่วยหรือเปล่า…” ไอโม่ซินตอบกลับไปด้วยความมึนงงเล็กน้อย หลังจากที่เขาเข้ามาในหน่วยคดีพิเศษ เจียงเฉิงฟางก็ไม่เคยเรียกเขาไปทำคดีอะไร ส่วนเอกสารทั้งหมดอวี๋จิ้งเอินที่มาก่อนเขาก็เป็นคนทำ ถ้าเจียงเฉิงฟางไม่ได้เล่นเกมคอมพิวเตอร์ทั้งวันก็จะสร้างไฟล์เก็บข้อมูลอะไรสักอย่าง ไอโม่ซินเคยถามว่าอยากให้เขาช่วยหรือเปล่า เจียงเฉิงฟางก็บอกว่าเขาไม่ต้องทำเรื่องพวกนี้ เขาถึงกับไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจียงเฉิงฟางกำลังสร้างไฟล์อะไรอยู่กันแน่ บางครั้งอวี๋จิ้งเอินก็จะยกกล่องมาเปิดรายละเอียดและทำการลงทะเบียน เขาเคยเหลือบมองแวบหนึ่งด้วยความสงสัยใคร่รู้ ก็พบว่ามันเหมือนจะเป็นวัตถุเวท
‘นี่คือวัตถุเวทเหรอครับ’
ตอนนั้นไอโม่ซินถามเจียงเฉิงฟางด้วยความอยากรู้อยากเห็น อีกฝ่ายสวมถุงมือตรวจสอบและนับจำนวนกับอวี๋จิ้งเอินพลางหันกลับมาพูดกับเขายิ้มๆ ‘ใช่แล้ว ของพวกนี้จำเป็นต้องลงทะเบียน ก็แค่เรื่องเล็กน้อยน่ะ พวกเราทำได้’
ไอโม่ซินเองก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเจียงเฉิงฟางไม่กล้าให้เขาทำหรือไม่อยากให้เขาทำกันแน่ เขาลังเลอยู่นานสุดท้ายก็ไม่ได้ถาม ดังนั้นตราบใดที่มีคดีเขาก็จะแย่งไปทำก่อนหน้าเจียงเฉิงฟาง อย่างน้อยถ้าเขาหนีไปลงภาคสนามก็คงไม่มีปัญหาอะไร
สือหมิงนับถือเขาจริงๆ แต่ค่าแรงของหน่วยคดีพิเศษก็ต่ำเกินไปหน่อย อาจเพราะว่าเมื่อมีคดีไอโม่ซินถึงออกไปทำ ซึ่งถ้าคิดแบบนี้ก็พอจะเข้าใจได้ และยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเขาคือคู่บำเพ็ญเพียรของเจียงหลีด้วย ถ้าเจียงเฉิงฟางไม่เสนองานดีๆ ให้เขา กลับบ้านไปชีวิตอาจจะสั้นลงครึ่งหนึ่งก็ได้
ไอโม่ซินนึกถึงวัตถุเวทเหล่านั้นก่อนเอ่ยด้วยความสงสัย “ฉันเคยเห็นหัวหน้ากับพี่อวี๋ลงทะเบียนวัตถุเวทอยู่บ่อยๆ”
“พวกนายเป็นข้าราชการ วัตถุเวทที่ทุกคนใช้ก็ต้องให้พวกนายตรวจสอบและลงทะเบียนสิ” สือหมิงตอบอย่างจนปัญญา
“นายบอกว่าทั้งวงการเลยเหรอ” ไอโม่ซินอึ้งแล้วอึ้งอีก เมื่อเห็นสือหมิงแทบจะกลอกตาก็ถามต่ออีกครั้ง “พวกเขามีกันแค่สองคน จะลงทะเบียนวัตถุเวทเยอะแยะมากมายขนาดนั้นได้ไง”
คราวนี้สือหมิงกลอกตาใส่เขาแล้วจริงๆ จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องแล้วหยิบกล่องใบหนึ่งออกมาวางลงบนโต๊ะเสียงดังตึง “ในเมื่อนายมาแล้วก็ถือโอกาสเอาไอ้นี่กลับไปด้วยแล้วกัน”
ไอโม่ซินลุกขึ้นเปิดกล่องกระดาษก็พบว่าเป็นวัตถุเวทกล่องหนึ่ง วัตถุเวททุกชิ้นล้วนติดหมายเลขประจำตัวเอาไว้ แถมยังมีหนังสือรับรองอีกเป็นตั้ง จากการรับรองของศาลคนกระดาษก็พิสูจน์ได้ว่าวัตถุเวททุกชิ้นภายในกล่องล้วนถูกตรวจสอบแล้วและไม่มีของสุ่มเสี่ยงที่เป็นอันตรายต่อผู้คน
“…เพราะงั้นนายถึงเรียกว่าการขอความช่วยเหลือจากภายนอกสินะ” ไอโม่ซินรู้สึกเก้อเขินเล็กน้อย สือหมิงไม่อยากตอบแล้วเลยเติมชาให้เขาอีกหน่อยไปเลย
“นายกลับไปคุยเรื่องสาเหตุของหน่วยคดีพิเศษกับหัวหน้าพวกนายดีกว่า” สือหมิงแนะนำ
ไอโม่ซินเองก็คิดว่าตัวเองคงต้องเลิกคิดเรื่องเจียงหลีไปก่อนแล้วไปตกลงเรื่องงานกับเจียงเฉิงฟางให้ดีถึงจะถูก เมื่อมองตัวอักษรเล็กๆ ตรงมุมเอกสารเขาก็อดรู้สึกโมโหขึ้นมานิดๆ ไม่ได้ “ถ้ารู้ว่ามีคดีตั้งแต่แรก ฉันไปเช็กดูที่ห้องเก็บเอกสารก็ได้”
สือหมิงมองเขาแวบหนึ่งก่อนนำแฟ้มข้อมูลพวกนั้นมาซ้อนกันให้เรียบร้อย “ห้องเก็บเอกสารเปิดไม่ออกตั้งแต่ยี่สิบสี่ปีก่อนแล้ว”
เมื่อเห็นสีหน้าของสือหมิง ไอโม่ซินก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายยังพูดไม่จบ สุดท้ายสือหมิงก็วางแฟ้มเอกสารกลับเข้าไปในตู้แล้วมานั่งลงตรงหน้าเขาพร้อมพูดด้วยสีหน้าราบเรียบ “ก็วันที่ฉันเกิดนั่นแหละ”
ไอโม่ซินได้ยินแบบนั้นก็ตกใจ ส่วนสือหมิงก็ได้แต่ยักไหล่ “ไม่มีใครรู้ว่าทำไม หัวหน้าคนก่อนของพวกนายมาหาคุณลุง แต่ลุงก็เปิดไม่ออก คิดจะเชิญท่านเทพแต่ท่านไม่สนใจ สุดท้ายลุงเลยลงไปถามทางปรโลก หลังจากกลับมาก็บอกว่าพญายมเป็นคนล็อกเอาไว้ เมื่อถึงเวลาที่ควรจะเปิดก็จะเปิดออกเอง ไม่มีใครรู้ว่าทำไม”
ไอโม่ซินไม่ค่อยได้เห็นสือหมิงพูดเยอะขนาดนี้ ถึงพวกเขาจะรู้จักกันแค่สามปีแต่ก็สนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว พออยู่ด้วยกันก็เหมือนเพื่อนเก่าแม้จะไม่ได้เจอกันบ่อยนัก รวมกับการที่เจียงหลีดีต่อศาลคนกระดาษมากกว่าอารามหลวงเจิ้งหลง นอกจากพวกเขาจะมีสายเลือดผีแล้ว เขาก็เดาว่ายังมีเหตุผลอื่นอีก
ไอโม่ซินไม่ได้ลังเลนานนัก เขาโน้มกายไปด้านหน้าก่อนพูดกับสือหมิงอย่างจริงจัง “ฉันเคยบอกนายแล้วใช่มั้ยว่าเจียงหลีพูดถึงเรื่องการหมั้นหมายตอนที่ฉันอายุสิบเจ็ดปี”
สือหมิงไม่แน่ใจว่าทำไมจู่ๆ เขาถึงพูดเรื่องนี้เลยได้แต่พยักหน้าเป็นการบอกว่าตนเองจำได้
แม้ว่าเจียงหลีอาจจะไม่ได้ยินเวลาที่พูดคุยกันในศาลคนกระดาษ แต่ไอโม่ซินก็ยังพูดเสียงเบา “ตอนนั้นเจียงหลีบอกฉันว่าภายในสิบห้าปีปรโลกจะต้องเกิดความเปลี่ยนแปลง ถ้าฉันเลือกเขา เขาก็สามารถปกป้องเผ่าเถี่ยนของฉันได้”
สือหมิงคิดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องแบบนี้ ความคิดหลายอย่างวนเวียนอยู่ในหัว แต่ก็ยังไม่มั่นใจว่าการเกิดของเขาและการที่ห้องเก็บเอกสารถูกล็อกจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ปรโลกอาจเกิดความเปลี่ยนแปลงในวันข้างหน้าจริงหรือเปล่า สือหมิงจ้องไอโม่ซิน คิดว่าแม้แต่เรื่องนี้อีกฝ่ายก็ยังสามารถพูดออกมาได้ นับว่ามีความจริงใจต่อกันเลยทีเดียว ขณะที่คิดว่าจะตอบกลับไป ไอโม่ซินก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง
“ไม่งั้นให้ฉันกลับไปถามเจียงหลีมั้ย”
สือหมิงคิดไปคิดมาก็ยกยิ้มส่ายหน้าพูด “ไม่ต้องหรอก ถ้าในอนาคตปรโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงจริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับฉัน ต่อให้ฟ้าถล่มก็คงไม่ใช่เรื่องที่พวกเราต้องจัดการ เหนือนายมีเจียงหลี เหนือฉันก็มีท่านเทพอยู่”
ไอโม่ซินย่อมรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว เขาเพียงแค่อยากพูดเรื่องอื่นที่ทำให้สือหมิงไม่ต้องคิดถึงเรื่องตอนที่ตนเองเกิดอีก การถูกพ่อแม่ทอดทิ้งตั้งแต่เกิดนับเป็นเรื่องน่าเศร้าสำหรับทุกคน แต่ในใจเขาก็ยังจำได้ว่าต้องกลับไปจัดการเรื่องห้องเก็บเอกสารให้เรียบร้อย ถ้าเจียงเฉิงฟางไม่สามารถบอกสาเหตุได้ เขาก็จะไปถามเจียงหลี
ภายในห้องเงียบไปชั่วครู่ ทั้งสองต่างคนต่างกำลังครุ่นคิด คนที่ได้สติกลับมาก่อนก็คือสือหมิงซึ่งเป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้นว่า “สกุลกัวนั่น ให้ฉันไปทักทายหน่อยมั้ยล่ะ”
ไอโม่ซินยกยิ้ม “ไม่ต้องหรอก ก็อย่างที่นายพูดนั่นแหละ ฉันเป็นคนของเผ่าเถี่ยน ฉันสามารถไปถามให้รู้เรื่องถึงที่ได้ ถ้าต้องล่วงเกินคนอื่น ข้างหลังฉันก็ยังมีสกุลเจียงยืนอยู่ จะกลัวอะไร”
สือหมิงก้มหน้าก้มตาตัดกระดาษไปพร้อมรอยยิ้ม แบบนี้แสดงว่าอารมณ์ของเขากลับมาเป็นปกติแล้ว ไอโม่ซินดูเขาหยิบกระดาษสีเหลืองแผ่นหนึ่งมาตัดเป็นกระเรียนกระดาษ ใช้กรรไกรตัดที่ปีกแต่ละข้าง จากนั้นก็หยิบหินก้อนเล็กๆ มาติดลงบนหลังของนกกระเรียน ไอโม่ซินมองออกว่าคนที่เกี่ยวข้องกับกระเรียนกระดาษตัวนี้น่าสงสารขนาดไหน
“น้องแปดของบ้านพวกนายซนอีกแล้วเหรอ” ไอโม่ซินกลั้นขำ มองดูเขาวางกระเรียนกระดาษกลับลงไปในตู้ท่ามกลางกระเรียนกระดาษตัวน้อย
“ยิ่งโตก็ยิ่งไม่เอาไหน ต่อให้ช่วยชีวิตกลับมาก็คงต้องหักขาทั้งสองข้างของเขาซะ” สือหมิงกระซิบเสียงเย็น
ไอโม่ซินมองดูกระเรียนกระดาษสีแดงฟ้าอย่างละตัวที่อยู่ด้านหน้าสุด เขารู้สึกขำนิดๆ ทั้งยังรู้สึกขอบคุณน้ำใจของสือหมิงด้วย
กระเรียนกระดาษสีแดงตัวนี้ก็คือตัวที่สือหมิงตัดให้เขาปีที่แล้ว อีกฝ่ายบอกว่าสีแดงคือเพื่อน สีน้ำเงินคือญาติพี่น้อง
ที่เขามาขอคำแนะนำเรื่องวิวาห์ผีจากสือหมิงในคราวนี้ก็เพราะ…หนึ่ง เขารู้จักเพียงพิธีวิวาห์ผีเมื่อร้อยกว่าปีก่อนเท่านั้น แต่เขาไม่รู้ว่าประเพณีในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างไรแล้ว สอง ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยเห็นมาก่อน แต่สือหมิงก็เคยบอกว่าเขามีน้องชายที่สามารถมองเห็นเส้นสมรสได้
ในระหว่างที่สือหมิงกำลังพูดคุยกับเขาก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมาได้อย่างเป็นธรรมชาติสุดๆ เมื่อพูดจบทั้งสองคนก็ต้องตกตะลึง
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันคนที่สามารถมองเห็นเส้นสมรสได้นั้นหายากมาก ถ้าคนประเภทนี้ถูกพบตัวเข้าก็อาจจะตกอยู่ในอันตรายอันใหญ่หลวงได้ ไอโม่ซินรีบแสดงออกเป็นการบอกว่าตนเองไม่มีทางแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด ในระหว่างที่กำลังคิดว่าต่อให้เจียงหลีอารมณ์เสียเขาก็ต้องสาบานออกไป สือหมิงก็จ้องมองเขาก่อนจะส่ายหน้าไปมาเป็นการบอกว่าไม่เป็นไร จากนั้นก็หยิบกระดาษสีแดงแผ่นหนึ่งมาเริ่มตัดกระเรียนกระดาษให้เขา ตัดเสร็จก็วางเอาไว้ด้านข้างกระเรียนกระดาษสีน้ำเงินที่โดดเด่นสะดุดตาที่สุดตัวนั้น
เมื่อไอโม่ซินได้ยินเขาอธิบายสั้นๆ เรื่องความแตกต่างของสีกระเรียนกระดาษก็หัวเราะออกมา เขาเข้าใจความรู้สึกที่สือหมิงไม่ได้พูดออกมาแล้ว สือหมิงเห็นว่าเขาเป็นเพื่อนจึงพูดเรื่องนี้ออกมาโดยไม่ได้ระแวดระวังและเชื่อว่าเขาสามารถรักษาความลับได้ จากนั้นก็ตัดกระเรียนกระดาษที่ยืนยันความปลอดภัยในชีวิตเพื่อเพื่อนอย่างเขาด้วย
ไอโม่ซินละสายตากลับมาจากบรรดากระเรียนกระดาษ “ฉันยังมีเรื่องอยากจะถามหน่อย ฉันเห็นเส้นสมรสบนมือของเพื่อนฉันเป็นสีแดงแล้ว นายรู้หรือเปล่าว่ามีวิธีอะไรบ้างที่จะสามารถตัดเส้นสมรสได้”
สือหมิงส่ายหน้า “ถ้าเส้นสมรสเปล่งแสงจนนายสามารถมองเห็นได้ ก็แสดงว่าเส้นถูกเชื่อมสำเร็จแล้ว อีกฝ่ายจะต้องแต่งเจ้าสาวเข้าบ้านในช่วงชิงหมิงและบันทึกลงผังสกุลแน่นอน นายต้องรีบไปคุยกับสกุลกัวนั่น”
ไอโม่ซินถอนหายใจ “รู้แล้ว ขอบคุณนะ”
สือหมิงยักไหล่ ก่อนที่ไอโม่ซินจะลุกขึ้นเตรียมตัวจากไปเขาก็เรียกเจ้าตัวเอาไว้ก่อน จากนั้นก็ดึงกรรไกรเล่มเล็กๆ ออกมาจากใต้โต๊ะ เป็นกรรไกรด้ามทองเหลืองกลมมนสลักลายดอกไม้ ปากกรรไกรยาวประมาณสองเซนติเมตรถูกขัดเงาจนมันวาว
“เผื่อเอาไว้” สือหมิงยัดกรรไกรเล่มนั้นให้เขา “หลังชิงหมิงค่อยคืนให้ฉัน”
ไอโม่ซินลังเลอยู่สักพักกว่าจะรับมา “ขอบใจนะ”
สือหมิงโบกมือเพื่อเป็นการบอกว่าไม่ต้องเกรงใจ ไอโม่ซินเองก็รู้นิสัยของเขาดีจึงหมุนตัวออกไปจากศาลคนกระดาษ
ไอโม่ซินเรียกรถเสร็จแล้ว ระหว่างที่กำลังรอรถก็มองไปยังข้อมูลบริษัทผูกวาสนาที่บันทึกลงในโทรศัพท์ เขาครุ่นคิดอยู่ตลอดจนกระทั่งรถเคลื่อนมาจอดตรงหน้าเขา หลังจากขึ้นรถไปเขาก็มองดูโทรศัพท์ด้วยความลังเลสักพัก สุดท้ายก็ถอนหายใจ “ไปกรมตำรวจนครบาลครับ”
ไอโม่ซินลูบกรรไกรที่อยู่ในกระเป๋าแล้วคิดถึงเรื่องห้องเก็บเอกสารขึ้นมาอีกครั้ง สุดท้ายก็ตัดสินใจว่าจะให้ความสำคัญกับเรื่องของเจียงอี๋อันมากกว่า
เหลือเวลาอีกเพียงสิบสองวันเท่านั้นก่อนเทศกาลชิงหมิงจะมาถึง
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 30 ม.ค. 66