everY
ทดลองอ่าน คน • สื่อ • วิญญาณ เล่ม 3 บทนำ-บทที่ 1 #นิยายวาย
บทที่ 1
เขาได้ยินเสียงฝีเท้า
จากบริเวณโถงทางเดินด้านนอกประตูบ้าน ค่อยๆ ดังใกล้เข้ามาจากที่ไกลๆ จังหวะก้าวย่างลากเท้าเล็กน้อย ดังชัดเจนเป็นพิเศษในยามค่ำคืน
ตึก…ครืด…ตึก
ครืด…ตึก
…ครืด…ตึก
ตึก…ตึก…ครืด…
เขาขดตัวร่างกายสั่นระริกอย่างไม่อาจควบคุมอยู่ในผ้าห่ม หวังเพียงว่าเสียงฝีเท้านั่นยิ่งห่างจากเขาไปเท่าไรยิ่งดี
แต่เสียงลากฝีเท้าที่น่ากลัวนั่นมีแต่จะใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ใกล้จนเขาสามารถสัมผัสได้ว่าเจ้าสิ่งนี้อยู่ที่หน้าประตูห้อง
ช่วยด้วย…ใครก็ได้ช่วยฉันด้วย…
เขาหลับตาทั้งสองข้างแน่นและภาวนาให้นี่เป็นเพียงฝันร้าย แต่กลับได้ยินเสียงกลอนประตูถูกเปิดออกอย่างชัดเจน
คลิก
ช่วยฉันด้วย…
ประตูถูกเปิดออก เกาเฉิงย่วนเอื้อมมือคลำหาสวิตช์เปิดโคมไฟบนผนังท่ามกลางความมืดมิด จากนั้นภายในห้องนั่งเล่นจึงมีแสงไฟสีเหลืองอบอุ่นสว่างวาบขึ้นมา
“ขอโทษครับ คุณป้าน่าจะลืมเปิดไฟทิ้งไว้ก่อนออกจากห้อง” เกาเฉิงย่วนหันไปยิ้มขอโทษขอโพยให้ไอโม่ซิน “เชิญเข้ามาเลยครับ ไม่ต้องถอดรองเท้า”
ไอโม่ซินมองไปที่พื้นเป็นมันเงา แต่เจ้าของบ้านเองก็เหยียบเข้าไปแล้ว เขาจึงย่างเท้าเข้าไปในห้องโดยไม่เกรงใจเช่นกัน
ตึกในเขตชุมชนนี้มีสภาพแวดล้อมไม่เลว นับเป็นพื้นที่ราคาสูง ห้องนั่งเล่นมีขนาดใหญ่โต แต่การตกแต่งกลับเหมือนบ้านตัวอย่าง ดูสวยมากแต่ไม่มีชีวิตชีวา
“พวกคุณพี่น้องอยู่ที่นี่กันสองคนเหรอครับ”
“เปล่าครับ ที่นี่เป็นที่อยู่ของน้องผม” เกาเฉิงย่วนยกยิ้มขมขื่น
“ผมขอดูห้องเขาหน่อยได้มั้ยครับ” ไอโม่ซินถาม
“ได้ครับ ทางนี้เลย” เกาเฉิงย่วนเดินนำเขาเข้าไปยังห้องที่อยู่ด้านในสุด
คอนโดฯ ห้องนี้ขนาดประมาณแปดสิบตารางเมตร มีสี่ห้องนอนสองห้องรับแขก เมื่อกี้นี้ตอนอยู่บนรถไอโม่ซินได้ยินเกาเฉิงย่วนบอกว่าปีนี้น้องชายเขามีอายุครบสิบห้าปี กำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลายปีหนึ่งพอดี
“น้องชายของคุณอยู่ที่นี่คนเดียวเหรอครับ” ไอโม่ซินรู้สึกว่าภายในคอนโดฯ แห่งนี้ไม่มีกลิ่นอายมนุษย์เลย แต่ก็ไม่ได้รู้สึกถึงพลังหยินเช่นกัน
“ยังมีคุณป้าพี่เลี้ยงที่คอยดูแลเขาด้วยครับ หลังจากที่เขาขึ้นมัธยมต้น วันเสาร์กับวันอาทิตย์คุณป้าจะไปอยู่ที่บ้านของลูกชาย ส่วนเวลาอื่นก็จะอยู่ที่นี่ครับ”
ไอโม่ซินเดินเข้าไปในห้องที่เกาเฉิงย่วนเปิดให้ ภายในห้องตกแต่งเรียบง่ายเหมือนห้องของเขาก่อนที่จะได้รู้จักซุนไห่หมิง ผ้าห่มถูกพับเรียบร้อยอยู่บนเตียงนอน นอกจากเสื้อผ้าใช้แล้วสองสามตัวที่โยนไว้ในตะกร้าผ้า อย่างอื่นก็มองไม่ออกเลยจริงๆ ว่าปกติมีคนอยู่ในห้องนี้ด้วย
ไอโม่ซินเห็นว่าในห้องไม่มีแม้แต่โต๊ะหนังสือ “เขาอ่านหนังสือที่ไหนครับ”
“ห้องหนังสืออยู่ตรงนี้ครับ” เกาเฉิงย่วนพาเขาไปยังห้องที่อยู่ติดกัน ด้านในมีชีวิตชีวากว่านิดหน่อย บนตู้หนังสือมีหนังสืออยู่มากมายและมีอยู่ทุกประเภท โดยมีหนังสือประวัติศาสตร์เยอะเป็นพิเศษ คอมพิวเตอร์บนโต๊ะหนังสือยังคงเปิดอยู่ บนโต๊ะยังมีสมุดโน้ตสองสามเล่มและโทรศัพท์เครื่องหนึ่ง
ภายในห้องมีโซฟาเบด ผ้าห่มที่ถูกใช้จนเป็นขุยผืนหนึ่งถูกโยนทิ้งไว้บนนั้นแบบส่งๆ และหมอนใบโตที่นอนจนมีรอยบุ๋มเล็กน้อย
“ปกติเขาจะอยู่ในห้องหนังสือมากกว่าเหรอครับ”
“น่าจะเป็นอย่างนั้นนะครับ คุณป้าที่ดูแลเขาบอกว่าต้องปลุกให้เขากลับไปนอนที่ห้องประจำ แต่เขาเหมือนจะชอบนอนในห้องหนังสือ” เกาเฉิงย่วนมีสีหน้าจนใจเล็กน้อย
ไอโม่ซินเดินวนไปวนมาอยู่ในห้องสักพัก ก่อนจะถามว่าอีกสามห้องที่เหลือเอาไว้ใช้ทำอะไร เกาเฉิงย่วนเลยเปิดให้เขาดูทีละห้อง “นี่เป็นห้องโฮมเธียเตอร์ที่เอาไว้ให้เขาเล่นเกมดูหนัง แต่เหมือนเขาจะไม่สนใจอะไรนักเพราะผมได้ยินคุณป้าบอกว่าเขาไม่ค่อยเข้ามา ตอนที่ผมมาก็จะนอนห้องนี้ ห้องด้านนอกสุดก็เป็นห้องของคุณป้าครับ”
ไอโม่ซินเดินรอบห้องชุดทั้งหมด ตู้ที่ค่อนข้างใหญ่เหมือนตู้เสื้อผ้าหรือตู้เก็บของเขาก็เปิดดูหมดแล้ว เขารู้สึกว่าคอนโดฯ แห่งนี้ให้ความรู้สึกแปลกๆ บางอย่าง เหมือนกับที่แห่งนี้มีบุคคลที่สามอยู่ด้วย แต่เขากลับสัมผัสไม่ได้ว่าคนคนนั้นอยู่ที่ไหน
“คุณไอนั่งพักสักหน่อยมั้ยครับ ผมจะไปรินชาให้คุณสักแก้ว” เกาเฉิงย่วนเดินตามเขาไปทั่วห้องอยู่นาน เมื่อเห็นว่าไอโม่ซินไม่พูดไม่จาสักคำก็กังวลเล็กน้อย แต่ไม่อยากจะไปเร่งรัดอีกฝ่าย เมื่อยืนอยู่ตรงนั้นสักพักใหญ่ถึงนึกได้ว่าตัวเองต้องทำการต้อนรับแขกสักหน่อย
“น้ำอุ่นก็ได้ครับ ขอบคุณ” ไอโม่ซินตอบกลับด้วยความเกรงใจ
เกาเฉิงย่วนรีบเข้าไปในห้องครัว แต่แค่หาแก้วใบเดียวเขาก็เปิดตู้ไปถึงสามตู้ แล้วก็อยากจะหากามาต้มน้ำ ไอโม่ซินเห็นเขาวุ่นวายอยู่นานก็ยังหากาน้ำไม่เจอ สีหน้าก็ยิ่งฉายแววกังวล จนไอโม่ซินต้องเอ่ยปากถาม “คุณเกาไม่ค่อยได้มาที่นี่เหรอครับ”
“จะมาเดือนละครั้งสองครั้งน่ะครับ ที่นี่มีคุณป้าอยู่ เรื่องในครัวคุณป้าก็เป็นคนจัดการทั้งหมด แต่คุณป้าน่าจะกลับบ้านไปแล้ว” เกาเฉิงย่วนพูดอย่างกระอักกระอ่วน
ไอโม่ซินเองก็ไม่ได้พูดอะไร เขาเดินเข้าไปหยิบแก้วที่เพิ่งจะหาเจอขึ้นมารินน้ำจากก๊อก “เปิดตรงนี้ก็เป็นน้ำร้อนแล้วครับ”
เกาเฉิงย่วนนึกขึ้นได้ทันที “ผมก็ว่าอยู่ว่าทำไมไม่มีกาน้ำชา แถมยังไม่เปิดตู้กดน้ำด้วย”
ก่อนหน้านี้ไม่นานไอโม่ซินเพิ่งจะติดตั้งให้ท่านแม่ของเขาใช้ที่บ้านไปเครื่องหนึ่ง ดังนั้นแค่มองแวบเดียวก็รู้ได้แล้ว เขาพูดขณะที่ถือแก้วน้ำร้อนเอาไว้ในมือว่า “ผมขอถามหน่อยได้มั้ยครับว่าทำไมพวกคุณพี่น้องถึงไม่อยู่ด้วยกัน”
“ความจริง…เขาเป็นน้องชายต่างแม่น่ะครับ” เกาเฉิงย่วนถอนหายใจ ใบหน้าฉายแววอ่อนล้าเล็กน้อย “พ่อผมไม่ได้ชอบเขานัก แม่แท้ๆ ของเขาเองก็ไม่ได้แต่งงานกับพ่อของผม พอคลอดลูกได้เงินแล้วก็จากไปเลย”
“ไม่ชอบเขาเพราะความสัมพันธ์ของแม่แท้ๆ ของเขาเหรอครับ”
“…น่าจะต้องบอกว่านอกจากผมแล้ว เขาไม่ชอบลูกคนอื่นเลยน่ะครับ” เกาเฉิงย่วนแทบจะไม่เคยพูดเรื่องนี้กับใครเลย แต่เมื่อเผชิญหน้ากับไอโม่ซิน จู่ๆ เขาก็อยากระบายความในใจเหลือเกิน
“ถ้าคุณไม่ถือสา ผมขอเล่าเรื่องในครอบครัวหน่อยได้มั้ยครับ” เกาเฉิงย่วนอยากพูดแต่ก็ไม่แน่ใจว่าไอโม่ซินอยากฟังหรือเปล่า จึงถามอย่างระมัดระวัง
“เชิญครับ” ไอโม่ซินไม่ถือสา บ่อยครั้งที่เรื่องในครอบครัวเป็นสาเหตุหลักของปัญหาที่เกิดขึ้น
“แม่แท้ๆ ของผมเสียชีวิตไปตอนผมอายุได้สามขวบ พ่อของผมรักเธอมาก ก่อนเธอจะจากไปเขาเลยสัญญาว่าในอนาคตจะไม่แต่งงานอีกเด็ดขาด และจะไม่มีลูกคนอื่นด้วย เขาอบรมสั่งสอนผมเข้มงวดมาก แต่ขณะเดียวกันก็รักผมมากเหมือนกัน สำหรับทายาทรุ่นสองที่สูญเสียแม่ไป นับว่าผมโชคดีมากแล้ว” เกาเฉิงย่วนยกยิ้มเย้ยหยันตัวเอง
“หลังจากแม่ตายไป พ่อยังหนุ่มยังแน่นเลยมีคนรักอยู่ข้างนอกมากมาย แต่ก็ไม่เคยพากลับบ้าน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะยอมให้ผมเจอ ถ้ามีคนฉวยโอกาสเข้าใกล้ผมเพื่อดูว่าจะเป็นแม่เลี้ยงของผมได้หรือเปล่า ทุกคนก็จะหายตัวไปหมด” เกาเฉิงย่วนยิ้มขมขื่น “ความจริงผมไม่ถือหรอกถ้าจะมีแม่เลี้ยง แต่เป็นพ่อเองที่ลืมแม่ไม่ลง ส่วนผมก็ไม่มีทางบังคับให้พ่อไปหาคนอื่นมาแทนที่แม่อยู่แล้ว ถึงอย่างนั้นเขาก็มีคนรักเยอะเหลือเกิน แถมยังเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว จากนั้นก็มีอยู่คนหนึ่ง หลังจากหายไปได้หนึ่งปีก็พาลูกกลับมา บอกว่าเป็นลูกของพ่อ”
เกาเฉิงย่วนคิดถึงภาพเหตุการณ์ที่ตัวเองได้เจอน้องชายเป็นครั้งแรก ใบหน้าเล็กๆ ยับย่นแดงก่ำน่าเกลียดเอามากๆ แต่ก็น่ารักมากเช่นกัน “ผู้หญิงคนนี้ฉลาดมาก เธอไม่ไปหาพ่อแต่พาเด็กมาให้ผมดูเลย พ่อผมจัดคนเอาไว้ข้างตัวผมเพื่อป้องกันพวกผู้หญิง เธอก็เลยไปหาผมในโรงเรียนแล้วบอกว่านี่คือน้องชายของผม”
เกาเฉิงย่วนยังจำรอยยิ้มบนใบหน้าของผู้หญิงคนนั้นได้ มันดูเย็นชาเหลือเกิน “เธอบอกว่าเธอไม่อยากแต่งงานกับพ่อของผม แต่เธอคิดว่าเด็กคนนี้มีมูลค่าหกสิบล้าน ตอนผมได้ยินก็อึ้งไปเลย”
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไอโม่ซินได้พบเห็นมามากและเข้าใจดีว่าไม่ใช่ทุกคนที่เป็นแม่แล้วจะรักลูกของตัวเองอย่างไม่มีเงื่อนไข
“คุณพ่อของคุณเลยจ่ายเงินไปเหรอครับ”
เกาเฉิงย่วนส่ายหน้าอย่างจนใจ “ผมจ่ายเอง”
“ตอนนั้นคุณ…อายุแค่สิบเอ็ดสิบสองเองนี่ครับ” ไอโม่ซินคำนวณว่าพวกเขาสองพี่น้องน่าจะอายุห่างกันประมาณสิบปี
“ตอนนั้นผมอายุสิบขวบ พ่อของผมก็ทำเหมือนจ่ายเงินเดือนนั่นแหละครับ เขาจะฝากเงินเข้าบัญชีธนาคารของผมเดือนละสามแสน ปีใหม่ก็สามล้าน ในเทศกาลสำคัญทั้งสาม* ก็จะเพิ่มให้อีกหนึ่งเดือน ในบัญชีผมเลยมีอยู่ประมาณหกสิบเจ็ดสิบล้าน” เกาเฉิงย่วนพูดเรียบๆ เหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร “เขาไม่ต้องการลูกคนนั้นเลยยิ่งไม่ต้องพูดถึงการจ่ายเงิน ผู้หญิงคนนั้นเองก็ใจร้าย บอกว่าในเมื่อผมไม่ต้องการ เธอก็จะขายเด็กให้คุณลุงของผมที่ไม่มีลูก พ่อผมมีเล่ห์เหลี่ยมมากมายในการทำธุรกิจ เมื่อก่อนก็ไม่ถูกกับลุงเพราะเรื่องทรัพย์สินในครอบครัว จนถึงตอนนี้ยังสู้คดีกันอยู่เลย ศัตรูของพ่อผมก็มีเยอะแยะ ถ้าขายให้ลุงไปเลี้ยงจนโตคงกลับมาแย่งทรัพย์สมบัติกับผมแน่”
จนถึงตอนนี้เกาเฉิงย่วนก็ยังจำได้อยู่เลยว่าเขากับพ่อทะเลาะกันยังไงบ้าง ก่อนหน้านั้นเขาจินตนาการไม่ออกเลยว่าพ่อที่รักเขามากขนาดนั้น จะเกลียดชังสายเลือดอีกคนหนึ่งของตัวเองแบบนี้
ตอนนั้นเขาเคยสงสัยว่าอาจเป็นเพราะเด็กคนนี้ไม่ได้เป็นลูกของพ่อ เลยเสนอให้ไปตรวจดีเอ็นเอ ผู้หญิงคนนั้นตอบตกลงโดยไม่ลังเลเลยสักนิด และบอกว่าสามารถไปตรวจได้ตอนนี้เลย แต่พ่อก็ไม่ยอม บอกว่าถึงยังไงเด็กคนนี้ก็ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเขา
ตอนนั้นเขาจึงรู้ว่าเด็กคนนี้เป็นน้องชายต่างแม่ของเขาจริงๆ ดังนั้นจึงเอ่ยปากบอกว่าเขายินดีจ่ายเงินให้
‘พ่อไม่อยากได้ลูกอีกคน แต่ผมอยากได้น้องชาย ถ้าพ่อไม่เอาก็ยกให้ผมเถอะ’
เขาไม่ได้สนใจพ่อที่โมโหเป็นฟืนเป็นไฟ ยืนกรานว่าจะจ่ายเงินรับน้องชายเอาไว้ แล้วให้ผู้หญิงคนนั้นเซ็นสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร รับประกันว่าในอนาคตจะไม่กลับมาเรียกร้องให้ลูกรับผิดชอบชีวิตของเธอ
บางทีอาจเป็นเพราะเขาโตจนกระทั่งอายุสิบขวบก็ยังไม่เคยร้องขออะไรจากพ่อสักอย่าง แถมยังเรียนและใช้ชีวิตตามความต้องการของพ่ออย่างเชื่อฟังมาโดยตลอด ดังนั้นตอนที่เขายืนกรานว่าจะเก็บเด็กเอาไว้ พ่อถึงยอมหลีกทางให้
‘ในเมื่ออยากได้ขนาดนั้น ลูกก็เก็บเอาไว้เป็นของเล่นแล้วกัน แต่พ่อจะไม่ยอมรับเด็กคนนี้เด็ดขาด ทรัพย์สมบัติของพ่อก็จะให้ลูกแค่คนเดียว มีแค่ลูกเท่านั้นที่จะได้สืบทอดสกุลเกา’
‘ผมรู้ครับ ผมจะทำให้พ่อสมหวัง’ เกาเฉิงย่วนสัญญากับบิดา
“หลังจากนั้นเด็กคนนั้นก็ได้อยู่ต่อและลงทะเบียนสำมะโนครัวภายใต้ชื่อของพี่เลี้ยงในบ้าน เพื่อไม่ให้พ่อรู้สึกว่าผมใช้เงินและเวลามากมายเพื่อน้องชาย ผมเลยพยายามเรียนให้มากขึ้น ทุกวันจะอยู่กับน้องชายแค่ไม่นาน พี่เลี้ยงก็ดูแลได้ดีมาก จนกระทั่งถึงตอนที่น้องชายอายุได้หกขวบ ผมถึงพบว่าวิธีการอบรมสั่งสอนเด็กของพี่เลี้ยงมีปัญหา น้องชายเชื่อฟังผมมากๆ เหมือนของเล่นชิ้นหนึ่ง พี่เลี้ยงคนนั้นเองก็เป็นคนที่ดูแลผมจนโต ที่เธอทำแบบนี้ต้องเป็นแผนการของพ่อผมแน่ๆ แต่ตอนที่พ่ออยู่บ้านก็ไม่เห็นเด็กคนนี้อยู่ในสายตาเลย เขายังคงมีท่าทางรักใคร่เอ็นดูผม แถมยังเข้มงวดกับการเรียนของผมเหมือนเดิม แต่เขาไม่เคยมองน้องเลย ไม่ต้องพูดถึงการถามไถ่สักประโยค แค่มองสักครั้งก็ยังไม่มอง สุดท้ายผมก็เลยซื้อห้องชุดห้องนี้แล้วให้น้องชายย้ายมา จากนั้นก็ขอให้คุณป้าที่ผมเชื่อใจคนหนึ่งมาดูแลเขา ให้เขาได้เติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมที่มีคนคอยเป็นห่วงเป็นใย”
“น้องชายคุณนิสัยเป็นยังไงบ้างครับ” ไอโม่ซินถาม
“เขาเป็นคนเงียบๆ และว่านอนสอนง่ายมาก ก็เป็นเด็กธรรมดาคนหนึ่งนั่นแหละครับ เขาชอบศิลปศาสตร์ ชอบอ่านประวัติศาสตร์ของแต่ละประเทศมากเป็นพิเศษ บอกว่าในอนาคตอยากจะเป็นอาจารย์” เกาเฉิงย่วนเอ่ยถึงน้องชายก็ยกยิ้ม แต่ทันใดนั้นก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง “ผมรู้สึกได้ว่าพ่อไม่สนใจเขา แต่เขาก็เป็นเด็กว่านอนสอนง่ายมาตลอด ไม่เคยสร้างปัญหาและทะเลาะเบาะแว้งกับใคร ต่อให้ช่วงหลายปีนี้ผมต้องเข้าบริษัทและมีงานยุ่งจนไม่มีเวลาว่างมาอยู่เป็นเพื่อน เขาก็ไม่เคยบ่นเลย ผมเคยถามว่าเขาอยากเรียนบริหารหรือเปล่า ต่อให้พ่อไม่ยอม ผมก็สามารถทำให้เขาเข้ามาในบริษัทได้ หรือไม่ก็เปิดบริษัทให้เขาสักที่ แต่เขาก็ไม่ยอมแถมยังบอกว่าอยากเรียนประวัติศาสตร์ ผมเห็นว่าเขาชอบสายนี้จริงๆ ถึงได้ตามใจ”
“เคยเกิดเรื่องผิดปกติอะไรก่อนเขาจะหายตัวไปมั้ยครับ” ไอโม่ซินหาเบาะแสจากคำพูดของเกาเฉิงย่วนไม่ได้เลย “แล้วคุณเจอเขาครั้งสุดท้ายเมื่อไรครับ”
“ครั้งสุดท้ายที่มาเจอก็น่าจะเมื่อหนึ่งเดือนครึ่งก่อนหน้านี้ครับ” เกาเฉิงย่วนเสียใจที่ตัวเองไม่ได้มาเจอน้องชายบ่อยๆ หน่อย “ผมเคยถามคุณป้า เธอบอกว่าไม่มีเรื่องผิดปกติอะไร ทุกอย่างปกติมากครับ”
เกาเฉิงย่วนพูดถึงตรงนี้ก็หยุดไปสักพัก ก่อนพูดด้วยความลังเลเล็กน้อยว่า “แต่ก็ได้ยินเธอบอกว่าได้ยินเสียงฝีเท้าตอนกลางคืนนะครับ”
ไอโม่ซินเลิกคิ้วขึ้น “ผมขอเจอคุณป้าคนนั้นได้มั้ยครับ”
“ได้สิครับ เดี๋ยวผมจะเรียกเธอมา ความจริงวันนี้เธอก็ควรจะอยู่นะ” เกาเฉิงย่วนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหา
ไอโม่ซินเองก็ไม่ได้เตือนเขาว่าตอนนี้ใกล้จะตีห้าแล้ว
“คุณป้าเหรอครับ ขอโทษด้วยนะครับที่โทรมาปลุกคุณป้าแต่เช้าขนาดนี้ คุณป้าสะดวกมาหาผมมั้ยครับ” เกาเฉิงย่วนพูดกับโทรศัพท์ “ครับ ในบ้านมีแขกอยากถามเรื่องเฉิงเหลียง รบกวนคุณป้าเตรียมอาหารเช้ามาให้แขกหน่อยนะครับ”
เกาเฉิงย่วนสั่งเสร็จสรรพก็วางสายแล้วหันมาพูดกับไอโม่ซินว่า “บ้านลูกชายของคุณป้าอยู่แถวนี้แหละครับ เธอเดินมาประมาณสิบนาที ผมให้เธอเอาอาหารเช้ามาด้วย ไม่ต้องเกรงใจนะครับ”
ไอโม่ซินยกยิ้มและกล่าวขอบคุณ “ผมจะดูในห้องหน่อยนะครับ คุณนั่งเถอะ ไม่เป็นไร”
“ครับ” เกาเฉิงย่วนได้ยินเขาพูดว่าจะเดินดูภายในห้อง ตอนแรกก็ว่าจะลุกขึ้น ทว่าก็ได้แต่นั่งลงไปอีกครั้ง
ไอโม่ซินรู้สึกอยู่ตลอดว่าในคอนโดฯ นี้ไม่ค่อยปกติ เหมือนมีคนอยู่แต่กลิ่นอายก็อ่อนจางมากเหลือเกิน ถ้าจะบอกว่ามีวิญญาณ ความรู้สึกก็คล้ายมีคล้ายไม่มี เหมือนเคยมีผีอยู่มาก่อนหรือไม่ก็ผ่านทางมา
ไอโม่ซินเปิดปากพูดเสียงเบา “สัมผัสอะไรได้บ้างมั้ยครับ”
“อืม…มันแปลกๆ นะ แต่ลุงก็รู้สึกว่ามีคนในคอนโดฯ นี้ มันมีกลิ่นอายมนุษย์อยู่” ท่านลุงใหญ่ยืนอยู่ข้างๆ เขาและพูดด้วยความสงสัยเล็กน้อย “ลุงเหมือนจะเคยเจอสถานการณ์ที่คล้ายกันมาก่อน แต่ตอนนี้ยังคิดไม่ออก”
“ผมก็รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาเหมือนเคยเจอกลิ่นอายแบบนี้มาก่อนเหมือนกันครับ” ท่านลุงเล็กโผล่ออกมาเกาหัวพร้อมพูดขึ้น “เหมือนเคยเจอที่ไหนสักที่…”
ไอโม่ซินขมวดคิ้ว ถ้าคนอยู่ในห้อง พวกท่านลุงไม่มีทางมองไม่เห็น
เขาเดินไปที่ระเบียงซึ่งเต็มไปด้วยกระถางต้นไม้สีเขียว พอเลี้ยวไปที่ระเบียงด้านหลังและเปิดประตูออกไปก็ได้กลิ่นไหม้นิดๆ เขาคุ้นเคยกับสิ่งนี้มาก…มีใครบางคนเคยเผาเงินกระดาษมาก่อน
ภายในคอนโดฯ แห่งนี้ไม่ได้ตั้งป้ายวิญญาณบรรพบุรุษเอาไว้ แถมยังไม่ได้เซ่นไหว้เทพใดๆ ตามหลักแล้วคงไม่จำเป็นต้องเผาเงินกระดาษ
“คุณไอครับ คุณป้ามาแล้วครับ” เกาเฉิงย่วนเปิดประตูมาเรียกเขา
ไอโม่ซินเดินกลับเข้าไปด้านใน หญิงอายุประมาณหกสิบปีคนหนึ่งกำลังจัดอาหารเช้าขึ้นโต๊ะ พอเห็นเขาเดินเข้ามาจากระเบียงด้านหลังก็ยกยิ้มทักทายเขา “ในบ้านไม่มีแขกมานานแล้ว ป้าซื้ออาหารเช้ามาค่ะ ไม่รู้ว่าคุณชินกับการกินอะไร น้ำเต้าหู้ เซาปิ่ง* ชานม แซนด์วิชก็มีหมดเลยค่ะ อีกเดี๋ยวป้าจะไปชงกาแฟมาให้คุณนะคะ”
“ขอบคุณครับ” ไอโม่ซินเองก็ไม่ได้เกรงอกเกรงใจ เขาหยิบชานมกับแซนด์วิชก่อนจะนั่งลง
“คุณป้าเองก็ยังไม่ได้กินสินะครับ มานั่งกินด้วยกันเถอะ” เกาเฉิงย่วนแตะไหล่คุณป้าเพื่อให้เธอนั่ง
คุณป้าแซ่เฉิน เริ่มเป็นพี่เลี้ยงตั้งแต่อายุได้สิบแปดสิบเก้าปี เดิมทีเมื่อสิบปีก่อนก็ว่าจะเกษียณกลับไปดูแลหลานตัวเอง แต่เพราะคำขอร้องของเกาเฉิงย่วน เธอจึงรับงานดูแลเกาเฉิงเหลียง
“คุณป้ามีธุระอะไรหรือเปล่าครับ ถ้าทางบ้านลูกชายของคุณป้ามีธุระ สองสามวันนี้ไม่มาก็ไม่เป็นไรนะครับ” เกาเฉิงย่วนกลับมาในตอนเช้าแล้วไม่เห็นเธอก็รู้สึกแปลกใจนิดหน่อย ตั้งแต่พบว่าน้องชายหายตัวไปเขาก็กลัวว่าจะมีคนไม่ดีเข้ามาในบ้าน จึงให้คุณป้ากลับไปอยู่ที่บ้านสักสองสามวัน แต่คุณป้าก็ยืนกรานว่าจะอยู่ต่อไปจนกว่าจะหาคนเจอ
คุณป้ามองไปทางไอโม่ซินด้วยความลังเลแวบหนึ่ง เกาเฉิงย่วนเลยรีบพูดขึ้น “นี่คือคุณไอครับ เขามาเพราะเรื่องของเฉิงเหลียง ถ้ามีอะไรก็พูดมาได้เต็มที่เลยครับ ไม่เป็นไร”
“…สองคืนที่ผ่านมานี้มีเรื่องแปลกๆ นิดหน่อยค่ะ ป้ามักได้ยินเสียงคนเดินไปเดินมาอยู่ในบ้านประจำเลย…ครั้งสองครั้งอาจบอกว่าป้าหูฝาดไป แต่พอป้าเข้ามาในห้องแล้วปิดประตูก็จะได้ยินว่ามีคนเดินอยู่ข้างนอก ป้ารู้สึกกลัวนิดหน่อยก็เลยกลับไปที่บ้านของลูกชายก่อน” คุณป้าพูดด้วยความไม่สบายใจ
“คุณป้าเผาเงินกระดาษที่ระเบียงด้านหลังหรือเปล่าครับ” ไอโม่ซินถาม
สีหน้าของคุณป้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย เธอมองไปทางเกาเฉิงย่วนด้วยสายตาขอโทษแวบหนึ่ง “เผาไปนิดหน่อยค่ะ ถ้ามีอะไรในบ้าน…เลยเผาเงินผ่านทางให้พวกเขาไป ไม่แน่ว่าเฉิงเหลียงอาจจะกลับมาก็ได้…”
คุณป้าก้มหน้าพูดเสียงเบา “ป้ารู้สึกว่าเฉิงเหลียงยังอยู่ในบ้านตลอด แต่ป้าหาที่ไหนก็หาไม่เจอ…แม้แต่เครื่องจัดการเศษอาหารในครัวป้าก็ยังเคยไปเปิดดูเลย…”
คุณป้าพูดไปก็น้ำตาไหลไป เกาเฉิงย่วนลูบไหล่เธอเบาๆ อย่างคนหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “คงไม่ได้มีคนมาฆ่าเฉิงเหลียงในบ้านเงียบๆ หรอกครับ เรื่องแย่ที่สุดที่เด็กอย่างเขาจะเจอได้ก็คงเป็นการลักพาตัวเรียกค่าไถ่ คุณป้าอย่าคิดฟุ้งซ่านไปเลยนะครับ”
ไอโม่ซินจ้องมองคุณป้าคนนั้นอยู่สักพัก พวกเขาสองคนดูเหมือนจะสนิทสนมกันมาก เกาเฉิงย่วนให้เธอมาดูแลน้องชายได้ เขาจะต้องคิดว่าไม่ว่ายังไงเธอก็คงไม่ถูกพ่อของเขาซื้อตัวแน่นอน
“เสียงฝีเท้านั่นฟังดูเป็นยังไงบ้างครับ คิดว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง อายุประมาณเท่าไร หรือว่าเหมือนเด็กน้อย” ไอโม่ซินถามรัวๆ อีกครั้ง
คุณป้าเอียงศีรษะครุ่นคิดอยู่สักพัก “จะว่าไป…เสียงฝีเท้านั่นก็ฟังดูเหมือน…ขาข้างหนึ่งไม่ค่อยดี เวลาเดินก็จะลากเท้าน่ะค่ะ”
ไอโม่ซินยังคงจับเบาะแสไม่ค่อยได้ การที่อีกฝ่ายสามารถอธิบายได้ละเอียดขนาดนี้ มันจะต้องมีอะไรสักอย่างแน่ ทว่าเขากลับสัมผัสอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง เขาขมวดคิ้วมุ่น “ช่วยเล่ารายละเอียดช่วงสองสามวันก่อนที่เขาจะหายตัวไปกับตอนที่สังเกตเห็นว่าเขาหายตัวไปให้ฟังหน่อยได้มั้ยครับ”
คุณป้าเล่าเรื่องสองสามวันก่อนที่เกาเฉิงเหลียงจะหายตัวไป ทุกอย่างเหมือนปกติ เข้าเรียนเลิกเรียนกลับบ้านอ่านหนังสือ ทำการบ้าน ออกไปเดินเล่นร้านหนังสือ และดูหนังกับเพื่อน
“ป้าบ่นอยู่ตั้งหลายวันกว่าเขาจะนัดเพื่อนออกไปข้างนอก วันนั้นเป็นวันศุกร์ที่เป็นวันหยุดราชการพอดี เขาเลยบอกป้าว่าจะออกไปข้างนอก ไปกินข้าวเย็นกับเพื่อนแล้วค่อยกลับมา เขารู้ว่าวันหยุดต่อเนื่องสามวันแบบนี้หลานชายของป้าจะกลับมาบ้าน เลยบอกให้ป้ารีบกลับบ้านไปอยู่กับหลานชาย เพราะงั้นป้าก็เลยออกจากบ้านไปพร้อมเขาตอนบ่ายวันศุกร์ ตอนเย็นประมาณสามทุ่มป้าถึงมาดูเขาอีกรอบ เขาก็กำลังทำการบ้านอยู่ในบ้าน ยังดูดีๆ อยู่เลย เขาบอกว่าอยากไปนอนค้างบ้านเพื่อน ป้ารู้สึกว่าเขาลังเลนิดหน่อยเลยบอกเขาว่าอยากไปก็ไปสิ ทิ้งข้อความไว้ให้ป้าก็พอ พอเช้าวันเสาร์ช่างปรับปรุงบ้านเข้ามาเก็บงานครั้งสุดท้าย ป้าถึงไปเปิดประตูให้พวกเขา เพราะเห็นว่าเขาไม่อยู่ก็เลยคิดว่าไปบ้านเพื่อนแล้ว จนคนงานเก็บงานเสร็จ ป้าก็ออกไปพร้อมกับพวกคนงาน วันอาทิตย์ป้าคิดว่าเขาน่าจะกลับมาแล้ว กลัวว่าเขาอยู่บ้านคนเดียวแล้วจะกินบะหมี่สำเร็จรูปอีกเลยเอาอาหารเที่ยงมา แต่เขาก็ไม่อยู่ แถมไม่ตอบข้อความป้าด้วย แต่ป้าก็คิดว่าเขาคงกำลังเที่ยวสนุกอยู่กับเพื่อน ถึงได้วางกล่องอาหารเอาไว้ในตู้เย็นแล้วเขียนโน้ตบอกให้เขากิน” คุณป้าพูดพลางสะอื้นไห้ “วันจันทร์ตอนที่ป้าเอาอาหารเช้ามาก็ไม่เห็นเขาแต่เช้า โน้ตที่อยู่บนตู้เย็นกับกล่องอาหารก็ยังอยู่ ป้ายังคิดอยู่ว่าทำไมไปโรงเรียนเช้าขนาดนี้ จนตอนเย็นเพื่อนเขามาหา ถามว่าทำไมถึงโดดเรียน ป้าถึงได้สังเกตเห็นว่าเขาอาจจะหายตัวไปตั้งแต่วันเสาร์”
เกาเฉิงย่วนดึงทิชชูมาให้คุณป้าแล้วพูดกับไอโม่ซิน “คุณป้าโทรมาหาผม ผมเลยไปดูกล้องวงจรปิดที่สำนักงาน เห็นว่าหลังจากที่เขากลับบ้านมาวันศุกร์ก็ไม่ได้ออกจากบ้านอีกเลย จากนั้นผมก็ไปหาสำนักงานนักสืบที่เชื่อถือได้แล้วให้คนสืบหาทั้งด้านนอกด้านใน แต่ก็ยังหาไม่เจออยู่ดี เขาเหมือนหายตัวไปในห้องนี้”
ไอโม่ซินมองเกาเฉิงย่วนก่อนเอ่ยปากพูดตรงๆ “ในเมื่อเขาหายตัวไปสามวันแล้ว ทำไมไม่ไปแจ้งตำรวจล่ะครับ คุณสงสัยคุณพ่อของคุณเหรอ”
เกาเฉิงย่วนอึ้งไปเพราะคำถามของเขา สักพักถึงได้พูดพลางยกยิ้มขมขื่น “ความจริงผมกลับบ้านไปถามเขาแล้ว แต่เขาปฏิเสธ ผมไม่ได้แจ้งตำรวจเพราะไม่อยากให้เรื่องมันวุ่นวายใหญ่โต บอกตามตรง ความสามารถในการทำงานของสำนักงานนักสืบไม่ได้ด้อยไปกว่าตำรวจเลย แต่ยังได้เปรียบตำรวจด้วย พวกเขาสามารถทุ่มเททุกวิถีทางเพื่อตามหาน้องชายของผม ถ้าน้องชายผมถูกใครสักคนจับตัวไปจริง พวกเขาคงลงมือได้เร็วกว่าตำรวจแน่ แต่…สุดท้ายข้อสรุปของพวกเขาก็คือน้องชายของผมอาจจะไม่ได้ไปจากคอนโดฯ จากนั้นพวกเขาก็แนะนำปรมาจารย์ที่สามารถสื่อสารกับวิญญาณได้ให้ผม ผมขอให้พวกเขาหาต่อไป เท่าไรผมก็จ่ายได้ ประจวบเหมาะกับที่ใกล้ถึงวันครบรอบวันตายของแม่ผม ผมก็เลยไปซื้อดอกไม้ที่ศาลคนกระดาษก่อน คุณสือเลยใจดีแนะนำคุณให้ผม”
ไอโม่ซินเริ่มสงสัยว่าเรื่องนี้คงไม่ใช่ฝีมือมนุษย์ จึงหันไปถามคุณป้า “ช่วงสุดสัปดาห์ไม่ได้เกิดเรื่องที่ผิดไปจากปกติจริงๆ ใช่มั้ยครับ คุณป้าบอกว่าวันเสาร์นั้นมีช่างปรับปรุงบ้านนี่นา”
“ตอนเที่ยงวันอาทิตย์ป้าเข้ามาก็ไม่เห็นเขาแล้ว ในบ้านเหมือนปกติ…” คุณป้าชะงักไปครู่หนึ่ง “วันเสาร์งานปรับปรุงห้องน้ำก็เสร็จแล้ว นอกจากช่างปรับปรุงบ้านก็ไม่มีคนอื่นอีก คนพวกนั้นป้าก็เป็นคนพาเข้ามา รอพวกเขาทำงานจนเสร็จประมาณสามสี่ชั่วโมง ถึงค่อยพาพวกเขาออกไป พวกเขาพากันเข้าๆ ออกๆ มาได้เดือนหนึ่งแล้วค่ะ”
ไอโม่ซินหันไปหาเกาเฉิงย่วน อีกฝ่ายรีบพูดขึ้นว่า “สำนักงานนักสืบเคยตรวจสอบแล้วครับ ก็แค่ช่างสองคน นอกจากเครื่องมือทำงานก็ไม่ได้เอาอย่างอื่นเข้าออกอีก อีกอย่างพวกเขาก็ถือโอกาสตอนที่เฉิงเหลียงไปโรงเรียนรื้อผนังซ่อมแซมมัน พอเฉิงเหลียงเลิกเรียนพวกเขาก็กลับไปนานแล้ว แทบจะไม่ได้เจอหน้ากันเลย ทางสำนักงานนักสืบเคยตรวจสอบเบื้องหลังของคนงานสองคนนั้นแล้ว บอกว่าพวกเขาเป็นคนซื่อสัตย์ ไม่มีทางทำเรื่องลักพาตัวเรียกค่าไถ่อะไรหรอก อีกอย่างทีมช่างของบริษัทนี้ก็เคยช่วยผมซ่อมแซมบ้านอยู่หลายครั้ง ผมเองก็ช่วยแนะนำงานให้พวกเขาอยู่บ่อยๆ ไม่มีเหตุผลที่จะเรียกค่าไถ่หรือทำร้ายน้องชายผม สำนักงานนักสืบก็ยังจับตาดูพวกเขาสองคนเอาไว้ก่อน คุณอยากไปดูกล้องวงจรปิดมั้ยครับ”
ไอโม่ซินไม่ได้รีบร้อนไปดูกล้องวงจรปิดแต่ลุกขึ้นถามเขาว่า “ตำแหน่งที่ซ่อมแซมอยู่ไหนครับ ผมขอทุบผนังได้มั้ย”
“ห้องน้ำห้องนี้ครับ ก๊อกน้ำในห้องน้ำมีปัญหา ผมเลยถือโอกาสติดอ่างอาบน้ำให้เฉิงเหลียงใช้ด้วย เขาทุบผนังด้านนี้ซ่อมท่อน้ำเรียบร้อยแล้วเปลี่ยนอ่างอาบน้ำอันใหม่” เกาเฉิงย่วนลุกขึ้นพาเขาไปดู
ห้องน้ำอยู่ระหว่างห้องนอนกับห้องหนังสือ เกาเฉิงย่วนเปิดประตูด้านห้องนอนให้เขาดู ห้องน้ำถูกทำความสะอาดจนสะอาดเอี่ยมอ่องเป็นประกายวิบวับ
“ซ่อมแซมเสร็จแล้วเคยทำความสะอาดมั้ยครับ” ไอโม่ซินเดินไปทางผนังตรงอ่างอาบน้ำ
“ครับ แต่ก่อนจะทำความสะอาด คนของสำนักงานนักสืบก็มาเก็บลายนิ้วมือ ถ่ายรูป อัดวิดีโอไว้ทั้งหมด ถ้ามีเรื่องอะไรจริงๆ ต้องขึ้นศาลก็คงไม่มีปัญหา” เกาเฉิงย่วนรีบพูด
ไอโม่ซินได้ยินเขาพูดแบบนี้ก็พลันนึกขึ้นมาว่าสำนักงานนักสืบที่ไหนนะถึงเก่งได้ขนาดนี้ “สำนักงานนักสืบที่คุณไปหาใช่สำนักงานนักสืบเฟิงเหอหรือเปล่าครับ”
“ใช่ครับ เพื่อนแนะนำให้ผม ประธานหลินจากสำนักงานนักสืบเฟิงเหอช่วยผมไว้เยอะเลย” เกาเฉิงย่วนเองก็ไม่ได้แปลกใจที่ไอโม่ซินรู้
ไอโม่ซินพยักหน้า ยืนมองอยู่ด้านหน้าอ่างอาบน้ำสักพักก็ขมวดคิ้ว ก่อนหันไปถามเกาเฉิงย่วน “จะถือมั้ยครับถ้าผมเหยียบเข้าไป”
“ไม่ถืออยู่แล้วครับ” เกาเฉิงย่วนรีบตอบกลับ แต่ในใจกลับกังวลยิ่งกว่าเดิม เขาไม่แน่ใจว่าทำไมไอโม่ซินถึงอยากจะเหยียบเข้าไปในอ่างอาบน้ำ หรือว่าน้องชายเขา…จะถูกโบกปูนติดอยู่ในผนัง
ไอโม่ซินก้าวเข้าไปในอ่างอาบน้ำ เอื้อมมือไปลูบคลำกระเบื้องสีขาวใหม่เอี่ยมแล้วหันไปพูดกับเกาเฉิงย่วนอีกที “คุณเกา คุณถอยหลังไปสักสามสี่ก้าวหน่อยครับ”
เกาเฉิงย่วนอึ้ง ถอยหลังไปสามสี่ก้าวแต่โดยดี
ไอโม่ซินทาบมือลงบนผนัง สัมผัสอยู่สักพัก ท่านลุงเล็กของเขาก็ทะลุเข้าทะลุออกในผนัง “ไม่มีอะไรเลย”
ท่านลุงใหญ่ก็เข้าไปมองไปมองมาอยู่ครึ่งตัว “อืม แต่งานก็ไม่ได้เนี้ยบเท่าไร ความชื้นเยอะไป”
ท่านลุงทั้งสองของเขาต่างก็ดูไปแล้ว น่าจะไม่มีปัญหา แต่ไอโม่ซินก็ยังรู้สึกว่าตรงนี้มีอะไรสักอย่าง เขาส่งเสียงเรียกแผ่วเบา “ท่านตา”
ไอเฉินปรากฏตัวขึ้นด้านหลังเขา ท่านตาหายเข้าไปในผนัง ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้ออกมา ครุ่นคิดอยู่สักพักเขาจึงเอ่ยปากพูด “เหมือนจะผิดปกตินิดหน่อย”
ไอโม่ซินหันกลับไปพูดกับเกาเฉิงย่วน “หามาร์กเกอร์หรือปากกาเขียนหนังสือให้ผมสักด้ามได้มั้ยครับ”
เกาเฉิงย่วนเองก็ไม่ได้ถามว่าเขาจะเอาไปใช้ทำอะไร หมุนตัวไปที่ห้องหนังสือแล้วหาปากกาเขียนหนังสือ ปากกาเน้นข้อความสีเหลือง และปากกาหัวพู่กันมาให้เขาเลือก “มีแค่พวกนี้แหละครับ คุณอยากได้แบบไหน ผมจะให้คนไปหาดู”
“แบบนี้ก็ได้ครับ” ไอโม่ซินเลือกปากกาหัวพู่กัน เขาเปิดฝาครอบปากกาออก ยกมือขึ้นเขียนตัวอักษรบนกระเบื้องแผ่นหนึ่ง
สำหรับเกาเฉิงย่วนแล้ว มันคือเครื่องหมายอันหนึ่ง เขาเห็นไอโม่ซินเขียนเสร็จก็เอียงศีรษะคล้ายกำลังกระซิบกระซาบอะไรบางอย่าง
ไอเฉินทะลุผ่านอักษรตัวโตนั่น ในที่สุดก็สัมผัสได้ถึงพลังหยินเล็กน้อย เขาทะลุผ่านบริเวณนั้นไปมาอย่างละเอียดถี่ถ้วน ก่อนพูดด้วยท่าทางจริงจัง “มีพลังหยินอยู่นิดหน่อยจริงๆ มันเบาบางมาก แต่ตามองไม่เห็นอะไรสักอย่าง พื้นที่ด้านหลังผนังนี้ก็กว้างผิดปกติ เดิมทีจะไม่เหลือช่องว่างไว้ในผนังใหญ่ขนาดนี้นะ”
ไอโม่ซินสังเกตว่าท่านตาบอกว่ามองไม่เห็นอะไรเลย แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีอะไร “ช่องว่างขนาดใหญ่เหรอครับ”
“ห่างจากท่อประมาณห้าสิบหกสิบเซนติเมตร แต่งานทำได้ไม่เนี้ยบจริงๆ ตอนนี้ก็ยังมีน้ำรั่วอยู่เลย”
ไอโม่ซินยกมือขึ้นใช้ปากกาหัวพู่กันเขียนอักษรตัวหนึ่งกลางฝ่ามือด้านซ้าย จากนั้นก็สะบัดมือรอให้อักษรแห้งแล้วยื่นมือไปบนผนัง ลูบคลำกระเบื้องทุกแผ่นจากซ้ายไปขวาอย่างละเอียด สุดท้ายก็หยิบปากกามาวาดเส้นตรงเส้นหนึ่งบนผนัง
“คุณเกาครับ ผมไม่มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่คุณน่าจะต้องทุบผนังด้านนี้ออกมาอีกรอบนะครับ ทางด้านซ้ายของเส้นตรงที่ผมวาดเอาไว้น่ะ”
“คุณ…คุณคิดว่าน้องชายผมอยู่ในนั้นเหรอครับ” เกาเฉิงย่วนถามด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“ทุบออกมาดูก็รู้แล้วครับ” ไอโม่ซินพยายามพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “คุณอย่าเพิ่งกังวลไปเลย มันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้”
เกาเฉิงย่วนพยายามสงบจิตสงบใจตัวเองลง “ผมไปเรียกช่างสองคนนั้นมาได้มั้ยครับ”
“แน่นอนครับ”
เห็นไอโม่ซินพยักหน้า เกาเฉิงย่วนก็รีบไปโทรศัพท์ให้คนเรียกตัวช่างสองคนนั้นกลับมาอีกรอบ
ในใจของเกาเฉิงย่วนสับสนวุ่นวาย เขาไม่รู้ว่าถึงตอนนั้นถ้ารื้อผนังออกมาแล้วน้องชายของเขาอยู่ด้านในจริงๆ เขาจะทำยังไง พ่อของเขาจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือเปล่า
แต่เขาก็ยังรู้สึกขัดแย้งในตัวเอง ยังเชื่อว่าพ่อไม่ได้ใจร้ายถึงขั้นนี้ เขาทรุดตัวนั่งลงก้มหน้าก้มตาอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น
“เฉิงย่วน…”
เกาเฉิงย่วนเงยหน้าขึ้น คุณป้าถือชาร้อนแก้วหนึ่งมาให้เขา ยามนี้บนใบหน้าที่มักจะร่าเริงและเป็นกันเองก็เต็มไปด้วยความกังวล
“ไม่เป็นไรครับคุณป้า เฉิงเหลียงจะต้องไม่เป็นอะไร” เกาเฉิงย่วนฝืนยิ้มออกมา แล้วเอื้อมมือไปกุมมือคุณป้า
“อืม…ป้าจะไปชงกาแฟมาให้คุณคนนั้นนะคะ” คุณป้าพยักหน้า พยายามเก็บงำสีหน้ากังวลและลุกขึ้นเดินไปที่ห้องครัว
* ชิวเฟิน เป็นหนึ่งในยี่สิบสี่ฤดูลักษณ์ของชาวจีน หมายถึงวันที่กลางวันและกลางคืนยาวนานเท่ากันในฤดูใบไม้ร่วง ตรงกับช่วงวันที่ 22, 23 หรือ 24 กันยายน
* เทศกาลสำคัญทั้งสาม หมายถึงตรุษจีน เทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง และเทศกาลไหว้พระจันทร์
* เซาปิ่ง เป็นขนมแป้งอบหรือแป้งทอด บ้างมีลักษณะคล้ายขนมเปี๊ยะ บ้างคล้ายกับพิซซ่า โดยมากจะโรยด้วยงา แต่สมัยก่อนจะสอดไส้หรือทาหน้าหลายชนิด เช่น เนื้อแพะ ต้นหอม
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 09 มี.ค. 66