everY
ทดลองอ่าน คน • สื่อ • วิญญาณ เล่ม 3 บทที่ 2-3 #นิยายวาย
บทที่ 3
ในเมื่ออีกฝ่ายถือธงโลหิต ย่อมต้องเป็นดวงวิญญาณที่มีสติสัมปชัญญะชัดเจนสามารถเจรจาต่อรองได้แน่นอน ขณะเดียวกันการที่อีกฝ่ายชูธงโลหิตก็หมายความว่าไม่มีที่ให้เจรจาอะไรทั้งนั้น
ไอโม่ซินมองไปยังธงสีเลือดผืนนั้น มันเป็นสีแดงออกดำ ความโกรธแค้นที่อาบย้อมอยู่บนนั้นเข้มข้นและหนาแน่น ทำให้รู้ว่าอย่างน้อยก็คงสักร้อยปี
ปกติเจ้ากรรมนายเวรจะถือธงสีดำซึ่งนับว่าเป็นการแก้แค้นที่ชอบธรรม แต่ต่อให้ไม่ชูธงแก้แค้นก็ไม่มีใครห้ามปราม และในวงการก็มีคนรับงานแบบนี้อยู่มากมาย ถ้าอีกฝ่ายไม่ได้ดุร้ายเกินไป แค่ขับไล่ไปก็สิ้นเรื่องแล้ว แต่อีกสิบปีให้หลังจะหวนกลับมาอีกหรือไม่ เรื่องนั้นก็ไม่เกี่ยวกับพวกเขาแล้ว และถึงแม้จะมีบางคนที่ลงมือทำร้ายวิญญาณจริงๆ ทว่าการทำเช่นนั้นก็ถือเป็นการทำลายกุศลของตัวเองด้วย ดังนั้นจึงเป็นการกระทำที่ไม่มีความจำเป็น ต่อให้รับงานแล้วก็ไม่จำเป็นต้องกำจัดให้สิ้นซากเพื่อเจ้าของเรื่องเช่นกัน
แต่หากอาฆาตแค้นรุนแรงแล้วยังถูกขัดขวางก่อกวนครั้งแล้วครั้งเล่า ก็จะมีการลงไปร้องเรียนกับปรโลก ซึ่งสิ่งที่ได้รับมาจะเป็นธงสีเลือด ทว่าธงสีเลือดที่ว่านี้หาได้ยากมาก ไม่ใช่แค่ผูกความแค้นหลายร้อยปีโดยไม่ได้แก้แค้นสักทีก็จะได้รับมา แต่มันจะต้องเป็นความคับแค้นและความไม่เป็นธรรมใหญ่หลวงจริงๆ ต่อให้เป็นท่านตาของเขา ตลอดสามร้อยปีมานี้ก็ยังเคยเห็นแค่ครั้งเดียวเท่านั้น
ความจริงแล้วผีบังตาเป็นวิธีการของพวกทูตรับใช้ เพื่อให้พวกเขาทำงานบนโลกได้สะดวก ผู้ที่สามารถนำธงไปใช้ได้ ทูตรับใช้ต้องเป็นคนสอนให้แน่นอน
การได้รับงานเจ้ากรรมนายเวรตามล้างแค้นถือเป็นเรื่องปกติในวงการ และเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องปฏิเสธด้วย แต่ถ้ารวมกับที่อีกฝ่ายสามารถใช้ผีบังตาได้ ก็มีความเป็นไปได้มากกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ที่จะต้องเชิญเจ้าของเรื่องและผู้ว่าจ้าง
ไอโม่ซินมองดูวิญญาณร้ายตนนั้น รูปลักษณ์ภายนอกยังคงไว้ซึ่งความสะอาดสะอ้าน นอกจากกลิ่นอายความดุร้ายและความโกรธแค้นทั่วทั้งร่างแล้ว ก็ไม่ได้เผยท่าทางน่ารังเกียจออกมา นอกจากนี้ยังน่าจะมีบุญกุศลอยู่เล็กน้อย
ไม่รอให้ไอโม่ซินได้เอ่ยปาก อีกฝ่ายก็พูดขึ้นมาก่อน “เขาเป็นศัตรูคู่แค้นกับข้ามาสามชาติแล้ว คนที่ข้าจะแก้แค้นไม่ใช่สายเลือด แต่เป็นเขากลับชาติมาเกิด วันนี้เห็นแก่หน้าชนเผ่าเถี่ยน ข้าจะปล่อยเขาไปสักพัก เดือนหน้าข้าจะมาอีกครั้ง หวังว่าถึงตอนนั้นแล้วพวกเจ้าจะไม่มาขัดขวางข้าอีก”
คนคนนั้นพูดจบก็จากไป ไอโม่ซินลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ได้ยินท่านตาพูดขึ้นข้างหู “โม่ซิน ปล่อยเขาไปเถอะ”
ทว่าก่อนที่คนคนนั้นจะหายตัวเข้าไปในผนัง เขาก็เปิดปากเรียกอีกฝ่ายเอาไว้ก่อน “รอเดี๋ยวครับ คุยกับผมอีกสักหน่อยได้มั้ยครับ”
คนคนนั้นเหมือนคิดไม่ถึงว่าไอโม่ซินจะเรียกตน สายตาที่หันกลับมาฉายแววดุดัน เหมือนกำลังจับสังเกตว่าอีกฝ่ายจะขัดขวางตัวเองหรือไม่
ไอโม่ซินคลี่ยิ้มให้เขา “ผมไม่ขัดขวางคุณหรอก แค่อยากถามเรื่องความอาฆาตแค้นของคุณน่ะครับ”
“เหตุใดเจ้าจึงอยากรู้” คนคนนั้นหันมองไปยังชนเผ่าเถี่ยนที่อยู่ด้านหลังไอโม่ซิน จากนั้นจึงเบนสายตากลับมาที่ไอโม่ซินอีกครั้ง เขาเคยได้ยินว่าผู้นำเผ่าเถี่ยนรุ่นนี้ค่อนข้างเยาว์วัย ภายในเผ่าก็เหลืออยู่แค่สองคนเท่านั้น
“ผมได้รับการไหว้วานมาจากคนอื่น อย่างน้อยผมก็อยากรู้ต้นสายปลายเหตุ จะได้มีคำอธิบาย” ไอโม่ซินตอบกลับด้วยน้ำเสียงปกติ
คนคนนั้นจ้องไอโม่ซินอยู่นาน แล้วลอยใกล้เข้ามาหาเขาอีกนิด “กลิ่นอายบนตัวเจ้า…”
ไอโม่ซินไม่กลัวว่าอีกฝ่ายจะเข้าใกล้ตนเอง แต่ไม่รู้ว่าทำไมท่านตาถึงขยับเข้ามาหาเขาด้วยความกังวลเล็กน้อย เขามองไปทางท่านตา ท่านตาก็เพียงแค่หลุบตาลง หยุดนิ่งอยู่กับที่ ไม่ได้ขยับมาด้านหน้าอีกแต่ก็ไม่ได้ถอยหลังไปเช่นกัน
ไอโม่ซินสงสัยเล็กน้อย ปกติดวงวิญญาณที่มีเหตุมีผลจะไม่ลงมือกับชนเผ่าเถี่ยน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเจียงหลีที่อาจจะพุ่งออกมาเมื่อมีอันตราย เขาจึงไม่ค่อยมั่นใจว่าท่านตากังวลเรื่องอะไร
“มันแปลกๆ นิดหน่อย” อีกฝ่ายพูดประโยคนี้จบก็ยังคงมองตรงมาที่เขา
“ผมมีสายเลือดเผ่าเถี่ยนแค่ครึ่งเดียว มันอาจจะแปลกอยู่นิดหน่อย” ไอโม่ซินพูดอย่างไม่ใส่ใจ
สุดท้ายคนคนนั้นก็ไม่ได้เข้ามาใกล้อีก เหมือนไม่ค่อยชอบกลิ่นอายบนตัวของเขาจึงลอยไกลออกไปเล็กน้อยก่อนพูดขึ้น “เจ้าจะคุยอยู่ที่นี่หรือ”
ไอโม่ซินมองตามสายตาของเขาไป บุรุษพยาบาลยกตัวเกาเฉิงเหลียงขึ้น เกาเฉิงย่วนเองก็ไม่ได้รีบร้อนจะตามไป เขาเห็นไอโม่ซินพูดพึมพำกับตัวเองอยู่ตรงนั้นก็รู้สึกหวาดกลัวอยู่ลึกๆ ในใจ แต่ก็ไม่กล้าปล่อยอีกฝ่ายเอาไว้ในบ้าน จึงได้แต่ขอให้คุณป้าตามไปก่อน ค่อยให้เธอติดต่อกลับมาเรื่อยๆ สายตาของคุณป้าไม่กล้ามองมาตรงนี้ ทั้งยังเอาแต่ก้มหน้าก้มตารีบเดินตามบุรุษพยาบาลไป
หลินเฟิงเหอพอจะสนิทกับท่านสืออยู่บ้าง ย่อมไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับวงการนี้ ตัวเขาเองก็อยากไปแล้ว แต่ไม่อาจทิ้งเกาเฉิงย่วนเอาไว้คนเดียวได้ จึงพูดกับลูกน้องทั้งสองคนอย่างใจเย็น “พวกนายกลับไปรอฉันบนรถเถอะ”
นักสืบทั้งสองคนได้ยินคำนั้นก็เดินจากไป ไอโม่ซินมองไปทางเกาเฉิงย่วนที่มีใบหน้าขาวซีด “คุณเห็นแล้วเหรอครับ”
เกาเฉิงย่วนมองไม่เห็นอะไรสักอย่างจึงส่ายหน้าด้วยความมึนงง เขาไม่เห็น ทว่าสัมผัสได้ว่าภายในห้องเย็นยะเยือกขึ้นมาก ความรู้สึกนี้ไม่ใช่เพียงแค่อุณหภูมิลดต่ำลง แต่เป็นความเย็นจากก้นบึ้งของหัวใจที่ชวนให้สั่นสะท้าน
ไอโม่ซินรู้สึกแปลกใจมาก เกาเฉิงย่วนและเกาเฉิงเหลียงเป็นพี่น้องกัน ในเวลานี้ก็ควรจะมองเห็นสิ
“หลังจากนั้นคุณได้ตรวจดีเอ็นเอมั้ยครับ” จู่ๆ ไอโม่ซินก็เอ่ยถามเขา
เกาเฉิงย่วนชะงักไปสักพักก็เข้าใจความหมายของเขา “ตรวจแล้วครับ แต่หลังจากเฉิงเหลียงหกขวบถึงได้ตรวจ”
พอเห็นไอโม่ซินขมวดคิ้ว หลินเฟิงเหอก็ช่วยพูดให้ “พวกเขาเป็นพี่น้องที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด เป็นพ่อเดียวกันแต่คนละแม่จริงๆ”
ไอโม่ซินไม่ได้ติดใจเรื่องนี้และหันไปพูดกับอีกฝ่าย “คุยกันที่นี่แหละครับ เรื่องนี้คุณเกาเฉิงย่วนไหว้วานผมมา ผมก็ต้องให้เขารู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
ไอโม่ซินส่งสัญญาณให้เกาเฉิงย่วนนั่งลง จากนั้นก็หันไปมองทางหลินเฟิงเหอ “ประธานหลินไม่ต้องอยู่ก็ได้นะครับ ผมรับประกันความปลอดภัยของคุณเกาได้”
หลินเฟิงเหอมองไปทางเกาเฉิงย่วนด้วยความลังเล เขาเคยได้ยินมาว่าไอโม่ซินทำอะไร คนคนนี้ไม่เพียงทำงานอยู่ในกองงานบุคคลเท่านั้น แต่ยังเป็นสะพานเชื่อมระหว่างคนกับผีเพื่อคลี่คลายความแค้นอีกด้วย ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าถ้าไอโม่ซินบอกว่าจะคุย ไม่ว่าจะเป็นการคุยเรื่องอะไรนั้น เขาอยู่ไปก็คงไม่เหมาะอยู่ดี แต่พอเห็นเกาเฉิงย่วนมีสีหน้าหวาดกลัว ขาวซีดไปทั้งหน้า หลินเฟิงเหอก็ทำใจจากไปไม่ได้ เขาเอื้อมมือไปจับยันต์คุ้มกายที่ท่านสือมอบให้เขา ก่อนจะนั่งลงข้างกายเกาเฉิงย่วน “ผมเองก็รู้เรื่องในครอบครัวของเฉิงย่วนดี งั้นก็คุยกันเถอะ ผมจะอยู่เป็นพยาน”
ไอโม่ซินเองก็ไม่ได้ห้ามปรามเขา เมื่อยินดีจะอยู่ก็นับว่าหลินเฟิงเหอมีน้ำใจไมตรี ไอโม่ซินหยิบสมุดบันทึกออกมาเขียนอักษรตัวหนึ่งลงไปบนนั้น ก่อนจะฉีกกระดาษออกแล้วเขียนลงไปอีกตัว พอฉีกออกมาก็พับกระดาษยื่นส่งให้ทั้งสองคนไปคนละแผ่น “ถือเอาไว้ในมือนะครับ ไม่ต้องกลัว เขาไม่ทำร้ายพวกคุณหรอก”
เกาเฉิงย่วนรู้สึกกลัวมาก แต่เมื่อคิดถึงน้องชายก็เอื้อมมือไปรับกระดาษแผ่นนั้นมาถือไว้ในมือ ต่อจากนั้นเบื้องหน้าเขาก็มีเงาร่างร่างหนึ่งปรากฏขึ้นมาช้าๆ ลมหายใจของเขาถี่กระชั้น ตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อย แต่เพราะนั่งอยู่บนโซฟา ต่อให้อยากจะถอยไปก็ไม่มีที่ให้ถอย
หลินเฟิงเหอเองก็มองเห็นเงานั้นเช่นกัน เขามีชีวิตอยู่มาจนอายุปูนนี้ก็นับว่าเคยผ่านขวากหนามมาแล้ว จิตใจจึงมั่นคง เขาตบแขนเกาเฉิงย่วนเบาๆ “ไม่ต้องกังวล คุณไอไม่ให้นายเป็นอะไรไปหรอก”
“ครับ” เกาเฉิงย่วนพยักหน้า สายตาไม่กล้ามองไปทางคนคนนั้น
ทว่าอีกฝ่ายก็ไม่ได้สนใจว่าเกาเฉิงย่วนกำลังนั่งอยู่ตรงนั้น ไอโม่ซินเพิ่งเคยเจอสถานการณ์แบบนี้เป็นครั้งแรก ถึงจะบอกว่าเป้าหมายการแก้แค้นคือคนที่กลับชาติมาเกิด แต่เมื่อได้พบคนที่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับคนที่แค้นเคือง อย่างน้อยก็น่าจะได้รับผลกระทบอะไรบ้าง แต่คนคนนี้กลับไม่แม้แต่จะมองเกาเฉิงย่วนสักครั้ง
“ข้ามีนามว่ามู่จ้งไป๋ หัวขโมยคนนั้นมีนามว่าตู้โส่วเย่ ข้ากับเขารู้จักกันมาตั้งแต่เกิด เติบโตมาดั่งพี่น้อง ถึงครอบครัวของเขาจะตกต่ำแต่ก็เป็นคนมีการศึกษา เขาร่ำเรียนอย่างหนักมาตั้งแต่เด็กเพื่อสร้างเกียรติยศให้แก่วงศ์ตระกูลในภายหน้า ส่วนข้าก็เป็นลูกพ่อค้า เรียนค้าขายกับบิดามาตั้งแต่เด็กๆ ถึงเขาจะกลายเป็นบัณฑิตแล้วแต่ก็ยังสอบขุนนางไม่ผ่าน ส่วนข้ารับช่วงต่อกิจการของบิดาก็ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ข้าจึงให้ทุนเขาเล่าเรียน สร้างสถานศึกษาให้เขาสอนหนังสือ ข้าคิดว่าพวกเราสนิทสนมกันประหนึ่งพี่น้อง แต่หลังจากที่ข้าแต่งงานเขาก็คิดไม่ซื่อกับภรรยาของข้า บางทีเขาอาจจะอยากแย่งทรัพย์สมบัติของข้ามาตั้งนานแล้วก็เป็นได้ คืนหนึ่งเขาจึงมอมเหล้าข้า วางยาพิษแล้วหักแขนหักขาข้า จากนั้นก็ฝังข้าเอาไว้ในกำแพงทั้งเป็นให้ข้ารอความตาย”
มู่จ้งไป๋เงียบไปสักพัก สายตาทอดมองไกลออกไป หลังจากความเกลียดชังถึงขีดสุด ในดวงตาก็หลงเหลือเพียงความว่างเปล่า เหลือเพียงกลิ่นอายความโกรธแค้นเต็มเปี่ยมล้อมรอบกาย
“ในสายตาของผู้อื่นเขามีชื่อเสียงดีมาก เป็นอาจารย์เพียงคนเดียวในหมู่บ้าน แถมยังเป็นพี่น้องที่รักใคร่กลมเกลียวกับข้า แน่นอนว่าไม่มีใครสงสัยในคำพูดที่เต็มไปด้วยความใจดีมีเมตตาของเขา ทุกคนจึงเชื่อว่าข้าหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย และเขาก็เป็นคนเพียงคนเดียวที่ยืนกรานว่าข้าไม่มีทางทิ้งลูกกับเมียไป ข้าต้องฟังเขาหลอกลวงลูกเมียของข้าทั้งอย่างนั้น ต้องปล่อยให้ลูกที่เพิ่งเกิดยอมรับหัวขโมยเป็นบิดา ส่วนข้าก็ต้องพึ่งน้ำฝนที่ไหลลงมาในกำแพง มีชีวิตอยู่อย่างทุกข์ทรมานถึงสองเดือน หลังจากได้ยินเสียงร้องไห้ของลูกที่เกิดมา ข้าถึงได้ขาดใจตาย”
เกาเฉิงย่วนได้ยินดังนั้นก็หวาดกลัวสุดขีด แต่ก็คิดว่าคนเลวพรรค์นี้ไม่เกี่ยวข้องกับน้องชายของเขา ไม่ว่าจะมีการกลับชาติมาเกิดจริงหรือไม่ น้องชายของเขาก็ไม่ใช่คนแบบนี้
มู่จ้งไป๋อาจจะสัมผัสได้ถึงความคิดของเขา ในที่สุดก็หันหน้ามามองเกาเฉิงย่วนแวบหนึ่งและพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เขากลับชาติมาเกิดสองครั้งก็เป็นคนหน้าเนื้อใจเสือแบบนี้เหมือนกันหมดนั่นแหละ ถ้าเขาสร้างบุญกุศลสักชาติ ข้าก็จะไม่แก้แค้นในขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่ แต่จะรอให้เขาตาย รอให้เขาจดจำทุกสิ่งทุกอย่างได้เอง”
เกาเฉิงย่วนอยากจะโต้กลับ แต่ไอโม่ซินยกมือห้ามเขาไว้ ก่อนมองไปทางมู่จ้งไป๋และพูดขึ้นว่า “หลังจากตู้โส่วเย่กลับชาติมาเกิดแล้วได้ทำเรื่องไม่ดีอะไรไว้บ้างครับ”
“ชาติแรกที่กลับชาติมาเกิดเขาเป็นทหาร ท่ามกลางสงครามอันวุ่นวาย เขาเป็นคนมีพละกำลังมหาศาลแต่ไม่เข้าร่วมกองทัพ กลับรวบรวมกำลังคนตั้งตัวเป็นโจรภูเขา ข่มเหงลูกเมียคนอื่นและยึดครองทรัพย์สินของผู้อื่น ข้าติดตามเขาและนับดูแล้ว เขาสังหารไปทั้งสิ้นสิบแปดครอบครัว หลังจากสังหารผู้บริสุทธิ์ไปสองร้อยหกสิบสองคน เขาก็ขับไล่กองทัพศัตรูกองหนึ่งภายในเมืองและผันตัวเป็นวีรบุรุษ ข้าทนเห็นเขาลำพองใจเช่นนี้ไม่ได้ จึงได้ตัดสินใจลงไปร้องเรียนที่ยมโลก ใช้เวลาถึงสิบปีกว่าจะได้รับธงไปแก้แค้น แต่ไม่นึกว่าภายในเมืองจะมีหมอผีฝีมือฉกาจคนหนึ่ง เขาทำให้ดวงวิญญาณของข้าแทบจะแหลกสลายโดยไม่ถามถึงต้นสายปลายเหตุ ข้าต้องรักษาตัวอยู่นานถึงสามสิบปี กว่าจะมีพลังกลับไปแก้แค้น แต่เขากลับตายไปโดยที่มีลูกและภรรยาห้อมล้อมรอบกาย”
มู่จ้งไป๋กัดฟันเอ่ยออกมาทีละคำเหมือนอยากจะเคี้ยวเรื่องราวเหล่านี้ให้แหลกละเอียดแล้วกลืนลงไป ผ่านไปครู่ใหญ่น้ำเสียงของเขาถึงได้กลับมาเป็นเหมือนเดิม
“หลังจากที่เขาตายไป ข้าคิดว่าในที่สุดโอกาสในการแก้แค้นก็มาถึงเสียที แต่ไม่รู้ว่าเขาใช้วิธีอะไร บางทีหมอผีในเมืองคนนั้นอาจจะสอนเขาไว้ ดังนั้นก่อนที่ข้าจะหาเขาเจอ เขาก็กลับชาติไปเกิดเสียแล้ว ข้าตามหาเขาไปทั่วทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าหลังจากที่เขากลับชาติมาเกิดแล้วจะหน้าตาเป็นอย่างไร ข้าก็ไม่มีวันจดจำวิญญาณของเขาผิดแน่นอน กระทั่งเมื่อสามสิบแปดปีก่อนข้าก็หาเขาเจอ ตอนนั้นเขาอายุสิบสองปี ข้าคอยติดตามจับตาดูเขาอยู่ทั้งวันทั้งคืน ถ้าหากเขาระมัดระวังตัวเพราะเรื่องนี้และทำตัวเป็นคนดีที่ซื่อตรง บางทีข้าอาจจะไม่ลงมือ แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงการคงอยู่ของข้า จึงหาคนจากทั่วทุกสารทิศมาช่วยเขาจัดการ ไม่รู้ว่าเขาไปเจอผู้มากฝีมืออันใดมา จึงผนึกข้าเอาไว้ในไหจนไม่ได้เห็นตะวัน ทำให้ข้านึกถึงวันเวลาตอนที่ถูกเขาฝังอยู่ในกำแพง
แต่ในตอนที่อีกไม่ช้าข้าก็จะเป็นบ้าจนสูญสิ้นสติสัมปชัญญะ สวรรค์ก็มีตาทำให้ข้าหลุดออกจากการคุมขัง จนกระทั่งข้าหาเขาเจออีกครั้ง ไม่ได้เจอเขามาสิบสามปีเขาก็แบกชีวิตของคนหลายร้อยชีวิตเอาไว้บนบ่าเสียแล้ว เขาอุ้มบุตรสาวไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข จับจูงภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์เอาไว้ แล้วจะให้ข้าทนได้อย่างไร?! แต่เขามีวัตถุเวทที่ร้ายกาจติดตัวทำให้ข้าไม่สามารถเข้าใกล้ได้ ข้าจึงลงไปร้องเรียนกับยมโลกเป็นครั้งที่สอง ใช้เวลาถึงยี่สิบห้าปีถึงได้รับธงโลหิตมา ทูตรับใช้ที่รู้จักกันดีก็ได้สอนข้าว่าจะปิดตามนุษย์อย่างไร คราวนี้ข้าไม่มีทางปล่อยเขาไปเด็ดขาด ข้าคิดจะให้เขามีชีวิตอยู่ในกำแพงทั้งเป็นสักสองเดือนแล้วจึงปล่อยให้เขาตาย ต่อให้ชนเผ่าเถี่ยนของเจ้าคิดจะขัดขวาง ข้าก็จะไม่ยอมแพ้เช่นกัน”
มู่จ้งไป๋มองไปทางไอโม่ซินด้วยสายตาเหี้ยมเกรียม กลิ่นอายดุร้ายพลันตลบอบอวลอยู่ภายในห้อง
“เดี๋ยวครับ” ไอโม่ซินยกมือขึ้นห้ามไม่ให้เกาเฉิงย่วนพูดอีกครั้ง ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “คุณบอกว่าชาตินี้คุณหาเขาเจอเมื่อสามสิบแปดปีที่แล้ว ตอนนั้นเขาอายุสิบสองปี จากนั้นคุณก็พลาดร่องรอยของเขาไปจนกระทั่งสิบสามปีให้หลังถึงได้หาเขาเจอ แถมยังใช้เวลาอีกยี่สิบห้าปีเพื่อให้ได้ธงโลหิต งั้นปีนี้เขาก็ต้องมีอายุอย่างน้อยห้าสิบปีแล้ว ปีนี้เกาเฉิงเหลียงมีอายุแค่สิบห้าปี คุณจำคนผิดหรือเปล่าครับ”
“เป็นไปไม่ได้! ต่อให้เขาวิญญาณแหลกสลายข้าก็ยังจำเขาได้” มู่จ้งไป๋ถลึงตามองมา
“ถ้าอย่างนั้นคุณจะอธิบายเรื่องอายุของเกาเฉิงเหลียงยังไงล่ะครับ” ไอโม่ซินมีความอดทนในการเผชิญหน้ากับผีมากกว่ามนุษย์ เขาอธิบายอย่างใจเย็น “ไม่ว่าจะพูดยังไงอายุก็ไม่ผิดแน่ ถ้าคุณยืนกรานว่าความทรงจำที่คุณมีต่อเขาในชาตินี้ไม่ผิดพลาด แบบนั้นเขาก็ไม่มีทางอายุแค่สิบห้าแน่นอน ผมไม่ได้จะห้ามคุณแก้แค้น แต่คุณต้องหาให้ถูกคน”
มู่จ้งไป๋ลังเล “…ข้าไม่มีทางจำผิด ในวันที่ข้าหนีออกมาจากไหใบนั้น เขาก็แต่งงานมีลูกแล้ว…ภายในสิบสามปีนั้นเขาได้แบกชีวิตของผู้คนนับร้อยกว่าคนเอาไว้บนบ่า…?”
ไอโม่ซินแอบส่งสัญญาณให้เกาเฉิงย่วนสงบใจลง ถ้าไม่จำเป็นเขาก็ไม่อยากให้ทั้งสองคนพูดคุยกัน แต่หากจู่ๆ มู่จ้งไป๋ตระหนักได้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้ามีความเกี่ยวพันทางสายเลือดกับคู่แค้น คงจัดการไม่ได้ง่ายๆ
ไอโม่ซินรอ ขณะที่มู่จ้งไป๋ก็พูดพึมพำกับตัวเองอยู่ที่เดิม เขาหันไปมองท่านตาของเขาก็พบว่าท่านตายังคงเตรียมพร้อมป้องกันไว้เต็มที่ เขาไม่มั่นใจว่าท่านตาของเขาเป็นอะไรไปจึงพูดเสียงเบา “ท่านตา?”
ไอเฉินมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนส่ายหน้าไปมาแล้วถอยไปด้านหลังเล็กน้อยโดยไม่ตอบกลับ
“ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ข้าไม่มีทางจำดวงวิญญาณผิดแน่ ต่อให้ข้าจำผิด ธงโลหิตของข้าก็ไม่มีทางจำผิด” มู่จ้งไป๋ได้สติกลับมาก็พูดกับไอโม่ซิน “บางทีเขาอาจจะรู้ว่าข้ากำลังตามหาเขาอยู่ ก็เลยชิงร่างของเด็กหนุ่มมา?”
ไอโม่ซินอึ้งไป ก่อนจะโบกมือพูดขึ้น “เป็นไปไม่ได้หรอกครับ ต่อให้วิญญาณสิงร่างก็คงประคองอยู่ได้ไม่นาน เมื่อสองร้อยปีก่อนเป็นยังไงผมไม่รู้ แต่ตอนนี้ไม่มีดวงวิญญาณที่สามารถสิงร่างคนได้เกินเจ็ดวันแล้วล่ะครับ อีกอย่างคนที่คุณรู้จักก็เป็นวิญญาณไม่ใช่ร่าง เขาจะถอดวิญญาณเพราะหวังว่าคุณจะหาเขาไม่เจอได้ยังไง”
“เป็นไปได้อย่างไร…หรือว่าข้าจะทำให้เขาหนีไปอีกแล้ว” มู่จ้งไป๋ขมวดคิ้วคิดใคร่ครวญอยู่สักพัก แต่ก็ดูเหมือนจะยิ่งกังวลมากขึ้นทุกที เขากำธงโลหิตในมือแน่น หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งถึงได้เงยหน้าขึ้นมา “สรุปคือข้าจำดวงวิญญาณของเขาได้ ข้าจำไม่ผิดแน่นอน และข้าก็รับปากว่าหนึ่งเดือนให้หลังจะกลับมาอีกครั้ง ถ้าเจ้าตรวจสอบได้ว่าข้าจำคนผิดไปจริงๆ ก่อนถึงเดือนหน้าข้าจะรามือ มิเช่นนั้นชาตินี้ข้าจะไม่มีทางปล่อยเขาไปเด็ดขาด!”
ไอโม่ซินพยักหน้าโดยไม่ได้คัดค้าน เขาหยิบสมุดบันทึกขึ้นมาเขียนอักษรจำนวนหนึ่งให้อีกฝ่าย ถือเป็นการผูกสัมพันธ์ เขามองดูแสงสีทองเป็นดวงๆ ละลายหายเข้าไปในหน้าอกของมู่จ้งไป๋และลดกลิ่นอายความดุร้ายลงไปเล็กน้อย ก่อนพูดอย่างอ่อนโยนว่า “หนึ่งเดือน ผมจะพยายามหาความจริงมาให้คุณ แต่ระหว่างนี้ถ้ามีข้อสงสัยอะไร ผมหวังว่าคุณจะสามารถตอบผมได้ทุกเมื่อนะครับ”
มู่จ้งไป๋ลูบหน้าอกของตัวเองพร้อมขมวดคิ้วเหมือนไม่ชอบที่เขาเรื่องมาก แต่สุดท้ายก็ได้แต่พยักหน้า “หวังว่าเผ่าเถี่ยนของเจ้าจะรักษาคำพูด”
“เผ่าเถี่ยนของผมย่อมรักษาคำพูดอยู่แล้ว” ไอโม่ซินตอบกลับด้วยท่าทางแน่วแน่
สุดท้ายมู่จ้งไป๋ก็มองไปที่เกาเฉิงย่วนแวบหนึ่ง ก่อนหมุนตัวหายเข้าไปในผนังโดยไม่เหลือแม้แต่เงา
ในที่สุดอากาศภายในห้องก็กลับมาอบอุ่น เกาเฉิงย่วนถึงได้ผ่อนคลายลง หลินเฟิงเหอตบหน้าอกเบาๆ และพูดด้วยความกลัวที่ยังหลงเหลืออยู่ในใจ “ไม่คิดเลยว่ามีชีวิตอยู่มาจนปูนนี้แล้วจะยังได้เจอเรื่องแบบนี้”
“ขอโทษที่ทำให้คุณตกใจนะครับ” ไอโม่ซินยิ้มให้เขา จากนั้นก็หันไปพูดกับเกาเฉิงย่วนอีกครั้ง “คุณไปอยู่กับน้องคุณก่อนก็ได้ครับ เดี๋ยวตอนเย็นผมจะไปหาเขาที่โรงพยาบาล”
เกาเฉิงย่วนปาดเหงื่อบนขมับแล้วส่งกระดาษที่กำไว้ในมือคืนให้ไอโม่ซิน “ขะ…ขอบคุณครับที่ช่วยชีวิตน้องผมเอาไว้”
“เดือนนี้คงต้องขอความร่วมมือจากคุณกับน้องชายหน่อยนะครับ ผมจะพยายามหาสาเหตุที่เขาจำคนผิด คุณเองก็สามารถใช้วิธีการของคุณสืบหาได้เหมือนกัน หรือไม่อย่างนั้นก็ไปขอให้คนเก่งๆ คนอื่นช่วยเหลือ แต่มีแค่เรื่องเดียวที่ไม่สามารถทำได้” ไอโม่ซินมองไปที่เกาเฉิงย่วนพร้อมรอยยิ้มจางจนทำให้อีกฝ่ายอดกังวลขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้
“ห้ามคิดหนี อย่าพาน้องชายของคุณไปซ่อนตัว มันไม่มีประโยชน์กับวิญญาณที่ถือธงแก้แค้นหรอกนะครับ” ไอโม่ซินเรียบเรียงคำพูดสุภาพเอาไว้ด้านหน้า ถ้าหากเกาเฉิงย่วนคิดจะใช้เงินหาคนอื่นมาจัดการ เขาก็ยินดีที่จะไม่ต้องยุ่ง ธงโลหิตไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถแทรกแซงได้ง่ายๆ หากไม่ใช่เพราะสือหมิง เขาคงไปตั้งแต่เห็นผีบังตาแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงธงโลหิตเลย
“ผมรู้ ผมจะให้ความร่วมมือแน่นอน คุณช่วยน้องผมด้วยนะครับ” เกาเฉิงย่วนก้มหัวลงขอร้อง ไอโม่ซินคิดว่าสำหรับทายาทรุ่นสองที่ได้รับความรักความเอ็นดูคนหนึ่ง เกาเฉิงย่วนอ่อนโยนจนอ่อนแอไปหน่อยจริงๆ แต่อาจเป็นเพราะความอ่อนโยนและนิสัยใจคอของเขา สือหมิงจึงอยากช่วยเขา
“ผมจะพยายามครับ” ไอโม่ซินอยากบอกว่าเขาไม่สามารถรับประกันเรื่องใดได้ทั้งนั้น แต่เมื่อคิดว่าถ้าหากเกาเฉิงย่วนวิ่งไปแจ้งตำรวจ สุดท้ายมันก็คงตกมาที่หัวเขาอยู่ดี
หลินเฟิงเหอนั่งคิดพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งก็พูดขึ้นมาเช่นกัน “ผมช่วยสืบได้นะครับ ตามที่มู่จ้งไป๋พูดมา ปีนี้คนคนนั้นน่าจะอายุห้าสิบปีพอดี มีภรรยาและลูกสาว อย่างน้อยก็ต้องมีลูกสองคน รู้ว่ามีผีอยู่ข้างตัวเองตั้งแต่อายุสิบสอง หาคนมาผนึกผีเอาไว้ในไหแถมยังหนีไปได้ เรื่องนี้ไม่มีทางเงียบหายแน่นอน ผมสามารถสืบหาจากเส้นสายของผมได้ แล้วค่อยมาดูกันว่าจะหาคนคนนี้เจอหรือเปล่า”
“ขอบคุณครับคุณลุงหลิน” เกาเฉิงย่วนได้ยินว่าหลินเฟิงเหอยินดีช่วยก็สบายใจขึ้นเล็กน้อย
“ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนด้วยนะครับประธานหลิน” ไอโม่ซินหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแลกเบอร์กับทั้งสอง จากนั้นจึงลุกขึ้นพูดว่า “ผมจะกลับไปที่กรมฯ ก่อนนะครับ ตอนเย็นจะไปดูเกาเฉิงเหลียงอีกที รบกวนส่งข้อมูลโรงพยาบาลให้ผมทีนะครับ”
“ได้เลยครับ เดี๋ยวผมจะไปยืนยันกับโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้แหละครับ” เกาเฉิงย่วนรีบตอบรับและไปส่งเขา
“ผมไปส่งให้แล้วกัน” หลินเฟิงเหอเองก็ลุกขึ้นเดินออกไปเช่นกัน “นายก็รีบไปดูน้องชายที่โรงพยาบาลเถอะ”
จากนั้นไอโม่ซินและหลินเฟิงเหอก็ออกไปกดลิฟต์พร้อมกันภายใต้การขอบคุณอย่างสุดซึ้งของเกาเฉิงย่วน
“คุณไอจะไปที่กรมตำรวจนครบาลเหรอครับ ให้ผมไปส่งคุณไม่ดีกว่าเหรอ” หลินเฟิงเหอถามเขา
ไอโม่ซินมองดูเวลา น่าจะไม่มีเวลากลับบ้านก่อนแล้ว เขาจึงขอบคุณหลินเฟิงเหอด้วยความสุภาพและออกจากเขตชุมชนแห่งนี้เพื่อไปขึ้นรถของอีกฝ่าย
ไอเฉินมองรถของหลินเฟิงเหอขับไกลออกไปโดยไม่ได้ติดตามไปในทันที เขาเพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ
“ลุงเขย…” ไอหลิง ท่านลุงใหญ่ของไอโม่ซินยืนอยู่ข้างเขาด้วยความสงสัยเล็กน้อย “นั่นคงไม่ใช่ว่า…”
ไอเฉินส่ายหน้า ไม่ให้เขาพูดออกมา ผ่านไปหลายวินาทีถึงได้เอ่ยขึ้น “อย่าให้เยวี่ยเจินกับโม่ซินรู้”
ไอหลิงรู้สึกว่าเรื่องนี้คงเป็นไปไม่ได้ “ลุงเขย จะปิดเยวี่ยเจินคงได้ แต่จะปิดโม่ซินคงไม่ได้หรอกครับ ถ้าหากโม่ซินถาม ผมก็ต้องตอบ”
ไอเฉินรู้อยู่แล้ว “ปิดได้นานเท่าไรก็นานเท่านั้น โม่ซินไม่ถามนายเรื่องนี้ นายก็ไม่ต้องพูด”
ไอหลิงเชื่อฟังไอเฉินมาตลอด แต่คราวนี้เขาไม่ค่อยจะเห็นด้วย “โม่ซินโตขนาดนี้แล้ว เรื่องนี้ให้เขารู้ก่อน เขาจะได้เตรียมใจไว้ก่อนไงครับ”
ไอเฉินลังเลอยู่นาน ในสายตาของเขา ไอโม่ซินยังคงเป็นเด็กน้อยที่ถือกระดาษยับยู่ยี่ ยืนอยู่ตรงหน้ามารดาและเอ่ยคำสาบานดังลั่นด้วยน้ำเสียงอ่อนเยาว์อยู่เสมอ
ไอเฉินถอนหายใจ “ฉันจะคิดดู นายกลับไปก่อนเถอะ ช่วงนี้พยายามอย่าออกมาแล้วกัน”
“…ครับ” ไอหลิงเองก็ใช่ว่าจะไม่เข้าใจความกังวลของไอเฉิน เขาหมุนตัวจากไปแต่โดยดี แต่ก็ฟังออกว่าในเสียงถอนหายใจของลุงเขยเต็มไปด้วยความกลุ้มใจและความโศกเศร้า
* ธงโลหิต เป็นเครื่องหมายของการนองเลือดและการพลีชีพอย่างไม่เป็นธรรม
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 10 มี.ค. 66