ทดลองอ่าน คน • สื่อ • วิญญาณ เล่ม 3 บทที่ 4-6 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน คน • สื่อ • วิญญาณ เล่ม 3 บทที่ 4-6 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทที่ 4

เมื่อไอโม่ซินก้าวเข้าไปในสำนักงานก็ตอบข้อความของเจียงเฉิงฟางเสร็จพอดี และแจ้งไปว่าตัวเองอยู่ที่กรมแล้ว

ดูเวลาแล้วยังไม่ถึงเก้าโมง วันนี้นับว่าเขามาค่อนข้างเช้า ขณะนั้นอวี๋จิ้งเอินกำลังดูข้อมูลคดีอยู่ในห้องทำงาน เมื่อเห็นเขาเข้ามาก็แปลกใจนิดหน่อย “วันนี้มาเช้าจัง”

“ถูกขุดขึ้นมาจากเตียงตั้งแต่ตีสามน่ะครับ” ไอโม่ซินหาว อยากไปชงกาแฟสักแก้วแต่กลับหาเมล็ดกาแฟไม่เจอ

“เมื่อวานฝ่ายธุรการยืมไปรับรองแขกน่ะ ยังไม่ได้เอากลับมาคืนเลย” อวี๋จิ้งเอินทำปากยื่น “ดูแล้วน่าจะไม่คืนด้วย”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมไปซื้อสักแก้วแล้วกัน” ไอโม่ซินลูบคลำต้นคอที่รู้สึกปวดเมื่อยเล็กน้อย ทันทีที่เข้าไปในห้องทำงานเขาก็รู้สึกว่าสามารถผ่อนคลายได้ ทั้งร่างเริ่มรู้สึกปวดแปลบ ความเหนื่อยล้าก็พรั่งพรูขึ้นมา

“ฉันไปเอง นายกินข้าวเช้าหรือยัง ฉันจะได้ซื้อมาให้ด้วย” อวี๋จิ้งเอินเห็นเขาขอบตาดำคล้ำจึงลุกขึ้น ตั้งใจจะไปทำให้

เดิมทีไอโม่ซินอยากจะปฏิเสธ แต่ทันทีที่นั่งลงบนเก้าอี้เขาก็เริ่มง่วง สุดท้ายเลยขยี้ตาพลางกล่าว “งั้นรบกวนด้วยนะครับ”

“จะมาเกรงใจอะไรฉัน” อวี๋จิ้งเอินเห็นเขาฟุบลงกับโต๊ะไปแล้วจึงหยิบเสื้อโค้ตและกระเป๋าเงินวิ่งออกไป

จะว่าไปแล้วภายในห้องทำงานแห่งนี้ก็มีแค่เขาคนเดียวเท่านั้นที่เป็นข้าราชการธรรมดา ทำงานแปดโมงเลิกงานหกโมง แต่ไอโม่ซินนั้นไม่เหมือนกัน ตั้งแต่เขาเข้ามาในกรมฯ ก็ไม่เคยเห็นอีกฝ่ายเข้างานก่อนแปดโมงเช้าตามปกติเลย บางครั้งก็ไม่เห็นเข้ามาเลยสามสี่วันด้วยซ้ำ นอกจากนี้ช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายนของทุกปียังต้องลาหยุดไปสองเดือนด้วย คนจากหน่วยอื่นก็พูดด้วยน้ำเสียงอิจฉาว่า ‘รุ่นน้องคนนั้นของนายน่ะมาเอาบำนาญเฉยๆ ล่ะมั้ง’

‘นั่นน่ะรุ่นพี่ฉัน ตอนที่เขาเริ่มทำคดี นายยังไม่ได้เข้าโรงเรียนตำรวจเลย’ อวี๋จิ้งเอินถลึงตามองเขา ขี้เกียจคุยกับอีกฝ่ายให้มากความ ถึงยังไงถ้ามีคนนินทาในที่สาธารณะจริงๆ หัวหน้าก็คงออกมาจัดการเองแหละ

อวี๋จิ้งเอินวิ่งไปยังร้านอาหารเช้าที่ตัวเองไปเป็นประจำ ปกติไอโม่ซินจะกินข้าวที่บ้านแล้วค่อยออกมา ไม่อย่างนั้นเขาก็จะเอาอาหารมาที่กรมฯ ด้วย น้อยครั้งมากที่เขาจะมาทำงานโดยที่ท้องว่าง แม้จะไม่มั่นใจว่าไอโม่ซินชอบอันไหน แต่อย่างน้อยก็จำได้ว่าหัวหน้าเคยบอกว่าเจ้าตัวไม่เลือกกิน เขาจึงซื้อแซนด์วิชที่เป็นอาหารแนะนำในร้าน จากนั้นค่อยไปซื้อกาแฟอีกสองแก้วถึงได้กลับไปที่ห้อง

เมื่ออวี๋จิ้งเอินกลับมาก็พบว่าเจียงเฉิงฟางยังไม่เข้ามา เขานำกาแฟกับแซนด์วิชไปวางไว้บนโต๊ะของไอโม่ซินแล้วสะกิดอีกฝ่ายเบาๆ ด้วยความระมัดระวัง “เสี่ยวไอ กินอะไรก่อนแล้วค่อยนอนเถอะ”

ไอโม่ซินตื่นขึ้นมาเพราะถูกสะกิด เมื่อพบว่าตัวเองเผลอหลับไปช่วงสั้นๆ ก็ต้องรู้สึกแปลกใจนิดหน่อย เขาลูบหน้าลูบตาแล้วรับกาแฟมา “ขอบคุณครับ”

“คดีตอนเช้าวุ่นวายมากเหรอ ทำไมหัวหน้าถึงไม่เข้ามาล่ะ” อวี๋จิ้งเอินถามด้วยความสงสัย

“ความแค้นสามร้อยปี จัดการยาก…” ไอโม่ซินกัดแซนด์วิช ตอนเช้าที่บ้านสกุลเกาก็กินไปแค่สองคำ ตอนนี้จึงรู้สึกหิวนิดหน่อยจริงๆ

“โห สามร้อยปีเลยเหรอ คงไม่ต้องหาบันทึกแล้ว” อวี๋จิ้งเอินหลุดปากตอบกลับไป

ไอโม่ซินพยายามตั้งสมาธิ พอได้ยินอีกฝ่ายพูดแบบนั้นเขาก็นึกได้ว่ามีอย่างหนึ่งที่น่าจะค้นหาได้ “พี่อวี๋ ผมมีเรื่องจะรบกวนให้พี่ช่วยตรวจสอบหน่อย เมื่อประมาณยี่สิบห้าปีก่อนมีเหตุการณ์ใหญ่อะไรที่มีจำนวนคนตายมากกว่าร้อยคนบ้างหรือเปล่าครับ ไม่ก็สักสิบสามปีก่อนหน้านี้”

“โรคซาร์ส” อวี๋จิ้งเอินตอบอย่างรวดเร็วแล้วมองไอโม่ซินด้วยใบหน้ามีลับลมคมใน ก่อนพูดขึ้น “มีคดีใหญ่ขนาดนั้นจะตรวจสอบไม่ได้ได้ยังไง คนตายมากกว่าร้อยคน แถมยังไม่ใช่คนบาดเจ็บ อีกอย่างต่อให้มีจริงก็น่าจะเป็นพวกโรคระบาด ไม่งั้นก็ภัยธรรมชาติอย่างแผ่นดินไหว พายุไต้ฝุ่นอะไรพวกนั้น”

ไอโม่ซินอึ้งไปเล็กน้อย คำถามที่ถามออกไปมันโง่มาก แบกรับชีวิตของคนเกือบร้อยชีวิตไม่ได้หมายความว่าเขาฆ่าคนมากมายขนาดนั้นให้ตายด้วยมือของตัวเอง แต่น่าจะเป็นการทำอะไรสักอย่างจนก่อให้เกิดผลลัพธ์แบบนี้

โรคซาร์ส…โรคระบาดน่าจะเป็นไปไม่ได้ งั้นก็ภัยธรรมชาติเหรอ ภัยธรรมชาติ…

อวี๋จิ้งเอินเห็นไอโม่ซินขมวดคิ้วครุ่นคิด เคี้ยวอาหารในปากช้าๆ และกลืนลงไป ทันใดนั้นเขาก็คิดออกแล้วลุกขึ้นยืนเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง

อวี๋จิ้งเอินมองไอโม่ซินพุ่งไปที่ซิงก์และอาเจียนออกมาจนทำให้เขาตกอกตกใจ

“นายเป็นอะไรไป มีอะไรหรือเปล่า แซนด์วิชไม่สดเหรอ ฉันไปดูเจ้าของร้านทำเลยนะ เมื่อเช้าฉันก็ยังกินอยู่เลย!” อวี๋จิ้งเอินรีบเข้าไปลูบหลังเขา ไอโม่ซินโบกไม้โบกมือเป็นสัญญาณว่าไม่เป็นไร

ในตอนนั้นเองเจียงเฉิงฟางก็เข้ามาพอดี เขาอึ้งไปสองวิก่อนจะพุ่งเข้ามาตะโกนเสียงดัง “เสี่ยวไอ นายเป็นอะไรไปน่ะ”

“เอ่อ…เหมือนจะกินแซนด์วิชที่ผมเพิ่งซื้อมาเข้าไปแล้วก็อาเจียนออกมาน่ะครับ…” อวี๋จิ้งเอินเองก็งุนงงนิดหน่อย

เจียงเฉิงฟางหันกลับไปมองแซนด์วิชบนโต๊ะที่เขาเพิ่งกัดไปได้สองคำทันที ปฏิกิริยาแรกก็คือมีใครวางยาพิษหรือเปล่า?!

“ไม่มีอะไรครับ แค่อาเจียนเอง ไม่มีใครวางยาพิษหรอก” ไอโม่ซินอาเจียนเสร็จก็บ้วนปาก ทำความสะอาดซิงก์ให้เรียบร้อย จากนั้นก็หันกลับไปมองเจียงเฉิงฟางที่ดูท่าทางเหมือนกำลังเผชิญหน้ากับศัตรู

เจียงเฉิงฟางยังคงพิจารณาแซนด์วิชอันนั้นอยู่ เขาขมวดคิ้วแล้วหันกลับมามอง “คงไม่ได้ไปจับของสกปรกอะไรมาใช่มั้ย”

“เมื่อเช้าผมก็กินร้านนั้นนะครับ เป็นแซนด์วิชแบบเดียวกันเลย เจ้าของร้านเขาดีมากนะครับ” อวี๋จิ้งเอินพูดด้วยสีหน้าไม่พอใจ

ไอโม่ซินรับไม่ได้จนต้องแย่งของที่ตัวเองกินไปครึ่งหนึ่งในมือของเจียงเฉิงฟางมาโยนทิ้งลงถังขยะ “ของกินไม่ถูกกับกระเพาะน่ะครับ อาเจียนออกมาก็โอเคแล้ว ผมไม่ได้เป็นอะไรด้วย ถ้าแซนด์วิชมีพิษเขาจะปล่อยให้ผมกลืนลงไปได้ยังไงล่ะครับ”

ท่านลุงเล็กที่ยืนอยู่ข้างกายเขาก็ค่อนข้างกังวลเช่นกัน พอเห็นว่าเขาไม่เป็นอะไรแล้วก็ถลึงตาไปทางเจียงเฉิงฟางด้วยใบหน้าดูถูก

เจียงเฉิงฟางคิดดูก็เห็นด้วย ของที่ไอโม่ซินจะกิน ชนเผ่าเถี่ยนย่อมตรวจสอบมาแล้ว หลายครั้งเขายังเห็นว่ามีคุณยายคนหนึ่งฉวยโอกาสตอนที่ไอโม่ซินไม่ทันสังเกตหยิบเข็มเงินออกมาทดสอบพิษในอาหารด้วย ทำเอาเขาตะลึงจนตาค้างไปเลย

ไอโม่ซินอาเจียนจนเหนื่อยจึงนั่งลงหวังจะหยิบกาแฟมาดื่ม แต่ก็ถูกอวี๋จิ้งเอินแย่งไป “อาเจียนออกมาหมดแล้วอย่าดื่มกาแฟเลย เดี๋ยวจะปวดท้องเอา กินน้ำก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันจะไปซื้อนมร้อนๆ มาให้”

“แต่ผมหิวแล้วนี่นา” กระเพาะของไอโม่ซินถ้าไม่บิดก็เริ่มส่งเสียงร้องแล้ว

“ไม่ต้องเอานมหรอก นายรอเดี๋ยวนะ ลุงจะไปเอาของดีมาให้นาย” เจียงเฉิงฟางตบไหล่ไอโม่ซินแล้วเดินออกไปจากห้องทำงาน ไม่ถึงห้านาทีเขาก็เอากล่องอาหารกลับมา

ไอโม่ซินมองดูแวบเดียวก็จำได้ว่านี่คือกล่องอาหารที่ท่านแม่ทำให้เฉินซื่อจวิน เขาพูดอย่างจนปัญญา “ทำไมถึงไปแย่งกล่องข้าวของลุงเฉินล่ะครับ”

“นานๆ ทีเอง นายไม่สบายท้อง กินของที่แม่นายทำดีที่สุด” เจียงเฉิงฟางช่วยเขาเปิดกล่องข้าวด้วยรอยยิ้ม

ไอโม่ซินเห็นกล่องข้าวที่คุ้นตาก็หิวแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงยามได้กลิ่นที่คุ้นเคย เขาจึงได้แต่กินไปโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น

ไม่นานเฉินซื่อจวินก็ถือกระติกเก็บความร้อนเข้ามา “ลืมซุปแล้ว แม่นายต้มซุปไว้น่ะ”

ไอโม่ซินเห็นทุกคนรุมล้อมเขากินอาหารก็รู้สึกว่ามันเกินไปหน่อยเลยพูดด้วยสีหน้าจนใจ “ผมไม่เป็นไรครับ แค่ไม่สบายท้องนิดเดียวเอง ลุงเฉินน่าจะยุ่ง เดี๋ยวตอนเที่ยงผมจะซื้อมาคืนให้นะครับ”

“ไม่เห็นต้องคืนเลย ไม่ต้องคิดเล็กคิดน้อยในเรื่องแบบนี้กับฉันหรอก แล้วก็ไม่ต้องรีบกินด้วย” เฉินซื่อจวินตบไหล่เขาด้วยความขบขันแล้วหมุนตัวเดินจากไป

“นี่กำลังเรียนรู้การเป็นพ่ออยู่สินะ” เจียงเฉิงฟางกอดอกจับคางพูด

ไอโม่ซินถลึงตามองอีกฝ่ายแวบหนึ่ง เจียงเฉิงฟางนั่งลงเทซุปให้เขา กลิ่นหอมฟุ้งไปรอบๆ จนอดรินแก้วเล็กๆ ให้ตัวเองไม่ได้ “ทำไมท่านบรรพบุรุษถึงไม่มาล่ะ นายอาเจียนเลยนะ”

ไอโม่ซินกลอกตาใส่เขา “อาเจียนนะครับไม่ได้ตาย ทำไมต้องตื่นตูมด้วย”

“ถุยๆๆ อัปมงคล อย่าพูดจาซี้ซั้วนะ” เจียงเฉิงฟางชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง จากนั้นก็แกะส้มให้เขากินเป็นผลไม้หลังอาหาร

“ช่วงนี้เขากลับไปหาของที่รังเก่าน่ะครับ” ไอโม่ซินเองก็ได้รับสายตาถมึงทึงจากท่านลุงเล็กเช่นกัน จึงทำได้เพียงตอบกลับไปแต่โดยดี

“รังเก่า?” เจียงเฉิงฟางครุ่นคิด ในความทรงจำท่านบรรพบุรุษก็เคยบอกว่ามีบ้านเดิมอยู่จริงๆ “ของสำคัญมากเลยเหรอ”

“ไม่รู้สิครับ เขาไม่ได้บอกผม” ไอโม่ซินดื่มน้ำซุป ซุปไก่น้ำข้นรสจัดไหลไปตามลำคอและลงไปในกระเพาะอาหาร ทำให้รู้สึกสบายสุดๆ

เจียงเฉิงฟางคิดในใจว่าท่านบรรพบุรุษยังมีเรื่องที่ไอโม่ซินไม่รู้ด้วย แต่ในเมื่อท่านบรรพบุรุษไม่พูดก็น่าจะมีเหตุผลของท่าน เขาอย่าไปถามเลยดีกว่า ดังนั้นจึงเปลี่ยนเรื่องคุย “เมื่อเช้านายไปไหนมา ทำไมไม่กลับบ้านล่ะ”

“คิดแล้วก็โมโห” ไอโม่ซินกลอกตา เล่าเรื่องที่ถูกสือหมิงหลอกเมื่อเช้านี้ให้เขาฟัง และยังถือโอกาสส่งต่อข้อมูลโรงพยาบาลที่เกาเฉิงย่วนส่งมาให้เจียงเฉิงฟางดูด้วย

“นายถูกคนอื่นหลอกกับเขาเป็นด้วยเหรอ” เจียงเฉิงฟางแปลกใจนิดหน่อย สือหมิงมีนิสัยที่ชัดเจนตรงไปตรงมาในระดับที่สามารถเทียบกับท่านบรรพบุรุษของเขาได้ ไม่นึกเลยว่าจะหลอกคนอื่นได้ด้วย เขาคิดไปคิดมาก็พูดอีกครั้ง “เขาน่าจะไม่ได้ตั้งใจมั้ง”

“แหงอยู่แล้ว” ไอโม่ซินเองก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน “แต่ดูจากผลลัพธ์แล้ว ผมก็ถูกเขาหลอกอยู่ดี”

“ธงโลหิต…ลุงไม่เคยเห็นมาก่อนเลย” เจียงเฉิงฟางรู้สึกแปลกใจนิดหน่อย เขาหยิบสมุดบันทึกออกมาเน้นประเด็นสำคัญที่ไอโม่ซินพูด อวี๋จิ้งเอินก็เข้ามาถกด้วย

“รุ่นพี่ไอ ก่อนที่นายจะอาเจียนออกมาเมื่อกี้นี้นายกำลังจะพูดอะไรน่ะ”

ไอโม่ซินขมวดคิ้ว เขาเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออกจริงๆ แต่ตอนที่อาเจียนเมื่อกี้นี้เขาลืมไปหมดแล้ว “จำไม่ได้แล้วครับ…”

ทันใดนั้นเจียงเฉิงฟางก็ใจกระตุกวูบ มองไปที่สมุดบันทึกอยู่สักพักถึงค่อยปิดลง “เรื่องสำคัญแบบนี้ค่อยๆ ตรวจสอบเถอะ เย็นนี้ฉันจะไปดูน้องชายคนนั้นกับนายด้วย”

เจียงเฉิงฟางพูดจบก็ลุกขึ้นพูดโดยที่หน้าไม่เปลี่ยนสี “เห็นนายกินแล้วก็หิว ฉันไปซื้อของมากินนะ”

“หัวหน้าครับ ให้ผมไปเถอะ หัวหน้าอยากกินอะไรครับ” อวี๋จิ้งเอินลุกขึ้น ถึงยังไงการวิ่งเต้นทำงานเล็กๆ น้อยๆ ก็เป็นหนึ่งในเนื้อหางานของเขาอยู่แล้ว

“ไม่ต้องๆ ฉันจะไปซื้อของที่ฉันชอบกินเอง” เจียงเฉิงฟางตบไหล่เขาแล้วลุกออกไปเอง

เจียงเฉิงฟางเดินออกไปนอกกรมตำรวจ เดินอ้อมทางเท้าของสวนสาธารณะที่อยู่ใกล้ๆ แล้วยืนอยู่ด้านนอกร้านขายซาลาเปาแห่งหนึ่งสักพัก สุดท้ายก็ได้เห็นคนที่เขาคาดไว้จริงๆ

“ผู้อาวุโส” เจียงเฉิงฟางก้มศีรษะลงทักทายอีกฝ่าย

ไอเฉินยืนมองเขาอยู่ตรงนั้นก่อนเอ่ยปากพูดช้าๆ “นายรู้แล้วเหรอ”

“ความจริงผมไม่รู้หรอกครับ แค่ลองดูว่าผมจะคิดมากไปเองหรือเปล่า” เจียงเฉิงฟางตอบกลับอย่างสุภาพ “ถ้าจะบอกว่าในช่วงสิบสามปีนี้เกิดเรื่องอะไรที่ทำให้คนตายเป็นร้อยแต่กลับไม่มีใครรู้เลย งั้นก็คงมีแค่เรื่องเผ่าเถี่ยนของพวกคุณแล้วล่ะครับ โม่ซินอาจจะยังนึกไม่ถึงอยู่สักพัก คุณเองก็ไม่ได้เตือนเขา ผมเลยกังวลว่าตัวเองอาจจะคิดมากไปหรือเปล่า”

ไอเฉินรู้ว่าเจียงเฉิงฟางมีความฉลาดเฉลียวไม่สมกับรูปลักษณ์ภายนอกที่ซื่อตรงของเขาเลย “ฉันไม่อยากให้เยวี่ยเจินกับโม่ซินสังเกตเห็นเรื่องนี้”

“ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณนะครับ เรื่องคุณเยวี่ยเจินเองก็คงไม่ต้องให้ผมพูดมาก แต่โม่ซินไม่ได้อยู่ในวัยที่จะไม่บอกเขาเพราะหวังดีกับเขาได้หรอกนะครับ อีกอย่างคนคนนั้นก็ไม่ได้ติดต่อมาสักระยะแล้ว เดี๋ยวโม่ซินก็คงสังเกตเห็นแน่” เจียงเฉิงฟางเข้าใจความรู้สึกที่ไอเฉินไม่อยากให้สองแม่ลูกไอหวนนึกถึงเรื่องนั้น แม้ไอเฉินจะทำแบบนี้ได้ ทว่าตัวเขาทำไม่ได้ ต่อให้เป็นท่านบรรพบุรุษของเขาก็คงไม่ทำแบบนี้เหมือนกัน

ไอเฉินขมวดคิ้วมุ่น สีหน้าไม่น่าดูเอาซะเลย แต่เจียงเฉิงฟางก็พอจะแน่ใจได้ว่านี่ไม่ได้เป็นเพราะกำลังโมโหเขา ดังนั้นเจ้าตัวจึงตัดสินใจพูดอีกสักสองสามประโยค “ผู้อาวุโสครับ คุณเล่าเรื่องในตอนนั้นให้ผมฟังไม่ดีกว่าเหรอ โม่ซินไม่เคยเล่าเรื่องในอดีตของพวกเขาสองแม่ลูกให้ผมฟังเลย มีแต่พูดแบบคลุมเครือว่าพ่อเหมือนจะเป็นคนเนรคุณ ทำให้เผ่าเถี่ยนเกิดเหตุร้าย ถ้าเขาคือคนที่เจ้าของธงโลหิตกำลังตามหาอยู่จริงๆ ผมจะได้รู้ล่วงหน้าแล้วเตรียมการป้องกันไงครับ”

ไอเฉินมองเขาแวบหนึ่ง สีหน้าไม่พอใจจางลงเล็กน้อย เขามั่นใจว่าไอโม่ซินคงไม่มีทางบอกตรงๆ ว่าพ่อของตัวเองเป็นคนเนรคุณแน่นอน แต่ฟังดูแล้วก็รื่นหูดีเหมือนกัน

“ถ้าอย่างนั้นฉันจะเล่าให้นายฟัง”

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com