everY
ทดลองอ่าน คน • สื่อ • วิญญาณ เล่ม 3 บทที่ 4-6 #นิยายวาย
บทที่ 5
ไอโม่ซินสืบเรื่องที่เกี่ยวกับเกาเฉิงย่วนและเกาเซิ่งเฟิงผู้เป็นพ่อมาตลอดทั้งวัน สือซิ่นเรียลเอสเตตของครอบครัวพวกเขาก็ไม่ได้ซื่อสัตย์และเชื่อถือได้มากนัก งานก่อสร้างในช่วงแรกๆ ก็เกิดข้อพิพาทมากมาย มีข่าวเรื่องการบังคับรื้อถอน วางเพลิง และข่มขู่แพร่สะพัดออกมาไม่ขาดสาย เกาเซิ่งเฟิงและเกาเซิ่งอวิ๋นพี่ชายของเขาก็ขึ้นศาลอยู่ตั้งหลายครั้งเพราะทรัพย์สินของตระกูล จนกระทั่งตอนนี้คดีความก็ยังไม่ถูกตัดสิน เกาเซิ่งอวิ๋นไม่สามารถแย่งชิงมาจากน้องชายได้ ดังนั้นจึงมีความสุขไปกับการฟ้องร้องน้องชาย วุ่นวายอยู่เกือบยี่สิบปีเหตุการณ์ก็ยังคงไม่สงบลง
ตอนนี้เกาเซิ่งเฟิงทำให้สือซิ่นเรียลเอสเตตยิ่งใหญ่ ยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว ในช่วงยี่สิบปีนี้เขาก็ค่อยๆ วางมือและไม่ได้ทำการวางเพลิงบังคับรื้อถอนอีก แต่สิ่งที่ผู้คนชื่นชมตัวเขามากที่สุดก็คือความรักที่เขามีต่อภรรยาอย่างลึกซึ้ง แม้ว่าเขาจะมีคนรักมากมายนับไม่ถ้วนหลังจากภรรยาตายจากไป แต่เขาก็ไม่เคยแต่งงานอีกเลย ทั้งยังรักใคร่เอ็นดูลูกชายเพียงคนเดียว
“…แบบนี้เรียกว่าความรักลึกซึ้งงั้นเหรอ” ไอโม่ซินไม่ค่อยเข้าใจ
“สำหรับมาตรฐานสังคมแบบดั้งเดิม คนอย่างเขาก็ถือว่ามีความรักลึกซึ้งเหมือนมหาสมุทรแล้ว” อวี๋จิ้งเอินกัดบิสกิตพลางพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ยกตัวอย่างราชวงศ์ที่มีบัลลังก์ต้องสืบทอด ก็ต้องรักษาอำนาจของรัชทายาทนั่นแหละ”
พออวี๋จิ้งเอินอธิบายแบบนี้ เขาก็พอจะเข้าใจอยู่บ้าง พูดเหมือนพึมพำกับตัวเอง “ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง บัลลังก์สินะ…”
ไอโม่ซินเอียงศีรษะใช้ความคิด ก่อนจะรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ “งั้นสำหรับรัชทายาท เกาเฉิงย่วนไม่ใช่ว่า…อ่อนโยนเกินไปเหรอครับ ถ้าเกาเซิ่งเฟิงตั้งใจอบรมสั่งสอนเขาจริงๆ ทำไมคนที่มีพื้นเพมาจากเส้นทางสีเทาถึงได้สอนให้ลูกชายเป็นเหมือนศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยแบบนี้ล่ะครับ”
“มีรัชทายาทที่เชื่อฟังดีกว่ามีรัชทายาทที่จะมาแย่งอำนาจไม่ใช่หรือไง” อวี๋จิ้งเอินงุนงง แถมยังตอบอย่างจริงจังอีกด้วย
ไอโม่ซินไม่ได้คิดไปในแง่นั้น เขายังคงมึนงงและรู้สึกสับสนอยู่ดี “แต่เขาสอนให้ลูกชายของเขาโอนอ่อนผ่อนตามแบบนี้ ในอนาคตถ้าเขาเป็นอะไรไป สกุลเกาของเขามีพลังไปก็ไร้ประโยชน์ สมบัติของบรรพบุรุษคงถูกแย่งชิงแบ่งเฉือนไปแล้วล่ะครับ”
“ถึงยังไงตอนนั้นเขาก็ตายไปแล้วนี่นา” อวี๋จิ้งเอินตอบไปส่งๆ
ไม่นึกว่าไอโม่ซินจะคิดว่ามันมีเหตุผลอยู่มาก ขณะที่กำลังจะถามต่ออีก ฝ่ายธุรการก็ถือพัสดุกล่องหนึ่งเข้ามา “ไอโม่ซิน พัสดุของนายน่ะ”
พออวี๋จิ้งเอินเห็นคนที่มาก็กระโดดเข้าไปแย่งพัสดุและพูดด้วยน้ำเสียงซักไซ้ไล่เลียง “เมล็ดกาแฟของพวกเราล่ะ?!”
“แขกยังไม่ไปเลย! พรุ่งนี้ก็ยังมีมาอีกชุด!” พูดจบคนคนนั้นก็หนีไปทันที
“ใครจะปล่อยแกไปฮะ! ฝ่ายธุรการมีแขกผีน่ะสิ! ไอ้หัวขโมยเมล็ดกาแฟ!” อวี๋จิ้งเอินพุ่งไปตะโกนเสียงดังอยู่ที่ประตู ไอโม่ซินเลยไปหยิบพัสดุด้วยความตลกขบขัน
“เอาเถอะครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะเอามาอีกถุงแล้วกัน” ไอโม่ซินก้มหน้ามองก็เห็นว่าเป็นตราประทับศาลคนกระดาษ
“เอามาสามร้อยกรัมก็พอแล้ว! ไม่งั้นพวกนั้นก็จะมาแย่งไปทุกสามวัน” อวี๋จิ้งเอินถลากลับมานั่งลงด้วยความโมโหแล้วพิมพ์ข้อมูลของเขาต่อ
ไอโม่ซินเปิดห่อพัสดุ ด้านในเป็นกล่องไม้เล็กๆ ส่งกลิ่นหอมของไม้จันทน์ออกมา พอเปิดออกดูก็พบว่าเป็นกำไลลูกประคำสีแดงออกม่วงเส้นหนึ่ง มันเป็นประกายราวคริสตัล ลูกประคำทุกเม็ดสะท้อนแสงละมุนละไม เป็นสีแดงออกม่วง
ไอโม่ซินมองดูด้วยความตกตะลึงอยู่สักพัก ถึงค่อยหยิบกำไลลูกประคำเส้นนั้นมาถูไปมาระหว่างนิ้ว เขาจำสิ่งนี้ได้ และจำลักษณะของแสงสว่างที่เต็มเปี่ยมอยู่บนกำไลข้อมือได้เป็นพิเศษ
“ของดีนี่นา นี่มันไม้ต้นจันทน์แดงใช่มั้ย ลุงขอดูหน่อยได้หรือเปล่า” เจียงเฉิงฟางโผล่มาด้านข้าง จ้องมองกำไลที่อยู่ในมือของเขาด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความโลภ ไอโม่ซินยื่นส่งให้เขา
“วัตถุเวทชั้นดีนี่ ท่านบรรพบุรุษให้นายเหรอ” เจียงเฉิงฟางลูบคลำนิดหน่อยก็คืนให้เขาด้วยความอาลัยอาวรณ์
“สือหมิงส่งมาน่ะครับ” ไอโม่ซินขมวดคิ้ววางกำไลข้อมือกลับเข้าไปในกล่อง จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ก้าวฉับๆ ออกไป “ผมจะไปโทรศัพท์นะครับ”
ไอโม่ซินเดินไปถึงสุดปลายทางเดินก็กดโทรหาสือหมิง
[ฉันให้นาย ถือเป็นการขอโทษ]
ทันทีที่รับสายสือหมิงก็พูดประโยคนี้
“นายไปเอาของนี่มาจากไหน” ไอโม่ซินถามเสียงเบา
[ฉันได้มาตอนยังเด็ก ไต้ซืออู้ตั้นแบ่งลูกประคำของตัวเองออกเป็นสองเส้นก่อนที่ท่านจะมรณภาพ ท่านบอกให้ฉันมอบให้กับคนที่มีวาสนา เส้นที่อยู่กับฉันเป็นเส้นที่ท่านให้มา ส่วนอีกเส้นคุณลุงของฉันบอกว่าอยู่ในมือของท่านตานาย เส้นนี้ให้นายจะได้ครบสมบูรณ์]
ไอโม่ซินเงียบไปอยู่นาน เขาจำของสิ่งนี้ได้ ตอนที่ยังเด็กเขาชอบสัมผัสกลมเกลี้ยงและกลิ่นหอมของไม้จันทน์มาก เพราะกำไลข้อมือเส้นนั้นสวมติดอยู่กับมือพ่อแท้ๆ ของเขา
เขายังจำได้ว่าตัวเองนั่งอยู่บนตักพ่อ และคว้าข้อมือของพ่อมาจับลูกประคำเล่นอยู่เลย
[มีอะไรหรือเปล่า]
“ฉันเคยเห็นมันมาก่อน…” ไอโม่ซินพูดไปได้ครึ่งประโยคก็หยุดลง เรื่องนี้ซับซ้อนเกินกว่าจะอธิบายในตอนนี้ “งั้นเอางี้แล้วกัน อีกสักสองสามวันฉันจะไปหานาย”
ไอโม่ซินพูดจบก็ตัดสายทิ้ง ใบหน้าของพ่อในความทรงจำเลือนรางไปแล้ว แต่เขาก็ยังสามารถจดจำความรู้สึกที่อยู่บนตักของพ่อได้ ความอบอุ่นที่สัมผัสได้ตอนจับมือใหญ่โตคู่นั้น นั่นเป็นเรื่องเกี่ยวกับ ‘พ่อแท้ๆ’ เพียงเรื่องเดียวที่เขายอมจดจำ ถึงยังไงคนคนนั้นก็เป็นแค่คนที่มีหน้าตาเบลอๆ คนหนึ่ง ความทรงจำเหล่านี้ถือว่าเป็นการสร้างความทรงจำเชิงบวกให้คนเป็นพ่อในก้นบึ้งของหัวใจเท่านั้น เขาไม่อยากมีความรู้สึกต่อต้านคำว่า ‘พ่อ’ เพราะประสบการณ์ของตัวเอง
แต่ตอนนี้เขากลับตื่นตระหนกและตกตะลึงพรึงเพริดไปเพราะความทรงจำเหล่านี้ เนื่องจากจู่ๆ เขาก็ตระหนักได้ว่าเมื่อยี่สิบห้าปีก่อน ผู้คนกว่าร้อยชีวิตที่ตายไปอย่างเงียบงันและไม่มีบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร นอกจากเผ่าเถี่ยนของเขาแล้วจะเป็นใครไปได้อีก
ถ้าหากกำไลข้อมือเส้นนี้เคยอยู่ที่มือของท่านตาเขา ถ้าหากไม่ได้มอบให้ท่านแม่ ก็คงมอบให้พ่อของเขา
ถ้าหากคนที่มู่จ้งไป๋ตามหาคือพ่อของเขา เช่นนั้นวัตถุเวทที่อีกฝ่ายพูดก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นกำไลข้อมือเส้นนั้น
แต่ในความทรงจำของเขา พ่ออาจจะเป็นคนที่ทอดทิ้งภรรยา เป็นผู้ชายที่ทิ้งครอบครัวและลูก แต่เพราะเหตุนี้เขาจึงเป็นคนที่สุดแสนจะธรรมดาเช่นกัน
ท่านแม่รู้สึกผิดกับเรื่องที่เผ่าเถี่ยนล่มสลายหลังจากที่ตัวเองหนีมาอยู่เสมอ จนถึงวันนี้ก็ยังสวมใส่เสื้อผ้าสีขาวเพื่อไว้ทุกข์อยู่ทุกวัน ท่านแม่มักจะคิดว่าตัวเองต้องแบกรับบาปกรรมส่วนนั้นไว้ แต่นี่ไม่ใช่ความผิดของท่านแม่ เผ่าเถี่ยนตั้งแต่คนแก่ไปจนถึงเด็กน้อยล้วนรู้ดีว่าที่เผ่าเถี่ยนล่มสลายเป็นเพราะภัยธรรมชาติ มันถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ไม่ใช่ความผิดของเธอและไม่ใช่บาปของเธอ
แต่ขณะเดียวกัน ถ้าหากว่าพ่อของเขาแค่หนีไปกับท่านแม่เฉยๆ คนคนนั้นก็ไม่ต้องมาแบกรับบาปกรรมในการฆ่าล้างตระกูล พ่อของเขาไม่มีทางรู้ล่วงหน้าหรอกว่าเผ่าเถี่ยนจะล่มสลาย
แต่มู่จ้งไป๋ถือธงโลหิต กรรมชั่วบนตัวของคู่แค้นย่อมเผยออกมาอย่างไม่ต้องสงสัย เขาไม่มีความจำเป็นจะต้องพูดโกหกเลย
ความจริงแล้วพ่อของเขาทำอะไรลงไปกันแน่ ถึงต้องแบกรับบาปกรรมที่เผ่าเถี่ยนล่มสลายแบบนี้
นั่นมันชีวิตคนตั้งหนึ่งร้อยสามสิบสองคนเชียวนะ…
ไอโม่ซินยิ่งคิดก็ยิ่งหวั่นใจ เขายินดีที่จะคิดว่าพ่อเป็นแค่ผู้ชายที่ไม่อาจรักเดียวใจเดียวและไร้ความรับผิดชอบ เขายอมรับได้ถ้าพ่อจะเป็นผู้ชายสำส่อน แต่เขารับไม่ได้เด็ดขาดถ้าพ่อเป็นตัวการที่ทำให้เผ่าเถี่ยนล่มสลาย
พ่อผู้มีสายเลือดเชื่อมโยงกับเขาเป็นคนที่ทำลายล้างครอบครัวท่านแม่เขาทั้งเผ่า
เขาเคยยินดีเก็บมันไว้ในหัวใจ ความทรงจำอันงดงามเล็กๆ น้อยๆ นั่น ราวกับน้ำมันดิบเหม็นเน่าบ่อหนึ่งสาดเข้ามาที่หัวใจ กัดกร่อนจุดที่อ่อนนุ่มมากที่สุดในส่วนลึกของหัวใจเขา
ไอโม่ซินรู้สึกว่าลมหายใจจุกอยู่ที่หน้าอก กระเพาะอาหารปั่นป่วนไปหมด เขาทนไม่ไหวจนต้องปิดปาก รีบกลับไปที่ห้องทำงานแล้วโก่งตัวอาเจียนอยู่หน้าซิงก์น้ำอีกครั้ง
เจียงเฉิงฟางตกอกตกใจ รีบกระโจนเข้ามาลูบหลังให้เขา “นายเป็นอะไรไป ทำไมถึงอาเจียนอีกแล้วล่ะ”
ไอโม่ซินพูดไม่ออก ในหัวพร่าเบลอ ไม่ว่าจะในกระเพาะหรือในหัวใจก็ปั่นป่วนไปหมด
ถ้าหาก…ถ้าหากท่านแม่รู้เข้า…
ไอโม่ซินคิดถึงตรงนี้ก็แทบจะหายใจไม่ออก ใบหน้าขาวซีดไปทั้งหน้า
“โม่ซิน สูดหายใจสิ”
น้ำเสียงอ่อนโยนดังขึ้นข้างหูเขา เมื่ออ้อมกอดเย็นเยียบเล็กน้อยโอบกอดมาจากด้านหลังของตนเอง เขาถึงจำได้ว่าต้องหายใจ
ที่จริงเจียงเฉิงฟางจะเรียกรถพยาบาลแล้ว มือที่กำลังถือโทรศัพท์นั้นสั่นเทา ก่อนจะวางมันลง ถอยออกมาสองก้าวและส่งสัญญาณให้อวี๋จิ้งเอินออกไป
อวี๋จิ้งเอินถือน้ำอุ่นแก้วหนึ่งรออยู่ตรงนั้น เจียงเฉิงฟางส่งซิกอยู่สองครั้งเขาถึงเข้าใจ รีบวางแก้วน้ำเดินออกไปทันที
“เกิดอะไรขึ้น อะไรทำให้เจ้าตกใจเช่นนี้” เจียงหลีโอบกอดแผ่นหลังของเขาเอาไว้พร้อมถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ไอโม่ซินหอบหายใจเล็กน้อย รู้สึกตัวว่ายังไม่ได้ปิดก๊อกน้ำก็รีบบ้วนปากล้างหน้าล้างตาถึงค่อยปิดก๊อก เขาดึงทิชชูสองสามแผ่นมาเช็ดหน้า รู้สึกเหมือนลำคอตีบตัน ต้องใช้เวลาสักพักก่อนจะพูดออกมาอย่างคลุมเครือว่า “ไม่มีอะไรครับ”
“นี่เรียกว่าไม่มีอะไรเหรอ!” เจียงเฉิงฟางฟ้องเจียงหลี “วันนี้โม่ซินอาเจียนมาสองครั้งแล้วครับ!”
เจียงหลีขมวดคิ้ว เอื้อมมือไปจับชีพจรเขา
สิ่งที่แปลกประหลาดเอามากๆ ก็คือตอนที่เจียงหลีกดลงบนข้อมือของเขา ความรู้สึกที่เหมือนอวัยวะภายในปั่นป่วนไปหมดเมื่อครู่นี้กลับหายวับไปทันที ลมปราณของเจียงหลีโคจรอยู่ในร่างกายของเขารอบหนึ่ง ดูเหมือนอวัยวะภายในจะสงบลงแล้ว และตอนนี้เขาก็ชินกับความรู้สึกนี้แล้ว
“ไม่มีอะไรจริงๆ ครับ” ไอโม่ซินฝืนยิ้มออกมา “คุณจัดการธุระของคุณเสร็จแล้วเหรอ”
“ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอก” หว่างคิ้วของเจียงหลียังไม่คลาย เขาหันไปมองแวบหนึ่ง ท่านป้าของไอโม่ซินก็มายืนรออยู่ตรงนั้นแล้ว เจียงหลีเอียงศีรษะ เธอถึงได้เดินเข้ามาตรวจชีพจรให้ไอโม่ซิน
ท่านป้าตรวจอยู่สามนาทีเต็มๆ ถึงได้ปล่อยมือ “กระเพาะอาหารอ่อนแอนิดหน่อย ไม่ใช่ปัญหาใหญ่”
“เห็นมั้ยครับ บอกแล้วว่าไม่เป็นไร” ไอโม่ซินใช้น้ำเสียงปลอบโยนและกุมมือเจียงหลีไว้
“ไม่งั้นไปถ่ายเอ็กซเรย์อะไรนั่น…มั้ย” เจียงเฉิงฟางเสี่ยงพูดออกไป เขาคิดว่าไปหาแพทย์แผนตะวันตกน่าจะเชื่อถือได้มากกว่า
ท่านป้ามองเขาแวบหนึ่ง ไม่ได้แสดงสีหน้าไม่พอใจ แต่ไม่นึกว่าเธอจะพยักหน้าพูดว่า “คนตะวันตกก็มีความสามารถของคนตะวันตก ไปตรวจให้สบายใจก็ได้”
เจียงหลีหันไปมองอีกครั้ง เขาเงียบไปสองวิก่อนจะหันกลับมาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไปโรงพยาบาลดีหรือไม่”
ไอโม่ซินไม่สามารถต้านทานสายตาของเจียงหลีและพวกผู้อาวุโสเป็นโขยงที่อยู่ด้านหลังนั่นได้ จึงทำได้แค่พยักหน้า “…ก็ดีครับ”
เจียงเฉิงฟางรีบไปขับรถและถือโอกาสส่งข้อความให้อวี๋จิ้งเอินกลับมา แล้วเจียงหลีก็จับมือไอโม่ซินเดินไปพร้อมกัน
หลังจากขึ้นรถไปแล้วถึงได้ยกมือขึ้นทำการปิดกั้นเสียงก่อนเอ่ยถามเขา “ในครอบครัวมีเรื่องอันใดหรือ”
ไอโม่ซินไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงไปชั่วขณะ ทั้งยังสงสัยเล็กน้อยว่าทำไมเจียงหลีถึงถามแบบนี้
“ข้าไม่เห็นไอเฉิน” เจียงหลีมองออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ “อีกอย่างก็ไม่มีเรื่องอันใดที่สามารถทำให้เจ้าตกใจได้”
ไอโม่ซินเงียบไปสักพัก ในใจรู้สึกสับสนไม่รู้ว่าต้องเริ่มยังไง สุดท้ายก็พูดตะกุกตะกักออกมา “ผมเพิ่งพบว่า…พ่อของผมอาจจะต้องรับผิดชอบต่อการตายของเผ่าเถี่ยน”
เจียงหลีมองเขาอย่างจริงจังเอามากๆ เหมือนกำลังรอประโยคถัดไป แต่ไอโม่ซินไม่มั่นใจว่าตัวเองควรจะพูดอะไรเป็นประโยคถัดไปดี
เจียงหลีรออยู่หลายวินาทีกว่าจะเข้าใจได้ เขาถามไอโม่ซินตาปริบๆ “เจ้าคงไม่ได้กำลังคิดเรื่องพันธุกรรมนั่นใช่หรือไม่”
ไอโม่ซินอยากจะบอกว่าไม่ใช่ แต่ก็คิดว่าตัวเองยังคงแคร์เรื่องนี้จริงๆ ถึงได้กลัวแบบนั้น
เจียงหลีจับมือของเขามาวางลงบนหน้าอกพร้อมยกยิ้มอ่อนโยน “เจ้าพิสูจน์แล้วมิใช่หรือว่าเจ้าไม่ได้รับพันธุกรรมมาจากบิดาของเจ้า”
เมื่อเห็นรอยยิ้มของเขา ไอโม่ซินก็อึ้งไป ในใจผ่อนคลายลงเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัวและพูดพร้อมรอยยิ้มจาง “ตอนนี้ผม…ไม่ได้กลัวว่าผมจะเหมือนเขา แต่ว่า…ถึงยังไงผมก็มีเลือดของเขาไหลเวียนอยู่ ถ้าหากนี่เป็นความจริง ผมก็ไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับคนในเผ่าของผมยังไง”
เจียงหลีทำหน้าสงสัยเล็กน้อย เขาเอียงศีรษะครุ่นคิดและพอจะนึกอะไรบางอย่างออก “มนุษย์อย่างพวกเจ้าค่อนข้างให้ความสำคัญกับสายเลือด แต่นี่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ หากเจ้ากังวลมาก ข้าช่วยเจ้านำเลือดออกมาได้ แต่ตอนนี้มันยังเร็วเกินไปสำหรับสุขภาพร่างกายของเจ้า หากเจ้าพยายามอีกนิด สักยี่สิบปีให้หลังก็น่าจะพอได้แล้ว…”
“เดี๋ยวนะครับ!” ไอโม่ซินห้ามเขาไว้อย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “คุณสามารถเอาเลือดของคนอื่นออกมาได้ด้วยเหรอครับ”
“แน่นอน หากข้าอยากเลี้ยงทายาทสักคน ข้าก็สามารถมอบโลหิตให้เขาได้ และยังสามารถริบกลับมาได้เช่นกัน” เจียงหลีมองเขาด้วยความสงสัย “สิ่งสำคัญสำหรับข้าก็คือจะเลี้ยงดูอบรมสั่งสอนเขาอย่างไร ไม่ใช่ว่าเขามีสายเลือดของข้าไหลเวียนอยู่หรือไม่”
ไอโม่ซินมองอีกฝ่ายด้วยความตกตะลึง เจียงหลีคลี่ยิ้มอ่อนโยน ยกมือขึ้นลูบใบหน้าของเขาเบาๆ “มารดาเจ้าอบรมเลี้ยงดูเจ้ามาจนโต พวกผู้อาวุโสในเผ่าเถี่ยนของเจ้าก็สั่งสอนและดูแลเจ้ามาจนถึงตอนนี้ เจ้าจะไม่สามารถเผชิญหน้ากับพวกเขาได้อย่างไร หากคิดเช่นนี้พวกผู้อาวุโสของเจ้าคงเสียใจ ไม่เห็นหรือว่าไอเฉินหลบหน้าไปแล้ว เขาคงไม่อยากให้เจ้าเสียใจนั่นล่ะ”
เมื่อคิดถึงท่านตา ไอโม่ซินก็เสียใจขึ้นมานิดๆ เจียงหลีเอื้อมมือไปโอบเขาและลูบเบาๆ ที่ใบหน้าของเขา “พวกเขาล้วนเข้าใจเจ้า รู้ดีว่าเจ้าเป็นคนอย่างไร เจ้าเองก็ต้องเข้าใจตัวเองด้วยสิ”
“…ครับ” ไอโม่ซินสูดลมหายใจลึกๆ ซุกใบหน้าเข้ากับซอกคอของอีกฝ่ายก่อนส่งเสียงตอบรับแผ่วเบา
เจียงหลีลูบแผ่นหลังเขาเบาๆ เป็นการปลอบโยน ผ่านไปพักใหญ่ถึงได้พูดขึ้น “เจ้ายังอยากไปหาหมออยู่หรือไม่”
ไอโม่ซินได้สติกลับมาก็นึกได้ว่าเจียงเฉิงฟางรออยู่นานเท่าไรแล้วก็ไม่รู้ เขาจึงรีบลงจากรถไปขอโทษขอโพย เจียงเฉิงฟางชินแล้ว เลยติดต่อหมอไว้แต่เนิ่นๆ เพื่อพาไอโม่ซินไปตรวจดูสักหน่อย
สุดท้ายก็ทำการอัลตราซาวนด์และเอ็กซเรย์ เนื่องจากเจียงหลีค่อนข้างต่อต้านเรื่องการสอดท่อผ่านลำคอไปดูกระเพาะ ดังนั้นจึงไม่มีการส่องกล้องตรวจระบบทางเดินอาหาร
“ดูแล้วทุกอย่างก็โอเคนะครับ กระเพาะน่าจะอักเสบนิดหน่อย” คุณหมออาวุโสประคองแว่นตาดูรายงานผลตรวจ จากนั้นก็มองไอโม่ซินอีกครั้ง “แล้วก็น่าจะมีความเครียดมากเกินไปด้วย ทำงานเหนื่อยเกินไปหรือเปล่าครับ นอนไม่หลับหรือเปล่า”
ไอโม่ซินยังไม่ทันได้ตอบ หมอก็มองเขาอีกครั้ง “ดูจากขอบตาดำคล้ำของคุณ ผมจะจ่ายยาให้คุณนะครับ คนหนุ่มๆ น่ะต้องออกไปเที่ยวเยอะๆ หน่อย ผ่อนคลายสักนิด อย่าเครียดเกินไปเลยครับ”
“…ครับ ขอบคุณครับคุณหมอ” ไอโม่ซินเห็นท่านป้ากลอกตาอยู่ด้านหลังคุณหมอก็ไม่กล้าพูดอะไรมากมาย ได้แต่หยิบยาแล้วจากไปแต่โดยดี
“อย่ากินยาตะวันตกมากไปนะ” ท่านลุงเล็กเดินเข้ามาก็แย่งใบสั่งยาของเขาไปพินิจพิจารณากับท่านป้าใหญ่ ผู้อาวุโสหลายคนเองก็แขวะยาตะวันตกอยู่ตรงนั้นด้วย
ไอโม่ซินมองดูกลุ่มคนที่กำลังสนุกสนานแล้วถอนหายใจแผ่วเบา ยังไม่ทันจะถอนหายใจเสร็จก็ถูกตีเบาๆ พอเงยหน้าก็เห็นท่านตากำลังถลึงตามอง “ยังหนุ่มยังแน่นจะถอนหายใจอะไร”
“ทำไมต้องมาตีหลานฉันด้วย” ท่านยายโผล่ออกมาตีท่านตา แล้วยกมือลูบหัวเขาพร้อมยกยิ้มตาหยี
“อย่าถอนหายใจสิจ๊ะ เดี๋ยวโชคลาภวาสนาก็หายหมดพอดี”
ท่านตามักจะมีสีหน้าเคร่งขรึมจริงจังมาแต่ไหนแต่ไร แต่ตอนที่กำลังมองดูเขา ลึกลงไปในดวงตาก็มีความรู้สึกที่แฝงไปด้วยความอบอุ่นอยู่เสมอ ส่วนท่านยายก็มักมีรอยยิ้มรักใคร่เมตตาและความเป็นกันเองประดับอยู่บนใบหน้า ท่านยายจะมองมาที่เขาด้วยความรักใคร่เอ็นดูเหลือล้น ความรักที่พวกผู้อาวุโสมีต่อเขาล้วนประทับอยู่บนใบหน้าและในหัวใจ
ไอโม่ซินคลี่ยิ้มให้พวกเขา ในที่สุดหัวใจก็ปล่อยวางได้ ต่อให้ภายในร่างกายมีเลือดของคนคนนั้นอยู่ พวกเขาก็ตัดสายสัมพันธ์ทางสายเลือดไปนานแล้ว เขาเองก็มีเลือดของเผ่าเถี่ยนไหลเวียนอยู่ นอกจากนี้ยังมีความสามารถแข็งแกร่ง ดังนั้นจะไปสนใจสายเลือดของพ่อที่มีอยู่น้อยนิดนั่นทำไม ในอดีตคนคนนั้นไม่มีค่าควรให้เอ่ยถึงสำหรับเขา ในอนาคตก็เช่นกัน
เรื่องนี้ก็เป็นเหมือนคดีทั่วไป เจอคดีก็ต้องสืบ เจอวิญญาณอาฆาตก็ต้องจัดการ เขาก็ทำแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
หลังจากปล่อยวางได้และคิดถึงคดีนี้ เขาก็นึกถึงเรื่องเกาเฉิงย่วนขึ้นมาได้ เขาหันไปหาเจียงเฉิงฟาง อีกฝ่ายเห็นสายตาของเขาก็เดินเข้ามาหาก่อนขมวดคิ้วถาม “มีอะไรเหรอ ยังไม่สบายอยู่หรือเปล่า”
“เปล่าครับ ผมต้องไปหาเกาเฉิงเหลียงที่โรงพยาบาลสักหน่อย”
“…ก็ที่นี่แหละ” เจียงเฉิงฟางมองเขาอย่างหมดคำพูด “นายเป็นคนส่งข้อมูลโรงพยาบาลให้ลุงเอง โรงพยาบาลนี้เป็นโรงพยาบาลเอกชน คนในบ้านลุงก็มาที่นี่บ่อยๆ ลุงกะจะบอกว่าไว้นายตรวจเสร็จแล้วค่อยถือโอกาสไปดูพวกเขาหน่อยก็ได้”
ไอโม่ซินยิ้มเขินๆ “ที่แท้หัวหน้าก็วางแผนรอบคอบเหมือนกันนะครับเนี่ย”
“เอาเถอะ ไม่ต้องพูดจาเกรงอกเกรงใจกันหรอก” เจียงเฉิงฟางพูดยิ้มๆ หันไปก็เห็นท่านบรรพบุรุษกำลังพูดคุยกับไอเฉินอยู่ เขาเลยถามไอโม่ซินเบาๆ “สร้อยข้อมือเส้นเมื่อกี้นี้มีปัญหาอะไรเหรอ”
ไอโม่ซินได้ยินเรื่องนี้ก็อยากถอนหายใจออกมาอีกรอบแต่ก็กลั้นเอาไว้ “เอ่อ ผมลืมสร้อยข้อมือไว้ที่สำนักงานน่ะครับ”
“อยู่กับลุงนี่ ของแพงแบบนี้จะทิ้งไว้ตรงนั้นได้ไง” เจียงเฉิงฟางหยิบกล่องไม้กล่องนั้นออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นให้เขาด้วยความเสียดาย
“ขอบคุณครับ” ไอโม่ซินกล่าวขอบคุณ เขายัดกล่องไม้ใบนั้นเข้าไปในกระเป๋าพลางพูดเสียงเบา “สือหมิงบอกว่านี่เป็นสร้อยข้อมือที่ไต้ซืออู้ตั้นมอบให้คนที่มีวาสนา มันทำมาจากการแบ่งประคำของท่านออกเป็นสองเส้น”
เจียงเฉิงฟางได้ยินแบบนั้นก็นึกขึ้นได้ว่ามีวัตถุเวทในตํานานแบบนี้อยู่จริงๆ เขาพูดด้วยใบหน้าตกตะลึง “งั้นนี่ก็เป็นของล้ำค่าจริงๆ ที่แท้ก็อยู่ที่ศาลคนกระดาษนี่เอง สือหมิงให้นายเป็นของขวัญแสดงการขอโทษเหรอ”
“ครับ ส่วนอีกเส้นผมก็เคยเห็นตอนเด็กๆ” ไอโม่ซินขยับเข้าไปพูดเสียงเบา “อยู่ที่มือของพ่อผม”
เจียงเฉิงฟางรู้ได้ทันทีว่าจุดเชื่อมโยงอยู่ที่ไหน และไม่แปลกใจเลยที่เมื่อครู่นี้ไอโม่ซินจะตกใจจนกลายเป็นแบบนั้น เขาเอื้อมมือไปลูบหลังอีกฝ่ายและพูดอย่างจริงจัง “ไม่ว่าเขาจะเป็นคนแบบไหน เขาก็ไม่เกี่ยวข้องกับนายสักนิด”
ไอโม่ซินไม่แปลกใจที่เจียงเฉิงฟางตอบสนองรวดเร็วขนาดนี้ เป็นไปได้ว่าตอนที่พูดถึงเรื่องนี้เมื่อช่วงบ่าย เจียงเฉิงฟางคงจะตระหนักได้แล้ว พูดตามตรงก็คือการตอบสนองของเขาช้าเกินไปนั่นเอง
“ผมรู้ครับ” ไอโม่ซินพยักหน้า
เจียงเฉิงฟางเองก็รู้ว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ทำให้เขาเสียใจ “แค่ทำเหมือนคดีธรรมดาก็พอแล้ว คดียุ่งยากอะไรที่ไม่เคยเจอมาก่อนก็ไม่ต้องไปคิดมาก”
“จะว่าไป” เจียงเฉิงฟางเปลี่ยนเรื่องคุย “หมอก็บอกว่าคนหนุ่มต้องออกไปเที่ยวเล่นเยอะๆ นี่นา ปีที่แล้วตอนงานวันเกิดครบรอบแปดสิบปีของคุณลุงของลุงนายก็ไม่มา ลุงเสียใจมากนะ วันเกิดก็ฉลองไม่สนุก ตาแก่ยังบอกว่าปีนี้อยากให้สนุกหน่อย”
“นี่ก็เดือนเก้าแล้ว วันเกิดของผู้อาวุโสคงผ่านไปแล้วมั้งครับ” ไอโม่ซินเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะไม่ไป ช่วงนั้นเขาเพิ่งจะแก้ไขเรื่องของเจียงอี๋อันได้ สภาพจิตใจเลยไม่ค่อยดีนัก พอคิดว่าจะต้องไปเจอคนแปลกหน้าเยอะแยะมากมายก็รู้สึกกระสับกระส่าย สุดท้ายก็เป็นเจียงหลีที่บอกไปตรงๆ ว่าไม่ไป จากนั้นเขาก็รู้สึกเสียใจนิดๆ ที่ไม่ได้ไป แต่เมื่อคิดจะไปเยี่ยมอีกรอบก็โดนเจียงหลีถลึงตาใส่
‘ไม่ต้องฝืนตัวเองหรอก ไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป ก็แค่ครบรอบสิบปี ผ่านไปอีกสิบปีเดี๋ยวก็มี’
ไอโม่ซินคิดว่าในเมื่อเจียงหลีพูดแบบนี้แสดงว่าอย่างน้อยผู้อาวุโสก็คงมีอายุอยู่ได้ถึงเก้าสิบปี เขาจึงสบายใจขึ้น
“อะแฮ่ม วันเกิดลุงเองน่ะ ปีนี้ก็ห้าสิบแล้ว คุณลุงบอกว่าไม่จัดไม่ได้” เจียงเฉิงฟางพูดด้วยความกระอักกระอ่วนนิดหน่อย
“ฮะ? ลุงอายุห้าสิบแล้วเหรอครับ” ไอโม่ซินอึ้ง พอสงบลงก็ลองนับดู “เพิ่งจะสี่สิบเก้าเองนี่นา”
“บ้านลุงไม่ฉลองเลขเก้า คุณลุงบอกว่าปีนี้ให้จัดครบรอบห้าสิบปี” เจียงเฉิงฟางพูดอย่างช่วยไม่ได้ “อย่างน้อยก็เห็นแก่หน้าลุง ไปเจอคนสกุลเจียงหน่อยเถอะ ลุงรู้ว่ามันค่อนข้างยุ่งยากวุ่นวาย แต่นายไม่ต้องรับมือกับใครหรอก ไม่ว่าจะพูดยังไงการไปเจอพวกเขาก็เป็นประโยชน์กับตัวนายนะ”
พูดถึงขั้นนี้แล้ว ไอโม่ซินคงปฏิเสธไม่ได้ “ครับ งั้นผมจะไปนะ”
“รับปากแล้วนะ งั้นนายก็รับผิดชอบท่านบรรพบุรุษด้วยแล้วกัน” เจียงเฉิงฟางรู้สึกดีใจนิดๆ และรีบให้เขารับรองว่าเจียงหลีจะไม่ขัดขวางไม่ให้เขาไปอีก
ไอโม่ซินเห็นว่าอีกฝ่ายดีใจจริงๆ ก็ยกยิ้มพยักหน้า เขายินดีไปเพื่อวันเกิดของเจียงเฉิงฟาง
ตั้งแต่รู้จักเจียงเฉิงฟางตอนอายุสิบห้า จนถึงตอนนี้ก็เกือบจะสิบปีแล้ว ถึงเจียงเฉิงฟางจะพูดอยู่เสมอว่าไอโม่ซินคงเหนื่อยเหลือเกินที่ต้องมาช่วยเขาทำคดี แต่ความจริงถ้าไม่ใช่เพราะเจียงเฉิงฟาง ไอโม่ซินก็คงไม่ได้มีชีวิตราบรื่นแบบนี้มาตั้งสิบกว่าปีหรอก แม้แต่ด้านมืดของวงการก็ยังไม่เคยเจอเลย
เขาได้เรียนรู้จากเจียงเฉิงฟางไปมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการจัดการกับคน หรือหลักการและเล่ห์เหลี่ยมของคนเป็น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเมื่ออีกฝ่ายดีต่อเขาจริงๆ ไม่ใช่แค่เพราะเจียงหลี ถึงเขาจะไม่ค่อยมีสัมมาคารวะกับเจียงเฉิงฟางอยู่บ่อยๆ แต่อีกฝ่ายก็เป็นผู้อาวุโสที่ยังมีชีวิตอยู่เพียงคนเดียวที่อยู่ข้างกายเขา
ความจริงวิธีคิดและทัศนคติในการจัดการเรื่องต่างๆ ของคนเป็นและคนตายนั้นแตกต่างกัน ดังนั้นเขาจึงได้ปรับวิธีคิดและหลักการในการจัดการเรื่องต่างๆ ของตัวเองอย่างช้าๆ เพราะอยู่ข้างกายเจียงเฉิงฟางตลอดเช่นกัน
ความจริงเขาก็มีผู้อาวุโสที่เป็นเหมือนพ่ออยู่แล้ว ทำไมเขาจะต้องไปสนใจสายเลือดของพ่อผู้ให้กำเนิดด้วยล่ะ
ไอโม่ซินยกยิ้ม เขาตามไปข้างๆ เจียงเฉิงฟางและฟังอีกฝ่ายพร่ำบ่นเรื่องที่ครอบครัวจะจัดงานเลี้ยงยิ่งใหญ่ให้ตัวเอง ขณะเดินไปที่ห้องผู้ป่วยของเกาเฉิงเหลียง