ทดลองอ่าน คน • สื่อ • วิญญาณ เล่ม 3 บทที่ 4-6 #นิยายวาย – หน้า 3 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน คน • สื่อ • วิญญาณ เล่ม 3 บทที่ 4-6 #นิยายวาย

3 of 3หน้าถัดไป

บทที่ 6

ก่อนจะไปดูเกาเฉิงเหลียง เจียงเฉิงฟางก็พาไอโม่ซินไปหาหมอก่อน หลังจากได้รับการยืนยันเรื่องสภาพร่างกายของเด็กคนนั้นแล้วถึงได้ไปเยี่ยมเขาที่ห้องพักฟื้น

“คุณไอ” พอเกาเฉิงย่วนเห็นเขาก็ลุกขึ้นทันที และเขายังเห็นเจียงเฉิงฟางที่ตามมาด้านหลังอีกด้วย “คุณคนนี้คือใครเหรอครับ”

“นี่คือคุณเจียง เป็นผู้บังคับบัญชาของผมครับ” ไอโม่ซินแนะนำอย่างง่ายๆ

เจียงเฉิงฟางและเกาเฉิงย่วนทักทายกัน สายตาของไอโม่ซินเลื่อนไปที่หนุ่มน้อยร่างกายผอมบางบนเตียงผู้ป่วย ดูแล้วคงยังไม่หายตกใจ ดวงตาที่อยู่เหนือพวงแก้มซูบตอบคู่หนึ่งลืมตาแป๋ว ทั้งเนื้อทั้งตัวห่อหุ้มอยู่ในผ้าห่ม โผล่ออกมาแค่ใบหน้าครึ่งเดียวเท่านั้น

“น้องของคุณโอเคมั้ยครับ” ไอโม่ซินถามเขา

“ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้วครับ” เกาเฉิงย่วนยกยิ้มดีใจ หันไปพูดกับน้องชาย “เสี่ยวเหลียง คนนี้คือคุณไอที่หานายเจอที่พี่เล่าเมื่อตอนบ่ายไง”

เกาเฉิงเหลียงกะพริบตาปริบๆ ฝืนใจดึงผ้าห่มลงพร้อมกล่าวขอบคุณเสียงเบา “ขอบคุณครับ”

ไอโม่ซินคิดว่าเด็กคนนี้เหมือนกวางน้อยที่กำลังตื่นตกใจ พอนึกได้ว่าเขาคือแพะรับบาปที่พ่อของตัวเองใช้วิธีอะไรทำขึ้นมาไม่รู้ก็อดรู้สึกผิดขึ้นมานิดๆ ไม่ได้ จึงลากเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่งลงข้างเตียง เอ่ยถามเกาเฉิงเหลียงอย่างนุ่มนวลพร้อมกับรอยยิ้มเป็นกันเอง “นายจำได้หรือเปล่าว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น”

ความจริงจนถึงตอนนี้เกาเฉิงเหลียงก็ยังไม่รู้เลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

“ตอนแรก…ก็เป็นเสียงฝีเท้าครับ”

ทุกคืนหลังเลยเที่ยงคืนไปแล้วเขาจะได้ยินเสียงฝีเท้าอยู่ที่โถงทางเดิน ค่อยๆ ลากเท้าเข้ามาใกล้ห้องของเขา ตอนแรกเขาคิดว่าตัวเองหูฝาดหรือไม่ก็อาจจะลืมปิดทีวีในห้องนั่งเล่น ซึ่งเขาเองก็เคยออกไปดูแล้วก็พบว่าด้านนอกประตูไม่มีอะไร แต่ทางเดินท่ามกลางความมืดมิดดูเหมือนจะยืดยาวกว่าปกติ ราวกับไม่มีที่สิ้นสุด ในความมืดมิดเหมือนจะมีเงาดำสั่นไหว ทำให้เขาตกใจจนต้องปิดประตูลงกลอนพุ่งกลับขึ้นไปบนเตียง ซ่อนตัวอยู่ในผ้าห่มจนฟ้าสางถึงสงบจิตสงบใจลงได้

หลังจากนั้นเขาก็วานให้คุณป้าไม่ต้องปิดไฟดวงเล็กในห้องนั่งเล่น ถึงกับซื้อโคมไฟดวงเล็กๆ หลายดวงมาวางไว้ที่โถงทางเดินด้วย เมื่อเขาได้ยินเสียงฝีเท้าอีกครั้งก็จะเปิดประตูออกไปดูพร้อมมือที่สั่นเทา ในขณะที่โคมไฟทั้งหมดดับวูบลง เขาก็มองไปเห็นเงาคนอยู่ท่ามกลางความมืดมิดกำลังลากเท้าเดินมาทางเขาช้าๆ

เขากรีดร้องแล้วล็อกประตูกลับไปซ่อนตัวบนเตียง จากนั้นไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ตราบใดที่เลยเที่ยงคืนไปแล้วเขาก็จะไม่ออกจากประตูเด็ดขาด เขาเคยคิดจะบอกคุณป้า แต่ก็กลัวว่าจะทำให้คุณป้าตกใจ อยากจะบอกพี่ชายของเขา แต่ก็กลัวพี่จะไม่เชื่อ

เขาต้องหลบอยู่ในผ้าห่มทั้งเนื้อตัวสั่นเทาแบบนี้ทุกคืน คิดเพียงว่าอดทนไปให้ถึงเช้าก็โอเคแล้ว แต่ไม่นึกว่าวันหนึ่งเงาดำนั้นจะเปิดประตูห้องเขาและเข้ามาจริงๆ

เขาได้ยินเสียงฝีเท้าดังกว่าปกติ เข้ามาใกล้เขาช้าๆ เขาตัวสั่นไม่หยุด จากนั้นก็สลบไป

เมื่อเขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าตัวเองไม่ได้อยู่บนเตียงนอน แต่เป็นช่องว่างชื้นแฉะ คับแคบ และมืดมิด เขานั่งงอเข่าอยู่บนพื้น ถูกบีบอยู่ระหว่างผนังที่เย็นเหมือนน้ำแข็ง เขาสัมผัสได้ว่าบนผนังเปียกชื้นมาก มีน้ำไหลลงมาไม่หยุด ไหลจนเปียกเสื้อผ้าของเขา ความเย็นเสียดแทงไปถึงกระดูก เขาอยากกรีดร้องแต่ก็ไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาได้ อยากขยับก็ขยับไม่ได้ อยากหมดสติหรือตายไปเลยก็ไม่สามารถทำได้ ตอนแรกเขายังเห็นว่าด้านหน้าไม่ไกลออกไปมีรูหนึ่งที่มีแสงลอดผ่านเข้ามา เขาอยากปีนเข้าไปมาก แต่ไม่ว่าจะใช้แรงมากแค่ไหนก็ขยับไม่ได้เลย เหมือนกับร่างกายไม่ใช่ของเขาอีกต่อไป เขารอให้มีคนมาพบ จะได้ช่วยเขาออกไปจากตรงนั้น ถึงเขาจะได้ยินเสียงคน แต่กลับทำได้แค่มองดูรูนั้นถูกอุดไป แสงรำไรลดน้อยลงจนกระทั่งกลายเป็นความมืดมิด เขาเปล่งเสียงดังลั่น เขาตะโกนจริงๆ ทว่าแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่ได้ยินเสียงตะโกนของตนเองเลย

เขาได้แต่ถูกขังอยู่ในช่องว่างที่มืดมิดและหนาวเหน็บเหมือนน้ำแข็ง ดื่มน้ำบนผนังอันเย็นเยียบชื้นแฉะ วันเวลาผ่านไปเนิ่นนานโดยไม่รู้วันรู้คืน จนกระทั่งเขาเห็นแสงสว่างอีกครั้ง

แสงสว่างสาดส่องลงมาที่เขาเหมือนดวงดาว เจิดจ้าจนบาดตา ทำให้เขาต้องหลับตาลง เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ในที่สุดเขาก็ได้เห็นพี่ชายถามว่าเขาเป็นยังไงบ้างพร้อมดวงตาแดงก่ำ ฝ่ามืออุ่นร้อนและแข็งแรงกดลงบนไหล่ของเขา ทำให้เขาตระหนักได้ว่าตัวเองหลุดจากขุมนรกกลับมาที่โลกมนุษย์แล้ว

“เงาดำนั่นได้พูดอะไรกับนายหรือเปล่า” ไอโม่ซินถามเขา

เกาเฉิงเหลียงส่ายหน้า เสียงที่เอ่ยแหบแห้งเล็กน้อยเนื่องจากไม่ได้เปล่งออกมานานเกินไป “ผมไม่เคยเห็นหน้าเขาเลย”

ไอโม่ซินเดาว่ามู่จ้งไป๋ก็อาจจะรู้สึกสงสัยจึงไม่ได้ปรากฏตัวออกมาทรมานเขา “นายจำได้มั้ยว่าเสียงฝีเท้านั่นเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อไร”

ความจริงเกาเฉิงเหลียงไม่รู้ว่าวันนี้เป็นวันอะไรกันแน่ ระหว่างที่อยู่ในผนังเขาก็สูญเสียการรับรู้ด้านเวลาไป เมื่อได้ยินพี่ชายบอกว่าเขาหายตัวไปสามวันจึงประหลาดใจมาก เขาคิดว่าตัวเองติดอยู่ในผนังสักสามหรือห้าเดือนแล้วซะอีก

“วันนั้น…ศาสตราจารย์กู้เล่าประวัติศาสตร์เกี่ยวกับพระเจ้าอโศกมหาราช” การตอบสนองของเกาเฉิงเหลียงยังค่อนข้างช้า เขาครุ่นคิดอยู่หลายนาทีกว่าจะตอบกลับ

เกาเฉิงย่วนรีบหยิบโทรศัพท์ไปเสิร์ชดูก่อนจะช่วยอธิบาย “นั่นเป็นรายการที่น้องชายผมฟังครับ จะมีศาสตราจารย์สูงวัยคนหนึ่งมาเล่าเรื่องประวัติศาสตร์ ตำนาน และเรื่องราวของประเทศต่างๆ”

เกาเฉิงย่วนไถโทรศัพท์ ไม่นานก็หาเจอ “เป็นเรื่องเมื่อวันอังคารที่แล้วครับ”

ไอโม่ซินเขียนวันที่ลงในสมุดบันทึก “นายจำได้มั้ยว่าก่อนถึงวันนั้นนายได้เจอกับใครบ้าง หรือเจอเรื่องแปลกๆ อะไรหรือเปล่า”

เกาเฉิงเหลียงทำหน้างุนงง “ทุกวันผมจะ…อยู่ที่บ้านกับโรงเรียน เย็นวันพฤหัสบดีก็ไปเข้าคลาสโทอิก วันศุกร์ไปสมาคมวิจัยประวัติศาสตร์ยุโรป เช้าวันเสาร์ไปเข้าคลาสแบดมินตัน สองเดือนมานี้ผมไปที่ร้านหนังสือกับเพื่อนแค่วันหยุดเสาร์อาทิตย์เท่านั้นเอง”

“น้องชายผมค่อนข้างติดบ้านน่ะครับ” เกาเฉิงเหลียงช่วยน้องชายอธิบาย “นอกจากไปเรียน เวลาส่วนใหญ่ก็จะเล่นอินเตอร์เน็ต อ่านหนังสืออยู่ในบ้าน แม้แต่ร้านหนังสือเขาก็ไม่ได้ชอบไปเป็นพิเศษ จะซื้อผ่านทางอินเตอร์เน็ตตลอด คลาสแบดมินตันผมก็เป็นคนบังคับให้เขาไป”

“เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อะไรก็ได้ครับ มีคนแปลกหน้ามาพูดคุยด้วย ไม่ก็มีคนรู้จักแต่ไม่ค่อยสนิทมาหานาย เอาของอะไรสักอย่างมาให้นาย หรือไม่ก็ได้รับพัสดุที่ไม่รู้แน่ชัดบ้างหรือเปล่า” ไอโม่ซินถามอีกครั้ง

เกาเฉิงเหลียงขมวดคิ้วคิดใคร่ครวญอยู่ตั้งนาน สุดท้ายก็เงยหน้าขึ้นมองไปทางไอโม่ซิน บนใบหน้าที่ไม่รู้จะทำอย่างไรดีฉายแววสงสัย “…ทำไมผมต้องเจอเรื่องแบบนี้ด้วยล่ะครับ ผมทำอะไรผิดไปเหรอ”

ไอโม่ซินยกยิ้มจนใจ “คนเรามักมีช่วงเวลาที่ดวงตกเสมอ บางคนก็โดนรถชน บางคนก็โดนผีหลอก มันไม่ใช่ความผิดของนาย แต่เป็นเพราะนายดวงตกไปหน่อย หลังออกจากโรงพยาบาลแล้วก็ไปไหว้อารามหลวงเจิ้งหลงกับพี่ชายนายก็พอแล้ว”

ไอโม่ซินยังคงถือปากกาเอาไว้ในมือ เขายกมือขึ้นเขียนอักษรตัวหนึ่งบนหลังมือของอีกฝ่าย “อย่าเพิ่งรีบล้างออกนะ ให้ดีที่สุดคือปล่อยไว้ประมาณสามวัน”

เกาเฉิงเหลียงมองดูเส้นปากกาลูกลื่นสีดำบนหลังมือ มันมีแสงสีทองลอยขึ้นมาตามปากกาที่เขียนลงไป เหมือนกับแสงของดวงดาวที่สาดส่องมาหาเขา ช่วยเขาออกมาจากคุกใต้ดินอันมืดมิดแห่งนั้น เขามองดูสัญลักษณ์นั้นกระทั่งรู้สึกปลอดภัยในที่สุด จากนั้นก็หันไปมองเกาเฉิงย่วนก่อนเอ่ยถามด้วยใบหน้าคาดหวัง “พี่ ผมขอสักลายนี้ไว้บนมือได้มั้ยครับ”

เกาเฉิงย่วนอึ้งไปนิด “ได้สิๆ เดี๋ยวพี่จะเขียนใบรับรองไปให้คุณครูของนายเอง”

“อย่าเลยครับ สักไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก” ไอโม่ซินยกยิ้ม พอเห็นสีหน้าผิดหวังนิดๆ ของเกาเฉิงเหลียง เขาก็เอ่ยปลอบเจ้าตัวอีกครั้งว่า “ไม่ต้องกังวลนะ พวกเรากำลังสืบว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ถ้าได้ความแน่ชัดแล้วก็จะแก้ปัญหาได้เอง”

เกาเฉิงเหลียงเองก็ไม่ได้ถามเขาว่าจริงหรือเปล่า เมื่อไรถึงจะสามารถแก้ปัญหาได้ เขาเพียงแค่มองดูไอโม่ซินและพูดว่า “ขอบคุณมากนะครับที่พาผมออกมา”

ไอโม่ซินแย้มยิ้มอ่อนโยน ก่อนลุกขึ้นลูบหัวอีกฝ่าย “พักผ่อนก่อนเถอะ ถ้าคิดอะไรออกก็บอกพี่ชายของนายนะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจุกจิกอะไรก็ได้ทั้งนั้น”

เกาเฉิงเหลียงพยักหน้าอย่างว่าง่าย จากนั้นเกาเฉิงย่วนจึงเข้ามาพูด “เดี๋ยวผมไปส่งคุณเองครับ”

ไอโม่ซินรู้ว่าเกาเฉิงย่วนมีเรื่องจะพูดจึงไม่ได้ปฏิเสธและออกจากห้องพักผู้ป่วยพร้อมกับเขา

เกาเฉิงย่วนปิดประตูลง เขามองไปยัง ‘ผู้บังคับบัญชา’ ที่ยืนอยู่ข้างกายไอโม่ซินโดยไม่พูดไม่จาเหมือนบอดี้การ์ดคนหนึ่งแล้วก็รู้สึกแปลกๆ นิดหน่อย แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีทีท่าจะหลบไป เขาเลยลังเลอยู่สักพักก่อนจะกล่าวขอบคุณไอโม่ซิน “คุณไอครับ ขอบคุณคุณจริงๆ ที่ช่วยน้องชายของผมเอาไว้ ไม่รู้ว่าจะมีอะไรที่ผมสามารถ…”

ไอโม่ซินรู้ว่าเขาอยากถามถึงค่าตอบแทนจึงโบกมือกล่าว “ถึงผมจะมีฐานะเป็นตำรวจ แต่สือหมิงก็ไม่ค่อยเอ่ยปากขอให้ผมช่วยใคร ในเมื่อเอ่ยปากแล้วว่าผมจะช่วยให้ถึงที่สุด คุณก็ไม่ต้องสนใจเรื่องนี้หรอกครับ พูดคุยกับน้องคุณให้เยอะๆ ดีกว่า การหาให้เจอว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นสำคัญกว่านะครับ”

“ผมจะอยู่เป็นเพื่อนเขา ขอบคุณคุณจริงๆ นะครับ” เกาเฉิงย่วนขอบตาแดงเล็กน้อยและก้มหัวให้ไอโม่ซิน “ผมมีแค่น้องชายของผมคนเดียว…ผมหมายถึงผมมีน้องชายแค่คนเดียวน่ะครับ เขาสำคัญสำหรับผมมาก ขอบคุณครับ”

ไอโม่ซินเหมือนจะไม่ได้ยินความผิดปกติในคำพูดของเขา จึงพยักหน้ายกยิ้มให้แล้วเดินจากมา

“นายชอบเด็กคนนี้มากเหรอ” ตอนนี้เองเจียงเฉิงฟางถึงได้เอ่ยปากพูด “ไม่ค่อยเห็นนายสนิทกับเจ้าของคดีขนาดนี้เลย”

“เขาเป็นเด็กว่านอนสอนง่ายมาก แถมยังเด็กขนาดนั้น…ถ้าหาก…” ไอโม่ซินถอนหายใจยิ้มๆ และไม่ได้พูดจนจบประโยค แต่เจียงเฉิงฟางก็รู้ว่าเขาอยากจะพูดอะไรเลยเปลี่ยนเรื่องคุย

“เกาเฉิงย่วนรู้สึกไม่ดีกับพ่อของเขาเหรอ”

ไอโม่ซินเล่าเรื่องที่เขาถกเถียงกับอวี๋จิ้งเอินเมื่อตอนบ่ายให้เจียงเฉิงฟางฟัง อีกฝ่ายลูบคางพลางครุ่นคิดว่าเรื่องนี้น่าจะตรวจสอบได้ “เกาเซิ่งเฟิงสร้างตัวขึ้นมาจากวงการมืด พรุ่งนี้ลุงจะไปถามเหล่าอู๋ที่แผนกปราบปรามอาชญากรรมดู”

ไอโม่ซินยังไม่ทันได้พูด จู่ๆ เจียงหลีก็โผล่มาจับมือเขาและถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “กลับบ้านแล้วหรือ”

ที่จริงเขาอยากจะเข้ากรมฯ สักหน่อย เจียงเฉิงฟางเลยรีบเปิดปากพูดขึ้นก่อน “ต้องกลับบ้านแหงอยู่แล้ว รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ เมื่อวานนายก็ไม่ได้นอนเท่าไร เดี๋ยวลุงไปส่งนายกลับนะ”

ไอโม่ซินคิดๆ ดูแล้วก็รู้สึกเหนื่อยเหมือนกัน และตอนเช้าก็ออกจากบ้านมาโดยไม่ได้บอกท่านแม่ ทั้งยังมาเข้าโรงพยาบาลอีก ท่านแม่จะต้องกังวลมากแน่ๆ “งั้นกลับก่อนแล้วกันครับ”

เมื่อคิดถึงท่านแม่ของตนเอง เขาก็นึกถึงพ่อขึ้นมาอีกรอบจนขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว เจียงหลียกมือขึ้นคลึงหว่างคิ้วของเขาพร้อมพูดเสียงเบา “เรื่องนี้มีแต่ท่านตาและท่านลุงใหญ่ของเจ้าเท่านั้นที่รู้ ตราบใดที่พวกเขาไม่พูด แม่เจ้าก็ไม่มีวันรู้หรอก”

“…ครับ” ไอโม่ซินเงียบไปหลายวินาทีกว่าจะส่งเสียงตอบกลับ หลังจากขึ้นรถไปก็พิงอยู่ข้างกายเจียงหลีและกุมมือของอีกฝ่ายกลับ ไอโม่ซินรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จึงถอนใจช้าๆ แล้วค่อยหลับตาลงเหมือนไม่อยากรับรู้อะไรสักอย่าง

กระทั่งเขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ในบ้านก็มีแค่โคมไฟที่กำลังส่องแสงนวล เขาอิงแอบอยู่ในอ้อมกอดของเจียงหลีโดยไม่รู้ตัว ก่อนรู้สึกว่าคนที่อยู่ตรงหน้ากระชับกอดตนเองแน่นขึ้นอีกนิด

“…กี่โมงแล้วครับ” เขาซุกศีรษะเข้าไปในกลุ่มผมของเจียงหลีพลางถามด้วยน้ำเสียงงัวเงีย

“เที่ยงกว่าแล้ว”

“…อือ…”

ขณะที่เขากำลังจะหลับลงไปอีกครั้ง เจียงหลีก็ลูบคลำต้นคอด้านหลังของเขาพร้อมถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “วันนี้ไม่ไปทำงานหรือ”

“หืม?” ไอโม่ซินสะลึมสะลือ ผ่านไปสักพักถึงตระหนักได้ว่าเขาถามอะไร ทันใดนั้นเจ้าตัวก็ตื่นเต็มตา “ตอนนี้เที่ยงครึ่งแล้วเหรอครับ?!”

“อืม” เจียงหลียกมือขึ้นสางผมเขา “เกือบจะบ่ายโมงแล้ว”

ไอโม่ซินตะเกียกตะกายลุกขึ้นจากเตียงทันที นึกสงสัยว่าทำไมบ่ายโมงแล้วยังมืดขนาดนี้อยู่อีก

เขาหันไปมองด้านนอกหน้าต่างก็พบว่าไม่ใช่ว่าฟ้าไม่สว่าง แต่หน้าต่างของเขาไม่มีแสงส่องเข้ามาเลยต่างหาก มันปรากฏสีดำทั้งแถบเหมือนแปะกระดาษสีดำเอาไว้ เขามองไปทางเจียงหลีด้วยความจนใจ อีกฝ่ายก็พูดด้วยใบหน้าไร้เดียงสา “ข้ากลัวว่าเจ้าจะนอนไม่หลับ”

เขาเป็นคนนอนหลับไม่ค่อยลึก รู้สึกตัวได้ง่ายมาก ไม่ว่าจะเป็นเสียงหรือแสงก็ส่งผลกระทบทั้งนั้น ห้องของเขามีแสงค่อนข้างดีโดยเฉพาะในฤดูร้อน เขาจึงถูกแสงอาทิตย์ปลุกให้ตื่นอยู่ทุกเช้า ตั้งแต่เจียงหลีมานอนอยู่ที่นี่ก็มักจะทำให้หน้าต่างของเขาเป็นสีดำ ทำให้หลายครั้งเขาตื่นขึ้นมาก็รู้สึกว่าฟ้ายังไม่สว่างเลยนอนต่อไป และนี่ก็เป็นสาเหตุที่เขามักจะไปทำงานสายบ่อยๆ

ไอโม่ซินไม่รู้จะทำยังไงกับเขาดี แต่คิดว่าถึงยังไงตอนนี้ก็เที่ยงแล้วจึงลงจากเตียงไปอาบน้ำ เจียงหลีบอกว่าจะกลับสกุลเจียงสักหน่อย ไอโม่ซินเลยเปลี่ยนเสื้อผ้าลงไปชั้นล่าง

“ท่านแม่ครับ” ไอโม่ซินลงมาชั้นล่างก็เห็นท่านแม่ของเขากำลังยกหม้อลงจากเตา “ผมทำให้ครับ”

ไอเยวี่ยเจินเองก็ไม่ได้แย้งลูกชาย ปล่อยให้เขาถือหม้อร้อนๆ ไปวางไว้บนโต๊ะอาหารและหยิบยำผักหลายจานออกมาจากตู้เย็น “ท้องของลูกไม่ค่อยสบาย วันนี้กินโจ๊กเถอะนะจ๊ะ”

“ได้ครับ” ไอโม่ซินไม่ได้กินโจ๊กที่ท่านแม่ต้มมาสักพักใหญ่แล้ว พอได้กลิ่นท้องก็ร้องขึ้นมา เขานั่งลงกินโจ๊ก มองดูท่านแม่ถอดผ้ากันเปื้อนเดินไปด้านนอก “ท่านแม่ครับ?”

“แม่จะไปชวนคุณเจียงเข้ามากินข้าวด้วยน่ะ” ไอเยวี่ยเจินยิ้มกล่าว

“แค่ก ลุงเจียงมาแล้วเหรอครับ มานานหรือยัง” ไอโม่ซินแทบจะสำลัก เขารีบลุกขึ้นยืนคิดจะเดินออกไป “ผมไปเองครับ”

“ไม่ต้องหรอก ถ้าลูกไปเขาอาจจะไม่สะดวกใจ” ไอเยวี่ยเจินพูดเสียงเบา “มาตั้งครึ่งชั่วโมงแล้ว พอได้ยินว่าลูกกำลังหลับอยู่ น้องเก้าก็ลากเขาไปรดน้ำต้นไม้ด้านหลัง พูดคุยกันสนุกสนานเชียว”

“อ้อ…” ไอโม่ซินได้แต่กลับไปนั่งกินต่อไป เขาพบว่าเจียงเฉิงฟางมักจะนัดกับท่านน้าเก้าของเขาออกไปดูหนังเดินเล่นซื้อของอะไรพวกนั้นเป็นระยะๆ ถ้าจะบอกว่าพวกเขากำลังเดตกันอยู่ก็เหมือนจะไม่ใช่ แต่ถ้าจะบอกว่าเป็นเพื่อนกัน ท่านน้าเก้าก็ดูเหมือนจะชอบเจียงเฉิงฟางมาก แถมทุกครั้งที่พูดถึงท่านน้าเก้า ใบหน้าแก่ๆ ของเจียงเฉิงฟางก็มักจะแดงก่ำและทำทีเปลี่ยนเรื่องคุยไปเสียทุกครั้ง

แน่นอนว่าต่อให้พวกเขาอยากเดตกัน ไอโม่ซินก็ไม่มีความเห็นอะไร แต่เขาจำได้ว่าปีที่แล้วเจียงหลีบอกว่าบุพเพสันนิวาสของเจียงเฉิงฟางคืออีกสามปีข้างหน้า และไม่ใช่งานวิวาห์ผี ไอโม่ซินเลยรู้สึกกลุ้มใจนิดหน่อย

ระหว่างที่ไอโม่ซินกำลังกลุ้มอกกลุ้มใจ ก็เห็นทั้งสองคนเดินเข้าประตูมาจากสวนด้านหลัง บนใบหน้ามีรอยยิ้ม เจียงเฉิงฟางเห็นไอโม่ซินจ้องมองพวกเขาอยู่ก็หุบยิ้มทันที “นายตื่นแล้วเหรอ หลับสบายหรือเปล่า”

“หลับสบายดีครับ ผมไม่ค่อยได้หลับสบายขนาดนี้เลย” ไอโม่ซินตอบแล้วเรียกเจียงเฉิงฟางมากินด้วยกัน

“เรียกเขากิน แล้วไม่เรียกน้ากินบ้างเหรอ” ไอเยวี่ยหลันคลี่ยิ้มนั่งลงระหว่างพวกเขา

“น้าเก้า” ไอโม่ซินหัวเราะเสียงแห้ง รีบหยิบชามกับตะเกียบมาให้เธอ แน่นอนว่าปกติไอเยวี่ยหลันจะไม่นั่งกินอาหารเช้า และถึงจะกินก็กินไม่ได้ เธอกำลังอยู่ในขั้นตอนฝึกสร้างร่างวิญญาณให้มีตัวตน เมื่อกินอาหารเข้าไปก็สามารถย่อยให้หมดไปได้ แต่มันก็เสียเวลาและไม่มีประโยชน์ อย่างมากพวกท่านป้าก็เพียงแค่กินอาหารแก้อยากเท่านั้น ปกติจึงไม่ได้บอกว่าอยากกินอาหารเช้า

ไอเยวี่ยหลันดูเหมือนแค่อยากกินอาหารเป็นเพื่อนเจียงเฉิงฟาง ภายในชามจึงมีเพียงโจ๊กทัพพีหนึ่งและกินยำผักไปอีกหลายคำ เวลาส่วนมากจะช่วยคีบอาหารให้เขากับไอเยวี่ยเจินซะมากกว่า บางครั้งก็จะคีบให้เจียงเฉิงฟางหลายๆ คำด้วย

ทั้งโต๊ะมีมนุษย์สามวิญญาณหนึ่งกินอาหารเช้ามื้อนี้ด้วยความกลมเกลียว เมื่อไอโม่ซินลุกขึ้นตั้งใจจะเก็บชามกับตะเกียบก็ถูกไอเยวี่ยหลันตีเบาๆ “ไปทำงานของหลานเถอะ เดี๋ยวน้าทำเองก็ได้”

ไอโม่ซินจึงทำได้เพียงวางมือ แต่ขณะกำลังจะเดินไปพูดกับเจียงเฉิงฟาง ท่านแม่ของเขาก็เดินเข้ามาเรียกเขาไว้ “โม่ซิน”

“ครับ?” ไอโม่ซินหันไปมองเธอ ไม่บ่อยนักที่จะเห็นความลังเลน้อยนิดบนใบหน้าของคนเป็นแม่ “ท่านแม่ มีอะไรเหรอครับ”

“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ เมื่อคืนคุณเจียงส่งลูกกลับมา ลูกนอนหลับลึกมาก เพราะงั้นแม่ก็เลยเข้าไปดูลูกในห้องลูก…บนโต๊ะมีกล่องไม้กล่องหนึ่ง แม่คิดว่ามันมีกลิ่นอายที่คุ้นเคยนิดหน่อย…”

ไอโม่ซินพยายามอย่างมากที่จะไม่ทำให้สีหน้าเปลี่ยนไป เขาพูดด้วยน้ำเสียงเป็นธรรมชาติ “อ้อ อันนั้นเป็นของสือหมิงครับ เขาขอให้ผมช่วยเอาไปส่งให้ท่านสือที่อารามหลวงเจิ้งหลง บอกว่ามันจะมีประโยชน์กับท่านสือ”

“แบบนี้นี่เอง” ไอเยวี่ยเจินดูเหมือนจะโล่งใจ “แม่แค่ถามดูน่ะ ลูกรีบไปทำงานเถอะ นี่ก็เลยเที่ยงมาแล้ว”

“ครับ งั้นผมไปก่อนนะครับ” ไอโม่ซินยกยิ้มให้เธอและออกจากบ้านไปพร้อมกับเจียงเฉิงฟาง

ทันทีที่ไอโม่ซินขึ้นไปนั่งบนรถก็หุบยิ้มและขมวดคิ้วพูด “ท่านแม่เหมือนจะรู้ว่ากำไลข้อมืออีกเส้นอยู่ที่ศาลคนกระดาษ”

“นี่ก็ไม่ใช่ความลับนะ คนที่อายุเท่าลุงส่วนใหญ่ก็รู้ทั้งนั้นแหละ” เจียงเฉิงฟางออกรถพลางซุบซิบนินทาให้เขาฟังไปด้วย “มันเป็นของขวัญวันเกิดที่ราชาผีมอบให้สือหมิงตอนที่เขาอายุสามขวบ”

“ไม่ใช่ว่ามันมีค่ามากเหรอครับ” ไอโม่ซินพูดด้วยความอึ้ง

“จะมีค่ามากหรือไม่มากก็ต้องดูว่าเจ้าของสนใจหรือเปล่า” เจียงเฉิงฟางยิ้มกล่าว “ทุกปีสือหมิงจะได้รับของขวัญวันเกิดจากราชาผี แล้วเขาก็โยนลงหีบทั้งหมด บางครั้งแม้แต่จะเปิดดูยังขี้เกียจเลย”

เจียงเฉิงฟางก็เคยเห็นกับตามาครั้งหนึ่ง แต่ของขวัญที่เขาเคยให้ในวันนั้นสือหมิงก็ยังหยิบมาใช้อยู่

“ลุงให้อะไรไปครับ” ไอโม่ซินไม่รู้จริงๆ ว่าพวกเขาสนิทกันจนส่งของขวัญวันเกิดให้กันด้วย ส่วนตัวเขานั้นยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าวันเกิดของสือหมิงคือวันไหน

“ก็ชุดชาเคลือบลายครามนั่นไง เขาวางเอาไว้บนโต๊ะเพื่อใช้รับรองแขก เป็นของที่เหมาะกับการใช้งานพอดี แค่เขายอมเอาออกมาใช้ก็นับว่าให้เกียรติลุงมากแล้ว” เจียงเฉิงฟางนับเวลาแล้วพูดขึ้น “มันเป็นปีแรกที่เขารับช่วงต่อศาลคนกระดาษ ถือเป็นการฉลองการรับช่วงต่อของเขา แล้วเขาก็มีอายุครบยี่สิบปีพอดี ลุงเลยส่งของขวัญไปให้ จากนั้นทุกปีก็จะเขียนการ์ดอวยพรแล้วส่งขนมไปให้แบบนี้นี่แหละ”

ไอโม่ซินจำชุดชานั้นได้ มันเป็นชุดเครื่องใช้สำหรับงานศพ สือหมิงจะวางเอาไว้บนโต๊ะเพื่อใช้รับรองแขกผี

“ที่แท้ลุงก็เป็นคนให้นี่เอง…แต่วันเกิดให้ชุดเครื่องใช้สำหรับงานศพมันจะไม่…แย่เกินไปหน่อยเหรอครับ” ไอโม่ซินถามด้วยความลังเล

“ก็มันเป็นของที่เขาใช้ได้นี่นา เขาเป็นลูกชายของราชาผี จะถืออะไรกับชุดเครื่องใช้ในงานศพ ทุกปีราชาผียังให้วัตถุเวทขับไล่ผีกับเขาเลย”

“ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เคยเจอหน้ากันเหรอครับ” ไอโม่ซินจำได้ว่าสือหมิงเคยพูดว่าเขาไม่ได้ติดต่อกับพ่อแม่เลย อีกอย่างราชาผีก็หลับลึกอยู่ใต้ทุ่งดอกปี่อั้นมาหลายปี

“ก็ใช่น่ะสิ” เจียงเฉิงฟางถอนหายใจแทนสือหมิง “ของขวัญจากปรโลกส่งมาในนามของราชาผี ก็ไม่ใช่ว่าราชาผีจะเตรียมไว้ด้วยตัวเองสักหน่อย”

ไอโม่ซินคิดไปคิดมา คุณหนูใหญ่ตระกูลสือที่ไม่อยากมีลูกคงไม่มีทางซื้อมาหรอก แต่แล้วความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมา “อ่า เป็นพญายมสินะครับ”

“ใช่แล้ว เพราะงั้นสือหมิงก็เลยเก็บเอาไว้ แต่จะใส่ใจหรือเปล่าก็พูดยาก” เจียงเฉิงฟางพูดยิ้มๆ “เพราะงั้นนายก็ไม่ต้องกังวลหรอกว่าของสิ่งนั้นมีค่ามาก นายลองไปถามดูสิว่าจะมีคนยินดีไปจัดการกับธงโลหิตเพื่อของล้ำค่านี่หรือเปล่า คงไม่มีใครรับหรอก แต่นายต้องไปยุ่งกับธงโลหิตก็เพราะเขา เพราะงั้นการที่เขาเอาของสิ่งนี้มาแสดงความขอโทษก็ไม่นับว่าเป็นอะไรหรอก”

ไอโม่ซินคิดไปคิดมาก็เห็นว่าจริง แต่พอนึกถึงมู่จ้งไป๋ก็อยากจะถอนหายใจ ตอนนั้นเองเสียงแจ้งเตือนของโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาดูก่อนพูดกับเจียงเฉิงฟาง “ลุงเจียง ไปที่โรงพยาบาลก่อนเถอะครับ”

“ทางเฉิงเหลียงมีเรื่องอะไรเหรอ” เจียงเฉิงฟางเพ่งมองโทรศัพท์ของเขา

“เขานึกออกแล้วว่าเคยเกิดเรื่องอะไรขึ้น” ไอโม่ซินส่งข้อความตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว

เจียงเฉิงฟางพยักหน้าแล้วเปลี่ยนเส้นทาง มุ่งหน้าตรงไปยังโรงพยาบาลทันที

 

 

ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน คน • สื่อ • วิญญาณ เล่ม 3

วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub

และร้านหนังสือทั่วไป

 

รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่

Meb / OOKBEE / Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN

3 of 3หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com