everY
ทดลองอ่าน คน • สื่อ • วิญญาณ บทที่ 2 #นิยายวาย
ตอนที่ 2
“พาเด็กไปโรงพยาบาลก่อนดีมั้ยครับ” เจียงเฉิงฟางพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพ “แม่เด็กไม่ใช่สายเลือดสกุลหลิว เพราะงั้นให้เธอตามไปด้วยนะครับ”
ผู้เป็นแม่กอดลูกชายไว้ในอ้อมกอดแน่นพร้อมมองไปทางพวกเขาด้วยใบหน้าขาวซีด
เด็กหนุ่มโยนคนกระดาษในมือออกไปก่อนที่มันจะเปลี่ยนเป็นหญิงสาวในชุดสีแดงสดคนหนึ่ง เครื่องหน้าของเธองดงาม ทว่าบนใบหน้าขาวซีดราวกับหิมะมีเพียงริมฝีปากเท่านั้นที่เป็นสีแดงสดคล้ายโลหิต เธอยืนมองพวกผู้หญิงสกุลหลิวซึ่งกำลังเบียดร่างอันสั่นเทาเข้าหากันอยู่นานถึงได้พยักหน้าเบาๆ
พี่สาวคนโตของเด็กน้อยรวบรวมความกล้า ก่อนเอ่ยปากพูดว่า “น้อง…น้องสาวของฉันยังเด็ก ให้เธอไปโรงพยาบาลด้วยได้มั้ยคะ”
เด็กหญิงที่มีอายุน้อยที่สุดกำชายเสื้อของแม่ตัวเองเอาไว้แน่น เธอตกใจจนหน้าขาวซีดไปหมด
หญิงสาวปรายตามองเธอแวบหนึ่งจนเธอตกใจถอยหลังไปหนึ่งก้าว คุณป้าเล็กของเธอจึงได้รีบร้อนเข้ามาอุ้ม หญิงสาวชุดแดงเคลื่อนมาอยู่ข้างกายเด็กหนุ่มคล้ายกำลังล่องลอยอยู่ในอากาศก่อนจะพยักหน้าเบาๆ อีกครั้ง
เด็กหนุ่มมองไปทางเจียงเฉิงฟางแล้วพูดว่า “ให้น้องไปด้วยเถอะครับ”
เจียงเฉิงฟางใช้มือหนึ่งจูงมือเด็กผู้หญิงตัวน้อยเอาไว้พร้อมประคองแม่เด็กเพื่อพาเธอเดินไปทางเจ้าหน้าที่พยาบาลด้านนอก “ไปโรงพยาบาลก่อน”
เจ้าหน้าที่รีบอุ้มเด็กน้อยพุ่งลงไปด้านล่างทันที ส่วนแม่เด็กก็รีบจูงมือลูกสาวตัวน้อยตามลงไปเช่นกัน จากนั้นเจียงเฉิงฟางก็หันไปพูดกับเฉินซื่อจวิน “เหล่าเฉิน ทิ้งคนเอาไว้ด้านนอกนิดหน่อยก็พอแล้ว ส่วนคนอื่นก็ให้กลับไปรวมทีมซะ”
เจ้าหน้าที่เฉินพยักหน้าเบาๆ เขาเดินออกไปนอกประตูด้วยความลังเลเล็กน้อยแล้วพูดอะไรอีกสองสามประโยคก่อนจะเดินกลับมาอีกครั้ง “ผมก็จะอยู่ที่นี่ด้วย”
เจียงเฉิงฟางไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงให้เฉินซื่อจวินปิดประตู เด็กหนุ่มมองคนที่ไม่เกี่ยวข้องเดินจากไปแล้วหันกลับมายิ้มให้พวกผู้หญิงสกุลหลิวอย่างอ่อนโยน “ทุกคนนั่งลงเถอะครับ”
สามพี่น้องสกุลหลิวพาหลานสาวมานั่งที่โซฟากับพวกเธอ คุณยายนั่งอยู่บนโซฟาเดี่ยว เฉินซื่อจวินยืนอยู่ตรงประตู ขณะที่เจียงเฉิงฟางยืนอยู่ข้างๆ โซฟาตัวยาว ส่วนเด็กหนุ่มยืนอยู่เบื้องหน้าทุกคนพร้อมหยิบสมุดบันทึกที่อยู่ในมือขึ้นมาเขียนอักษรลงไปสองสามตัวก่อนจะเงยหน้าขึ้นมอง
เด็กหนุ่มมองไปทางคุณยายหลิวแล้วพูดออกมา “รบกวนคุณยายอัญเชิญป้ายวิญญาณบรรพบุรุษกับแผนผังบรรพบุรุษออกมาด้วยครับ”
คุณยายตะลึงงันไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปากถาม “จะ…จะให้ฉันเอาป้ายวิญญาณบรรพบุรุษออกมาเหรอ”
เจียงเฉิงฟางเดินเข้ามาพูด “คุณยายครับ แค่จุดธูปแล้วบอกบรรพบุรุษว่าวันนี้มีเรื่องจะปรึกษา ขอเชิญบรรพบุรุษทั้งหลายมา แล้วยกป้ายวิญญาณบรรพบุรุษลงมาก็ได้แล้วครับ”
“ได้…ได้…” คุณยายให้เด็กสาวตัวน้อยประคองเธอลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปจุดธูปด้านหน้าโต๊ะบูชา เธอค่อยๆ ยกป้ายบรรพบุรุษลงมาอย่างระมัดระวังแล้วให้เด็กสาวเปิดลิ้นชักหยิบแผนผังบรรพบุรุษออกมา จากนั้นเธอก็เดินกลับมาที่โซฟาอย่างเชื่องช้า พร้อมถือป้ายบรรพบุรุษไว้ในมืออย่างระมัดระวัง
หญิงสาวในชุดสีแดงจ้องมองแผ่นป้ายนั้นด้วยความเกลียดชังแวบหนึ่งเหมือนอยากจะพุ่งเข้าไปทำลายมันจนแทบทนไม่ไหว คุณยายจึงได้แต่ก้มหน้าลงต่ำแล้วกอดแผ่นป้ายนั้นไว้ไม่ยอมวางด้วยร่างกายสั่นระริก
เด็กหนุ่มเดินไปข้างหน้า แล้วชี้แจงให้พวกผู้หญิงสกุลหลิวเข้าใจ น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนคล้ายกำลังปลอบโยนพวกเธอ
“ผู้หญิงคนนี้คืออนุภรรยาของหลิวโหย่วชิ่งที่เป็นบรรพบุรุษสกุลหลิวของพวกคุณ เธอแซ่วัง ชื่อซิ่วอวี้ เธอมีความแค้นกับสกุลหลิว วันนี้เลยกลับมาทวงความยุติธรรม”
ผู้หญิงสกุลหลิวได้แต่มองหน้ากัน สุดท้ายคนที่เปิดปากพูดออกมาก็คือคุณยายหลิว เธอกล่าวออกมาเบาๆ ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “งั้น…ไม่ทราบว่าคุณ…คุณย่าทวดต้องการอะไร…เหรอคะ”
วังซิ่วอวี้ลอยเข้าไปตรงหน้าคนสกุลหลิวแล้วฉีกยิ้มออกมา น้ำเสียงที่เธอพูดแฝงไว้ด้วยความอ่อนโยน “เรียกว่าคุณย่าทวดก็ถูกแล้วล่ะ ถึงข้าจะเป็นเพียงอนุ แต่ก็เป็นคนที่หลิวโหย่วชิ่งอุ้มขึ้นเกี้ยวหามเข้าประตูเรือนมา หากไม่ใช่เพราะปีนั้นบิดาข้าป่วยหนักจนเหลือเพียงน้องชายคนเดียว ข้าก็คงไม่ต้องเป็นอนุภรรยาผู้ใดเพื่อเงินค่ายาเหล่านั้นและโดนดูถูกเหยียดหยามจนตายเช่นนี้”
สายตาของวังซิ่วอวี้กวาดมองไปยังสามพี่น้องสกุลหลิว เมื่อสายตาของเธอหยุดอยู่ที่ใบหน้าของน้องเล็กสุด เธอก็กล่าวเสียงเย็น “นางหน้าตาคล้ายหลิวเฉียนซื่อ หลายส่วนนัก”
ใบหน้าของน้องเล็กสกุลหลิวซีดเผือดลงไปอีก เธอก้มหน้าลงต่ำยิ่งกว่าเดิม ในใจหวังว่าคุณย่าทวดคนนี้จะเป็นคนมีเหตุผล
วังซิ่วอวี้เพียงปรายตามองเธอแวบหนึ่งก่อนจะลอยกลับไปอยู่ข้างกายเด็กหนุ่มแล้วพูดออกมาเสียงเย็น “บรรพบุรุษสกุลวังของข้าก็เป็นผู้มีความรู้ความสามารถในอดีต ก่อนบิดาข้าจะป่วยหนักเขาเคยเป็นขุนนางอยู่ในสำนักศึกษา ข้าเองก็รู้หนังสือมาตั้งแต่เล็ก ข้ามิเพียงเป็นหญิงสาวที่ดีงาม แต่ยังเป็นบุตรสาวที่ดีของครอบครัวอีกด้วย บิดามารดารักถนอมข้าจนแม้แต่เตาไฟก็ยังไม่เคยให้ข้าจุด แต่ในเมื่อแต่งเข้ามาเป็นอนุในสกุลหลิวแล้ว ข้าก็เจียมเนื้อเจียมตัวระมัดระวังตัวเองอยู่เสมอ หลิวเฉียนซื่อบอกให้ข้าทำอะไรข้าก็ทำอย่างนั้น…ข้าเกลียดนักที่นางนั่นไม่ยอมปล่อยข้าไป ยามนั้นฐานะของข้ายังเทียบกับทาสในสกุลหลิวไม่ได้ด้วยซ้ำ ข้ามักจะถูกเฆี่ยนตีและดุด่าอยู่เสมอ ยามดวงตะวันแผดแสงร้อนผ่าวก็ให้ข้าคุกเข่าเก็บเมล็ดถั่วอยู่ในสวน ยามหิมะโหมกระหน่ำก็ให้ข้าไปซักผ้าอยู่ข้างบ่อน้ำ นางทรมาทรกรรมข้านานถึงสองปี แต่ที่น่าแค้นใจที่สุดก็คือหลิวโหย่วชิ่งผู้นั้น ก่อนแต่งข้าก็พูดดีทำดีกับข้าสารพัด แต่พอข้าแต่งเข้ามายังไม่ถึงสามเดือนเขาก็ไปติดพันนางโลมในหอโคมเขียวเสียแล้ว เมื่อรู้ว่าภรรยาตนทรมานข้าสารพัด เขาก็ไม่พูดอะไรสักคำ เอาแต่โทษว่าข้าไม่รู้จักเอาอกเอาใจภรรยาเอกเสียเลย”
บนใบหน้าขาวซีดของวังซิ่วอวี้ปรากฏรอยยิ้มดูถูกเหยียดหยาม “เอาอกเอาใจภรรยาเอกอย่างนั้นรึ หากข้าเป็นสตรีที่เขาซื้อมา บางทีอาจสามารถเอาอกเอาใจนางได้ แต่ข้าเกิดในตระกูลที่ดี ซ้ำยังรู้หนังสือและดูบัญชีได้ หลิวเฉียนซื่อจะยอมทนกับข้าได้อย่างไร นางเกลียดชังข้าจนแทบทนไม่ไหว แล้วเช่นนี้ข้าจะเอาอกเอาใจนางอย่างไรกัน ขนาดข้ากระโดดลงบ่อน้ำ นางยังใส่ความว่าข้าหนีตามคนงานไป หลิวโหย่วชิ่งเองก็ไม่แยกแยะถูกผิด เขาไปบ้านเดิมข้าแล้วเค้นคอมารดาที่แก่ชราของข้าจนกระอักเลือดและได้แต่นอนอยู่บนเตียงโดยไม่อาจลุกขึ้นมาได้ นางตรอมใจอยู่นานถึงครึ่งปี ดีที่ก่อนจะจากไปนางยังตบแต่งน้องชายของข้าได้ทัน”
วังซิ่วอวี้ใช้น้ำเสียงเย็นชาบอกเล่าชีวิตรันทดในสกุลหลิวของนาง ตอนนี้สกุลหลิวเหลือแต่ผู้หญิง พวกเธอจึงไม่อาจจินตนาการได้ว่าเมื่อหญิงสาวในยุคนั้นพบเจอกับเรื่องแบบนี้จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร พวกเธอเลยได้แต่ก้มหน้านิ่งเงียบไม่พูดไม่จา
“เดิมทีข้าก็เป็นคนรนหาที่เอง ข้ายอมเป็นอนุของสกุลหลิวก็เพื่อเงินค่ายาของบิดา เรื่องนี้ข้าจึงไม่ได้โกรธแค้น” วังซิ่วอวี้ช้อนตาขึ้นมองพวกผู้หญิงสกุลหลิว แล้วพูดต่อด้วยเสียงเย็น “แต่หลิวโหย่วชิ่งผู้นั้น หนึ่งคือไม่ควรบีบบังคับมารดาข้าจนตาย สอง แปดเดือนให้หลังตอนพบศพข้าที่ก้นบ่อน้ำเขาก็ควรจะนำโครงกระดูกของข้าไปจัดการหลิวเฉียนซื่อ!
ข้าทำผิดกับสกุลหลิวของพวกเจ้าตรงที่ใด ทำผิดต่อหลิวโหย่วชิ่งตรงที่ใด แล้วทำผิดต่อหลิวเฉียนซื่ออย่างไร สมควรให้นางบีบบังคับข้าจนตายแล้วทิ้งศพข้าเอาไว้ในสุสานรวมอย่างนั้นหรือ!” วังซิ่วอวี้ขยับเข้ามาใกล้อีกก้าว พวกผู้หญิงสกุลหลิวได้แต่กอดกันตัวสั่นระริกจนพูดไม่ออก
“ข้าเองก็อดทนอดกลั้นแล้ว ข้าเป็นวิญญาณกลับมายังสกุลหลิวก็เพื่อขอร้องให้หลิวโหย่วชิ่งเห็นแก่ความรักของภรรยาที่น่าสงสารผู้นี้ ขอร้องให้เขาสร้างสุสานให้ข้าสักแห่ง แต่เขาทำอะไรเล่า” วังซิ่วอวี้หัวเราะ ดวงตาหงส์งดงามทั้งสองข้างของเธอมีน้ำตาสีเลือดไหลออกมาเป็นทาง “บุตรของน้องชายข้าเพิ่งจะอายุได้สองขวบ เขาก็ส่งคนไปขโมยเด็กมารีดเลือดสดๆ เพื่อใช้สะกดข้า น้องชายข้าทนไม่ไหวจนต้องบ้านแตกสาแหรกขาดในเวลาเพียงไม่กี่ปี จากนั้นเขาก็ล้มป่วยและตายไป ส่วนข้าก็ถูกสะกดอยู่ใต้สถานที่รกร้าง ได้แต่มองหลานผู้น่าสงสารของตัวเองกลายเป็นวิญญาณร้องไห้คร่ำครวญอยู่ทุกคืนโดยที่ข้าไม่อาจทำสิ่งใดได้”
วังซิ่วอวี้เช็ดหยาดน้ำตาสีเลือดบนใบหน้า เหลือไว้เพียงรอยเลือดสองสามสายบนใบหน้าซีดขาว จากนั้นเธอก็แย้มยิ้มงดงาม “ไหนพวกเจ้าลองพูดซิว่าข้าควรเกลียดชังหรือไม่ ควรจะแค้นเคืองหรือไม่ แล้วควรจะมาทวงคืนความยุติธรรมนี้หรือไม่”
พี่น้องสกุลหลิวได้แต่ก้มหน้าต่ำไม่พูดไม่จา หญิงที่อายุน้อยที่สุดกอดหลานสาวของตัวเองเอาไว้แน่นจนตัวสั่น สุดท้ายคุณยายก็เป็นคนเปิดปากพูดออกมา “คุณย่าทวดต้องอยู่อย่างทุกข์ทรมาน…เป็นเพราะบรรพบุรุษสกุลหลิวของเราเป็นคนผิด คุณย่าทวดพูดมาเถอะค่ะว่าอยากให้ทำอะไร ฉันจะทำ…”
“รอเดี๋ยวก่อน” เด็กหนุ่มยกมือขึ้นมาหยุดไม่ให้คุณยายหลิวพูดจนจบประโยค วังซิ่วอวี้จึงถลึงตามองเขาด้วยความไม่พอใจ
เด็กหนุ่มกล่าวยิ้มๆ “ทำไมคุณย่ารองหลิวต้องทำให้ลูกหลานลำบากใจด้วยล่ะครับ ความยุติธรรมนี้ต้องให้หลิวโหย่วชิ่งเป็นคนชดใช้ไม่ใช่เหรอครับ”
วังซิ่วอวี้ไม่ได้โกรธเคืองนัก นางเพียงเอ่ยออกมาเสียงเย็น “ไอ้แก่นั่นจะคืนความยุติธรรมอันใดให้ข้า มันใช้สินเดิมของหลิวเฉียนซื่อไปเสพสุขเอาหน้ากับบรรดาจวี่เหริน พอกลับบ้านมาอยู่ต่อหน้าหลิวเฉียนซื่อก็ไม่กล้าแม้แต่จะผายลมออกมา ข้าล่ะอยากจะรู้นักว่าคนผู้นี้ยังจะคืนความยุติธรรมอันใดให้ข้าได้”
เด็กหนุ่มมองไปทางคุณยายหลิวแวบหนึ่งคล้ายพยายามปลอบประโลม เขาก้มหน้าลงเขียนอักษรจำนวนหนึ่งลงบนสมุดบันทึกอีกครั้ง จากนั้นเขาก็ทำท่าทางเหมือนฟังเสียงอะไรบางอย่างข้างหู ก่อนจะเปิดปากพูดขึ้นมา “คุณหลิวบอกว่าจะให้ลูกหลานสกุลหลิวบันทึกชื่อของคุณกลับไปในแผนผังสกุล จุดธูปบูชาคุณไม่ดับอีกร้อยปี และชดใช้ด้วยบุญกุศลเป็นเวลาสิบปีเพื่อให้คุณไปเกิดใหม่โดยเร็ว”
“เขาก็แค่ใช้ของของคนรุ่นหลังเท่านั้นแหละ” วังซิ่วอวี้หัวเราะเสียงเย็นแล้วกวาดตามองไปทางพวกผู้หญิงสกุลหลิว “บรรพบุรุษของพวกเจ้าบอกว่าจะชดใช้ด้วยบุญกุศลของพวกเจ้าเป็นเวลาสิบปี บรรพบุรุษเช่นนี้พวกเจ้ายังกราบไหว้ลงอีกหรือ”
สามพี่น้องสกุลหลิวต่างสบตากัน จากนั้นพี่ใหญ่สกุลหลิวก็รีบจับมือแม่ของตัวเองเอาไว้ก่อนที่คุณยายหลิวจะทันได้พูดอะไรออกมา เธอพูดแทนอย่างระมัดระวังว่า “คุณย่าทวด เพื่อเด็กคนนั้นพวกเรายินดี เด็กคนนั้นเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงคนเดียวที่น้องชายของฉันทิ้งเอาไว้…คุณน่าจะเข้าใจหัวอกของพวกเราดีใช่มั้ยคะ”
วังซิ่วอวี้ขมวดคิ้วมุ่นลอยไปลอยมาอยู่ในห้องด้วยสีหน้าเย็นชาคล้ายกำลังใคร่ครวญหรือลังเลอะไรบางอย่าง ภายในห้องเงียบสนิทไม่มีใครพูดออกมาสักคน สุดท้ายเธอก็ลอยไปหยุดอยู่ด้านข้างเด็กหนุ่ม “เจ้าคิดว่าอย่างไร”
“คุณย่ารองหลิว” เด็กหนุ่มเรียกเธอด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นขึ้นพลางหันไปมองใบหน้าของวังซิ่วอวี้ด้วยรอยยิ้ม “พวกเราเป็นคนกลาง คงไม่สามารถช่วยอะไรได้ คุณหลิวก็เสนอเงื่อนไขไปแล้ว คงต้องดูว่าคุณพอใจกับเงื่อนไขของสกุลหลิวหรือเปล่า”
เมื่อเด็กหนุ่มพูดจบเขาก็มองไปทางเจียงเฉิงฟางแวบหนึ่ง วังซิ่วอวี้ชะงักไปเล็กน้อยแล้วหันไปมองเจียงเฉิงฟางเช่นกัน
ปฏิกิริยาตอบสนองของเจียงเฉิงฟางรวดเร็วมาก เขาเพียงอึ้งไปเล็กน้อยแล้วเปิดปากพูดออกมา “ผมคิดว่าคงต้องดูก่อนว่าความยุติธรรมที่คุณย่ารองอยากทวงคืนมากที่สุดคืออะไรกันแน่”
เจียงเฉิงฟางพูดจบเขาก็มองไปทางป้ายบรรพบุรุษครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงจริงใจ “นี่เป็นบุญคุณความแค้นเมื่อร้อยปีก่อน ถ้าเป็นเรื่องที่ลูกหลานทำได้ก็ควรให้ลูกหลานทำจะดีที่สุด แล้วปล่อยให้คนที่ยังมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างมีความสุขเถอะครับ คุณย่ารองมาจากครอบครัวบัณฑิต เพราะฉะนั้นย่อมเป็นคนมีเหตุมีผล ดังนั้นถ้ามันทำให้ลูกหลานผู้หญิงพวกนี้ต้องลำบากใจก็คงไม่ค่อยยุติธรรมเท่าไร”
วังซิ่วอวี้มองเจียงเฉิงฟางแวบหนึ่งแล้วหันไปมองเด็กหนุ่มอีกครั้ง เธอเข้าใจความหมายของพวกเขา สุดท้ายก็ยิ้มออกมา “ก็ได้ เจ้าบอกหลิวโหย่วชิ่งว่าข้าจะปล่อยทายาทคนสุดท้ายในสกุลหลิวของเขาไป และจะไม่ทำให้ลูกหลานสตรีเหล่านี้ต้องลำบากใจ ยิ่งไปกว่านั้นยังจะไม่เอาบุญกุศลของลูกหลานตามที่เขาหน้าด้านพูดออกมาด้วย” จากนั้นวังซิ่วอวี้ก็หมุนไปหมุนมาอยู่สองรอบแล้วพูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “ในเมื่อเขาต้องการบันทึกชื่อของข้าเอาไว้ในแผนผังสกุลหลิว เช่นนั้นก็บันทึกไว้ว่าข้าคือภรรยาเอกของเขา และเห็นแก่ผลประโยชน์ที่หลิวเฉียนซื่อทิ้งไว้ ก็บันทึกว่านางเป็นอนุของเขาเสีย ลูกหลานต้องจุดธูปบูชาต่อเนื่องไม่ดับ เด็กคนนั้นจะต้องจุดธูปเซ่นไหว้ท่านย่าทวดเช่นข้าทุกเช้าวันละสามดอก ผลไม้ดอกไม้ต้องมีทุกวัน ทุกวันที่สิบห้า หมูเห็ดเป็ดไก่อย่าได้ขาด อีกอย่างจำไว้ว่าต้องนำโครงกระดูกของข้าไปฝังไว้ในสุสานสกุลหลิวอย่างดี ฝังข้าเอาไว้ข้างๆ หลิวโหย่วชิ่งนั่นแหละ และต้องสูงกว่าเขาสามชุ่น ส่วนหลิวเฉียนซื่อก็เอาไปเผาซะ จากนั้นจะไปทิ้งไว้ที่ใดก็ตามใจ”
ระหว่างที่วังซิ่วอวี้กำลังพูดเธอก็มองไปยังผู้หญิงสกุลหลิวที่ได้แต่พยักหน้าหงึกหงักแล้วหันไปมองเด็กหนุ่มอีกครั้ง “อย่าคิดว่าข้านึกอยากจะเป็นภรรยาเอกของเขาเสียล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะข้าเป็นสตรีออกเรือนแล้วทำให้ที่บ้านไม่อาจส่งเสริมได้ ข้ามีหรือจะอยากอยู่ในแผนผังบรรพบุรุษสกุลหลิว หากเขาตกลงเรื่องนี้ข้าจะถือว่าแล้วกันไป ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็ค่อยว่ากันต่อไป”
ขณะพูดว่าค่อยว่ากันต่อไป วังซิ่วอวี้ก็ฉีกยิ้มเย็นขึ้นมา แถมรอยยิ้มของเธอยังแฝงแววดุร้ายคล้ายวางแผนเอาไว้แล้วว่าจะจัดการอย่างไรต่อไป
เด็กหนุ่มกระตุกยิ้มขึ้นมาแล้วเอียงหูฟังอยู่สักพักก่อนจะพูด “นี่เป็นเงื่อนไขของเธอ จะตกลงหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับคุณ คุณจะไม่ตกลงก็ได้”
วังซิ่วอวี้ยังคงหมุนไปหมุนมาอยู่กับที่ ดูเหมือนเธอจะอารมณ์ดีขึ้นแล้ว สายตาเลยมองไปทางเจียงเฉิงฟางขึ้นๆ ลงๆ ก่อนลอยเข้าไปใกล้เขาด้วยความสงสัย “ข้าเคยได้ยินมาว่าเจ้า…”
เจียงเฉิงฟางไม่ได้สนใจว่าวังซิ่วอวี้จะเข้ามาใกล้ เขารู้ดีว่าเธอไม่ได้มีเจตนาร้ายเลยหันไปยิ้มให้เธออย่างมีมารยาท
แต่ทันใดนั้นหางยาวสีขาวหิมะซึ่งเปล่งแสงสีเงินยวงก็ตวัดผ่านมาด้านหน้า จากนั้นเจียงเฉิงฟางก็สติเลื่อนลอยไปครู่หนึ่ง
“กรี๊ด…” วังซิ่วอวี้ที่ได้เห็นแสงสีขาวตรงหน้าก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายความน่ากลัวที่พุ่งเข้ากระแทกใบหน้าจนต้องกรีดร้องเสียงแหลมแล้วไปหลบอยู่ด้านหลังเด็กหนุ่ม
เด็กหนุ่มตกตะลึงไป ขณะเดียวกันก็ยกมือซ้ายของตัวเองขวางเงาร่างที่วิ่งถลาเข้ามาด้านหลัง ส่วนมือขวาของเขาก็เขียนอักษรกลางอากาศอย่างรวดเร็ว เมื่อแสงสีทองของตัวอักษรส่องสว่างขึ้นมาและสาดส่องไปยังหางสีขาวราวหิมะที่กำลังซ้อนทับกันอยู่มันก็ส่งเสียงดังลั่นราวกับฟ้าผ่า
เมื่อเจียงเฉิงฟางได้สติก็หันไปมองเงาร่างที่เบียดเสียดกันอยู่ด้านหลังเด็กหนุ่ม เขาตกใจจนเหงื่อเย็นๆ ผุดขึ้นมาทั่วร่างก่อนจะเอื้อมมือออกไปดึงหางข้างนั้นกลับมา จากนั้นเขาก็พูดออกมาเบาๆ โดยไม่สนใจว่าน้ำเสียงยังเปี่ยมความสุภาพอยู่หรือไม่ “ท่านบรรพบุรุษ นั่นคือธงเบิกทาง* ครับ!”
เด็กหนุ่มยังนับว่าสงบนิ่ง เพียงหันกลับไปหาคนที่อยู่ด้านหลังตัวเองแล้วพยักหน้าเบาๆ พร้อมกล่าวว่าไม่เป็นไรเสียงแผ่วเบา เขามองวังซิ่วอวี้ที่ตกใจจนความอาฆาตแค้นลดลงไปเล็กน้อยแล้วเอื้อมมือออกไปเขียนอักษรตัวหนึ่งบนหน้าผากของเธอเพื่อช่วยให้วิญญาณสงบลง จากนั้นถึงค่อยหันกลับไปมองเจียงเฉิงฟางแล้วกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “คุณลุงตำรวจครับ นี่ไม่เป็นไปตามข้อตกลงเลยนะ”
“ลุงรู้ ขอโทษที แค่ซวยพอดีน่ะ บรรพบุรุษของพวกเราไม่ตื่นมาตั้งหลายสิบปีแล้ว แต่ตอนนี้กลับได้เวลาพอดี ต้องขอโทษจริงๆ” เจียงเฉิงฟางพยายามกดเกล็ดที่อยู่บนข้อมือซ้ายอย่างยากลำบาก บรรพบุรุษสกุลเขาไม่ได้ปรากฏตัวมาสามสิบกว่าปีแล้ว ที่จริงเขายังคิดว่าลูกหลานรุ่นนี้คงไม่ได้เห็นบรรพบุรุษแล้วซะอีก แต่คาดไม่ถึงเลยว่าวันนี้ธงเบิกทางของผีร้ายตนหนึ่งจะทำให้บรรพบุรุษปรากฏขึ้นมา
เจียงเฉิงฟางเงยหน้าขึ้นมองเด็กหนุ่มพลางคิดว่าบางทีสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของบรรพบุรุษอาจไม่ใช่วังซิ่วอวี้ แต่อาจเป็นเด็กหนุ่มคนนี้ก็เป็นได้
เด็กหนุ่มสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาร้าย เขาเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน ในวงการต่างก็พูดกันว่าสกุลเจียงมีมังกรวารี ตัวหนึ่งซึ่งบรรพบุรุษสกุลเจียงบูชาเมื่อเกือบพันปีก่อน หรือจะพูดอีกอย่างก็คือพรแห่งมังกรวารีที่ใช้บุญกุศลของชนรุ่นหลังเกือบพันปีแลกมานั่นเอง หลังจากครบพันปีแล้วคนสกุลเจียงจะอุทิศบารมีให้และทำให้มันแปลงร่างเป็นมังกรที่แท้จริง เมื่อได้ยินเรื่องนี้มาหลายสิบปีทุกคนจึงเฝ้ารอว่าจะได้เห็นมังกรวารีแปลงร่างเป็นมังกรด้วยตาของตัวเองหรือไม่
เด็กหนุ่มมองไปยังเจียงเฉิงฟางด้วยสีหน้าประหลาดแล้วเอียงศีรษะกล่าวออกมาเสียงต่ำ “คุณหลิว เวลาของผมมีจำกัด คุณรีบๆ ตัดสินใจเถอะครับ”
วังซิ่วอวี้ยังตกใจไม่หาย เธอรู้สึกว่าด้านหลังของเด็กหนุ่มเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด ส่วนพวกผู้หญิงสกุลหลิวต่างรู้สึกมึนงงไปกับเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง พวกเธอได้แต่ก้มหน้าลงต่ำแล้วเบียดตัวเข้าหากันโดยไม่พูดอะไรออกมาและรอให้เด็กหนุ่มตัดสินใจว่าพวกเธอควรจะทำอย่างไรดี
ระหว่างที่เด็กหนุ่มกำลังรออยู่ สายตาของเขาก็กวาดมองไปอย่างไม่มีจุดหมาย จู่ๆ เขาก็เห็นว่ามีชายคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหลังเจียงเฉิงฟาง
ชายหนุ่มคนนั้นสวมเสื้อคลุมสีขาวตัวยาว และเมื่อมองประกายระยิบระยับดุจเกล็ดน้ำแข็งบนเสื้อคลุมตัวนั้นให้ดีๆ ก็พบว่ามันคือเกล็ดสีใสชิ้นเล็กๆ ราวกับคริสตัล เส้นผมสีเงินของเขาทิ้งตัวลงราวสายน้ำไหลริน และส่วนหางสีเงินยวงที่ถูกเสื้อคลุมตัวยาวปกปิดเอาไว้ไม่มิดก็กำลังบิดตัวไปมาอย่างเกียจคร้าน
แต่เทียบกับหางที่ไม่ใช่ของมนุษย์แล้ว สิ่งที่ทำให้เด็กหนุ่มไม่อาจละสายตาไปได้กลับเป็นใบหน้าของเขาต่างหาก
ผิวของเขาขาวมาก และถึงแม้จะขาวไปทั้งตัว แต่ความขาวบริสุทธิ์บนใบหน้าของเขาก็ยังชวนให้แปลกใจอยู่ดี มันเป็นความขาวที่ไม่ใช่ขาวซีดอมโรค แต่กลับเป็นขาวบริสุทธิ์ราวกับแสงจันทร์รวมอยู่ด้วยกันบนดวงหน้านี้ ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นก็ราวกับจะดูดแสงสว่างทั้งหมดเข้าไปยังความเวิ้งว้าง
สายตาเหม่อลอยของเด็กหนุ่มพลันดึงดูดความสนใจของเจียงเฉิงฟางไป เขารีบหันกลับไปมองแต่ก็ไม่พบอะไร จึงได้แต่กดเกล็ดที่อยู่บนข้อมือเอาไว้แบบนั้น และเมื่อเขาหันกลับมาอีกครั้งเด็กหนุ่มก็ถอนสายตากลับไปแล้ว
ภายในห้องเงียบสนิท เด็กหนุ่มเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเหมือนกำลังหลบเลี่ยงอะไรบางอย่าง กระทั่งเอ่ยปากพูดขึ้นมาอีกครั้งน้ำเสียงของเขาถึงดูเหมือนจะผ่อนคลายลงเล็กน้อย เขาเอียงศีรษะมองไปทางวังซิ่วอวี้ “คุณหลิวยอมรับเงื่อนไขของคุณ และเพื่อเป็นการตอบแทน คุณหลิวหวังว่าคุณจะสามารถดูแลปกป้องเด็กคนนี้ไปจนโตได้”
วังซิ่วอวี้ขมวดคิ้วขึ้นมาทันควัน ดูเหมือนเธอจะไม่พอใจอยู่บ้าง แต่เพราะยังหวาดกลัวเจียงเฉิงฟาง สุดท้ายเธอเลยได้แต่กวาดตามองไปยังพวกผู้หญิงสกุลหลิวด้วยความไม่พอใจ “ในเมื่อข้าเป็นย่าทวดของเด็กนั่น ข้าก็ต้องคุ้มครองให้เขาเติบโตอย่างดีอยู่แล้ว แต่เมื่อตกลงรับเงื่อนไขของข้าแล้ว หากพวกเจ้าทำไม่ได้ก็อย่ามาโทษว่าข้าใจร้ายก็แล้วกัน”
คุณยายหลิวรีบพยักหน้า “ไม่มีปัญหาค่ะ พวกเราจะทำตามที่คุณย่าทวดพูดให้ได้”
“ถ้าอย่างนั้นในฐานะคนกลาง ผมจะทำหนังสือสัญญาให้พวกคุณ สวรรค์จะเป็นพยานว่าหลังจากทำสัญญาเรียบร้อยแล้วทั้งสองฝ่ายจะไม่สามารถผิดคำสัญญาได้” เด็กหนุ่มเขียนอักษรลงบนสมุดบันทึกของเขาอีกหลายแถวอย่างเอาจริงเอาจัง หลังจากเขาฉีกกระดาษออกมาหน้าหนึ่งแล้วก็สะบัดมือโยนออกไป กระดาษแผ่นนั้นกลายเป็นเถ้า แต่ตัวอักษรสีทองจำนวนหนึ่งกลับแยกออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งลอยไปทางวังซิ่วอวี้ และอีกส่วนลอยไปทางป้ายบรรพบุรุษสกุลหลิวแล้วสลายหายไป
“สัญญาสำเร็จลุล่วงแล้ว ผมทำตามการไหว้วานของคุณหลิวเสร็จเรียบร้อยแล้วนะครับ” เด็กหนุ่มปิดสมุดบันทึกแล้วนำปากกาเหน็บลงไปบนปก ก่อนหันไปพยักหน้าให้เจียงเฉิงฟางเล็กน้อย “เรื่องที่เหลือก็ไม่เกี่ยวกับผมแล้ว รบกวนคุณลุงตำรวจจัดการด้วยนะครับ”
เด็กหนุ่มพูดจบก็หมุนตัวเดินจากไปทันที เจียงเฉิงฟางจึงรีบตามเขาไป “นี่ นายรอก่อนสิ!”
เฉินซื่อจวินเห็นเจียงเฉิงฟางรีบร้อนตามไปรั้งเด็กหนุ่มเอาไว้ก็เบนสายตามองไปทางวังซิ่วอวี้อย่างรวดเร็วแวบหนึ่ง “เหล่าเจียงอย่าเพิ่งไปสิ! นั่น…แล้วจะทำยังไงล่ะ”
“เอ่อ เดี๋ยวผมจะรีบกลับมา!” เจียงเฉิงฟางหันกลับไปทางวังซิ่วอวี้แล้วตะโกนว่า “รบกวนคุณย่าทวดอย่าเพิ่งไปไหนนะครับ ผมจะรีบกลับมา”
เจียงเฉิงฟางพูดจบก็รีบร้อนตามออกไป ทว่าเด็กหนุ่มคนนั้นเดินหนีไปเร็วมาก เมื่อเจียงเฉิงฟางมาถึงบันไดเขาก็มองไม่เห็นเงาคนแล้ว จึงรีบลงไปด้านล่างทันที
เด็กหนุ่มเองเร่งเดินหนีไปอย่างรวดเร็ว เขาก้าวข้ามบันไดกึ่งวิ่งกึ่งกระโดดลงไปด้านล่างแล้วพุ่งตัวออกไปทันที สัญชาตญาณบอกเขาว่าอย่าอยู่ใกล้คนคนนั้นมากเกินไปจะดีกว่า และสัญชาตญาณของเขาก็ไม่ค่อยจะผิดพลาดเสียด้วย
แต่พอเขาพุ่งออกไปจากประตูชั้นหนึ่งก็สัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบที่แผ่ซ่าน จากนั้นเงาร่างสีขาวราวหิมะก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าจนเขาแทบจะชนอีกฝ่ายและต้องรีบหยุดฝีเท้าลงทันที
ชายหนุ่มจ้องหน้าเขา ดวงตาทอประกายมุ่งมั่นเต็มเปี่ยมพลางเอียงศีรษะเล็กน้อยด้วยความสงสัย ภายใต้ท้องฟ้ามืดสลัวเกล็ดบนชุดคลุมสีขาวของชายหนุ่มกลับเต็มไปด้วยประกายระยิบระยับ เด็กหนุ่มไม่กล้าขยับเขยื้อน แม้ฝ่ายตรงข้ามจะไม่ได้แสดงความเป็นปรปักษ์ออกมา แต่เขาก็ไม่อยากจะหาเรื่องปีศาจเฒ่าพันปีตนนี้หรอก
“ชนเผ่าเถี่ยน?” เสียงของชายหนุ่มทุ้มต่ำคล้ายเสียงฉินอันนุ่มนวล
“…ครับ ไอโม่ซิน หัวหน้าเผ่าเถี่ยนรุ่นที่ยี่สิบสาม ยินดีที่ได้พบผู้อาวุโส” ไอโม่ซินก้มหน้าลงโค้งตัวให้ชายหนุ่มคนนั้นอย่างมีมารยาท
ชายหนุ่มจ้องมองเขาอยู่สักพักก่อนจะยกมือข้างหนึ่งขึ้น เมื่อนิ้วมือขาวกระจ่างราวหยกสลักสัมผัสลงบนใบหน้าของเขา ไอโม่ซินรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือก ซึ่งต่างจากความเย็นของไอหยินที่เสียดแทงเข้าไปในกระดูก ความรู้สึกนี้เหมือนความหนาวเย็นที่ติดอยู่กับแผ่นน้ำแข็งมากกว่า
“เหตุใด…หน้าตาจึงไม่เหมือนเล่า…” ชายหนุ่มคล้ายพึมพำกับตนเอง ดวงตาสีดำสนิทของเขาจ้องมองไอโม่ซิน ขณะที่นิ้วมือก็ลูบไล้ใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา
ไอโม่ซินหัวใจกระตุกวูบแต่ไม่กล้าขยับ เขาทั้งเกรงว่าเหล่าบรรพบุรุษที่อยู่เบื้องหลังตนจะออกมา และกังวลว่าบรรพบุรุษสกุลเจียงตรงหน้าคิดจะทำอะไรกันแน่
“ท่านบรรพบุรุษ!!!”
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทที่ 3 ได้ในวันที่ 3 มี.ค. 64