everY
ทดลองอ่าน คน • สื่อ • วิญญาณ บทที่ 4 #นิยายวาย
ตอนที่ 4
ฤดูใบไม้ผลิปีที่ 17 – ไดอารี่เปื้อนเลือด
เมื่อเสียงกริ่งดังขึ้น เหล่านักเรียนก็พากันเดินเข้าประตูโรงเรียนมาด้วยความกระปรี้กระเปร่า
“ไฮ เมื่อวานจะออฟไลน์ไปก็ไม่บอกกันสักคำเลยนะ ปล่อยให้ฉันรอเก้อตั้งยี่สิบนาที!”
“เผลอหลับไปน่ะ”
“เธอได้ดูฉบับใหม่เมื่อวานหรือยัง”
“ดูแล้วสิ! น่ารักสุดๆ ไปเลย ฉันตัดเอาไว้ตั้งหลายรูป เดี๋ยวเอาให้เธอดูนะ”
“เธอเขียนรายงานเสร็จแล้วหรือยัง ขอยืมดูหน่อยสิ”
“ดูอะไรเล่า เธอก็ลอกฉันทุกทีจนฉันถูกอาจารย์หักคะแนนหมดแล้ว”
“ตายแล้ว! ฉันลืมเอาชีทวิชาเลขมา!”
“เอาของฉันไปถ่ายเอกสารสักฉบับก็น่าจะได้แล้ว”
พวกนักเรียนต่างรวมตัวพูดคุยกันเป็นกลุ่มเดินแยกย้ายไปแต่ละตึก ไอโม่ซินสะพายเป้ไว้ข้างเดียวขณะเดินผ่านห้องโถงไปอย่างช้าๆ ทันใดนั้นก็มีใครคนหนึ่งเดินมาจากด้านหลัง ก่อนที่อีกฝ่ายจะชนกับเขา ไอโม่ซินก็ก้าวไปทางซ้ายหนึ่งก้าวจนทำให้คนคนนั้นชนถูกไหล่ของเขาเพียงเล็กน้อย เมื่อเขาหันไปมองก็พบว่าคนคนนั้นคือซุนไห่หมิง เพื่อนร่วมห้องของเขานั่นเอง
“…โทษที” ซุนไห่หมิงเอาแต่ก้มหน้าก้มตามองโทรศัพท์ พอเกือบชนคนเข้าถึงเพิ่งรู้สึกตัว
“ไม่เป็นไร” ไอโม่ซินตอบกลับอย่างสุภาพ เขาไม่ได้สนิทสนมอะไรกับซุนไห่หมิง ตอนที่เพิ่งได้อยู่ห้องเดียวกันก็ไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงไม่ค่อยชอบขี้หน้าเขาและมักจะหาเรื่องเขาอยู่หลายครั้ง ที่จริงตัวเขาเองก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก แต่ลูกพี่ลูกน้องตัวน้อยของเขากลับไม่ชอบใจ จากนั้นหลังจากซุนไห่หมิงเจอเรื่องแปลกๆ จนตกใจกลัวอยู่หลายครั้ง อีกฝ่ายก็เหมือนจะรับรู้ได้ว่าการหาเรื่องเขามักจะทำให้เกิดเรื่องประหลาดขึ้น ดังนั้นจึงเลือกที่จะอยู่ห่างๆ เขาเอาไว้
ไอโม่ซินมองออกว่าซุนไห่หมิงอยากจะอยู่ให้ห่างจากเขา แต่ในขณะที่กำลังรู้สึกขำอีกฝ่ายเล็กน้อย จู่ๆ เขาก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง ข้างหูมีเสียงกระซิบเตือนดังขึ้น เขารีบคว้าแขนของซุนไห่หมิงไว้แล้วดึงอีกฝ่ายถอยหลังไปสองก้าวตามสัญชาตญาณ
“ข้างบนผิดปกติ”
ซุนไห่หมิงที่ถูกไอโม่ซินหยุดเอาไว้อย่างกะทันหันเกือบจะล้มลงไปกับพื้น ขณะที่เขากำลังจะสะบัดมือไอโม่ซินออกและเตรียมอ้าปากด่า อะไรบางอย่างก็ร่วงหล่นลงมาตรงหน้าและกระแทกพื้นเสียงดังต่อหน้าต่อตาเขา
ซุนไห่หมิงนิ่งอึ้งอยู่กับที่ สิ่งที่ตกลงมาคือคนคนหนึ่ง ดวงตาทั้งสองข้างของเธอเบิกโพลง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นใบหน้าของเธอจึงฉายแววหวาดกลัวเช่นนั้น เลือดสดๆ ที่ไหลทะลักออกมาจากศีรษะไหลนองบนพื้นเป็นวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ ริมฝีปากของเธอยังขยับไปมาคล้ายต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ในเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วินาทีก็แน่นิ่งไป
ซุนไห่หมิงสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ทันใดนั้นหูของเขาก็ได้ยินเสียงของหนักๆ ตกกระทบพื้นอีกเป็นครั้งที่สอง ขณะที่เสียงกรีดร้องแหลมดังลั่นเขาก็ได้ยินเสียงที่สามดังขึ้นอีกครั้งอย่างต่อเนื่อง
เขาไม่มีความกล้ามากพอจะมองไปทางนั้นเลยได้แต่ฝืนช้อนสายตาขึ้นมองไอโม่ซินที่เพิ่งจะดึงเขาออกมา
ไอโม่ซินกำลังเงยหน้ามองขึ้นไปด้านบน แสงอาทิตย์สาดส่องลงมาจากยอดตึกและพาดผ่านลงมาจนเผยให้เห็นเงาร่างของคนสองคนที่อยู่บนดาดฟ้าคล้ายกำลังต่อแถวเตรียมจะกระโดดลงมา
ไอโม่ซินยกมือขึ้นวาดนิ้วชี้เป็นวงกลมกลางอากาศล้อมรอบเงาร่างทั้งสองนั้นอย่างพอดิบพอดี ก่อนจะเขียนตัวอักษรตัวหนึ่งลงไปตรงกลาง
“นิ่ง”
เมื่อไอโม่ซินเอ่ยคำนั้นออกมาเบาๆ หนึ่งในเงาร่างทั้งสองก็เอื้อมมือไปคว้าราวระเบียงเอาไว้ ร่างนั้นพยายามตะเกียกตะกายจะปีนกลับเข้าไปพร้อมทั้งส่งเสียงกรีดร้องแหลมดังลั่นจนแม้แต่พวกนักเรียนที่อยู่ชั้นหนึ่งก็ยังได้ยินอย่างชัดเจน
“นักเรียนทุกคนเข้าไปในห้องเรียนเดี๋ยวนี้! เร็วเข้า!” บริเวณประตูโรงเรียนเกิดความวุ่นวายขึ้น อาจารย์และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหน้าประตูรีบพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ไอโม่ซินก้มหน้าลงมองนักเรียนหญิงที่ตอนนี้มีสภาพไม่เหมือนมนุษย์ตรงหน้า ขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่แน่ใจว่าตัวเองควรจะสอดมือเข้าไปยุ่งเรื่องนี้หรือไม่
“นักเรียน? พวกเธอไม่เป็นไรใช่มั้ย” คุณครูสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาหาพวกเขา ทั้งสองคนอยู่ใกล้ศพมากที่สุด ถ้าพวกเขาก้าวไปข้างหน้าอีกก้าวเดียวก็คงจะถูกทับไปแล้ว
“พวกเราไม่เป็นอะไรครับอาจารย์” ไอโม่ซินตอบกลับไปอย่างสงบแล้วหันกลับไปฉุดซุนไห่หมิงที่แข้งขาอ่อนยวบจนทรุดลงไปนั่งกับพื้นให้ลุกขึ้นมา
คุณครูสาวมองศพที่ไร้ลมหายใจแล้วก็รู้สึกใจสั่นไปหมด ถ้าไม่ใช่เพราะอยู่ต่อหน้านักเรียนก็คงอาเจียนออกมาตั้งนานแล้ว เธอเดินไปด้านหน้าพวกเขาด้วยคิดจะขวางศพเอาไว้แล้วดึงทั้งคู่ให้ห่างออกมาอีกสองสามก้าว จากนั้นเธอก็พยายามข่มเสียงสั่นๆ ถามออกไปว่า “พวกเธออยู่ห้องไหน”
“ไอโม่ซินอยู่ปีสองห้องหนึ่งครับ ส่วนเขาชื่อซุนไห่หมิง” ไอโม่ซินช่วยตอบแทนเขา
คุณครูสาวกำลังรู้สึกสับสนจึงพยักหน้าส่งๆ “พวกเธอ…ไปห้องพยาบาลก่อนเถอะ อีกเดี๋ยวฉันจะติดต่ออาจารย์ที่ปรึกษาของพวกเธอให้”
เดิมทีไอโม่ซินอยากจะบอกว่าเขาสามารถกลับไปที่ห้องเรียนได้ แต่ซุนไห่หมิงกลับกระตุกมือเขาไม่หยุดเลยได้แต่พยักหน้าแล้วจูงมือเพื่อนร่วมห้องเดินไปที่ห้องพยาบาล
เมื่อเดินจากห้องโถงเลี้ยวเข้าไปในระเบียงทางเดินไอโม่ซินก็เห็นว่าดวงตาของซุนไห่หมิงเปลี่ยนเป็นแววตาเลื่อนลอยไปแล้ว เขาจำต้องหยุดฝีเท้าแล้วดึงมือซุนไห่หมิงขึ้นมาก่อนจะหยิบปากกาที่เหน็บอยู่บนกระเป๋าเสื้อออกมาวาดสัญลักษณ์หนึ่งลงไปบนมือซ้ายของอีกฝ่าย จากนั้นค่อยนำมือนั้นไปประทับอยู่ตรงตำแหน่งหัวใจของเจ้าตัว
“กดเอาไว้อย่างน้อยห้านาที อย่าเอามือออก” ไอโม่ซินพูดเสียงเรียบ
ซุนไห่หมิงเอามือกดไว้บนหัวใจตามที่ไอโม่ซินพูดอย่างไม่มีสติ เดิมทีเขารู้สึกเย็นวาบไปทั่วทั้งร่างกาย สายตาพร่ามัวและรู้สึกหายใจติดขัด หนำซ้ำในสมองยังมีแต่ภาพศีรษะที่แตกกระจายเหมือนลูกแตงโมซึ่งเขาเพิ่งเห็นมาก่อนหน้านี้ รวมถึงภาพร่างกายบิดเบี้ยวและดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวทั้งสองข้าง แต่ไม่น่าเชื่อว่าเมื่อไอโม่ซินทำเช่นนั้นและให้เขานำฝ่ามือมากดเอาไว้บนหัวใจ ซุนไห่หมิงก็รู้สึกผ่อนคลายทันที
ซุนไห่หมิงสูดหายใจแรงๆ แล้วปล่อยให้ไอโม่ซินพาไปยังห้องพยาบาลอย่างว่าง่าย หมอประจำห้องพยาบาลของโรงเรียนเป็นอาจารย์แพทย์หญิงวัยห้าสิบกว่าปี เมื่อเห็นซุนไห่หมิงใบหน้าซีดขาวเหมือนเห็นผีเธอก็รีบให้เขานั่งลงวัดความดันทันที
ไอโม่ซินยืนอยู่ด้านข้างเพื่อคอยช่วยบอกชื่อแซ่และห้องเรียนของซุนไห่หมิง ตอนนี้ด้านนอกมีเสียงไซเรนรถตำรวจ รถดับเพลิง และรถพยาบาลดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาจารย์หมอเดินออกไปดูสถานการณ์ด้านนอกด้วยความสงสัย เมื่อเธอกลับมาอีกครั้งก็รีบดึงม่านทั้งหมดปิดลงด้วยใบหน้าซีดเผือด
ผ่านไปไม่นานอาจารย์ผู้ชายคนหนึ่งก็อุ้มนักเรียนหญิงที่กำลังหมดสติเข้ามา จากนั้นก็มีนักเรียนหญิงอีกคนหนึ่งที่เอาแต่กรีดร้องและดิ้นทุรนทุรายถูกอาจารย์อีกหลายคนดึงเข้ามา โดยมีอาจารย์ผู้หญิงคนหนึ่งพยายามกอดเธอเอาไว้แน่น “นักเรียน ใจเย็นๆ หน่อยนะ มีอะไรก็เล่าให้อาจารย์ฟังได้ ไม่ว่าปัญหาอะไรก็มีทางออกทั้งนั้น”
นักเรียนหญิงคนนั้นกรีดร้องราวกับคนเสียสติ “ไม่ใช่ฉัน! ไม่ใช่ฉันจริงๆ นะ! ไม่ใช่ฉัน!”
อาจารย์หญิงสองคนช่วยกันกดเธอเอาไว้แน่น แต่เธอยังคงร้องไห้ออกมาไม่หยุดและพยายามดิ้นอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อหนีออกไปจากที่นี่
ด้วยความที่เด็กคนนี้เป็นนักเรียนหญิง อาจารย์ผู้ชายสองคนซึ่งยืนอยู่ห่างออกไปจึงไม่สามารถเข้าไปช่วยกดเธอได้ ตอนนั้นเองผู้อำนวยการโรงเรียนก็รีบซอยเท้าเดินตามหัวหน้าฝ่ายแนะแนวเข้ามา เมื่อผู้อำนวยการเห็นว่าเด็กนักเรียนหญิงสลบไปหนึ่งคนและเสียสติไปอีกหนึ่งคน เขาก็ปาดเหงื่อแล้วถามออกมา “พวกเธออยู่ห้องไหน”
อาจารย์ผู้ชายพลิกกระเป๋าของพวกเธอ “พวกเธออยู่ปีสามห้องหกครับ”
“เดี๋ยวผมจะไปเรียกอาจารย์ที่ปรึกษาของพวกเธอมานะครับ” หัวหน้าฝ่ายแนะแนวหมุนตัวเดินออกไปหาอาจารย์ที่ปรึกษาของพวกเธอ
เด็กนักเรียนหญิงที่กำลังกรีดร้องเริ่มเหนื่อยและค่อยๆ สงบลง เธอหอบหายใจอยู่นานแต่แล้วจู่ๆ เธอก็โผเข้ากอดอาจารย์ที่อยู่ข้างๆ แล้วพูดพลางร้องไห้คร่ำครวญ “อาจารย์คะ ไม่ใช่หนูจริงๆ นะ ไม่ใช่หนูนะคะ…”
“ไม่เป็นไรนะ อาจารย์รู้แล้ว อาจารย์เชื่อเธอ” อาจารย์หญิงกอดเธอเอาไว้พร้อมตบไหล่เธอเบาๆ ขอแค่ให้เธอสงบลง ไม่ว่าจะคล้อยตามเธอยังไงก็ได้ทั้งนั้น
อาจารย์หมอรีบเข้ามาวัดความดันและตรวจลมหายใจให้นักเรียนหญิงที่สลบไปก่อน เมื่อมั่นใจแล้วว่าเธอแค่สลบไปอาจารย์หมอจึงวางใจได้
“คุณหมอจาง แอร์เย็นเกินไปหน่อยหรือเปล่าครับ” จู่ๆ ผู้อำนวยการที่กำลังเช็ดเหงื่อก็รู้สึกเหมือนอากาศในห้องพยาบาลเย็นลงจนแทบทนไม่ไหว เขาเลยหันหน้าไปถามอาจารย์หมอประจำโรงเรียน
“ฉันไม่ได้เปิดแอร์นะคะ?” เธอตอบกลับไปด้วยความตกใจ ตอนนี้ทุกคนภายในห้องพยาบาลต่างก็รู้สึกว่าอุณหภูมิในห้องลดฮวบลงอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันนั้นนักเรียนหญิงคนเดิมก็กรีดร้องขึ้นมาอีกครั้งและพยายามจะถอยไปด้านหลังสุดชีวิต
“อย่าเข้ามานะ! ไม่ใช่ฉัน! ไม่ใช่ฉันจริงๆ! เธออยากให้ฉันพูดกี่ครั้งถึงจะยอมเชื่อ! ปล่อยฉันไปเถอะ!” นักเรียนหญิงกรีดร้องพลางถอยหลังไปขดตัวอยู่ที่มุมหนึ่งของเตียง ร่างกายสั่นระริกเหมือนใบไม้แห้งท่ามกลางลมกระโชก
บรรยากาศและอุณหภูมิอันแปลกประหลาดทำให้ทุกคนต่างมองหน้ากันเงียบๆ พวกเขาไม่ค่อยแน่ใจว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นยังไงกันแน่เลยไม่มีใครสังเกตเห็นไอโม่ซินและซุนไห่หมิงที่อยู่บนเตียงติดมุมผนังด้านในสุดเลยสักคน
ซุนไห่หมิงถอยหลังไปจนชิดติดมุมผนังโดยไม่รู้ตัว มือซ้ายของเขายังคงกดอยู่ตรงตำแหน่งหัวใจโดยไม่กล้าปล่อยมือ ขณะที่มือขวาก็เอาแต่กระตุกแขนเสื้อไอโม่ซินไม่หยุด “…ไอโม่ซิน นายไม่รู้สึกว่ามัน…โคตรหนาวเลยเหรอ…”
ไอโม่ซินต้องรู้สึกอยู่แล้ว แถมเขายังมองเห็นอีกด้วย
นักเรียนหญิงคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ตรงประตู เครื่องแบบนักเรียนสีขาวบนร่างของเธอเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด บนข้อมือขวาของเธอมีรอยแผลกรีดลึกจนมองเห็นกระดูก ส่วนบนข้อมือซ้ายก็มีรอยแผลตื้นๆ อยู่บ้าง โลหิตไหลออกมาจากปลายนิ้วของเธอไม่หยุด ลำคอเอียงกระเท่เร่จนดูยืดยาวผิดปกติและมีแผลเป็นเด่นชัดประทับอยู่บนลำคอที่บิดเบี้ยวของเธอด้วย เธอเดินผ่านประตูเข้ามาอย่างช้าๆ และตรงไปหานักเรียนหญิงที่กำลังกรีดร้องไม่หยุด
ไอโม่ซินถอนหายใจออกมา ที่จริงเขาอยากจะใช้ชีวิตสงบๆ จนจบ ม.ปลาย แต่ในเมื่อต้องมาเจออะไรแบบนี้แล้วเขาจะไม่ยุ่งก็ไม่ได้ เพราะถือเป็นการขัดต่อคำสั่งสอนของบรรพบุรุษ
เมื่อคิดถึงคำสั่งสอนเป็นร้อยข้อ เขาก็นึกอยากกลอกตาใส่จริงๆ ไอโม่ซินเดินไปด้านหน้าอย่างจนใจแล้วไปหยุดอยู่หน้าวิญญาณร้ายที่เพิ่งเดินเข้าประตูมา และขวางอยู่ตรงหน้านักเรียนหญิงที่กำลังกรีดร้องอยู่บนเตียงได้พอดี
ในตอนนั้นเองพวกอาจารย์ถึงเพิ่งตระหนักได้ว่ายังมีนักเรียนคนอื่นอยู่ภายในห้องพยาบาลด้วย ขณะที่กำลังจะบอกให้ไอโม่ซินรีบออกไป พวกเขาก็พบว่าไอโม่ซินกำลังยืนหันหน้าไปทางประตูห้องซึ่งว่างเปล่า ทันใดนั้นอุณหภูมิภายในห้องที่หนาวเย็นเสียดแทงไปถึงกระดูกก็เหมือนจะกลับเป็นปกติอีกครั้ง
ไอโม่ซินหันกลับไปมองนักเรียนหญิงที่กำลังกรีดร้อง เอ่ยปากพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงไม่หนักไม่เบา “หุบปาก”
ไม่รู้ว่านักเรียนหญิงคนนั้นกลัวเขาหรือรู้สึกว่าเขาสามารถช่วยเหลือตัวเองได้กันแน่ เธอรีบหุบปากฉับ แถมยังเอาสองมือปิดปากไว้แน่นไม่กล้าส่งเสียงใดๆ ออกมาแม้แต่น้อย
วิญญาณร้ายที่เปื้อนโลหิตไปทั้งร่างยืนมองไอโม่ซินอยู่กับที่ เด็กหนุ่มเลยหยิบสมุดบันทึกสีดำของเขาขึ้นมาเปิดก่อนจะเขียนอักษรจำนวนหนึ่งลงไป หลังจากฉีกกระดาษแผ่นนั้นแล้วสะบัดมือออกไปจนมันกลายเป็นเถ้าอยู่กลางอากาศ ในมือของวิญญาณร้ายตนนั้นก็มีกระดาษสี่เหลี่ยมแผ่นหนึ่งปรากฏขึ้น เธอยกมันขึ้นช้าๆ แล้วมองตัวอักษรที่อยู่บนนั้น จากนั้นสองมือก็กดกระดาษแผ่นนั้นลงไปบริเวณหน้าอกก่อนพลังความโกรธรุนแรงจะถูกดึงกลับไป
“เรามาคุยกันได้มั้ย” ไอโม่ซินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
วิญญาณร้ายตนนั้นมองไอโม่ซินอยู่ครู่หนึ่งถึงได้เปิดปากพูด “พวกมัน…สมควรตาย…”
“แบบนี้ไม่มีอะไรดีกับเธอเลยสักนิด ถ้าเธอยอมปล่อยพวกเขาไป มีเงื่อนไขอะไรเธอก็พูดมาได้เลย ฉันจะพยายามช่วยเธอให้มากที่สุด” ไอโม่ซินยังคงตอบเธออย่างอดทน
“พวกมันทั้งหมดสมควรตาย” วิญญาณสาวโชกเลือดกดกระดาษที่อยู่ในมือลงบนหน้าอกของตัวเองขณะที่น้ำเสียงของเธอก็เริ่มอ่อนลงเล็กน้อย
ไอโม่ซินยังคงพูดออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบและใบหน้าไม่เปลี่ยนสี “วันนี้ไม่ได้ ที่นี่ไม่ได้ ตอนที่ฉันอยู่ก็ไม่ได้เหมือนกัน”
วิญญาณสาวโชกเลือดถลึงตามองเขาอยู่พักใหญ่ หลังสัมผัสได้ว่าตัวเองได้รับความช่วยเหลือแล้วเธอก็ก้มหน้าลงแล้วลอยออกไปช้าๆ ตอนนั้นเองที่อุณหภูมิภายในห้องกลับมาเป็นปกติ
บรรดาครูอาจารย์ในห้องพยาบาลต่างจ้องมองไอโม่ซินด้วยสีหน้าเหมือนมองตัวประหลาดอะไรสักอย่าง ไอโม่ซินชินกับเรื่องแบบนี้แล้ว เขาเลยหันไปถามอาจารย์หมอเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ไม่ทราบว่าผมกับเพื่อนของผมกลับไปที่ห้องเรียนได้หรือยังครับ คาบแรกวันนี้เรามีสอบย่อยด้วย”
อาจารย์หมอตกตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นก็รีบเข้าไปวัดความดันของซุนไห่หมิงอีกครั้ง ผู้อำนวยการโรงเรียนมองไปทางไอโม่ซินสักพักก็รีบเปิดปากพูดออกมา “เธอคือนักเรียนไอ ปีสองห้องหนึ่งเหรอ”
“ครับ สวัสดีครับผู้อำนวยการ” ไอโม่ซินไม่ได้รู้สึกแปลกใจที่ผู้อำนวยการรู้จักเขา จากเส้นสายของผู้อำนวยการคนนี้ ถ้ามีคนแบบเขาอยู่ในโรงเรียนไม่ว่ายังไงก็ต้องมีคนวงในเตือนให้ผู้อำนวยการคอยระวังอยู่แล้ว
ผู้อำนวยการดูจะโล่งอก เขาขยับเนกไทเล็กน้อยแล้วเอ่ยถามตะกุกตะกัก “งั้น นักเรียนไอ เธอคิดว่านี่เป็น…อืม…จะแก้ไขยังไงดีล่ะ”
ไอโม่ซินมองผู้อำนวยการโดยไม่เอ่ยคำใดอยู่ครู่หนึ่งถึงยอมเปิดปากพูด “ตำรวจน่าจะจัดการได้นะครับ”
“เอ่อ ใช่ ก็ใช่ ตำรวจก็จัดการได้” ทันใดนั้นผู้อำนวยการก็คิดขึ้นมาได้ว่าตำรวจก็มีแผนกที่คอยจัดการเรื่องนี้โดยเฉพาะอยู่เช่นกัน ขณะที่เขากำลังหัวเราะแห้งๆ ด้วยความกระดากอาย หัวหน้าฝ่ายแนะแนวก็เดินนำตำรวจเข้ามา
“ท่านผู้อำนวยการ ตำรวจมาแล้วครับ”
เมื่อนายตำรวจในชุดเครื่องแบบที่เดินเข้าประตูมาเงยหน้ามองเห็นไอโม่ซิน เท้าของเขาก็หยุดชะงักไปทันที แถมยังเผลอถอยหลังไปก้าวหนึ่งด้วย “เอ่อ นายมาอยู่ที่นี่ได้ไง”
คนที่เข้ามาก็คือเฉินซื่อจวิน หลังไอโม่ซินถูกเจียงเฉิงฟางตามตอแยเขาก็ได้พบอีกฝ่ายเป็นครั้งคราว ไอโม่ซินตอบกลับอย่างช่วยไม่ได้ “ลุงเฉิน ผมเรียนอยู่โรงเรียนนี้ครับ”
“โอ้ ใช่ๆ เหล่าเจียงก็เคยบอกไว้…งั้น…” เฉินซื่อจวินมองไปทางนักเรียนหญิงสองคนบนเตียงแล้วนึกถึงศพทั้งสามที่อยู่ด้านนอก ก่อนจะถามออกมาด้วยความไม่สบายใจเล็กน้อย “ในเมื่อนายบังเอิญอยู่ที่นี่…ฉันยังต้องเรียกเหล่าเจียงมาหรือเปล่า”
“เชิญคุณลุงเจียงมาเถอะครับ” ไอโม่ซินนึกอยากจะกลอกตาใส่เขาเหลือเกิน
“ผมบอกได้แค่ว่านักเรียนห้าคนกระโดดตึกพร้อมกันจะต้องมีอะไรบางอย่างผิดปกติแน่” เฉินซื่อจวินถอนหายใจแล้วหันกลับไปพูดกับนายตำรวจที่อยู่ด้านหลัง “ไปเชิญเจ้าหน้าที่เจียงมา ส่วนของอื่นๆ ก็ปล่อยให้อยู่ที่เดิม ห้ามเคลื่อนย้าย รอเจ้าหน้าที่เจียงมาแล้วค่อยจัดการ”
หลังตำรวจคนนั้นเดินจากไปแล้ว เฉินซื่อจวินก็หันกลับมาถามไอโม่ซิน “เสี่ยวไอ แล้วนายคิดว่าตอนนี้เป็นยังไงล่ะ”
“…ให้คุณลุงเจียงมาจัดการก็พอแล้วครับ คาบแรกผมมีสอบย่อย” ไอโม่ซินส่งสายตาไปทางผู้อำนวยการด้วยสายตาเศร้าๆ
“ใช่ๆ ถ้าไม่มีอะไรก็กลับห้องไปก่อนเถอะ…” ในตอนนั้นเองผู้อำนวยการถึงเพิ่งได้สติกลับมาและคิดได้ว่าจะต้องปกป้องสิทธิ์ของนักเรียน “จะว่าไปแล้วนักเรียนไอมาทำอะไรในห้องพยาบาลล่ะ”
คุณครูสาวที่อยู่ด้านข้างรีบพูดขึ้น “ฉันให้พวกเขามาที่ห้องพยาบาลเองค่ะ เพราะทั้งสองคนอยู่ใกล้นักเรียนที่…ตกลงมามากที่สุด นักเรียนซุนเลยอาจจะตกใจนิดหน่อย”
ซุนไห่หมิงยังขดตัวอยู่ที่มุมห้อง และผู้อำนวยการก็เพิ่งสังเกตเห็นนักเรียนสีหน้าขาวซีดคนหนึ่งที่มุมห้องในตอนนี้เอง จากนั้นเขาก็หันกลับไปหาอาจารย์หมอประจำโรงเรียน “คุณหมอจาง คุณคิดว่าควรส่งนักเรียนคนนี้ไปโรงพยาบาลมั้ยครับ”
อาจารย์หมอเห็นว่าสีหน้าซุนไห่หมิงดูย่ำแย่จริงๆ แต่อาการตกใจแบบนี้ส่งไปโรงพยาบาลก็เปล่าประโยชน์ สู้เชิญครอบครัวเขามารับกลับบ้านไปยังจะดีกว่า ทว่าเธอคงไม่สามารถพูดแบบนั้นได้ “ชีพจรกับความดันของนักเรียนคนนี้สูงไปนิดหน่อย แต่ก็ไม่ถึงขั้นต้องส่งไปโรงพยาบาลหรอกค่ะ ฉันคิดว่าให้เขาพักผ่อนสักวันก็พอ”
“ผม ผมไม่เป็นไร ผมกลับไปเรียนได้ครับ” ซุนไห่หมิงรีบดึงแขนเสื้อไอโม่ซินไว้ ตอนนี้ตีให้ตายเขาก็ไม่กล้าอยู่ห่างจากไอโม่ซิน
ผู้อำนวยการพูดออกมาอย่างใส่ใจ “ไม่ต้องกังวลนะ ตอนนี้แต่ละห้องให้นักเรียนอ่านหนังสือเองไปก่อน เธอไม่ต้องกังวลเรื่องสอบย่อยหรอก ดูจากสถานการณ์แล้วน่าจะให้เลิกเรียนเร็วหน่อย พวกเธอกลับไปที่ห้องเรียนก่อนเถอะ”
ผู้อำนวยการหันไปพูดกับอาจารย์สาวคนนั้น “อาจารย์อู๋ คุณพานักเรียนสองคนนี้กลับไปที่ห้องก่อน แล้วช่วยอธิบายกับอาจารย์ที่ปรึกษาของพวกเขาด้วยนะ”
อาจารย์อู๋พาไอโม่ซินและซุนไห่หมิงที่เกาะติดอยู่ข้างๆ เดินออกไปจากห้องพยาบาล ก่อนที่ไอโม่ซินจะเดินจากไป เขาก็หันไปพยักหน้าบอกลาเฉินซื่อจวินโดยไม่สนใจสายตาร้องขอความช่วยเหลือของอีกฝ่ายและออกไปจากห้องทันที
แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวเจียงเฉิงฟางก็พาเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนหนึ่งเดินเลี้ยวเข้ามา ไอโม่ซินเห็นเจียงเฉิงฟางก็ถอยออกไปด้านข้างสองก้าวโดยสัญชาตญาณ ซุนไห่หมิงที่ไม่รู้สาเหตุก็ขดตัวเข้าหากำแพงทันที
เจียงเฉิงฟางได้แต่ยกยิ้มขื่นแล้วสรรเสริญบรรพบุรุษของตัวเอง ตอนนี้ไอโม่ซินเอาแต่หลบหลีกเขาอย่างกับเขาเป็นงูพิษ
“เอ๊ะ บังเอิญจังเลยนะ” เจียงเฉิงฟางพยายามฉีกยิ้มที่อ่อนโยนที่สุดอย่างสุดกำลัง เขาโบกมือไปมาเพื่อให้พวกเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ด้านหลังเดินไปจัดการสถานที่เกิดเหตุ
“…ลุงก็รู้ว่าผมเรียนอยู่โรงเรียนนี้” ไอโม่ซินจ้องเขาอยู่สักพักก็ก้มหน้าลง “ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมไปก่อนนะครับ”
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทที่ 5 ได้ในวันที่ 8 มี.ค. 64