ทดลองอ่าน คน • สื่อ • วิญญาณ บทที่ 6 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน คน • สื่อ • วิญญาณ บทที่ 6 #นิยายวาย

ตอนที่ 6

 

ไอโม่ซินมองเขาแวบหนึ่งแล้วถามออกมาเสียงเรียบ “นายอยากรู้จริงๆ?”

ซุนไห่หมิงอึ้งไป ใบหน้ายิ้มแย้มตอนที่รุ่นพี่จางยังมีชีวิตอยู่กับสีหน้าหวาดกลัวก่อนตายปรากฏขึ้นมาในหัวของเขาไม่หยุด เขารีบส่ายหน้าทันที “ไม่ ฉันไม่อยากรู้แล้ว”

“งั้นก็อย่าถาม ทางที่ดีก็อย่าพูดเรื่องนี้กับคนอื่นด้วย พอไปอารามหลวงเจิ้งหลงแล้วก็ลืมเรื่องนี้ไปซะ” ไอโม่ซินปิดสมุดบันทึกแล้วยัดใส่กระเป๋า “ต้องลงรถแล้ว”

“อ่อ ได้” ซุนไห่หมิงรีบลงรถตามไอโม่ซินไป

ซุนไห่หมิงเดินตามไอโม่ซินผ่านไซต์ก่อสร้างร้างตรงทางเข้า สถานที่แห่งนี้ดูเหมือนจะถูกทิ้งร้างและไม่มีใครอยู่อาศัย มีรูปปั้นหลายรูปถูกเผาหรือไม่ก็ถูกระเบิดจนดูเหมือนซากปรักหักพัง ซุนไห่หมิงรู้สึกขนลุกซู่อยู่ในใจอย่างห้ามไม่ได้ แต่เขาก็ไม่กล้าถามว่าทำไมอีกฝ่ายถึงมาสถานที่แบบนี้ จึงได้แต่เดินตามหลังไอโม่ซินไปเงียบๆ

เมื่อเดินมาถึงหน้าบ้านไอโม่ซิน ซุนไห่หมิงก็เงยหน้าขึ้นมองและได้เห็นอาคารเก่าสองชั้นตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว ถึงจะเก่าแต่ก็ยังดูดี เมื่อเทียบกับบ้านผีสิงที่เจอมาก่อนหน้านี้แล้วมันก็ดูปกติกว่ามาก

ด้านหน้าคือประตูไม้มะฮอกกานีบานหนึ่ง พอก้าวเข้าไปก็จะพบกับสวนหน้าบ้านเขียวชอุ่มซึ่งมีต้นไม้และกระถางต้นไม้อยู่หลายต้น เมื่อเดินผ่านสวนไปถึงได้เข้าสู่ตัวบ้าน

“รบกวนด้วยนะ” ซุนไห่หมิงเดินตามเข้าประตูไปก็พบว่าภายในบ้านสะอาดสะอ้านเรียบร้อย เครื่องเรือนทั้งหมดล้วนทำจากไม้ มันไม่ได้ให้ความรู้สึกเก่าคร่ำครึแต่ให้ความรู้สึกคลาสสิกมากกว่า

“ทะ…แม่ครับ ผมกลับมาแล้ว” ไอโม่ซินกำลังจะเรียกท่านแม่ตามความเคยชิน แต่พอคิดได้ว่ามีคนอื่นอยู่ด้วยเขาก็เปลี่ยนคำเรียก

“แม่ทำของว่างไว้แล้ว ลูกมานั่งก่อนสิ” ไอเยวี่ยเจินถือจานของว่างเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม “เธอเป็นเพื่อนคนแรกที่เขาพามาบ้านเลยนะ”

“เพื่อนร่วมห้องผมน่ะ” ไอโม่ซินตอบส่งๆ

“สวัสดีครับคุณป้า ผมชื่อซุนไห่หมิงครับ” ซุนไห่หมิงฟังออกว่าไอโม่ซินไม่คิดว่าเขาเป็นเพื่อน เขาเลยได้แต่ทักทายไอเยวี่ยเจินด้วยความกระอักกระอ่วนเล็กน้อย

“นั่งสิจ๊ะ ป้าเห็นข่าวแล้ว เธอคงตกใจมากสินะ” ไอเยวี่ยเจินวางจานของว่างลงบนโต๊ะแล้วมองซุนไห่หมิงอยู่นานหลายวินาทีก่อนจะพูดยิ้มๆ ว่า “เดี๋ยวป้าไปชงชามาให้นะ เธอนั่งอยู่ตรงนี้ไปก่อน”

“คุณป้าไม่ต้องยุ่งยากหรอกครับ ผมขอน้ำเปล่าสักแก้วก็พอแล้ว” ซุนไห่หมิงมองใบหน้ายิ้มแย้มอ่อนโยนของไอเยวี่ยเจินแล้วก็รู้สึกสงบ เขานั่งลงมองดูขนมสีเหลืองเรียงรูปหลายเหลี่ยมบนจาน พวกมันเป็นสีเหลืองอร่ามดูน่ากินมาก แถมหน้าตายังเหมือนขนมโมจิไส้ถั่วแดงด้วย ปกติในบ้านเขาก็มีพวกขนมเค้กกับคุกกี้ไม่เคยขาด แต่เขาไม่เคยกินเค้กสไตล์จีนแบบนี้มาก่อนเลย ซุนไห่หมิงทนความอยากไม่ไหวจนต้องหยิบขึ้นมากินหนึ่งชิ้น ความหวานที่ละลายในปากทำให้เขารู้สึกประหลาดใจมาก

“อร่อยจัง นี่คือเค้กถั่วเขียวเหรอ”

“อันนั้นเรียกว่าขนมถั่วกวน ส่วนอันนี้คืออวิ๋นโต้วเจวี่ยน คุณลุงฉันถนัดทำขนมประเภทต่างๆ ของจีนน่ะ นี่เป็นขนมที่เขาสอนแม่ฉันทำ” ไอโม่ซินยกยิ้ม ซุนไห่หมิงทนไม่ไหวต้องหยิบขึ้นมากินอีกชิ้นก่อนจะหันไปมองสะดึงที่ไอเยวี่ยเจินวางทิ้งไว้บนโต๊ะด้านข้าง ดอกโบตั๋นครึ่งหนึ่งที่ปักอยู่บนนั้นเป็นสีแดงบานสะพรั่งจนเขารู้สึกเหมือนมันจะทะลุออกมาจริงๆ อย่างไรอย่างนั้น

“แม่นายเก่งจัง ถ้าเป็นเมื่อร้อยปีก่อนจะต้องเป็นคุณหนูผู้เพียบพร้อมของทุกคนแน่ แม่ฉันแม้แต่ทอดไข่ยังไหม้เลย แถมแม่นายก็ยังสาว ถ้าไม่บอกฉันคงคิดว่าเป็นพี่สาวนายไปแล้ว” ซุนไห่หมิงมองใบหน้าเรียบๆ ของไอเยวี่ยเจิน เส้นผมของเธอถูกมวยเอาไว้ด้านหลังและสวมชุดสีเทาเข้ม ถ้าเธอสวมเสื้อผ้าสีสดใสกว่านี้น่าจะดูเด็กลงไปอีกสิบปี

ซุนไห่หมิงคิดถึงแม่ตัวเองที่มักจะไม่ยอมออกจากบ้านถ้าไม่ได้แต่งหน้าแล้วอดถอนหายใจไม่ได้ ผู้หญิงที่ทำหน้าที่แม่บ้านกับหัวหน้าครอบครัวไม่เหมือนกันนี่นา หลังจากกินขนมเข้าไปอีกชิ้นซุนไห่หมิงก็ถามขึ้นมาด้วยความสงสัย “ลุงของนายเป็นเชฟเหรอ ขนมถั่วกวนนี่ฉันเคยได้ยินแต่ไม่เคยกินมาก่อน อวิ๋นโต้วเจวี่ยนก็ดูเหมือนโมจิแต่ไม่ใช่ พอกินดูแล้วกลับเป็นถั่วแขกซะงั้น”

“อืม…” ไอโม่ซินส่งเสียงตอบกลับสั้นๆ แล้วก้มหน้าหลบสายตาของท่านลุงที่กำลังจ้องมองมา ท่านลุงเคยเป็นพ่อครัวอยู่ในวังและรับใช้ฮ่องเต้มาถึงสามองค์ ดังนั้นทุกครั้งที่มีคนบอกว่าท่านลุงเป็นเชฟหรือใช้คำว่ากุ๊กมาจำกัดความ ก็มักจะสะบัดหนวดถลึงตามองเขาราวกับถูกใส่ร้ายเสมอ

“แล้วเปิดร้านอยู่ไหนล่ะ วันหลังฉันจะได้ให้แม่พาไปกิน” ซุนไห่หมิงพูดอย่างตื่นเต้น

“ท่านแก่และเสียชีวิตไปนานแล้ว” ไอโม่ซินตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ สำหรับเขาแล้วท่านลุงของเขาไม่เคยมีชีวิตอยู่

“อ่อ ขอโทษที” ในครอบครัวของซุนไห่หมิงแม้แต่คุณทวดก็ยังมีชีวิตอยู่ บางครั้งเขาจึงไม่ทันคิดว่าคุณลุงของคนอื่นอาจจะเสียชีวิตไปนานแล้ว เขาเลยได้แต่กินขนมไปเงียบๆ ไม่ถามซอกแซกอีก

“ไม่เป็นไรหรอก” ไอโม่ซินลุกขึ้นยืนแล้วหยิบสะดึงของแม่เดินไปรับชาที่แม่ชงมาให้และถือโอกาสยื่นสะดึงให้เธอไปด้วย “แม่ยุ่งอยู่ไม่ต้องสนใจพวกเราก็ได้ครับ”

ไอเยวี่ยเจินเห็นว่าขนมในจานพร่องลงไปกว่าครึ่งก็ดีใจมาก เธอจึงเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน “อยู่กินข้าวด้วยกันมั้ยจ๊ะ”

“เขาจะอยู่จนกว่าแม่เขาจะมารับ น่าจะประมาณทุ่มสองทุ่มมั้งครับ” ไอโม่ซินช่วยตอบแทน ซุนไห่หมิงเลยได้แต่ยิ้มแห้งๆ

“รบกวนคุณป้าด้วยนะครับ”

“ไม่ต้องเกรงใจป้าหรอก อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนสิ ชาก็ต้องกินให้หมดด้วยนะจ๊ะ” ไอเยวี่ยเจินยกยิ้มแล้วถือสะดึงกลับไปในห้อง

ซุนไห่หมิงมองแผ่นหลังไอเยวี่ยเจินด้วยสายตาอิจฉาเล็กน้อย “แม่นายอ่อนโยนจัง แม่ฉันนี่อย่างกับแม่เสือ ไม่ว่าจะขยับตัวไปไหนก็ทึ้งหัว โดนตีจนโง่ไปหมดแล้ว”

ไอโม่ซินยกยิ้มโดยไม่ได้ตอบอะไรกลับไปแล้วยื่นแก้วชาขนาดห้าร้อยมิลลิลิตรให้เขา “รสชาติอาจจะแปลกไปหน่อย แต่มันมีประโยชน์กับนายนะ ทางที่ดีดื่มให้หมดจะดีกว่า”

“อ่อ ได้ ขอบคุณนะ” ซุนไห่หมิงรับแก้วชาไป เมื่อเห็นว่าด้านในมีผงสีดำที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรลอยละล่องอยู่เขาก็แค่ลังเลอยู่ไม่กี่วินาทีก่อนจะดื่มมันลงไป โชคดีที่รสชาติไม่ได้แปลกประหลาดเหมือนที่คิด มันเหมือนชาสมุนไพรที่มีกลิ่นไหม้เจืออยู่ด้วย

หลังจากดื่มหมดแล้วเขาก็รู้สึกดีขึ้นมาก เดิมทีซุนไห่หมิงอยากจะถามว่าทำไมไอโม่ซินถึงได้รู้เรื่องพวกนี้ แต่คิดไปคิดมาสุดท้ายเขาก็ไม่ได้ถามออกไป เมื่อเห็นว่าไอโม่ซินคอยนั่งอยู่เป็นเพื่อนเขาที่นี่ ซุนไห่หมิงก็รู้สึกเกรงใจเล็กน้อย เขาเลยหยิบชีทเรียนกับแท็บเลตออกมาจากกระเป๋า

“ถ้ายังไง…พวกเรามาทำการบ้านกันเถอะ”

ไอโม่ซินอึ้งไปสักพักก่อนยกยิ้ม “ก็ได้”

ทั้งสองคนนั่งทำการบ้านทั้งยังปรึกษากันอย่างสนิทสนม นี่เป็นครั้งแรกที่ซุนไห่หมิงมาบ้านเพื่อนเพื่อทำการบ้านเพียงอย่างเดียว แต่ไหนแต่ไรมาเขามักจะไปบ้านเพื่อนเพื่อเล่น PS4 หรือไม่ก็ไปเตะบอลในสนามใกล้ๆ

แต่เขากลับคิดไม่ถึงเลยว่าการมาบ้านไอโม่ซินในครั้งนี้จะทำให้เขาสงบจิตสงบใจทำการบ้านได้ คงเพราะที่นี่เงียบสงบ ด้านนอกมีเสียงนกร้องหรือไม่ก็เสียงสายลมพัดใบไม้ดังเข้ามาเป็นครั้งคราวราวกับอยู่ในหุบเขาอย่างไรอย่างนั้น

ไอโม่ซินไม่ได้ชวนเขาเข้าไปในห้อง ดังนั้นพวกเขาเลยนั่งอยู่ในห้องรับแขก จะว่าไปแล้วทั้งคู่ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นเพื่อนกัน อย่างน้อยในใจของซุนไห่หมิงก็ไม่ได้รู้สึกแบบนั้น แต่เขาก็รู้ดีว่าตัวเองไม่เคยทำดีกับไอโม่ซินเลย ซุนไห่หมิงเลยได้แต่กล้ำกลืนความรู้สึกซับซ้อนที่อีกฝ่ายไม่นับเขาเป็นเพื่อนลงไป

ระหว่างที่ซุนไห่หมิงกำลังคิดอย่างสับสนนั้นโทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น เขาหยิบมันออกมาดูก็พบว่าเป็นแม่เขาโทรมา ซุนไห่หมิงรีบรับโทรศัพท์แล้วร้องเรียกอีกฝ่ายด้วยความอัดอั้นตันใจ “แม่…”

“บ้านเพื่อนของลูกอยู่ที่ไหนน่ะ ส่งที่อยู่มาสิ ตอนนี้แม่จะไปรับลูกแล้ว”

“แม่รู้ได้ยังไงว่าผมอยู่บ้านเพื่อน” ซุนไห่หมิงได้ยินแม่ตัวเองถามตรงเผงก็เลยถามกลับไปด้วยความสงสัย

“แม่กำลังประชุมอยู่ก็เลยไม่ได้ดูข่าว แต่ผู้ช่วยมาบอก แม่เลยโทรไปหาอาจารย์ที่ปรึกษาของพวกลูก เขาบอกว่าลูกไปบ้านเพื่อน นี่ลูกไม่เป็นอะไรใช่มั้ย ทำไมไม่โทรหาแม่ล่ะ”

“ผมโอเคครับ แค่ตกใจไปหน่อย ผมอยากรอให้แม่เลิกงานก่อนแล้วค่อยคุย แต่ผมไม่อยากรออยู่ที่โรงเรียนก็เลยกลับบ้านมากับเพื่อน เดี๋ยวผมส่งที่อยู่บ้านเพื่อนไปให้แม่นะ” ซุนไห่หมิงสัมผัสได้ถึงความกังวลเล็กน้อยของแม่ก็เลยยอมตอบกลับไปอย่างว่าง่าย ไอโม่ซินส่งกระดาษแผ่นหนึ่งให้เขา บนกระดาษแผ่นนั้นเขียนที่อยู่ที่นี่เอาไว้และยังเขียนสัญลักษณ์ว่าขับรถมาทางไหนถึงจะสะดวกที่สุด เขาเห็นแล้วก็รีบบอกแม่ทันที

“ขอบคุณนะ ตอนนี้แม่ฉันกำลังมารับแล้ว น่าจะขับรถมาประมาณครึ่งชั่วโมงได้” ซุนไห่หมิงวางสาย ไอโม่ซินก็เพียงแค่พยักหน้าหงึกหงักเป็นการแสดงว่ารับรู้

ซุนไห่หมิงเงียบไปอีกหลายนาทีก่อนจะเอ่ยปากถามอย่างอดไม่ได้ “นายไม่เคยสงสัยเลยเหรอว่าทำไมเมื่อก่อนฉันถึงไม่ค่อยชอบขี้หน้านาย”

ไอโม่ซินไม่แม้แต่จะมองเขา “แต่ไหนแต่ไรมาเวลาเรียนฉันก็ไม่เคยทักทายใครอยู่แล้ว แล้วก็ไม่ค่อยมองใครตรงๆ ด้วย ถ้านายมีความประทับใจที่ดีกับฉันสิถึงจะแปลก”

ซุนไห่หมิงนิ่งงันไปหลายวินาทีถึงได้พูดออกมา “…ที่จริงนายก็รู้ตัวนี่นา…”

ไอโม่ซินกระตุกยิ้มมุมปากโดยไม่ได้ตอบ ซุนไห่หมิงคิดว่าในเมื่อเขารู้ดีว่าการทำอย่างนี้ทำให้คนไม่ชอบแต่ก็ยังรักษาท่าทางแบบนี้ต่อไป แสดงว่าเขาคงไม่อยากมีเพื่อนแน่ๆ “ทำไมนายถึงไม่อยากมีเพื่อนล่ะ”

“ไม่มีเวลา” ไอโม่ซินถอนหายใจพลางหันไปมองซุนไห่หมิงแล้วตอบเขาตามความจริง “การมีเพื่อนจำเป็นต้องทุ่มเทให้เพื่อนถึงจะรักษามิตรภาพเอาไว้ได้ แต่ฉันมีสิ่งที่ต้องเรียนรู้มากเกินไป เลยไม่มีเวลาไปรักษาความสัมพันธ์อะไรหรอก”

ซุนไห่หมิงอึ้งไป เขาเดาว่าสิ่งที่ไอโม่ซินอยากเรียนรู้ที่ว่าน่าจะเป็นเครื่องหมายต่างๆ ที่เขาเขียนเอาไว้บนสมุดบันทึกเล่มนั้นแหงๆ “แล้วต่อจากนี้ไปนายจะไม่มีแฟน แล้วก็จะไม่แต่งงานงั้นเหรอ”

“จากนี้อีกสิบปีค่อยหาก็ไม่สายนี่ พอถึงตอนนั้นอาจจะมีเวลาแล้วก็ได้” ระหว่างที่พูดออกมาดวงตาของไอโม่ซินก็ยังคงจ้องหน้าจอโน้ตบุ๊กที่พิมพ์รายงานอยู่

…พอถึงตอนนั้นแม้แต่เพื่อนเจ้าบ่าวสักคนนายก็คงหาไม่ได้เลยมั้ง…

ซุนไห่หมิงแอบค่อนขอดอยู่ในใจ เขาก้มหน้าก้มตาครุ่นคิดอยู่สักพักก็พูดขึ้นอีกครั้ง “เอาอย่างนี้แล้วกัน ต่อไปนี้ตอนอยู่โรงเรียนก็พูดอรุณสวัสดิ์สักครั้ง ตอนกลับบ้านก็พูดว่าเจอกันพรุ่งนี้สักหน่อย ฉันจะไม่นัดนายไปเตะบอล เล่นเกม หรือดูหนังอะไรหรอก ถ้าวันไหนนายอยากมีเพื่อนช่วยแชร์ความคิดเห็นจะมาหาฉันก็ได้ ต่อไปถ้านายแต่งงานแล้วไม่มีเพื่อนเจ้าบ่าวก็มาเรียกฉันได้เหมือนกัน นายไม่ต้องใช้เวลาเพื่อรักษามิตรภาพกับฉันหรอก ฉันก็จะไม่บอกคนอื่นว่านายรู้เรื่องผีสางอะไรพวกนี้ด้วย แบบนี้พวกเราก็สามารถเป็นเพื่อนกันได้แล้วใช่มั้ยล่ะ แม่นายก็บอกว่าฉันเป็นเพื่อนคนแรกที่นายพากลับมาบ้านด้วยนี่นา”

ไอโม่ซินมองซุนไห่หมิงด้วยความตกตะลึง เมื่อแน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายตั้งใจจริงๆ ในที่สุดเขาก็ยิ้มออกมา “ก็ได้”

“ต่อไปนี้นายจะบอกแม่นายว่าฉันเป็นเพื่อนร่วมห้องไม่ได้แล้วนะ เพราะต่อจากนี้พวกเราจะเป็นเพื่อนกันแล้ว” ซุนไห่หมิงพูดอย่างจริงจัง

“นายนี่ไร้เดียงสายิ่งกว่าเด็กประถมซะอีก” ไอโม่ซินกลอกตาโดยไม่สนใจเขา

“หึ งั้นฉันก็เป็นเพื่อนคนแรกของนายแล้วสิ” ซุนไห่หมิงมองการบ้านของตัวเองด้วยความภาคภูมิใจเล็กน้อย “นายเป็นเพื่อนคนแรกเลยนะที่ฉันไปบ้านเพื่อทำการบ้าน ไม่ใช่ไปเล่นเกม”

ซุนไห่หมิงพูดจบก็มองไอโม่ซินอีกครั้ง “คงไม่ใช่ว่านายโตขนาดนี้แล้วยังไม่เคยเล่นเกมหรอกนะ?”

ไอโม่ซินปรายตามองเขาแวบหนึ่งคล้ายจะบอกว่า ‘นายคิดว่าฉันมีเวลานักหรือไง’ ซุนไห่หมิงยิ้มแหยแล้วไม่ได้ถามต่อ

ปรากฏว่าก่อนที่แม่ของซุนไห่หมิงจะมารับ พวกเขาทั้งสองคนก็เขียนรายงานจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว นี่ทำให้ซุนไห่หมิงรู้สึกไม่อยากเชื่อ ปกติเขาต้องใช้เวลาตั้งหลายวันกว่าจะเขียนรายงานเสร็จ แต่นี่ใช้เวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็เขียนเสร็จแล้ว

“บ้านนายนี่เหมาะกับการทำการบ้านจริงๆ เลย ฉันเปลี่ยนใจแล้วล่ะ เอาไว้ครั้งหน้าฉันมาเขียนรายงานกับนายอีกได้มั้ย” ดวงตาทั้งสองข้างของซุนไห่หมิงเป็นประกาย “หรือถ้านายจะทำการบ้าน นายก็เรียกฉันหน่อย ฉันสัญญาเลยว่าจะไม่พานายไปเที่ยวเล่น พอทำการบ้านเสร็จฉันก็จะกลับเลย”

ไอโม่ซินมองซุนไห่หมิงด้วยสีหน้ารู้ทัน สุดท้ายเขาก็ได้แต่พยักหน้ารับ “อืม”

แม่ของซุนไห่หมิงมาถึงเร็วมาก ประมาณยี่สิบนาทีเธอก็ทะยานมากดกริ่งประตูบ้านเขาแล้ว ไอโม่ซินออกไปเปิดประตูให้เธอโดยมีซุนไห่หมิงเดินตามไปด้านหลัง

“แม่!” ทันทีที่ประตูเปิดออก ซุนไห่หมิงที่มองเห็นแม่ตัวเองก็ร้องตะโกนออกมา

หลิวอวี่จยาสวมชุดกางเกงสีขาวดูทะมัดทะแมง เธอกวาดตามองลูกชายอยู่หลายครั้งจนมั่นใจว่าเขาปกติดีถึงได้หันไปพูดกับไอโม่ซินด้วยรอยยิ้ม “ฉันเป็นแม่ของไห่หมิง วันนี้รบกวนเธอแล้วนะ”

“คุณป้าไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ เข้ามาดื่มชาสักหน่อยสิครับ” ถึงแม้ไอโม่ซินจะอยากรีบไล่ซุนไห่หมิงไปทันที แต่เขาก็ยังถอยไปด้านหลังสองสามก้าวอย่างสุภาพเพื่อให้หลิวอวี่จยาเดินเข้าประตูมา

แม้ว่าหลิวอวี่จยาจะอยากพาลูกชายกลับบ้านเร็วๆ แต่เธอก็ไม่สามารถจากไปโดยไม่ทักทายเจ้าของบ้านได้ ดังนั้นเธอจึงยอมเดินเข้าประตูตามไอโม่ซินไป

ทันทีที่หลิวอวี่จยาเดินเข้ามาเธอก็ถูกผ้าปักลายหุบเขาและแม่น้ำที่แขวนอยู่บนกำแพงดึงดูดสายตา จากนั้นเธอก็ถูกลูกชายกระตุกแขนเบาๆ “แม่ เพื่อนร่วมห้องผมชื่อไอโม่ซิน”

“โอ๊ะ สวัสดีจ้ะนักเรียนไอ บ้านเธอไปซื้อผ้าปักผืนนี้มาจากที่ไหนเหรอ” หลิวอวี่จยามองไอโม่ซินตาเป็นประกาย

ไอโม่ซินไม่เคยเห็นคนที่ได้ยินชื่อเขาแล้วไม่ถามว่าคำว่าไอมาจากอักษรตัวไหน เขาลังเลอยู่สักพักถึงได้เปิดปากพูด “แม่ผมปักเองครับ”

ไอเยวี่ยเจินได้ยินเสียงกริ่งหน้าประตูเลยออกมาดู เธอจึงได้เห็นดวงตาเปล่งประกายทั้งสองข้างของหลิวอวี่จยากำลังมองมาที่เธอ “สวัสดีค่ะคุณแม่ไอ ฉันเป็นแม่ของไห่หมิงนะคะ ฝีมือเย็บปักของคุณยอดเยี่ยมมากเลยค่ะ ไม่ทราบว่าคุณจะให้เกียรติมาร่วมงานกับฉันได้มั้ยคะ”

หลิวอวี่จยาจะเอื้อมมือไปหยิบนามบัตรออกมาจากกระเป๋า แต่เธอเพิ่งนึกได้ว่าในมือยังถือกล่องเค้กอยู่ “โอ๊ะ ฉันลืมไปเลย นี่เป็นเค้กที่กำลังเป็นที่นิยมเลยค่ะ ฉันได้ยินมาว่ารสชาติของมันไม่เลวเลย ขอบคุณที่วันนี้คุณช่วยดูแลไห่หมิงของพวกเรานะคะ”

หลิวอวี่จยาหันกลับไปยื่นกล่องเค้กให้ไอโม่ซิน จากนั้นเธอก็หยิบนามบัตรออกมายื่นให้ไอเยวี่ยเจินอีกครั้ง ไอเยวี่ยเจินรับนามบัตรใบนั้นมา เธอมองลูกชายอย่างลังเลอยู่สักพัก ไอโม่ซินเองก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่งถึงค่อยได้สติกลับมาและเอ่ยขึ้น “คุณป้าครับ แม่ผมแค่ปักเล่นเท่านั้นเอง”

หลิวอวี่จยาเป็นคนบ้างานเข้าขั้น เธอมองคนได้อย่างแม่นยำแถมยังมีสายตาเฉียบแหลมเป็นที่สุด เพียงพริบตาเดียวเธอก็มองออกว่าระหว่างแม่ลูกคู่นี้คนที่เป็นผู้นำก็คือลูกชาย เธอจึงหันไปพูดพร้อมยกยิ้มให้ไอโม่ซิน “งานปักสวยขนาดนี้ถ้าไม่เอาไปโชว์ก็เสียของแย่ ป้ากำลังทำชุดกี่เพ้าสมัยใหม่อยู่ ช่วงไม่กี่เดือนมานี้ป้าเลยตามหาผู้เชี่ยวชาญทุกคนที่สามารถปักผ้าได้ แต่ก็ไม่มีใครเก่งเหมือนแม่ของเธอเลย”

ไอโม่ซินได้แต่พูดยิ้มๆ “ปักมากไปก็เสียสายตานะครับ แค่ปักเล่นยังพอรับได้ แต่ถ้าจะทำเป็นงานจริงจังคงไม่ได้หรอกครับ”

หลิวอวี่จยาดูเหมือนจะอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ซุนไห่หมิงกระตุกมือแม่ตัวเองแรงๆ หนึ่งทีก่อน “แม่อะ! แม่ไม่เห็นถามเลยว่าตอนอยู่ที่โรงเรียนลูกแม่ตกใจแทบตายหรือเปล่า!”

“แม่ก็เห็นลูกยังหน้าชื่นตาบานอยู่นี่นา” หลิวอวี่จยาถลึงตามองลูกชายแล้วยื่นมือออกไปเขกหัวเขาหนึ่งที

“อยู่ทานข้าวที่นี่ก่อนเถอะค่ะ ฉันเตรียมของไว้หมดแล้ว ทำอาหารไม่กี่อย่างแป๊บเดียวเอง” ไอเยวี่ยเจินฉีกยิ้มจนแก้มปริ

ก่อนแม่ที่กำลังตาวาวจะตอบตกลง ซุนไห่หมิงก็รีบปฏิเสธเพราะไอโม่ซินถลึงตามองเขาแล้ว “ไม่เป็นไรครับ! ไม่รบกวนคุณป้าดีกว่า วันนี้ขอบคุณคุณป้าที่ต้อนรับ เอาไว้วันหลังผมจะมาติวหนังสือกับเสี่ยวไออีกนะครับ”

หลิวอวี่จยามองลูกชายอย่างหมดคำพูด แต่เธอก็ไม่อยากหักหน้าลูกชายเลยได้แต่พูดออกไปด้วยรอยยิ้ม “แล้ววันหลังจะมาเยี่ยมใหม่นะคะ วันนี้รบกวนพวกคุณจริงๆ ค่ะ”

“คุณป้าอย่าพูดแบบนั้นเลยครับ ยังไงพวกเราก็เป็นเพื่อนร่วม…เพื่อนกันครับ” ไอโม่ซินเห็นสายตาที่ซุนไห่หมิงมองมาก็รีบเปลี่ยนคำพูด

ไอเยวี่ยเจินเดินไปที่ลิ้นชักด้านข้างแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกมา จากนั้นเธอก็ยื่นให้หลิวอวี่จยาพร้อมกล่าว “ถ้าคุณชอบ อันนี้ฉันให้คุณก็แล้วกันค่ะ ปกติฉันจะปักผ้าเล่นเฉยๆ ถ้าจะให้ทำเป็นอาชีพเลยก็คงไม่ไหว เดี๋ยวจะเสียเวลาคุณเปล่าๆ”

“จริงๆ ฉันรอได้นะคะ…” หลิวอวี่จยารับผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นมา แค่มองเพียงแวบเดียวเธอก็ต้องเบิกตาโตแล้วมองดูผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในมือซ้ำไปซ้ำมาก่อนจะพูดด้วยความทึ่ง “นี่เป็นงานปักสองหน้านี่นา! อันนี้คุณก็ทำได้เหรอคะ”

“ผู้ใหญ่สอนมาน่ะค่ะ เมื่อก่อนคนเฒ่าคนแก่ในบ้านฉันชอบมาก ฉันก็เลยเรียนเอาใจท่าน” ไอเยวี่ยเจินแย้มยิ้มอ่อนโยนแล้วมองซุนไห่หมิงอีกครั้ง “โม่ซินของเรามีเพื่อนไม่มาก เอาไว้คราวหน้ามาเล่นด้วยกันอีกนะจ๊ะ”

“ครับ แล้วครั้งหน้าผมจะมาทำรายงานกับเสี่ยวไออีกนะครับ” ซุนไห่หมิงรู้สึกว่าพอเทียบกันแล้ว คุณแม่ไอดูสวยและอ่อนโยนมากกว่าจริงๆ

หลิวอวี่จยาเห็นสายตาน่ารังเกียจของลูกชายก็ตบเข้าไปที่ด้านหลังศีรษะของเขาหนึ่งที “ยังจะบอกว่าเขียนรายงานอีกเหรอ คิดว่าแม่ไม่รู้หรือไงว่าแอบไปเล่นเกมอยู่บ้านคนอื่น”

“ผมเขียนรายงานกับเสี่ยวไอจริงๆ นะ” ซุนไห่หมิงลูบหัวตัวเองป้อยๆ ด้วยใบหน้าโกรธเคือง

หลิวอวี่จยาเองก็ไม่อยากฉีกหน้าลูกชายตัวเองเลยได้แต่เก็บผ้าเช็ดหน้ากลับไปอย่างระมัดระวัง “เอาไว้ครั้งหน้าจะมาเยี่ยมใหม่นะคะ ถ้าโม่ซินว่างๆ ก็มาเล่นที่บ้านพวกเราได้นะ”

“ครับ แล้วเจอกันใหม่ครับคุณป้า” ไอโม่ซินรีบส่งแขก

กว่าจะส่งสองแม่ลูกกลับไปได้ ไอโม่ซินก็ถึงกับโล่งอกยกใหญ่

“แม่เพื่อนลูกน่าสนใจมากเลยนะ” ไอเยวี่ยเจินเดินกลับเข้ามาในบ้านพร้อมรอยยิ้ม

ไอโม่ซินถอนหายใจแล้วไม่ลืมเตือนเธออีกประโยค “ท่านแม่ ถ้าจะปักเล่นๆ ก็ไม่เป็นอะไรหรอกนะครับ แต่อย่าเอาไปขายเลย บ้านเรามีเงินมากพอแล้วนะ”

“รู้แล้วล่ะจ้ะ ลูกหิวแล้วหรือยัง เดี๋ยวแม่ไปทำกับข้าวให้นะ” ไอเยวี่ยเจินลูบไหล่เขายิ้มๆ แล้วหันกลับไปหยิบเค้กที่หลิวอวี่จยาให้มาไปแช่ตู้เย็นในครัว

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทที่ 7 ได้ในวันที่ 12 มี.. 64

 

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com