everY
ทดลองอ่าน คน • สื่อ • วิญญาณ บทที่ 7 #นิยายวาย
ตอนที่ 7
ไอโม่ซินถอนหายใจ ตั้งแต่แม่พาเขาออกจากบ้านมาตอนอายุหกขวบ เพื่อชีวิตสองแม่ลูกไอเยวี่ยเจินต้องขายงานปักไปไม่น้อย ตอนนั้นเธอแทบจะต้องตรากตรำทำงานทั้งวันทั้งคืน นอกจากการสอนภาษาชนเผ่าเถี่ยนให้เขาแล้ว เธอก็จะเอาแต่ปักผ้า พอมีวิญญาณมาหาถึงบ้านเธอก็จะยื่นมือเข้าช่วยโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน หลังจากที่ไอโม่ซินรับช่วงดูแลงานของเผ่าเถี่ยนแล้วก็มีอยู่ครั้งหนึ่งที่นายจ้างจะมอบอั่งเปาให้เขา ในขณะที่กำลังจะปฏิเสธไปตามความเคยชิน คุณยายก็กระซิบข้างหูให้เขารับเอาไว้ หลังจากนั้นเขาก็ไม่เคยปฏิเสธอั่งเปาของนายจ้างอีก เขาไม่ได้เป็นคนเก็บเงินเอง แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธถ้าจะมีใครให้เขา คุณยายบอกว่าทำแบบนี้จะทำให้นายจ้างสบายใจ
ในวันที่จะต้องฝังวังซิ่วอวี้ พี่สาวคนโตของสกุลหลิวก็ต้องการให้เขาไปร่วมงานด้วย แถมเธอยังมอบอั่งเปาให้ด้วย เธอถึงกับกุมมือเขาเอาไว้แน่นด้วยกลัวว่าเขาจะปฏิเสธพร้อมทั้งกล่าวขอบคุณ เขาเลยต้องรับมันมาด้วยรอยยิ้ม
บางครั้งได้มาหลายพัน บางครั้งก็อาจจะได้มาหลายหมื่น อั่งเปาซองที่บางที่สุดที่เขาเคยได้เมื่อเปิดออกดูแล้วก็พบว่ามันเป็นเช็คมูลค่าหนึ่งล้านหยวนเลยทีเดียว
ตอนนั้นเขาลังเลอยู่หลายวัน แต่สุดท้ายก็เก็บไว้ครึ่งหนึ่งแล้วเอาส่วนที่เหลือไปบริจาค อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องกังวลกับค่าเล่าเรียนในอีกหลายปีข้างหน้า และไม่ต้องให้ไอเยวี่ยเจินขายงานฝีมือของเธออีก
ไอโม่ซินเอาชีทที่อยู่ในห้องรับแขก กระเป๋าเป้ และโน้ตบุ๊กไปเก็บไว้บนห้องชั้นสองพลางคิดถึงรุ่นพี่ที่เจอที่โรงเรียนเมื่อเช้า กลิ่นอายความโกรธแค้นของเธอรุนแรงมาก รอยกรีดบนข้อมือขวาของเธอลึกไม่น้อย คงจะต้องใช้แรงมากแน่ๆ ถึงจะกรีดลงไปได้ขนาดนั้น เพราะงั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงการตัดข้อมือหรือการผูกคอตายเลย
กลิ่นอายความโกรธแค้นรุนแรงถึงขนาดนั้นอาจจะไม่สามารถปรับความเข้าใจกันได้ ไอโม่ซินรู้สึกได้ถึงความยุ่งยากเล็กน้อย เขาวางโน้ตบุ๊กลงบนโต๊ะแล้วเอากระเป๋าเป้ไปแขวนไว้หลังเก้าอี้ ขณะที่กำลังคิดว่าจะไปช่วยแม่ทำกับข้าว เมื่อหันหลังไปเขาก็พบว่าเจียงหลีมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าแล้ว
ไอโม่ซินตกใจสุดขีด เขาถอยหลังไปหลายก้าวจนชนเข้ากับโต๊ะหนังสือของตัวเองถึงได้หยุด ก่อนจะรู้สึกเจ็บจนต้องร้องออกมา “โอ๊ย…”
“ชนหรือ” เจียงหลีขมวดคิ้วมุ่นแล้วขยับเข้ามา ไอโม่ซินตัวติดอยู่กับขอบโต๊ะจนไม่มีที่ให้ถอยแล้วก็เลยขยับออกไปข้างๆ อีกหลายก้าว
ไอโม่ซินคาดไม่ถึงว่าเจียงหลีจะสามารถเข้ามาในบ้านได้โดยที่เขาไม่รู้ตัว เด็กหนุ่มตกใจจนหน้าขาวซีด เหล่าบรรพบุรุษต่างพุ่งเข้ามาในห้องของเขาราวกับสายน้ำหลาก แต่เจียงหลีกลับไม่มีท่าทีตอบสนองอะไรและทั้งยังเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้ากลัวข้ามากหรือ”
ไอโม่ซินส่งสัญญาณให้เหล่าบรรพบุรุษถอยออกไปแล้วหันมามองเจียงหลีอีกครั้ง “…คุณมีธุระอะไรเหรอครับ”
“ข้าแค่มาดูเจ้า” เจียงหลีพูดเหมือนมันเป็นเรื่องปกติ ไอโม่ซินรู้สึกหมดคำพูด ใครเขาจะบุกเข้ามาในห้องคนอื่นโดยไม่มีธุระอะไรเพื่อ ‘ดู’ กันล่ะ
ไอโม่ซินกำลังลังเลว่าจะบอกอีกฝ่ายว่าถ้าดูเสร็จแล้วก็เชิญออกไปซะหรือจะแอบส่งข้อความหาเจียงเฉิงฟางดี แต่ระหว่างที่เขากำลังลังเลอยู่นั้นเจียงหลีก็ถามย้ำอีกครั้ง “เจ้ากลัวข้ามากหรือ”
ไอโม่ซินไม่แน่ใจว่าควรจะพยักหน้าหรือส่ายหน้าดี เจียงหลีเห็นสีหน้าของเขาก็ถอยออกไปด้านหลังเล็กน้อย “ข้าไม่เคยแสดงเจตนาร้ายต่อเจ้าเลยสักครั้ง และยังไม่เคยทำร้ายเจ้าด้วย แล้วไยต้องกลัวข้าเล่า”
ดวงตาสีดำทั้งสองข้างของเจียงหลีจดจ้องไอโม่ซินด้วยสีหน้าที่ดูอ่อนโยนมาก ไอโม่ซินพบว่าตอนที่เจียงหลีอยู่ต่อหน้าเจียงเฉิงฟาง เจ้าตัวมักจะทำหน้าตาเย็นชาอยู่เสมอ ไม่รู้เป็นเพราะเจียงเฉิงฟางไม่รู้จักเอาอกเอาใจหรือเจียงหลีมักจะทำแบบนี้กับคนอื่นอยู่แล้วกันแน่ แต่ทำไมอีกฝ่ายจะต้องทำตัวอ่อนโยนกับเขาคนเดียวด้วย ไอโม่ซินไม่เข้าใจเลยจริงๆ
“เพราะข้าเป็นปีศาจหรือ” เจียงหลีถามออกมาอีกประโยค
“ก็…ไม่ใช่หรอกครับ…ผมถามได้มั้ยครับว่าทำไมคุณถึงเอาแต่ตามผมอยู่ตลอด” ไอโม่ซินลังเลอยู่สักพักก่อนจะเอ่ยปากถามออกไป การใช้วิธีหลบซ่อนแบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ใช่วิธีที่ดี อย่างน้อยเขาก็จะได้รู้ว่าเจียงหลีต้องการให้เขาทำอะไร
เจียงหลีจ้องมองไอโม่ซินเหมือนการที่อีกฝ่ายถามออกไปแบบนี้เป็นเรื่องที่ประหลาดมาก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังยอมให้คำตอบ “เจ้าเป็นชนเผ่าเถี่ยนเพียงคนเดียวที่ข้าเคยพบ หลังจากที่ข้าพบเจ้าแล้วข้าก็ลองค้นหาดู แต่บนโลกใบนี้ก็เหลือเจ้าเพียงคนเดียวแล้วจริงๆ”
“ก็ยังมีแม่ผมไงครับ?” หลังจากไอโม่ซินเผลอตอบไปด้วยความลืมตัวเขาก็นึกเสียใจขึ้นมาทันที ไม่ใช่ว่าเจียงหลีจะไปตามเกาะแกะแม่เขาหรอกนะ คิดได้ดังนั้นเขาก็รีบเสริมไปอีกประโยค “ผมจะบอกว่าผมถามมาแล้วก็รู้ว่าบรรพบุรุษของผมไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับคุณเลย…”
สีหน้าของเจียงหลีดูเหมือนจะสงสัยเล็กน้อย “มารดาของเจ้าแต่งงานแล้วไม่ใช่หรือ”
“เอ่อ แน่นอนสิครับ ไม่อย่างนั้นผมจะมาจากไหนล่ะ…” ไอโม่ซินมองเขาด้วยความสงสัย
“เช่นนั้นก็เหลือเจ้าเพียงคนเดียวแล้ว” เจียงหลีตอบกลับอย่างมั่นอกมั่นใจ
ไอโม่ซินไม่ค่อยเข้าใจตรรกะของปีศาจเฒ่าผู้นี้เท่าไรนัก เคยได้ยินเจียงเฉิงฟางบอกว่าความคิดของเจียงหลีตรงไปตรงมาและไม่ได้มีอะไรซับซ้อน แถมตอนนั้นเด็กหนุ่มยังถามออกไปด้วยความสงสัยว่าแบบนี้อีกฝ่ายไม่ถูกหลอกเอาง่ายๆ เหรอ เจียงเฉิงฟางเลยมองมาด้วยสายตาเจ็บปวดแล้วพูดว่าบรรพบุรุษสกุลเจียงแค่ตรงไปตรงมา ไม่ได้โง่ ปกติแล้วถ้าบรรพบุรุษของเขารู้สึกได้ว่ามีอะไรไม่ถูกต้องก็มักจะตีก่อนแล้วค่อยถาม แต่ภายใต้การกระทำแบบนี้ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเบาหวิวดุจก้อนเมฆ
“งั้น…ถ้าเผ่าเถี่ยนเหลือแค่ผมคนเดียวแล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณล่ะครับ” ไอโม่ซินได้แต่ถามออกไปอย่างระมัดระวัง คงไม่ใช่เพราะเขาเป็นของหายาก เจียงหลีก็เลยคิดจะอนุรักษ์เขาไว้หรอกนะ?
เจียงหลีมองเขาอยู่นาน เมื่อเห็นว่าไอโม่ซินเอาแต่ก้มหน้าก้มตาจึงพูดออกมาว่า “ไอที่สิบแปดไม่เคยบอกเจ้าหรือ”
ไอโม่ซินตกตะลึงไปทันใด ท่านยายของเขากระซิบบอกเบาๆ ให้รอก่อน จากนั้นไม่นานเขาก็เห็นบรรพบุรุษรุ่นที่เก้าซึ่งเขาไม่ค่อยได้เจอปรากฏตัวขึ้นมา
ไอโม่ซินเคยเห็นบรรพบุรุษท่านนี้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ท่านยายบอกว่าเขาเป็นบรรพบุรุษที่อยู่มานานที่สุดในเผ่า ส่วนคนอื่นๆ ถ้าไม่สูญสลายก็มักจะสั่งสมบุญบารมีจนเต็มเปี่ยมและไปเกิดใหม่หมดแล้ว หลังจากไปเกิดใหม่แล้วพวกเขาก็จะไม่ใช่ชนเผ่าเถี่ยนอีกต่อไป
บรรพบุรุษรุ่นที่เก้ามีนามว่าไอจิน หลังจากสละตำแหน่งผู้นำเผ่าเขาก็ออกเดินทางฝึกฝนตนเอง เมื่ออายุได้ถึงร้อยปีจึงกลับมายังชนเผ่าอีกครั้ง ด้วยเหตุนี้เขาจึงมีรูปลักษณ์เหมือนผู้อาวุโสที่อ่อนโยนคนหนึ่ง
“คารวะท่านผู้อาวุโส” ไอจินคารวะเจียงหลีอย่างมีมารยาท แค่ได้ยินคนผู้นี้เอ่ยถึงไอที่สิบแปด เขาก็เริ่มมีลางสังหรณ์ไม่ดีเสียแล้ว “ผู้ที่ท่านเอ่ยถึงคือบรรพบุรุษรุ่นที่หกของพวกเราหรือ…?”
“ข้าพูดถึงไอซาง เขาบอกว่าเขาอยู่ลำดับที่สิบแปด ให้ข้าเรียกเขาว่าไอที่สิบแปด คิดดูแล้วเขาก็น่าจะเป็นผู้นำเผ่ารุ่นที่หกนั่นแหละ” เมื่อเจียงหลีได้เผชิญหน้ากับไอจิน ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นรูปปั้นที่มีสีหน้าไร้อารมณ์และเย็นชาเหมือนเดิม
“เอ่อ…ท่านบรรพบุรุษรุ่นที่หกไอซางดับขันธ์ไปตั้งแต่สามร้อยปีก่อนแล้วขอรับ ไม่ทราบว่าตอนนั้นเขาให้คำมั่นสัญญาอันใดกับท่านไว้หรือไม่” ไอจินถามอย่างระมัดระวัง เขาจำได้ว่าบรรพบุรุษรุ่นที่หกมีนิสัยดื้อรั้นและมักจะก่อเรื่องยุ่งยากอยู่เสมอ ดังนั้นท่านบรรพบุรุษรุ่นที่เจ็ดจึงต้องพยายามตามเช็ดตามล้างความวุ่นวายแทนเขาจนรับตำแหน่งได้ไม่ถึงหกสิบปีก็ดับขันธ์ไปก่อนเวลาเสียแล้ว และท้ายที่สุดท่านบรรพบุรุษรุ่นที่หกก็ยังทิ้งความยุ่งยากเอาไว้จนถึงรุ่นที่สิบสาม จึงสามารถสะสางได้หมดสิ้น
เจียงหลีได้ยินดังนั้นก็เงียบไปสักพักก่อนจะพึมพำกับตนเอง “…ที่แท้ก็ตายไปแล้วนี่เอง”
เจียงหลีก้มหน้าต่ำคล้ายกำลังจ้องมองเกล็ดที่อยู่บนชุดของตัวเอง และเมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็ยังคงมีสีหน้าไร้อารมณ์อยู่เหมือนเคย คราวนี้น้ำเสียงของเขาฟังดูเหมือนจะอ่อนโยน แต่คำที่พูดออกมากลับทำให้ทุกคนตกใจราวกับสายฟ้าฟาด
“ตอนนั้นเขาสัญญาเอาไว้ว่าจะให้ลูกหลานของเขาหมั้นหมายกับข้า”
“…เดี๋ยวนะ!” ไอโม่ซินมีปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็วที่สุด เพราะคนที่เขาคิดถึงก็คือแม่ของตัวเอง “แม่ผมแต่งงานไปแล้ว! เธอไม่เหมาะหรอก!”
เจียงหลีหันหน้าไปมองเขาด้วยสีหน้าประหลาด “แน่นอน แต่ก็ยังมีเจ้ามิใช่หรอกหรือ”
ไอโม่ซินอ้าปากพะงาบๆ อยู่นานกว่าจะพูดตะกุกตะกักออกมาได้ “ผม ผมเป็นผู้ชาย…”
“ข้าบำเพ็ญเพียรด้วยร่างปีศาจมานานนับพันปี ข้าต้องการเพียงคู่บำเพ็ญเพียรเท่านั้น สำหรับข้าแล้วจะชายหรือหญิงก็ไม่ต่างกัน” เมื่อเจียงหลีมองไอโม่ซิน สีหน้าของเขาก็อบอุ่นอ่อนโยนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เขาหยิบจี้หยกขาวรูปครึ่งวงกลมชิ้นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ ด้านบนหยกชิ้นนั้นสลักรูปมังกรอันปราดเปรียวราวกับมีชีวิตเอาไว้ เจียงหลีเอื้อมมือมาจับมือไอโม่ซินแล้ววางจี้หยกชิ้นนั้นลงบนฝ่ามือเด็กหนุ่ม
ไอโม่ซินตกตะลึงจนลืมตอบสนอง เขารู้สึกเพียงว่ามือของเจียงหลีไม่ได้เย็นยะเยือกเหมือนที่คิด แต่มันกลับแฝงไว้ด้วยสัมผัสอบอุ่น นิ้วมือของอีกฝ่ายเรียวยาวและมีสีขาวซีดจนขับให้หยกชิ้นนั้นไม่ได้ดูขาวจนเกินไป
เจียงหลีฉีกยิ้มกว้างให้เขา จากนั้นก็ดึงจี้หยกครึ่งวงกลมอีกอันที่อยู่ตรงเอวขึ้นมา หยกทั้งสองชิ้นสามารถประกบกันเป็นวงกลมได้พอดิบพอดี และด้านบนนั้นยังสลักรูปมังกรคู่ที่ดูประณีตมากเอาไว้ด้วย “หยกชิ้นนี้ข้าดูแลมานานถึงหกร้อยปี ทั้งยังแกะสลักจี้คู่นี้ด้วยมือตนเองเพื่อรอมอบให้เจ้า”
ไอโม่ซินถูกรอยยิ้มกว้างของอีกฝ่ายจู่โจมในระยะประชิดจนสับสนมึนงงไปหมดและเกือบจะเผลอพยักหน้าโดยไม่รู้ตัวไปแล้ว แต่ทันใดนั้นเขาก็ได้สติกลับมา เขาถือจี้หยกอุ่นๆ ชิ้นนั้นเอาไว้ด้วยความสับสนพลางหันไปมองท่านบรรพบุรุษรุ่นที่เก้า
ไอจินรับรู้ได้ถึงความหวาดหวั่นของไอโม่ซินเลยรีบพูดขึ้น “ท่านผู้อาวุโส…นี่…ไม่ทราบว่าตอนนั้นบรรพบุรุษของพวกเราได้ทิ้งหลักฐานยืนยันเอาไว้หรือไม่ขอรับ”
ไอจินคิดถึงสิ่งสำคัญที่สุดอย่างใจเย็น เขาไม่สามารถปล่อยทายาทคนสุดท้ายของเผ่าเถี่ยนให้เจียงหลีไปเพียงเพราะคำพูดของอีกฝ่ายได้
“ข้าจำได้ว่าไอที่สิบแปดมีสมุดบันทึกที่มักจะจดสิ่งต่างๆ เอาไว้เสมอไม่ใช่หรือ เขาไม่ได้เขียนไว้หรืออย่างไร” เจียงหลีมองไอจินแวบหนึ่ง มือทั้งสองข้างของเขายังกอบกุมมือของไอโม่ซินอยู่เพื่อให้เด็กหนุ่มประคองหยกชิ้นนั้นเอาไว้
ท่านบรรพบุรุษรุ่นที่เก้าหลับตาลง สิ่งเลวร้ายที่สุดที่ท่านบรรพบุรุษรุ่นที่หกทิ้งเอาไว้ให้ลูกหลานก็คือสมุดบันทึกหนาหนักที่เขามักจะจดทุกสิ่งทุกอย่างลงไปนั่นเอง จนถึงตอนนี้ไอจินก็ยังจดจำรอยยิ้มยามไอซางกล่าวว่า ‘เมื่อทำเช่นนี้ข้าจะได้ไม่ลืมว่าตัวเองรับปากอะไรใครเอาไว้’ และจดจำสายตาเหมือนอยากจะฆ่าบิดาแท้ๆ ของท่านบรรพบุรุษรุ่นที่เจ็ด รวมไปถึงสีหน้าเหมือนโลกกำลังจะล่มสลายของท่านบรรพบุรุษรุ่นที่แปดได้อยู่เลย
“…ท่านผู้อาวุโสโปรดรอสักครู่ ข้าขอตรวจสอบสักหน่อย…” ขณะที่พูดไอจินก็หยิบกองสมุดบันทึกนั้นออกมาด้วย จากนั้นเขาก็ถามออกมาด้วยสีหน้าโศกเศร้า “ไม่ทราบว่าท่านผู้อาวุโสยังจำได้หรือไม่ว่าเรื่องนั้นเกิดขึ้นเมื่อใด”
“เมื่อใดน่ะหรือ…” เจียงหลีเอียงศีรษะครุ่นคิด ขณะที่อาการบิดมือหนีของไอโม่ซินทำให้เขาต้องปล่อยมืออีกฝ่ายไปในที่สุด “ช่วงที่บรรพบุรุษของพวกเจ้ามีอายุได้หกสิบปี ข้าจำได้ว่าไอที่สิบแปดมีชีวิตอยู่ถึงอายุเจ็ดสิบเจ็ดปี ตอนที่เขาสัญญากับข้าเขายังอยู่ในร่างมนุษย์ ดังนั้นน่าจะเป็นช่วงหลายสิบปีนั้น”
ไอจินหยิบสมุดบันทึกเล่มที่เก่าที่สุดขึ้นมาแล้วพลิกอ่านทีละหน้าอย่างระมัดระวัง เรื่องที่สำเร็จลุล่วงไปแล้วจะถูกทำเครื่องหมายเอาไว้ ไอจินพลิกไปถึงกลางเล่มก็พบข้อความที่ไอซางบันทึกเอาไว้
‘สัญญาว่าจะให้ลูกหลานหมั้นหมายเป็นภรรยาคู่บำเพ็ญเพียรของอาหลี’
ไอจินมองอักษรบรรทัดนั้นอย่างพูดไม่ออก อักษรคำว่าภรรยาถูกขีดฆ่าทิ้งแล้วแก้ใหม่เป็นคำว่าคู่บำเพ็ญเพียร หนำซ้ำมันยังไม่มีเครื่องหมายที่บ่งบอกว่าทำสำเร็จแล้วด้วย นั่นแสดงว่าสัญญานี้ยังไม่บรรลุผล หลังจากบันทึกเอาไว้ รุ่นที่สิบสามก็ยังเคยถามถึงเรื่องนี้อยู่ แต่ตอนนั้นก็ไม่มีใครรู้เลยว่าผู้ใดคือ ‘อาหลี’
เจียงหลีกล่าวอย่างช้าๆ “ตอนนั้นเขาเรียกข้าว่าอาหลี บอกว่าข้าบำเพ็ญเพียรผู้เดียวคงจะโดดเดี่ยวเกินไป จึงจะหมั้นหมายให้ลูกหลานคนหนึ่งของเขาเป็นภรรยาข้า แต่ข้าบอกว่าข้าอาจจะไม่ต้องการภรรยา หากข้าจะต้องการก็ขอเพียงสหายรู้ใจสักคนก็พอแล้ว”
ไอจินได้ยินคำพูดของเจียงหลีก็จ้องมองอักษรแถวนั้นอยู่สักพัก สุดท้ายเขาก็หันไปมองไอโม่ซินด้วยความลำบากใจ “ท่านบรรพบุรุษรุ่นที่หก…มีสัญญาเช่นนั้นจริงๆ…”
ไอโม่ซินสูดลมหายใจเข้าปอด นี่มันยุคไหนแล้ว เขายังต้องถูกคลุมถุงชนอีกเหรอ แถมยังถูกคลุมถุงชนกับผู้ชายคนหนึ่ง ไม่สิ ปีศาจที่เป็นผู้ชายเนี่ยนะ?
เพราะเห็นว่าสีหน้าของไอโม่ซินดูเหมือนจะตกใจเกินไป เจียงหลีจึงถอยออกมาเล็กน้อยก่อนใช้น้ำเสียงอ่อนโยนพูดกับไอโม่ซินว่า “ตลอดสองร้อยปีมานี้ข้าหลับไปเสียส่วนใหญ่ เสี่ยวฟางเองก็เคยบอกข้าว่ายุคสมัยนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว ข้ารู้ดีว่าการแต่งงานไม่ใช่สิ่งที่ผู้ใหญ่จะสามารถตัดสินใจได้อีกต่อไป ฉะนั้นหากเจ้าไม่ยินดีข้าก็จะไม่บังคับเจ้า”
ระหว่างที่ไอโม่ซินกำลังรู้สึกโล่งอก เจียงหลีก็หันไปหาไอจินพร้อมสีหน้าที่เปลี่ยนเป็นเย็นชาและดุร้าย “หากเผ่าเถี่ยนของพวกเจ้าไม่ยินดีรักษาสัญญา ข้าก็ทำอันใดไม่ได้”
“เอ่อ นั่น…” ไอจินรู้สึกหนักใจเป็นอย่างยิ่ง เผ่าเถี่ยนต้องรักษาสัญญานั่นถือเป็นกฎข้อแรกของสกุล ตลอดระยะเวลาหนึ่งพันสามร้อยปีมานี้พวกเขาไม่เคยไม่รักษาสัญญาเลยสักครั้ง แต่ชนเผ่าเถี่ยนเคยล่มสลายเพราะไอเยวี่ยเจินหนีออกจากบ้านมาแล้วครั้งหนึ่ง กระทั่งไอโม่ซินเข้ามารับภาระนี้ต่อ เผ่าเถี่ยนถึงได้ฟื้นคืนขึ้นมาอีกครั้ง
ไอโม่ซินเพิ่งจะรู้สึกโล่งอกเพียงครู่เดียวหัวใจของเขาก็ถูกบีบรัดอีกครั้ง เขาขมวดคิ้วถลึงตามองเจียงหลีแล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงไม่ยินยอม “…นี่เรียกว่าไม่บังคับผม?”
“ข้าไม่ได้บังคับเจ้า” เมื่อเจียงหลีหันมาสีหน้าของเขาก็กลับมาอ่อนโยนอีกครั้ง “แต่อีกสามสิบแปดปีก็จะถึงเวลาที่ข้าบรรลุแล้ว หากเจ้ายินดี ขอเพียงอยู่เป็นเพื่อนข้าสักสามสิบแปดปีก็พอแล้ว”
ไอโม่ซินลองคำนวณดู ถึงตอนนั้นเขาก็อายุห้าสิบห้าแล้ว เขายังจะมีโอกาสแต่งงานมีลูกอยู่อีกเหรอ
ไอโม่ซินไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะต้องมาเจอเรื่องพรรค์นี้ เขาเหลือบมองเหล่าบรรพบุรุษอีกครั้งโดยไม่ได้ตั้งใจ ไอจินมีสีหน้ายุ่งยากเหมือนกำลังลังเลว่าจะต้องยอมรับความจริงเรื่องที่ ‘เผ่าเถี่ยนคงไม่อาจรักษาสัญญานี้’ หรือไม่
ถึงแม้ไอโม่ซินจะเชื่อมั่นว่าเหล่าบรรพบุรุษทั้งหลายจะไม่ยอมขายเขาเพราะเรื่องนี้ แต่เขาก็รู้ดีว่าเหล่าบรรพบุรุษของตัวเองให้ความสำคัญกับคำมั่นสัญญามาก นอกจากนี้ผลที่ตามมาจากการปฏิเสธเจียงหลีอาจจะไม่ใช่แค่การทำลายชื่อเสียงเรื่องการรักษาสัญญาของเผ่าเถี่ยนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ไอโม่ซินกัดริมฝีปากล่าง ขณะที่เขากำลังจะกัดฟันตอบรับไป จู่ๆ เจียงหลีก็พูดขึ้นมาเสียก่อน “ข้าบอกแล้วว่าจะไม่บังคับเจ้าก็คือไม่บังคับเจ้า”
ไอโม่ซินจ้องมองเขา เจียงหลียกยิ้มให้ด้วยใบหน้าอบอุ่นทั้งยังกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “แต่ข้าหวังว่าเจ้าจะพิจารณาสักหน่อย ถึงแม้ข้าจะเป็นผู้พิทักษ์สกุลเจียง แต่พวกเขาก็ไม่อาจควบคุมข้าได้ ดังนั้นหากเจ้ายินดีที่จะอยู่กับข้า ข้าก็จะปกป้องเผ่าเถี่ยนของเจ้าด้วยเช่นกัน”
เจียงหลีพูดพลางเงยหน้ามองท้องฟ้าด้านนอกหน้าต่างที่เริ่มมืดลง จากนั้นเขาก็หันกลับไปมองบรรดาบรรพบุรุษเผ่าเถี่ยนที่อยู่ด้านหลังไอโม่ซินอีกครั้ง “แม้ข้ากำลังจะบรรลุ แต่เวลานี้ข้าก็สามารถสัมผัสได้ถึงปริศนาคลุมเครือบางอย่าง อีกไม่เกินสิบห้าปีปรโลกจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เมื่อถึงเวลานั้นพวกเจ้าจะต้องการการคุ้มครองจากเผ่าปีศาจของข้า”
เจียงหลีพูดจบเขาก็มองไปทางไอโม่ซินอีกครั้ง “แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ข้อแลกเปลี่ยน แต่เป็นการปกป้องคุ้มครองสำหรับคู่บำเพ็ญเพียรของข้า ตามกฎเกณฑ์ของโลกปัจจุบันข้าคงจะต้องตามเกี้ยวเจ้าเสียก่อน เจ้าถึงจะยอมอยู่กับข้า และข้ายังต้องแจ้งข้อดีของข้าให้เจ้ารู้ด้วย ได้ยินมาว่าหากทำเช่นนี้จะเพิ่มโอกาสในการตอบตกลงของพวกเจ้าได้”
ไอโม่ซินมองไปที่เจียงหลีอย่างหมดคำพูด เขาจ้องอีกฝ่ายอยู่นานก่อนจะเปิดปากพูดอย่างยากลำบาก “ผม…จะลองไปคิดดู ตอนนี้ขอเวลาผมหน่อยนะครับ”
เจียงหลีเผยรอยยิ้มพึงพอใจ ไอโม่ซินก้มหน้าไม่ยอมมองเขาและได้ยินเพียงเสียงตอบรับเบาๆ ของเจียงหลี เมื่อเด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งอีกฝ่ายก็จากไปแล้ว
ไอโม่ซินโล่งใจ เขาทรุดตัวนั่งลงบนพื้น กอดเข่าอยู่ข้างผนัง เขาไม่เคยรู้สึกจนปัญญาขนาดนี้มาก่อน หลังจากนั่งอยู่อย่างนั้นพักใหญ่เขาถึงสัมผัสได้ว่ามีมือข้างหนึ่งลูบลงบนศีรษะของเขาเบาๆ
“ไม่ต้องกลัว ยายจะปกป้องหลานด้วยชีวิต เรื่องที่หลานไม่อยากทำ ไม่ว่าใครก็บังคับหลานไม่ได้”
ไอโม่ซินมองรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความรักความเอ็นดูของท่านยายแล้วหันไปมองท่านตาที่ยืนอยู่ข้างๆ ถึงแม้จะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่เขาก็รับรู้ได้ว่าท่านตากำลังแสดงออกว่าจะยืนอยู่ข้างเขาเสมอเช่นกัน
ไอจินเองก็กำลังมองเขาด้วยสีหน้าอ่อนโยน “หลานไม่ต้องกลัวนะ ปู่ทวดจะคิดหาวิธีเอง เผ่าเถี่ยนล่มสลายมาแล้วครั้งหนึ่ง เราไม่ต้องการให้หลานเสียสละอะไรเพื่อปกป้องวิญญาณแก่ๆ อย่างพวกเราหรอก”
ไอจินพูดจบก็หันหลังกลับแล้วหายวับไปเพื่อไปปรึกษาหารือกับบรรพบุรุษคนอื่น ไอโม่ซินนั่งพิงผนังพลางก้มหน้าต่ำมองหยกอุ่นๆ ที่เขากำเอาไว้แน่น ดวงตาจับจ้องมังกรที่สลักอยู่ด้านบนด้วยความสับสนเล็กน้อย
“โม่ซิน? ลูกเป็นอะไรไป”
“เอ๋? ไม่มีอะไรครับ” ไอโม่ซินได้สติคืนมา เขาเห็นแม่กำลังยืนอยู่ที่ประตูห้องเลยรีบยัดหยกชิ้นนั้นเข้าไปในกระเป๋า
ไอเยวี่ยเจินขมวดคิ้วมุ่นแล้วมองไปยังพ่อแม่ของตนที่ไม่ค่อยจะปรากฏตัวออกมาเท่าไร “ท่านพ่อ ท่านแม่ เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ”
ท่านยายของไอโม่ซินนิ่งเงียบ แต่ท่านตากลับเป็นคนเปิดปากพูดออกมาแทน “ไม่มีอะไรหรอก แล้วนี่ก็ไม่เกี่ยวกับแกด้วย มันเป็นเรื่องในเผ่า แกไม่ต้องถามให้มากความ”
ไอเยวี่ยเจินก้มหน้าลง ไอโม่ซินเลยรีบลุกขึ้นยืนพร้อมใบหน้ายิ้มแย้ม “ผมไม่เป็นไรครับท่านแม่ ท่านตาท่านยายก็แค่มาเยี่ยมผมเฉยๆ”
ไอโม่ซินรู้ดีว่าเหล่าบรรพบุรุษทั้งหลายรักใคร่เอ็นดูเขา แต่พวกเขามักจะทำท่าทางเย็นชาใส่แม่ของตนอยู่เสมอ โดยเฉพาะท่านตาที่ไม่เคยให้อภัยแม่ของเขา ท่านยายบอกว่านี่เป็นเพราะท่านตาเคยรักและเอ็นดูแม่เขาสุดหัวใจมาก่อน
ไอโม่ซินถอนหายใจแล้วหันไปมองท่านตากับท่านยายด้วยสายตาขอร้อง สุดท้ายท่านยายก็ทนไม่ไหวจึงลากสามีออกไป
ไอโม่ซินรีบเข้าไปจับมือแม่แล้วพูดออดอ้อน “ท่านแม่ ผมหิวแล้ว”
“อืม ไปกินข้าวกันเถอะ แม่เรียกลูกหลายครั้งแล้วนะ” ไอเยวี่ยเจินมองลูกชายที่เกือบจะสูงกว่าตัวเองแล้วก่อนจะเอื้อมมือไปลูบหัวเขา
“ขอโทษครับ เมื่อกี้ผมคุยกับท่านยายอยู่ก็เลยไม่ได้ยิน” ไอโม่ซินพาแม่เดินลงไปด้านล่าง หยกที่อยู่ในกระเป๋าของเขายังร้อนผ่าวราวกับกำลังย้ำเตือนถึงการมีอยู่ของมัน
ไอโม่ซินสีหน้ายิ้มแย้ม แต่ในหัวของเขากลับวุ่นวายสับสน สิ่งเดียวที่เขาท่องไว้ขึ้นใจก็คือพรุ่งนี้จะต้องไปหาเจียงเฉิงฟางแล้ว ‘คุย’ กันสักหน่อย
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน คน • สื่อ • วิญญาณ ฉบับเต็ม
ตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป, ร้าน JamClub หรือคลิกสั่งซื้อได้ที่ Jamshop