everY
ทดลองอ่าน มือปราบ (วิญญาณ) คนนี้ชื่อคิมมูรยอง เล่ม 1 Chapter 1-1 ถึง 1-2 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน มือปราบ (วิญญาณ) คนนี้ชื่อคิมมูรยอง เล่ม 1
ผู้เขียน : Todayspring (오늘봄)
แปลโดย : มิลค์พลัส
ผลงานเรื่อง : 무령의 혼 (SOUL OF MURYEONG)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Chapter 1-1
ยามอาทิตย์อัสดง
แกรก…แกรก…
แสงอาทิตย์อัสดงเริ่มปกคลุมห้องเรียนที่ว่างเปล่า เงาของกรอบหน้าต่างทอดยาวออกไปบนพื้น แสงอาทิตย์สีส้มแดงอาบไล้ใบหน้าของเขา ท่ามกลางภาพตรงหน้าที่ชวนพิศวงราวกับเวลาถูกหยุดเอาไว้ มูรยองเอ่ยขึ้นเสียงยานด้วยสีหน้าลำบากใจ
“คือว่า…”
แกรก…แกรก…
นักเรียนชายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเม้มปากรอฟังคำพูดที่เหลือ ริมฝีปากที่เม้มจนปิดสนิทเป็นเส้นตรงทำให้บรรยากาศดูเงียบสงัดและวังเวงอย่างบอกไม่ถูก เส้นผมที่ยาวปรกดวงตา สายตาที่ดูหม่นหมอง รวมถึงผิวที่ขาวจนซีดนั้นก็เช่นกัน
แกรก…แกรก…
“…นายกำลังบอกว่า…รู้สึกหนักที่ไหล่…งั้นสินะ?”
เขาดูไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ กับคำพูดที่หลุดออกจากปากอย่างยากเย็น ทำเพียงทอดสายตามองมูรยองด้วยดวงตาสีดำสนิทราวกับแอ่งน้ำหมึก เส้นผมที่ปรกลงมาพาดยาวอยู่บนไหล่ของเขา
“อืม”
แกรก…แกรก…
“…”
ทำไมกันนะ ทำไมหน่วยเสียงเพียงเสียงเดียวที่อีกฝ่ายพูดออกมาถึงทำให้ความรู้สึกของเขามันแจ่มชัดขึ้นได้มากขนาดนี้ จะว่าเป็นเสียงที่กระซิบอยู่ข้างหูก็ไม่ใช่ แต่ทำไมถึงชวนให้รู้สึกเหมือนอยู่ใกล้จนขนลุกได้ขนาดนี้
แกรก…แกรก…
มูรยองฝืนหลุบตาลงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ป้ายชื่อที่ติดอยู่ตรงหน้าอกมีชื่อ ‘คีฮวานยอง’ สลักไว้ ทว่าป้ายนั้นกลับมีเส้นผมที่ยาวสยายบดบังไปครึ่งหนึ่ง
“รู้สึกหนักที่ไหล่ก็ต้องไปโรงพยาบาลสิ…”
แกรก…แกรก…
ทำยังไงดีล่ะเนี่ย
มูรยองรู้สึกเหมือนในลำคอแห้งผาก แม้เขาจะลองกำมือแน่นและคลายออกพลางคิดๆ ดูเท่าไหร่ แต่ก็ยังหาทางออกเหมาะๆ ไม่เจอ แม้แต่คำพูดที่เอ่ยออกไปเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศก็ยังไม่อาจทำให้ฮวานยองมีปฏิกิริยาใดๆ ตอบกลับมาได้
แกรก…แกรก…
“…”
มูรยองลอบกลืนน้ำลาย ก่อนจำใจเงยหน้าขึ้นโดยไม่ลืมที่จะส่งยิ้มให้อีกฝ่ายด้วยสีหน้าที่เป็นมิตรที่สุดเพื่อไม่ให้ฮวานยองรู้สึกหวาดระแวง ในจังหวะเดียวกันนั้นเขาก็เลื่อนสายตามองไปยังบริเวณเหนือไหล่ของฮวานยอง
แกรก…แกรก…
“…”
แกรก…แกรก…
“…”
แกรก…แกรก…
“…”
แกรก…
“…”
แกรก…
ความเงียบโรยตัวลงมาระหว่างพวกเขา แม้แต่เสียงเข็มของนาฬิกายังดังฟังชัดราวเสียงฟ้าผ่า เส้นผมที่ยาวยุ่งเหยิงพาดผ่านไหล่ของฮวานยองลงมาแผ่สยายอยู่บนโต๊ะเรียน
แกรก…
“…”
สายตาของเขาและมันสบกัน
กร่อบ…
เมื่อศีรษะที่โงนเงนไปมากลับมาตั้งตรงอีกครั้ง สายตาที่เคลื่อนมองมาก็ทำให้มูรยองเห็นตาขาวอันแดงก่ำเต็มตา เลือดที่หยดติ๋งๆ จับตัวกันเหนียวหนืดอยู่ตรงปลายเล็บรูปร่างประหลาด
แกรก…
“…”
มูรยองค่อยๆ ปรับการหายใจทั้งที่พูดอะไรไม่ออกอยู่อย่างนั้น แม้ฮวานยองจะชำเลืองมองมา เขาก็ทำได้เพียงกำมือแน่น
ฉันจะพูดออกไปยังไงดีนะว่ามีผีผมยาวสยายกำลังขี่หลังและใช้เล็บครูดไหล่ของนายแกรกๆ อยู่มาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว
⛥ ⛥ ⛥
สองวันก่อน | อาคารใหม่ | โรงเรียนมัธยมปลายแฮยอน
เช้ามืดที่ดวงจันทร์ทอแสงรำไร ทางเดินหน้าห้องเรียนในเวลาที่ยังเช้าอยู่มากเช่นนี้เงียบสงัดจนได้ยินเสียงลมพัดมาจากที่ไหนสักแห่ง เหล่าใบไม้เสียดสีกันอยู่ด้านนอก หน้าต่างที่ถูกล็อกไว้อย่างแน่นหนาสั่นเป็นพักๆ และมีเสียงดังครืดคราด
นักเรียนคนหนึ่งกำลังเดินเอื่อยไปตามทางเดิน ก้าวหนึ่งและตามด้วยอีกก้าวหนึ่ง การเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้านั้นช่างดูไม่มั่นคงราวกับเจ้าตัวไม่ได้มีสติสัมปชัญญะครบถ้วนดี สายตาที่เหม่อมองออกไปไกลๆ อย่างไร้จุดโฟกัสนั้นก็เช่นกัน
“…อยู่ที่ไหน…หาไม่เจอ…”
ไม่รู้ว่าเจ้าตัวกำลังพูดกับตัวเองหรือกำลังครวญครางอยู่กันแน่ เสียงพึมพำนั้นฟังดูไร้เรี่ยวแรง ริมฝีปากขยับพูดอยู่ตลอด แต่เกือบทุกคำแผ่วเบาราวกับเสียงลมหายใจที่ฟังแทบไม่ออก แต่แล้วคนที่เดินโซซัดโซเซเหมือนคนเมาผู้นี้จู่ๆ ก็หยุดยืนอยู่ตรงหน้าต่างสุดปลายทางเดิน
“ที่นี่…”
ขนาดของหน้าต่างใหญ่ประมาณคนลอดได้หากคู้ตัวสักหน่อย มันเป็นหน้าต่างเตี้ยๆ ที่คนตัวสูงปีนขึ้นไปได้อย่างสบายๆ เพียงแค่ยกขาขึ้น
แกร๊ก…
ตัวล็อกถูกปลดออกโดยไม่ต้องยื่นมือไปแตะเอง อากาศชื้นๆ พัดเข้ามาทางช่องว่างของหน้าต่างที่เปิดออก
“…ที่นี่สินะ?”
ช่วงเวลาของความลังเลนั้นช่างแสนสั้น
พริบตาเดียวนักเรียนคนนั้นก็ใช้มือจับกรอบหน้าต่างและยกขาขึ้น เป็นการเคลื่อนไหวที่ทั้งรวดเร็วและแม่นยำเหมือนก่อนหน้านี้เขาไม่ได้เดินโซเซมาก่อน เขายกขาอีกข้างขึ้นตามแล้วโผตัวไปด้านนอกอย่างไม่รีรอ
จังหวะที่ร่างกายท่อนบนโอนเอนโน้มลงไปนั้นให้ความรู้สึกราวกับเป็นภาพสโลว์โมชั่น มือที่จับขอบหน้าต่างคลายออก สายตาที่ดูว่างเปล่ามีประกายยินดีปรากฏขึ้น
“ใช่แล้ว ตรงนี้แหละ” นักเรียนคนนั้นพูดพึมพำพลางหลับตาลงอย่างช้าๆ
“ไม่ได้นะ!”
พึ่บ!
เปลวไฟสีฟ้าพลันลุกโชนขึ้น แสงไฟที่วูบไหวไล่เกาะมือ เท้า และกระเป๋าของนักเรียนคนนั้นให้วุ่น ร่างที่ควรจะตกลงไปแล้วกลับหยุดลอยคว้างกลางอากาศในชั่วขณะ
ในตอนนั้นเอง…
“…!”
สัมผัสจากมือที่ออกแรงเต็มที่ได้คว้าจับต้นคอเอาไว้แน่น ไม่เพียงเท่านั้นเขายังใช้แขนอีกข้างรวบกอดเอวของนักเรียนคนนั้นเอาไว้ด้วย ร่างที่ถูกจับเอาไว้มั่นจึงหงายหลังล้มเข้ามาด้านในแทนที่จะเป็นนอกหน้าต่าง
ตุ้บ!
ในจังหวะเดียวกับเสียงดังนั้นร่างของนักเรียนก็นอนแผ่ลงกับพื้นของโถงทางเดินหน้าห้องเรียน แต่หากจะพูดให้ถูกเขาใช้ร่างของใครอีกคนเป็นเบาะรองและแค่ล้มก้นกระแทกพื้นเบาๆ ส่วนคนที่ทิ้งตัวลงไปทั้งตัวและโอบกอดเขาเอาไว้นั้นได้แต่ส่งเสียงร้องโอดโอยอย่างเจ็บปวดระหว่างลุกขึ้น
“อ๊าก…เจ็บชะมัด”
“…”
“โอ๊ย…ให้ตายสิ เอาหินใส่กระเป๋ามาด้วยหรือไงเนี่ย…”
เปลวไฟล่องลอยขึ้น มันเพิ่มเป็นสองดวง จากนั้นก็เพิ่มขึ้นอีกเป็นสามดวง พวกมันลอยอ้อยอิ่งอยู่เหนือศีรษะของพวกเขาราวกับกำลังเป็นกังวล นักเรียนเหม่อมองไปในอากาศอันว่างเปล่านิ่ง ก่อนจะมีปฏิกิริยาตอบสนองดังขึ้นจากคนทางด้านหลัง
“ฉันไม่เป็นไร แค่ข้อศอกกระแทกน่ะ”
น้ำเสียงสดใสนั้นให้ความรู้สึกคล้ายกับเด็กที่ยังไม่โตเป็นหนุ่มเต็มวัย เสียงพูดที่อยู่ตรงเส้นแบ่งระหว่างเด็กผู้ชายและชายหนุ่มทำให้บรรยากาศที่อึมครึมและเย็นเยียบค่อยๆ ผ่อนคลายลง เขาถอนหายใจเสียงดังฟู่แล้วหันไปพูดกับนักเรียนที่อยู่ทางฝั่งศีรษะของตน
“เป็นอะไรไหมครับ ช่วยตั้งสติ…”
“…”
เมื่อสายตาสบประสาน ในแววตาของนักเรียนคนนั้นไม่มีทั้งความตกใจหรือความไม่พอใจ ทำให้คนที่สบตากับนักเรียนตรงหน้า…ซึ่งคนที่ว่านั้นก็คือมูรยองย่นหว่างคิ้วด้วยสีหน้าลำบากใจ
“อา…ถูกสิงเข้าเต็มๆ เลยแฮะ”
ใบหน้าของนักเรียนดูไร้ชีวิตจิตใจ ต่อให้ผิวขาวมาตั้งแต่เกิดก็เป็นไปไม่ได้ที่จะซีดจนไร้สีเลือดฝาดขนาดนี้ ไหนจะสายตาว่างเปล่าไร้จุดโฟกัสนั่นอีก แถมล้มขนาดนี้แต่กลับไม่ส่งเสียงร้องออกมาสักแอะ
มูรยองถอนหายใจเบาๆ ขณะใช้มือปิดเปลือกตาของนักเรียนคนนั้น
“ออกมาเถอะครับ อย่ารังแกนักเรียนผู้บริสุทธิ์เลย”
“…”
แก้มของนักเรียนเกิดอาการกระตุกเบาๆ แม้ดวงตาจะถูกปิดไว้ แต่มูรยองสัมผัสได้ว่าเขาคนนี้กำลังรู้สึกเสียใจ
ทำไมถึงได้เป็นแบบนี้กันนะ
ท่ามกลางความสงสัยเช่นนั้น ริมฝีปากขาวซีดก็ขยับปากเอื้อนเอ่ยอย่างช้าๆ
“ที่นี่…หาไม่เจอ…”
“…”
“…ของฉัน…”
มูรยองเงี่ยหูไปทางริมฝีปากของอีกฝ่ายโดยที่ยังไม่ละมือออกมา ในตอนนั้นเองเขาถึงได้ยินถ้อยคำแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบที่พรั่งพรูออกมาเป็นประโยคครบถ้วน นักเรียนตรงหน้าพูดด้วยเสียงแหบแห้งว่า…
“ไม่รู้ห้องเรียนของฉันอยู่ไหน…มันต้องเป็นตรงนี้สิ มันเคยอยู่ตรงนี้…แต่ฉันหาไม่เจอเลย…”
“…”
มูรยองที่ปิดปากไม่พูดอะไรหลุบตาลงเงียบๆ ไม่จำเป็นต้องถามซ้ำเลยว่านั่นหมายความว่าอย่างไร เพราะมีเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้นที่ทำให้เสียงงึมงำของเขาคนนี้ฟังดูคับข้องใจอยู่ตลอดเวลา
“…ชั้นเรียนอะไร ห้องไหนครับ”
“หืม…?”
เปลวไฟที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่เริ่มลุกโชนขึ้นอีกครั้ง ดูเหมือนมันกำลังต่อต้านคำถามเมื่อกี้ของมูรยองอย่างหนัก มูรยองยกมือข้างที่ไม่ได้ใช้ปิดตานักเรียนชูนิ้วชี้ขึ้นราวกับจะขอให้มันลองดูสักครั้ง
“ถ้าบอกชั้นปีกับห้องมา ผมจะพาคุณไปครับ”
“…จริงเหรอ”
“ครับ ผมเป็นนักเรียนของที่นี่”
“อืม…อืม…”
“แต่ก่อนอื่นรบกวนออกจากร่างนั้นก่อนเถอะนะครับ โอเคไหมครับ”
“…”
แก้มของนักเรียนขยับเล็กน้อยเหมือนลังเลใจ และแทนที่จะเอ่ยปากเร่งเร้า มูรยองกลับหันไปพลิกสำรวจดูกระเป๋าที่นักเรียนคนนี้สะพายอยู่แทน
น้ำหนักไม่ใช่เล่นๆ เลยแฮะ ลำพังแค่หนังสือแบบฝึกหัดอย่างเดียวก็มีอยู่เกินห้าเล่มแล้ว
“…ฉันไม่รู้วิธีออก…”
“ครับ?”
“เรื่องนั้น…ฉันทำไม่ได้หรอก…”
ท่าทางการพูดที่ดูอ้อมแอ้มนั้นไม่ว่าใครฟังก็รู้ว่าโกหก แม้แต่เหล่าเปลวไฟที่ล่องลอยอยู่รอบตัวมูรยองเองก็ลอยหมุนวนเหมือนจะบอกว่า ‘ดูเอาเถอะ’ มูรยองจึงลอบเลียริมฝีปากก่อนยื่นข้อเสนอให้ด้วยน้ำเสียงประนีประนอม
“งั้นก็ไปกันทั้งแบบนี้แหละครับ”
“…”
“แต่ต้องหลับตาเอาไว้จนกว่าจะถึงนะครับ โอเคไหม”
ไม่มีคำตอบใดตอบกลับมา แต่นั่นก็ถือเป็นการตกลงในอีกแบบแล้ว มูรยองเอามือออกอย่างไม่ไว้ใจนัก หลังจากดูจนแน่ใจแล้วว่านักเรียนยังหลับตาอยู่เขาก็ลุกขึ้นยืน ทันทีที่เขาช่วยจับแขน นักเรียนก็โงนเงนลุกขึ้นตาม
“จะไปชั้นเรียนปีไหนนะครับ”
“ปีสาม”
“ห้องล่ะครับ”
“ห้องหนึ่ง…”
“อ๋า…ปีสามห้องหนึ่ง”
รอยยิ้มสว่างไสวปรากฏขึ้นบนใบหน้าของมูรยอง เขายิ้มจนตาหยีดูอบอุ่น ก่อนสะพายกระเป๋าขึ้นบนไหล่พร้อมกับหันไปขยิบตาให้กับลูกไฟที่ลอยอยู่ในอากาศ
“ตรงเผง”
[3-1]
นั่นคือเลขห้องที่เขียนไว้บนสมุดแบบฝึกหัดพอดี
มูรยองเป็นลูกคนสุดท้องของตระกูลมือปราบวิญญาณอันรุ่งโรจน์และมีชื่อเสียง ครอบครัวเขามีทั้งพ่อแม่ที่รักใคร่กันดี พี่ชายที่ขี้เล่น พี่สาว และลูกหมาหนึ่งตัว เขาเติบโตมาด้วยความรักจากคนทั้งบ้าน ทั้งยังได้รับการทำนายว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่ในรอบร้อยปีจะมีสักคน
พลังวิญญาณที่มูรยองมีนั้นเหนือกว่าระดับพลังวิญญาณของพวกผู้ใหญ่มาตั้งแต่แรกเกิด และแม้จะไม่ได้รับการฝึกฝนเป็นพิเศษ แต่เขาก็รู้วิธีจัดการกับพลังเหล่านั้นได้ดั่งใจนึก ไหนจะความสามารถในการสัมผัสวิญญาณอันโดดเด่นนั่นอีก พรสวรรค์ระดับนี้ต้องบอกว่าเขาไม่ใช่แค่คนธรรมดาอยู่แล้ว
พลังของเขานั้นถึงกับมีคำที่กล่าวกันไปทั่วว่า ‘ถ้าจะเอาชนะคิมมูรยองคงต้องเกิดวันอธิกวาร* ให้ได้เสียก่อน’ แต่แน่นอนว่าพูดไปก็เท่านั้น เพราะมูรยองเกิดในเดือนอธิกมาส**
อย่างไรก็ดีทุกวันนี้มูรยองผู้มีอนาคตสดใสก็กำลังเดินไปบนเส้นทางของการเป็นมือปราบวิญญาณอย่างราบรื่นไร้ปัญหา ตอนกลางวันไปโรงเรียนมัธยมปลายตามปกติ ตอนกลางคืนฝึกควบคุมจิตอยู่ที่บ้าน และในบางครั้ง…
“ผี”
เขาก็มีงานอดิเรกเป็นการจับผี
“…ว่าไงนะ”
“ฉันไม่ได้นอนเพราะผี…”
เดือนพฤษภาคมที่การสอบกลางภาคได้เสร็จสิ้นลงไปแล้ว ตอนที่ทุกคนกำลังอยู่ในช่วงเวลาว่างเพราะยังไม่ถึงเวลาเข้าเรียน มูรยองกลับฟุบหน้าลงกับโต๊ะพลางร้องโอดครวญออกมาเสียงดัง ตาที่ใกล้จะปิดอยู่รอมร่อแบบนั้น ใครเห็นก็รู้ว่าเป็นอาการของคนง่วงนอน
“อ๋า…ผีนี่เอง”
ซอซึงจูที่นั่งอยู่ข้างเขาผงกศีรษะอย่างเข้าใจสถานการณ์ ในฐานะคนที่เห็นมูรยองมาตั้งแต่เด็กอย่างเขา เพียงได้ยินคำว่า ‘ผี’ คำเดียวก็มากพอให้เดาสถานการณ์คร่าวๆ ได้แล้ว บางทีเพื่อนของเขาคนนี้อาจถูกใครสักคนว่าจ้าง หรือไม่อย่างนั้นคิมมูรยองก็อาจแค่กำลังแสดงคุณสมบัติเฉพาะตัวด้านการสอดรู้สอดเห็นอยู่ก็เท่านั้นเอง
“รับงานมาสินะ?”
“…”
การเดาครั้งแรกผิดไปอย่างน่าเสียดาย มูรยองหลบตาเงียบๆ แทนการตอบ ซึงจูเลยเดาะลิ้นเป็นเชิงบอกว่า ‘พ่อมือปราบผีอาสาสมัครคนเก่ง’
“คราวนี้เรื่องอะไรอีกล่ะ”
“…”
มูรยองยู่หน้าทันควัน ดวงตากลมจึงหรี่ลงอย่างไม่เข้าใจ ถึงมูรยองจะทำหน้าเหมือนหนักใจ แต่ซึงจูรู้ดีว่าอีกเดี๋ยวมูรยองก็จะเล่าออกมาเอง
“ก็แบบว่า…เรื่องที่พวกรุ่นพี่หมดสติกันที่ตึกใหม่น่ะ”
มูรยองเล่าความจริงออกมาโดยที่ยังทำหน้าหงิกหน้างออยู่แบบนั้น ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ซึงจูก็รู้ดีอยู่แล้ว
“เรื่องแปลงดอกไม้ของอาจารย์สอนภาษาอังกฤษสินะ?”
ที่ตึกใหม่ของโรงเรียนมัธยมปลายแฮยอนมีแปลงดอกไม้ที่อาจารย์สอนภาษาอังกฤษสูงวัยเป็นคนดูแล เป็นสถานที่ที่ใช้ปลูกดอกไม้ตามฤดูกาลทั้งในฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง ไม่นานมานี้ที่แห่งนั้นได้กลายเป็นสถานที่ที่มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะทุกเช้าจะมีนักเรียนมัธยมปลายปีสามผลัดเปลี่ยนกันมาหมดสติอยู่ตรงแปลงดอกไม้นั้นโดยไม่ทราบสาเหตุ
“ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ดีที่เมื่อวานฉันลองไปเฝ้าที่นั่นไว้ก่อน”
เมื่อคืนมูรยองถ่างตาเฝ้าตึกใหม่เพื่อหาสาเหตุของปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ทั้งคืน เขาซ่อนตัวอยู่ในห้องเรียนที่มองเห็นแปลงดอกไม้ได้ชัดเจนและอดทนรออย่างใจจดใจจ่อจนถึงเช้า ถึงแม้ความง่วงจะถาโถมเข้ามาเป็นระยะๆ แต่การโต้รุ่งไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรสำหรับเขาอยู่แล้ว
“ก็เป็นไปตามคาดนั่นแหละ เด็กปีสามคนหนึ่งถูกผีเข้าแล้วก็พยายามจะกระโดดหน้าต่าง”
“บ้าน่า…หน้าต่างเนี่ยนะ”
“อืม หน้าต่างตรงหน้าแปลงดอกไม้นั่นแหละ”
“แล้วไงต่อ? นายได้จับเขาไม่ให้กระโดดไว้ไหม”
“ก็ต้องจับไว้สิ เนี่ย ฉันจับรุ่นพี่คนนั้นไว้แล้วโดนล้มทับเข้าเต็มๆ ข้อศอกช้ำไปหมดแล้วเนี่ย”
มูรยองเด้งตัวขึ้นนั่งพลางทำหน้าเหยเกระหว่างยื่นแขนขวาออกมาให้ดู มันเป็นส่วนที่ถูกกระแทกอย่างแรงระหว่างที่เขาจับนักเรียนคนนั้นเอาไว้แล้วล้มกลิ้งไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน พอลองไปดูในห้องน้ำก็เห็นว่ามีรอยช้ำสีเข้มตั้งแต่ข้อศอกลามลงมาถึงท่อนแขนด้านล่าง
“นายทำดีแล้วล่ะ ถ้าเกิดเขาตกลงไป…ไม่สิ เดี๋ยวนะ หน้าต่างที่ว่านั่นชั้นไหนน่ะ”
“…”
คำพูดของซึงจูทำให้มูรยองชะงักการเคลื่อนไหวไปครู่หนึ่ง ซึงจูขมวดคิ้วเล็กน้อยเหมือนกับว่ามีบางอย่างแปลกๆ ซึ่งมันแปลกตรงที่แม้คราวนี้คิมมูรยองจะเล่าว่าจับไว้ทัน แต่ที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้เขาก็ไม่เคยได้ยินว่าที่ตรงนั้นมีนักเรียนคนไหนได้รับบาดเจ็บเลยสักคน
และแล้วมูรยองก็ตอบกลับมาด้วยเสียงแผ่วเบาหลังเงียบอยู่นาน
“…ชั้นหนึ่ง”
พอจับนักเรียนคนนั้นไว้แล้ว เขาถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าจุดที่เขานั่งเฝ้าอยู่มันแค่ชั้นหนึ่งเท่านั้น
“ก็เห็นว่าเขาจะกระโดดลงไป เป็นใครก็ตกใจกันทั้งนั้นแหละ…”
มูรยองไม่ได้บอกไปว่าความจริงแล้วเป็นเพราะเขากำลังเคลิ้มจวนจะหลับอยู่ก็เลยยิ่งตกใจหน้าตาตื่นเป็นพิเศษ ด้วยความที่ไม่อยากทนฟังคำถามที่ว่ายังจะอดหลับอดนอนไปทำเรื่องพรรค์นั้นอยู่อีกเหรอ แต่แล้วซึงจูก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยือกตามคาด
“เดี๋ยวนี้นายถึงขั้นละเมอช่วยคนที่จะข้ามหน้าต่างออกจากชั้นหนึ่งจนตัวเองได้รับบาดเจ็บเลยสินะ?”
“…”
เขาไม่ได้พูดต่อว่า ‘โชคดีนะที่เป็นชั้นหนึ่ง ไม่งั้นได้งานเข้าแน่’ เพราะมูรยองที่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายกับทุกเรื่องก็จัดว่ายังพอมีไหวพริบอยู่เหมือนกัน ซึงจูถอนหายใจดังแล้วหยิบยาทาแผลออกมาจากกระเป๋าของตัวเอง
“แล้วทำไมไอ้ผีบ้านั่นถึงได้มาฆ่าตัวตายที่ชั้นหนึ่งล่ะ”
“นี่ ฆ่าตัวตายอะไรกัน ไม่ได้จะฆ่าตัวตายสักหน่อย”
มูรยองยื่นแขนไปหาซึงจูโดยไม่พูดอะไร ทีแรกเขาลองพับแขนเสื้อขึ้นแต่สภาพมันออกมายับเยินดูประหลาด เขาเลยตัดสินใจถอดเสื้อออกแทน คงต้องขอบคุณเสื้อยืดที่สวมไว้ด้านใน เขาจึงไม่อายที่จะปลดกระดุมออก ซึงจูช่วยทายาให้ด้วยนิ้วมือสากด้านพลางถามขึ้นอย่างไม่ใส่ใจนัก
“ถ้าไม่ใช่ฆ่าตัวตายแล้วอะไร”
“เธอก็แค่อาจารย์ที่มีความรับผิดชอบมากคนหนึ่ง”
หางตาของมูรยองตกลงแลดูเศร้า เวลาเห็นอีกฝ่ายทำสีหน้าแบบนี้ทีไร ซึงจูเองก็พลอยใจอ่อนยวบโดยไม่รู้ตัวทุกที ในวินาทีเดียวกันนั้นเขาก็นึกสงสัยว่าเจ้าคนที่มีนิสัยเข้าใจหัวอกคนอื่นนี่ไปได้ยินเรื่องราวแบบไหนมาอีก
“ตรงที่ที่เป็นตึกใหม่เคยเป็นพื้นที่ของตึกร้าง เธอเป็นอาจารย์ที่เคยทำงานที่นั่นเมื่อนานมาแล้ว”
ไม่นานมานี้มีงานก่อสร้างโดยทุบตึกร้างที่มุมหนึ่งของโรงเรียนทิ้งเพื่อสร้างตึกใหม่ การก่อสร้างถูกวางแผนเอาไว้ตั้งแต่ก่อนมูรยองเข้าเรียนที่นี่ แต่เพิ่งมาเริ่มดำเนินการอย่างจริงจังตอนที่พวกเขาอยู่ชั้นมัธยมปลายปีสอง เหล่านักเรียนต่างพากันไม่พอใจว่าทำไมถึงได้ล่าช้านัก แต่มูรยองคิดว่าอย่าไปยุ่งวุ่นวายกับที่แห่งนั้นน่าจะดีกว่า
“เพิ่งได้เป็นอาจารย์ประจำชั้นครั้งแรกก็ดันกลายเป็นแบบนั้นไปเสียได้…เธอเองก็รู้ว่าตัวเองตายแล้ว แถมรู้อยู่แล้วด้วยว่าการทำแบบนี้มันผิด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังรู้สึกติดค้างในใจเลยไปสิงร่างของเด็กที่เธอมองเห็น”
“…งั้นเข้าไปในห้องเรียนดีๆ ก็ได้นี่ ทำไมต้องโดดหน้าต่างด้วยเล่า”
“ฉันลองดูผังตึกก่อนที่จะทุบแล้ว ตรงนั้นคือห้องของปีสามห้องหนึ่ง”
เนื่องจากเป็นตึกที่สร้างขึ้นใหม่ ตำแหน่งของห้องเรียนจึงไม่เหมือนเดิม ผีที่ความรู้สึกนึกคิดไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ย่อมไม่มีทางหาห้องเรียนที่เปลี่ยนแปลงไปแล้วเจอ จึงทำได้แค่ล่องลอยไปมาไม่รู้จบ หรือไม่ก็วนเวียนอยู่ในที่ที่ตัวเองรู้จักอยู่แล้วเท่านั้น
“พอได้เข้าห้องเรียนและไปยืนอยู่หน้าโต๊ะอาจารย์ เธอถึงได้ไปสู่สุคติ”
อันที่จริงเธอได้แนะนำตัวและบอกชื่อกับเขาด้วย แต่มูรยองไม่ได้เล่าไปถึงขั้นนั้น เพราะถ้าลงรายละเอียดไปมากกว่านี้ ซอซึงจูก็จะเริ่มบ่นเขาตามความเคยชินของเจ้าตัวทันที แล้วมูรยองก็รู้ดีเลยว่านิ้วมือที่ทายาให้เขาอยู่ตอนนี้จะสามารถทำให้เขาเจ็บได้มากขนาดไหน
“ดีแล้วล่ะ ทีนี้อาจารย์สอนภาษาอังกฤษจะได้เลิกร้องไห้ว่าแปลงดอกไม้พังหมดแล้วสักที”
ซึงจูที่ทายาอย่างเบามือเสร็จแล้วเช็ดนิ้วกับเสื้อของมูรยอง นับเป็นการกระทำที่หน้าไม่อายเอามากๆ เพราะเจ้าตัวก็มีกระดาษทิชชูอยู่ในล็อกเกอร์แท้ๆ แต่มูรยองก็ไม่ได้พูดอะไร ได้แต่ทำปากบ่นงุบงิบเท่านั้น
หลังจากนั้นมูรยองก็หลับไปจนถึงเวลาพักเที่ยง เขาหลับทั้งในคาบโฮมรูมและคาบเรียนแรกของวัน แม้แต่ระหว่างที่กำลังเดินไปยังห้องดนตรีที่ไม่น่าจะหลับได้ เขาก็ยังเดินสัปหงกไปตลอดทาง
นั่นถือเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ถึงแม้เขาจะอธิบายให้ซึงจูฟังไปแค่คร่าวๆ แต่ที่จริงนี่คือวันที่สามแล้วที่มูรยองโต้รุ่งติดกัน แม้จะถูกเรียกว่าเป็นผู้มีความสามารถด้านวิญญาณที่เกิดมาพร้อมพรสวรรค์ แต่อย่างไรเสียการอดหลับอดนอนขนาดนี้ มนุษย์เราย่อมต้องง่วงเป็นธรรมดา
“คิมมูรยอง ตื่นสักทีเถอะน่า ไปกินข้าวกันได้แล้ว”
“อือออ…”
“อืออะไรกันเล่า นายนี่นะ บอกให้ตื่นได้แล้วไง”
ซึงจูเขย่าปลุกมูรยองอย่างไม่ลังเลใจท่ามกลางเสียงออดบอกเวลาพักเที่ยง มูรยองที่งัวเงียปรือตาขึ้นมาโบกมือไล่เหมือนรำคาญ สื่อเป็นนัยว่า ‘นายไปกินคนเดียวเถอะ’ แต่ซึงจูก็ยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
“นี่ กินข้าวกลางวันก่อนแล้วค่อยมานอน”
หากเป็นเวลาเรียนก็ไม่แน่ แต่ถ้าเป็นเวลาพักเที่ยงเช่นนี้ ซึงจูไม่มีวันยอมอ่อนข้อให้แน่นอน ในพจนานุกรมของซอซึงจูไม่มีคำว่า ‘อดข้าวกลางวัน’ ในฐานะที่มูรยองเองก็เป็นคนที่ต้องใช้พลังจิต เพราะอย่างนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องรักษาพลังงานในร่างกายไว้ไม่ให้หมดแรง
สุดท้ายแล้วซึงจูจึงต้องลากถูลู่ถูกังมูรยองไปที่โรงอาหาร นักเรียนทุกคนที่มองมาเห็นมูรยองในสภาพที่กึ่งๆ จะถูกแบกขึ้นหลังต่างพากันกลั้นขำ
มูรยองคืนสติตั้งแต่กลางทาง แต่ก็ยังเกาะหลังซึงจูเอาไว้ด้วยเหตุผลที่ว่าขี้เกียจเกินกว่าจะเดินด้วยเท้าของตัวเอง
“พวกนั้นพากันมาในสภาพนั้นอีกแล้ว”
“มูรยองยังหลับอยู่อีกเหรอ”
“ซอซึงจูนี่ก็โคตรใจดีเลย ถ้าเป็นฉันป่านนี้คงทิ้งมูรยองไปแล้ว”
“คนเป็นพ่อจะทิ้งลูกลงได้ยังไงกัน”
“ไอ้คนที่เรียกฉันว่าพ่อน่ะ ออกมานี่เลยนะเว้ย”
ประโยคหลังสุดนั้นโพล่งออกมาจากปากของซึงจู ในขณะที่มูรยองกลับยิ้มอย่างสดใสพลางแกว่งขาไปมาต่างจากซึงจูที่กำลังหัวร้อนอย่างสิ้นเชิง ท่าทางแบบนั้นก็ชัดเจนแล้วว่าเจ้าตัวนึกชอบใจแค่ไหน ไม่เพียงเท่านั้นเขายังทำให้สถานการณ์นี้น่าอายมากยิ่งขึ้นไปอีกด้วย
“พ่อค้าบ ป้อนผมหน่อย หม่ำๆ”
“ไอ้บ้านี่”
ซึงจูสลัดเจ้าลูกชายที่เกาะหนึบติดหลังเหมือนหมากฝรั่งทิ้งอย่างไม่ลังเล มูรยองที่ลงสู่พื้นเต็มสองเท้าอย่างมีทักษะยืดตัวขึ้นยืน ด้วยความที่ได้นอนอย่างเต็มอิ่มมาตลอดเช้า ร่างกายเลยเบาสบายขึ้นเยอะ
“คิมมูรยอง นายทำอะไรทุกคืนถึงได้หลับตลอดเลย นายออกไปจับผีจริงดิ”
ระหว่างทางเดินไปยังโรงอาหารเด็กหนุ่มคนหนึ่งก็ถามขึ้นมาอย่างแหย่ๆ ซึ่งใครดูก็รู้ว่าแค่ล้อเล่น มูรยองเลยตอบว่า “รู้ได้ไงน่ะ” ไปแบบไม่ได้คิดมาก มีเพียงซึงจูเท่านั้นที่ขมวดคิ้วและถอนหายใจ
“โลกนี้มีผีที่ไหนกัน”
“ทำไมล่ะ ฉันเชื่อเรื่องผีนะ”
“ฉันด้วย ตอนแรกก็ไม่เชื่อหรอก แต่พอเห็นมูรยองแล้วก็ดูท่าว่าจะมีจริงๆ”
แล้วหัวข้อการสนทนาก็ตามมาด้วยเรื่องผีที่ถูกโพสต์เล่าเรื่องราวบนอินเตอร์เน็ตเป็นซีรี่ส์ อย่างเช่นมีอะไรบางอย่างออกมาจากตู้เสื้อผ้า มีใครมาเคาะประตูแต่ด้านนอกกลับไม่มีคนอยู่ ไปจนกระทั่งมองเห็นยมทูตในความฝัน ซึ่งเป็นหัวข้อการสนทนาที่ไม่ค่อยสนุกสักเท่าไหร่สำหรับมูรยองที่ถูกผีก่อกวนจนเช้า
“มูรยอง ไหนๆ ก็พูดแล้ว ฉันขอรบกวนเรื่องหนึ่งสิ”
จู่ๆ คนที่ยืนอยู่ด้านข้างก็คว้าแขนมูรยองไว้แล้วพูดขึ้น อีกฝ่ายเป็นเพื่อนที่เคยพูดมาตลอดว่าไม่เชื่อเรื่องผี แต่แทนที่จะชี้ให้เห็นถึงความจริงข้อนั้น มูรยองกลับคิดอะไรในใจไปเรื่อยเปื่อย
“อืม…”
หลังเข้าโรงเรียนมัธยมปลายมา มูรยองก็เริ่มรับงานปราบผีแบบง่ายๆ อย่างเช่นช่วงนี้ได้ยินเสียงแปลกๆ ดังมาจากห้องดนตรี ช่วงนี้ลิฟต์ที่คอนโดฯ ดูแปลกๆ หรือแม้แต่การฝันร้ายในตอนกลางคืน
ตอนแรกเขาก็รับเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณ แต่มันก็ค่อยๆ ผิดเพี้ยนไป จนตอนนี้กลายเป็นว่าเขารับงานจำพวกไล่สตอล์กเกอร์หรือสวมบทเป็นแฟนหนุ่มไปด้วยแล้ว นับเป็นการถูกจ้างที่คล้ายการเป็นนักแก้ปัญหามากกว่าจะเป็นนักปราบผี แต่มูรยองไม่เคยนึกเกี่ยงหากมันเป็นงานที่ได้ช่วยเหลือผู้คน ยิ่งไปกว่านั้นเขายังได้ค่าตอบแทนจากงานพวกนี้เรื่อยๆ อีกต่างหาก
สิ่งที่น่าแปลกคือค่าจ้างนั้นไม่ใช่เงิน แต่เป็นสิ่งของ
“มินจี พอดีว่าฉันไม่มีอะไรจะรับจากเธอน่ะ…”
“จ่ายเป็นเงินไม่ได้เหรอ”
“เงินฉันเยอะแล้วน่า”
มูรยองมักขอของเก่าๆ ชิ้นเล็กชิ้นน้อยจากผู้ว่าจ้าง ของจำพวกดินสอกดที่ใช้มาตั้งแต่เด็ก ยางลบทู่ๆ หรือแหวนคู่สำหรับมิตรภาพแบบขำๆ ยิ่งเล็กและยิ่งเก่าได้เท่าไหร่ก็ยิ่งดี
“ว่าแต่เธอพอจะมีของเก่าๆ บ้างไหมล่ะ เก่าแบบที่เกินสิบปีน่ะ”
“แหวนคู่ที่เคยใส่คู่กับแฟนเก่าได้ไหม”
“…แล้วนั่นมันเกินสิบปีหรือไงล่ะ”
มูรยองหัวเราะคิกคัก มินจีจึงยกยิ้มแหยๆ พร้อมกับตอบว่า “คิดไว้แล้วเชียวว่าคงไม่ได้”
ในวินาทีที่มูรยองตั้งท่าจะถามต่อว่า ‘ถ้างั้นเธอพอมีของคล้ายๆ พวกยางรัดผมที่ใช้ตอนสมัยเด็กไหม’
“…”
จู่ๆ มูรยองก็สัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างที่ไม่คุ้นเคยจากที่ไหนสักที่ มันเป็นกลุ่มก้อนความหนาวยะเยือกรุนแรงชนิดที่ทำให้เสียวสันหลังวาบจนเขาต้องหันไปมองอย่างลืมตัว ในตอนนั้นเองที่มีใครบางคนออกมาจากโรงอาหารและเดินเฉียดผ่านมูรยองไป
“มีอะไร”
“เปล่า…”
เขาคนนั้นเป็นนักเรียนที่ตัวสูงใหญ่กว่าเพื่อนในรุ่นเดียวกันคนอื่น ไหล่ของเขากว้างจนไม่เหมือนนักเรียนมัธยมปลาย ท่าทางการเดินดูเนือยๆ มูรยองมองดูเขาเดินห่างออกไปช้าๆ พลางส่ายหัวทั้งที่ยังคงหรี่ตามอง
“ไม่มีอะไร”
“แต่ฉันว่ามีนะ”
แน่นอนว่าซึงจูไม่เชื่อคำพูดของมูรยอง เขาจึงย้อนด้วยน้ำเสียงระอาพร้อมกับหันมองไปในทิศทางเดียวกัน ใครคนนั้นเดินผ่านไปไกลแล้ว เขาเลยต้องกะพริบตาถี่รัวเพื่อเพ่งมองชั่วครู่ ก่อนจะหลุดพูดชื่อหนึ่งที่แสนคุ้นเคยออกมา
“คีฮวานยอง?”
ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่าถึงได้เห็นคนที่เดินอยู่ไกลๆ หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ระยะห่างขนาดนี้ไม่มีทางที่คีฮวานยองจะได้ยินแน่ๆ เขาน่าจะแค่ตาฝาดไปเอง
“คีฮวานยองเหรอ ไหนๆ”
“โห ตัวสูงใหญ่ทุกครั้งที่เห็นเลยแฮะ”
“ตัวสูงจัง อิจฉาชะมัด”
“ฉันว่าสูงขนาดนั้นก็ไม่ดีหรอก…”
“ไร้สาระน่า ที่พูดแบบนี้เพราะนายเตี้ยน่ะสิ”
หัวข้อสนทนาจากที่ตอนแรกเป็นเรื่องผี ตอนนี้กลับข้ามไปเป็นเรื่องคีฮวานยองอย่างรวดเร็ว บ้างก็ว่าเขาหล่อมากแต่ไร้มารยาท บ้างก็ว่าพวกเด็กเรียนเก่งก็เป็นแบบนี้กันหมดแหละ
ขณะที่บทสนทนาใกล้จะกลายเป็นการนินทาลับหลังไปทุกทีๆ ด้วยความเห็นที่เพื่อนคนหนึ่งซึ่งเคยเรียนร่วมห้องกับเขาเล่าออกมาอย่างออกรส ซึงจูก็หันมาถามมูรยอง
“จู่ๆ หมอนั่นมันทำไม”
มูรยองสอดมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงโดยไม่ได้ตอบอะไร ปลายนิ้วของเขาสัมผัสเข้ากับพลาสติกแข็งๆ พอแน่ใจว่าฮวานยองเลี้ยวตรงมุมตึกในจังหวะที่คิดไว้แล้วจึงละสายตาออกมาเหมือนไม่ได้สนใจอะไร
“เปล่า แค่เห็นว่าสูงเลยอิจฉาน่ะ”
คำตอบแบบหน้าตายนั้นทำให้ซึงจูเลิกสงสัย พร้อมกับตบไหล่ปลอบเขาด้วยสีหน้าเห็นใจพลางบอกว่า “ไม่เป็นไรนะ นายแค่ยังอยู่ในวัยกำลังโต” เป็นการปลอบที่ไม่ค่อยมีความจริงใจเจือปนอยู่สักเท่าไหร่ แต่มูรยองก็จะยอมเชื่อแล้วกัน
หลังจากนั้นหัวข้อสนทนาก็เปลี่ยนเป็น ‘ทำไมคีฮวานยองถึงได้ไปไหนมาไหนตัวคนเดียว’ บางคนเดาว่าเพราะเขาไม่มีเพื่อน บางคนก็เดาไปในแง่ลบว่าเขาดูเหมือนไม่คิดจะคบเพื่อนเลยด้วยซ้ำ มูรยองตัดบทการสนทนาพวกนั้น ก่อนจะเอ่ยปากถามเพื่อนคนที่มีเรื่องจะขอร้องก่อนหน้านี้
“สรุปว่าเรื่องที่จะให้ช่วยคือ?”
* วันอธิกวาร (Leap Day) คือวันที่ 29 กุมภาพันธ์ ซึ่งในรอบสี่ปีจะมีหนึ่งครั้ง
** อธิกมาส เป็นคำจากภาษาบาลีสันกฤต โดยอธิก แปลว่าเกิน มาก ส่วนคำว่ามาส แปลว่าพระจันทร์หรือเดือน อธิกมาสจึงหมายถึงเดือนที่เพิ่มขึ้นในปีจันทรคติ กล่าวคือในปีนั้นจะมีสิบสามเดือน โดยมีเดือนแปดสองหน เมื่อหมดเดือนแปดแล้วก็จะนับซ้ำอีกครั้ง เรียกว่าเดือนแปดแรกและเดือนแปดหลัง