ทดลองอ่าน มือปราบ (วิญญาณ) คนนี้ชื่อคิมมูรยอง เล่ม 1 Chapter 2-1 ถึง 2-3 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน มือปราบ (วิญญาณ) คนนี้ชื่อคิมมูรยอง เล่ม 1 Chapter 2-1 ถึง 2-3 #นิยายวาย

Chapter 2-2

 

ในตอนที่มูรยองเดินออกมาหลังอาบน้ำเสร็จ ฮวานยองกำลังนั่งอยู่ที่โซฟาในห้องนั่งเล่น ในบ้านหลังนี้คงมีห้องน้ำอีกห้อง เขาที่เห็นในตอนนี้ถึงได้อยู่ในชุดสบายๆ โดยมีผ้าขนหนูพาดไว้ที่คอ มูรยองมองดูเส้นผมสีดำสนิทที่ยังคงเปียกอยู่นั้นแล้วเอ่ยเรียกชื่อเขาด้วยเสียงเรียบ

“คีฮวานยอง”

“…”

ไหล่กว้างนั้นขยับไหวเล็กน้อย ถึงจะเป็นการเคลื่อนไหวที่เห็นได้ไม่ชัดเจนนัก แต่มูรยองก็สังเกตเห็นว่าเมื่อครู่เขาตกใจ พอเห็นว่าเขาหันมามอง มูรยองก็ยิ้มแหยอย่างอายๆ

“โทษทีนะ…แต่นายมีชุดที่เล็กกว่านี้ไหม”

เขารู้สึกได้ตั้งแต่ตอนสวมเสื้อที่ฮวานยองให้มาลงบนศีรษะแล้ว

โห ตัวใหญ่ขนาดนี้ใช้แทนผ้าห่มยังได้เลย

“ต่อให้ใช้หนังยางรัดก็น่าจะใส่ไม่ได้อะ”

เสื้อผ้าของฮวานยองใหญ่จนคำที่มูรยองบอกว่า ‘เดี๋ยวใส่แล้วพับแขนเอาง่ายๆ ก็ได้’ กลายเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ นอกจากแขนเสื้อที่เหมือนจะต้องใส่ไปเต้นระบำซึงมู* แล้ว คอเสื้อยังกว้างจนเห็นกระดูกไหปลาร้า แม้แต่ตอนยืนอยู่เฉยๆ ก็ยังยาวเกินแขนเขาไปมาก ต่อให้เอาเสื้อผ้าของพ่อมาใส่ก็ยังไม่ขนาดนี้

แต่เสื้อก็ยังนับว่าดีมากแล้ว เพราะในส่วนของกางเกงนั้นมูรยองต้องพับขากางเกงขึ้นมาถึงสี่ทบและใช้หนังยางรัดให้แน่นสุดชีวิตกว่าจะออกมาจากห้องน้ำได้ ไหนจะตรงส่วนเอวที่คอยแต่จะไหลลงจากเอวอีก พอปล่อยมือที่จับไว้อย่างเก้ๆ กังๆ สภาพเขาก็ดูไม่จืดเลย

“นายนี่สูงชะมัดเลยแฮะ…”

“หึ”

ฮวานยองแค่นหัวเราะให้กับรอยยิ้มเก้อเขินนั้น ถ้าจะพูดให้ถูกคงต้องบอกว่ามันคล้ายกับการหัวเราะแบบหมดคำจะพูดมากกว่า

“ก็บอกแล้วไงว่าบ้านฉันไม่มีไซส์นาย”

“ก็ฉันไม่คิดว่าจะใหญ่ขนาดนี้นี่”

เขาเองก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าไซส์คงต่างกันประมาณหนึ่ง ฮวานยองตัวโตกว่านายแบบเสื้อผ้าทั่วไป ส่วนมูรยองก็จัดว่าค่อนข้างตัวเล็กหากเทียบกับเด็กนักเรียนที่ยังอยู่ในวัยกำลังโต แต่เขาลืมนึกไปว่าไม่ใช่แค่ส่วนสูงเท่านั้นที่ต่าง แต่โครงสร้างกระดูกพื้นฐานของลำตัวก็ต่างกันด้วย

“…ฉันขอถอดกางเกงไปเลยได้ไหม”

ก็ผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ ต่อให้ใส่แค่กางเกงใน หมอนี่ก็คงไม่คิดมากอะไรหรอกมั้ง ยังไงเสื้อก็ยาวอยู่แล้ว สภาพก็ไม่ได้น่าเกลียดอะไรสักหน่อย ถึงกางเกงในจะใหญ่ไปนิดแต่ก็คงไม่ถึงกับไหลลงมากองหรอก

“เดี๋ยวไปเอาเสื้อผ้าตอน ม.ต้น มาให้ใส่แทนแล้วกัน”

ฮวานยองเดินตรงเข้าห้องไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ขณะที่มูรยองดึงเอวกางเกงขึ้นมาอย่างเขินๆ และมองตามแผ่นหลังนั้นพลางคิดว่าครั้นจะไม่ใส่กางเกงเลยก็คงดูน่าเกลียดอยู่หน่อยๆ

เสื้อผ้าที่ฮวานยองถือกลับมาอีกครั้งคือเครื่องแบบชุดพละฤดูร้อนของโรงเรียนมัธยมต้นที่เขาเคยเรียน เสื้อคอปกสีขาวกับกางเกงขาสั้นสีเขียวดูเป็นไซส์ที่ไม่เข้ากับฮวานยองในตอนนี้เลยสักนิด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังใหญ่เกินตัวมูรยองอยู่ดี

“นายสูงเท่าไหร่กันเนี่ย สูงแบบนี้มาตั้งแต่ ม.ต้น เลยเหรอ”

ฮวานยองโยนผ้าขนหนูลงตะกร้ารอซักแล้วหยิบข้าวกล่องร้านสะดวกซื้อออกมาจากตู้เย็นสองกล่อง ก่อนจะกดปุ่มไมโครเวฟดังปิ๊บพลางตอบว่าเขาตัวค่อนข้างสูงมาตั้งแต่สมัยมัธยมต้นแล้ว ตอนตรวจร่างกายครั้งล่าสุดเขาก็สูงถึงหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตร ในตอนที่มูรยองบอกว่า “อิจฉาจัง” เขาก็ขมวดคิ้วด้วยสีหน้าเหมือนกับว่าไม่ได้ยินดีเท่าไหร่นัก

“ตามมาทำไม”

“เอ่อ…”

มูรยองที่คอยป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ ยิ้มแหยออกมา ถึงจะไม่ได้ยิ้มกว้างอะไร แต่รอยลักยิ้มบุ๋มลึกนั้นก็ยังปรากฏขึ้นมาตรงกลางแก้ม ในขณะที่ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนก็เสมองไปทางอื่น

“พอเห็นนายเตรียมอาหาร แต่ฉันนั่งอยู่เฉยๆ แล้ว มันก็แบบว่า…”

“…”

สีหน้าของฮวานยองเหมือนพูดไม่ออกไปชั่วขณะ สายตาที่จ้องมองไมโครเวฟดูสับสนอยู่ในที เมื่อเสียง ‘ติ๊ง’ ดังขึ้นอย่างได้จังหวะพอดี เขาก็พยักพเยิดไปทางมุมหนึ่งของโต๊ะ

“ไปนั่งซะ มันเสียสมาธิ”

“อื้อ”

มูรยองนั่งลงที่โต๊ะอย่างว่าง่ายและนิ่งรอจนฮวานยองเอาข้าวกล่องมาให้ ฮวานยองหยิบตะเกียบไม้ออกมาจากตู้แล้วนั่งลงฝั่งตรงข้าม จากนั้นก็บอกมูรยองที่ยังคงนั่งนิ่งๆ อยู่กับที่ด้วยน้ำเสียงเหมือนหงุดหงิดอย่างเคย

“กินได้แล้ว”

มูรยองเปิดฝากล่องข้าวราวกับกำลังรออยู่แล้ว คงต้องโทษเวลาที่ล่วงเลยมาจนค่ำจนเขารู้สึกหิวมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ มูรยองเพิ่งรู้ว่าข้าวสวยสีขาวและไข่ม้วนนุ่มๆ มันดูน่าอร่อยได้มากขนาดนี้ เห็นทีที่เขาว่ากันว่าเครื่องเคียงที่ยอดเยี่ยมที่สุดก็คือความหิวนั้นคงจะเป็นความจริง

“จะกินให้อร่อยล่ะนะ”

ฮวานยองตอบกลับคำพูดที่ดังลั่นออกมาด้วยน้ำเสียงสดใสนั้นด้วยการถอนหายใจอย่างเอือมๆ พร้อมกับเสียงบ่นที่ว่า “ทำตัวเป็นลูกหมาไปได้…” ตอนนั้นเองมูรยองถึงได้รู้ตัวว่าตนเองเผลอทำตัวเหมือนลูกหมาไปหน่อย

“จะว่าไปฉันเลี้ยงหมาด้วยนะ”

“…หืม?”

“อยากดูรูปไหมล่ะ”

มูรยองหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นมาและเปิดอัลบั้มภาพโดยไม่รีรอคำตอบ รูปทั้งหมดที่มีอยู่เต็มโฟลเดอร์นั้นคือรูปเจ้าซอลกี นอกเหนือจากนั้นก็มีแต่รูปแมวจรจัด

“ดูรูปนี้สิ น่ารักใช่ไหมล่ะ”

“…”

และนั่นก็เป็นหัวข้อการสนทนาที่ทำให้ดวงตาของฮวานยองมีชีวิตชีวาขึ้นมา เขามองดูรูปเจ้าซอลกีอย่างตั้งอกตั้งใจ และพอเห็นรูปที่มันนอนหงายโชว์พุง สีหน้าของเขาก็ดูผ่อนคลายลง ดวงตาสีดำสนิทส่องประกายดูอ่อนโยน มูรยองเห็นดังนั้นจึงอธิบายเพิ่มเติมด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“ฉันตั้งชื่อมันว่า ‘ซอลกี’ เพราะมันเหมือนแพ็กซอลกี* ตอนนี้มันอายุได้สิบสองขวบแล้วล่ะ แถมมันยังทำตัวน่ารักออดอ้อนเก่งมากด้วยนะ”

เจ้าซอลกีเป็นลูกหมาที่พ่อของมูรยองเก็บมาจากข้างถนนตั้งแต่มูรยองยังเด็ก สิ่งที่ตัวเล็กกว่าฝ่ามือสองข้างในคราแรกนั้นตอนนี้กลับตัวโตขึ้นจนมีขนาดเท่าๆ กับหมาพันธุ์จินโด** ขนของมันดูนุ่มฟู หูพับลงมาครึ่งหนึ่ง ดูเหมือนมันจะเป็นลูกผสมระหว่างหมาพันธุ์พุงซาน*** กับพันธุ์อะไรอีกสักอย่าง

“แพ็กซอลกี? ต๊อก?”

“อื้ม เหมาะดีใช่ไหมล่ะ”

ฮวานยองเพ่งมองรูปด้วยสีหน้าอ่านยาก รูปนั้นเป็นรูปเจ้าซอลกีนอนแหมะอยู่บนพื้นพลางแลบลิ้น เป็นรูปที่เขาน่าจะถ่ายไว้ได้ตอนที่มันไปวิ่งเล่นกับเขามาราวๆ สองชั่วโมงและเหนื่อยจนหมดแรงไปด้วยกัน

“แพ็กซอลกีซะที่ไหน นี่มันอินจอลมี**** ต่างหากล่ะ”

“…”

มูรยองปรายตาดูรูปเจ้าซอลกีที่ตอนนี้เปลี่ยนไปมากจากตอนเด็กๆ ขนของมันกลายเป็นสีเหลืองอมน้ำตาลเหมือนกับแป้งต๊อกที่ย่างจนสุกได้ที่ แต่ในสายตาเขามันก็ยังคงเป็นเจ้าลูกหมาน้อยตัวสีขาวที่น่ารักเหมือนเดิม

พออวดเจ้าซอลกีได้ครู่หนึ่ง มูรยองก็ตั้งหน้าตั้งตากินข้าว เป็นเพราะเขาไม่เลือกกินและกินได้ทุกอย่าง ท่าทีของเขาเลยดูเหมือนกำลังดื่มด่ำกับอาหารชั้นเลิศ พอเห็นมูรยองเคี้ยวข้าวตุ้ยๆ เต็มปากแล้ว ฮวานยองจึงเอ่ยปากบอกเขาเบาๆ

“ไม่พอก็บอกนะ”

ฮวานยองมีสีหน้าว่างเปล่าเหมือนกำลังเคี้ยวทราย ต่างจากมูรยองที่ดูกินอย่างเอร็ดอร่อยมาก แม้เขาจะไม่ได้ฝืนใจกิน แต่ไม่ว่ามองอย่างไรก็ดูเหมือนว่าเขาจะกินมันเพราะเห็นเป็นเพียงกิจวัตรก็เท่านั้น มูรยองนึกถึงข้าวกล่องที่ถูกแช่ไว้เต็มตู้เย็น ก่อนจะกลืนอาหารในปากลงคอ

“…ครั้งหน้านายไปกินข้าวที่บ้านฉันไหม”

ฮวานยองเลื่อนสายตาขึ้นมองมูรยอง มือที่ถือตะเกียบชะงักค้างกลางอากาศ

“บางวันบ้านฉันมีกับข้าวเยอะเลย ซึงจูก็แวะมากินด้วยกันบ่อยๆ เอาไว้นายเองก็มาบ้างสิ”

มูรยองก็แค่เชิญชวนไปตามนิสัย ไม่ได้คิดว่าฮวานยองจะมาจริงๆ เขาแค่ต้องการจะสื่อความว่าอยากตอบแทนบ้างสักครั้งที่ช่วยดูแลเขาหนึ่งวัน แต่ฮวานยองที่ได้ฟังคำพูดของมูรยองกลับตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ตอนนี้นายไม่ได้มาเที่ยวเล่นอยู่นะ”

และนั่นก็เป็นคำที่ทำให้บทสนทนากลับสู่ความเป็นจริงในทันที ทั้งยังเป็นคำที่ขีดเส้นคั่นสถานะระหว่างฮวานยองกับมูรยองด้วย มูรยองพยักหน้าเหมือนไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับคำพูดเชิงตำหนิที่เขาควรจะรู้สึกอับอาย

“อื้ม ฉันรู้น่า”

และแล้วมูรยองก็เงียบปากไปทั้งอย่างนั้น ไม่มีการพูดแก้ตัวหรือแสดงออกว่าไม่พอใจกับคำพูดของฮวานยอง หลังจากกินข้าวที่เหลืออยู่จนหมดมูรยองก็เพียงแค่ยิ้มตาหยีแล้วถามขึ้น

“ขอกินอีกกล่องได้ไหม”

สุดท้ายมื้ออาหารก็จบลงหลังจากที่มูรยองกินข้าวหมดไปอีกกล่อง ฮวานยองเองก็กินไปสองกล่องเช่นกัน ความจริงแล้วความเร็วในการกินของทั้งคู่นั้นไม่ต่างกันเลย

ฮวานยองเก็บโต๊ะพลางสั่งให้มูรยองนั่งอยู่กับที่เฉยๆ พอจัดการกับขยะเสร็จเขาก็เอาแปรงสีฟันอันใหม่มายื่นให้

หลังจากแปรงฟันเสร็จก็ถึงเวลาเข้านอน เป็นเพราะต้องใช้เวลานานมากในการเดินทางไปโรงเรียน ถ้าพรุ่งนี้จะเดินทางไปด้วยวิธีเดิม พวกเขาก็ต้องตื่นตั้งแต่ช่วงเช้ามืดแล้วออกเดินทาง

“…เดินไปกลับโรงเรียนคงจะเหนื่อยน่าดูเลยแฮะ”

คำพูดที่บอกออกมาจากใจถูกอีกฝ่ายเมินโดยไม่มีการตอบกลับเช่นเคย ฮวานยองมองมูรยองด้วยดวงตาที่ไร้ซึ่งความซาบซึ้งในความเห็นอกเห็นใจ ก่อนขมวดคิ้วแล้วมองไปที่เตียง ดูเหมือนเขากำลังคิดหนักว่าจะนอนกันอย่างไร

“ไม่มีผ้าห่มสำรองเหรอ”

“มันก็มีอยู่หรอก…”

งั้นแค่เอามาปูพื้นก็นอนได้แล้วนี่ หมอนี่กังวลอะไรกันนะ

ถ้าไม่อยากนอนด้วยกันก็บอกให้เขาไปนอนห้องอื่นก็ได้ แต่แล้วฮวานยองก็พูดในสิ่งที่ดูไม่เข้ากับเจ้าตัว ทั้งยังต่างไปจากที่เขาคาดคิดไว้สุดๆ

“แต่มันบางน่ะ”

“…”

‘บางแล้วนอนไม่ได้หรือไงกันเล่า’ มูรยองเกือบหลุดถามแบบนั้นออกไปแล้ว เพราะต่อให้อุณหภูมิระหว่างกลางวันกับกลางคืนจะแตกต่างกันมาก แต่ช่วงนี้ก็ยังเป็นฤดูกาลที่เขาคิดถึงเครื่องแบบฤดูร้อนในช่วงกลางวัน

“ตั้งแต่อาทิตย์หน้าพวกเราก็จะใส่เครื่องแบบฤดูร้อนได้แล้วแฮะ”

คำพูดนั้นต้องการจะสื่อว่า ‘ไม่ต้องกังวลไปหรอกน่า’ แต่ฮวานยองไม่ได้ฟังเขาเช่นเคย มูรยองยื่นหน้าไปมองฮวานยองที่อยู่ไม่ไกล

“ฉันไม่ได้ขี้หนาว”

“…”

“แถมยังนอนหลับสบายได้ทุกที่ด้วย”

“…”

“…ทำไมมองฉันแบบนั้นล่ะ”

ดวงตาสีดำสนิทที่ราวกับน้ำหมึกจ้องมองมูรยองนิ่ง ดูท่าจะเห็นแย้งกับบางอย่าง ปัญหาคือมูรยองไม่รู้ว่าบางอย่างที่ว่านั้นคืออะไร พอมูรยองเอียงคอ ฮวานยองก็ขยับริมฝีปากช้าๆ

“ตัวก็แค่นี้…”

มูรยองไม่ได้ยินคำพูดต่อจากนั้น จากระดับความสามารถในการได้ยินของมูรยองแล้ว ถ้าเขาไม่ได้ยินก็เป็นไปได้สูงว่าฮวานยองไม่ได้ส่งเสียงออกมา ก่อนที่เขาจะทันได้ถามว่าคำที่หายไปจากปากคือคำว่าอะไร ฮวานยองก็ขมวดคิ้วพร้อมกับทำหน้าขมขื่น

“…เดี๋ยวฉันไปเอาผ้าห่มมาปูให้”

หลังจากพูดแบบนั้นแล้วฮวานยองก็ออกไปจากห้อง ตอนกลับมาเขาถือผ้าห่มสำหรับฤดูร้อนที่คงมีสำรองติดไว้ในอ้อมแขน เขาปูผ้าลงบนพื้นและเอาผ้าห่มที่ก่อนหน้านี้อยู่บนเตียงมาวางทับไว้ด้านบน

“ให้ฉันห่มผืนนี้เหรอ”

“อืม”

นับเป็นการจบปัญหาที่สมบูรณ์แบบ ปัญหาถูกแก้ไขอย่างง่ายดายจนสิ่งที่เขากังวลก่อนหน้านี้ดูจะเปล่าประโยชน์ไปเลย มูรยองนอนลงบนพื้นอย่างไม่อิดออดอะไร ฮวานยองเห็นอย่างนั้นก็ปิดไฟในห้องทันที

พริบตาเดียวรอบตัวก็ปกคลุมไปด้วยความมืด นอกหน้าต่างที่มองไม่เห็นแสงจากไฟถนนสักดวงมีเพียงแสงจันทร์สลัวๆ สาดส่องเข้ามา

มือปราบวิญญาณที่ประสาทสัมผัสทั้งห้าตื่นเต็มที่มีทัศนวิสัยที่ดีกว่าคนทั่วไปถึงสามเท่าเมื่ออยู่ในความมืด มูรยองเลยมองเห็นได้ชัดว่าฮวานยองกำลังเดินข้ามเท้าเขาขึ้นไปบนเตียง

ตอนเขาเอนหลังลงนอนพร้อมกับห่มผ้า มูรยองก็พูดขึ้น

“นี่…”

เขายังรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากลภายในบ้านที่เต็มไปด้วยพลังวิญญาณหลังนี้ มันเป็นความค้างคาใจที่รู้สึกอยู่ตลอดนับตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในละแวกนี้กับฮวานยอง

“นายเกิดตอนกี่โมงเหรอ”

มูรยองกะพริบตาช้าๆ ขณะจ้องมองเพดานว่างเปล่า ทั้งที่เขาคิดไว้แล้วว่าฮวานยองอาจจะไม่ตอบ แต่น้ำเสียงราบเรียบกลับดังตอบกลับมาให้ได้ยิน

“ห้าทุ่มห้าสิบแปดนาที”

“ตรงข้ามกันเลยแฮะ ฉันเกิดตอนกลางวันน่ะ”

ถ้าฮวานยองเกิดช่วงกึ่งกลางของค่ำคืน มูรยองก็เกิดในช่วงกลางวันที่มีดวงอาทิตย์ขึ้นอยู่กลางฟ้าพอดี แม่ชอบเล่าให้ฟังอยู่บ่อยๆ ว่าเขาเกิดมาในช่วงเวลาที่โลกสว่างสดใสที่สุด

“แล้วนายเกิดวันไหนเหรอ”

หนนี้ฮวานยองกลับนิ่งไปไม่ตอบกลับมาในทันที หลังผ่านไปพักหนึ่งน้ำเสียงแผ่วเบาถึงได้ลอยเข้ามาในหู

“หนึ่งมีนา”

1 มีนา…1 มีนา…

มูรยองนึกตามในใจพลางพลิกตัวไปมา

“วันเกิดก็คล้ายกันอีกแล้วแฮะ ฉันเกิดยี่สิบสามพฤษภาล่ะ”

จังหวะลมหายใจของฮวานยองแปลกไปเล็กน้อยคล้ายกับว่าเขากำลังฝืนหัวเราะหรือไม่ก็ถอนหายใจ เขาเอ่ยถามเบาๆ ทั้งที่ยังนอนนิ่งอยู่

“คล้ายกันตรงไหนไม่ทราบ”

“ก็มันเลยมาแล้วทั้งคู่ไง คล้ายกันเห็นไหมล่ะ”

ถ้าซึงจูได้ยินคงตอบกลับว่าเขาเพ้อเจ้ออีกแล้ว และถึงแม้ฮวานยองจะไม่ได้พูดออกมาแบบนั้น แต่ก็น่าจะกำลังคิดอะไรทำนองเดียวกันอยู่แน่ๆ ในทางกลับกันเมื่อมูรยองก็พูดไปเรื่อยเปื่อยโดยที่ไม่มีความหมายอะไร ฮวานยองเองก็เลยไม่ได้นึกอยากขัดความคิดนั้นเช่นกัน

“…”

“…”

และแล้วบทสนทนาก็จบลงเพียงเท่านั้น แม้จะไม่มีการบอกฝันดี แต่เสียงลมหายใจของทั้งคู่ก็ค่อยๆ สงบลงราวกับนัดกัน ในอากาศที่เงียบสงัดลงไม่มีเสียงใดดังแทรกขึ้นมาอีก

มูรยองหลับตานิ่งรอให้ฮวานยองหลับ เขาทำได้แค่รอและรออยู่อย่างนั้น

 

สามชั่วโมงต่อมามูรยองลุกขึ้นนั่งโดยไม่ส่งเสียง เขาเลื่อนผ้าห่มที่ไหลลงจากตัวไปไว้ข้างๆ และกลั้นหายใจระหว่างค่อยๆ ลุกขึ้นจากที่นอน พอลองหันไปมองก็พบว่าฮวานยองกำลังอยู่ในสภาพที่นอนหลับนิ่งเหมือนตาย

มูรยองเดินเขย่งเท้าออกจากห้องของฮวานยองด้วยท่าทางเหมือนลูกหนู การเปิดประตูค่อนข้างลำบาก แต่เขาก็เปิดออกได้โดยไม่ทำให้บานพับส่งเสียง

แกร๊ก…

ทันทีที่ปิดประตูลงมูรยองก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

“โทษทีนะ…ฉันสัญญาว่าจะไม่แตะต้องอย่างอื่นเลย”

มูรยองพูดอย่างจริงใจที่สุดราวกับว่ากำลังสารภาพบาป แม้มันจะส่งไปไม่ถึงฮวานยองที่อยู่ด้านหลังประตู แต่เขาก็คาดหวังแค่ให้ฮวานยองรู้ความในใจของเขาสักนิดก็พอ

ไม่สิ…ถ้ารู้ความในใจเข้า หมอนั่นก็ได้รู้กันพอดีน่ะสิว่าต่อจากนี้เราจะทำอะไร เอาเป็นว่าไม่ต้องรู้อะไรเลยจะดีกว่าไหมนะ

มูรยองส่ายหัวสองสามที จากนั้นจึงก้าวเท้ายาวๆ ออกเดิน สายตาที่ปรับเข้ากับความมืดได้แล้วทำให้เดินไปยังห้องนั่งเล่นได้โดยไม่ได้รู้สึกลำบากอะไร

มูรยองหยุดยืน ณ ใจกลางห้องนั่งเล่น เขายื่นแขนขวาออกไปข้างหน้าก่อนจะผิวปากเบาๆ

เปลวไฟสีฟ้าลุกพึ่บขึ้นมาในจุดที่มือของมูรยองรองอยู่ข้างใต้พอดี แสงวูบไหวที่ขยับพลิ้วราวเต้นระบำอยู่นั้นเหมือนดีใจที่เขาเรียกหา

“วันนี้เราจะมาทำในเรื่องที่นายถนัดที่สุดกัน”

เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนที่เหมือนกับเอาไว้ใช้หลอกล่อเด็ก เจ้าลูกไฟลอยว่อนขึ้นทันที พอเห็นท่าทีที่ดูคาดหวังเต็มที่แบบนั้นแล้ว มูรยองก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ ด้วยสีหน้ารู้สึกผิด

“แต่ตอนนี้ฉันไม่มีเหรียญสิบวอนนะ”

กึก…

เจ้าลูกไฟพลันชะงักค้างอยู่กลางอากาศ ถึงมันจะยังคงลุกไหม้อยู่ แต่ก็เห็นได้ว่าเปลวไฟนั้นกำลังหรี่มอดลง มูรยองประสานมือเข้าด้วยกันอย่างนอบน้อมพร้อมกับหลุบตาลงอย่างเว้าวอนที่สุด

“ขอโทษทีนะ ไว้คราวหน้าฉันจะให้นายสองเท่าเลย”

เจ้าลูกไฟลอยวนไปมาราวกับลังเล แต่สุดท้ายมันก็หมุนคว้างอย่างรวดเร็วราวกับเล่นสเก็ตและวิ่งวนรอบศีรษะมูรยองรอบหนึ่ง ก่อนกลับมาทิ้งตัวลงตรงกลางฝ่ามือ ท่าทีนั้นหมายความว่าถึงจะไม่ค่อยถูกใจเท่าไหร่ แต่จะยอมช่วยก่อนก็ได้

“นายต้องตามหาผี”

มูรยองเบาเสียงลงแล้วไหว้วานด้วยเสียงเล็กเสียงน้อย เจ้าลูกไฟกะพริบตอบรับเสียงกระซิบที่แผ่วเบานั้น มันหรี่แสงลงแล้วก็ลุกโชนขึ้นอีกครั้งเหมือนจะโอ้อวดว่าตนนั้นทำได้แน่

“หาให้หมดทุกซอกทุกมุมในบ้านหลังนี้”

นายทำได้อยู่แล้วใช่ไหม

พอถามจบเจ้าลูกไฟก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย มันน่าจะเตร็ดเตร่ไปทั่วบ้านเพื่อตามหาผีตามที่มูรยองสั่ง

วันนี้มูรยองวางแผนไว้ว่าจะส่งผีทุกตัวในบ้านนี้ไปสู่สุคติ

 

“ฮ้าววว”

มูรยองหาวหวอดเสียงดัง หยาดน้ำตาเอ่อคลออยู่บนหางตาที่ดูเหนื่อยล้าของเขาจนสายตาที่เคยชัดเจนพร่าเบลอ เขายกมือที่เพิ่งใช้ปิดปากมาเช็ดน้ำตา ตามด้วยเหยียดแขนขึ้นด้านบนเพื่อบิดขี้เกียจ

“อื๊อออ…”

สายตาของฮวานยองมองตามเสียงร้องครวญคราง เขามองมูรยองเงียบๆ และถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไร้โทนสูงต่ำ

“ไหนบอกว่านอนหลับสบายได้ทุกที่ไง”

มูรยองหัวเราะแก้เก้อแทนคำตอบ เขาบอกไม่ได้ว่าเมื่อคืนไปทำอะไรมายันเช้าเลยได้แต่ตีเนียนข้ามคำถามนั้นไปด้วยการตอบว่า “นั่นสิ ปกติฉันก็นอนหลับสบายนะ” ทันทีที่ตอบแบบนั้นฮวานยองก็หันหน้าไปเหมือนไม่ได้สนใจ

ยามรุ่งสางที่รอบตัวยังมืดสลัว พวกเขาเริ่มออกเดินเคียงข้างกันไปโรงเรียนตั้งแต่ยังเช้ามาก ระหว่างที่เดินไปตามถนนที่ทั้งคดเคี้ยวและเปลี่ยวร้างนั้น มูรยองไม่ลืมที่จะสัมผัสยันต์ที่แปะอยู่ตามกำแพงหินอีกรอบ และพอทำเช่นนั้นเขาก็รู้สึกทำตัวไม่ถูกขึ้นมาเสียดื้อๆ เลยต้องหันไปชวนฮวานยองคุย

“ว่าแต่นายไปโรงเรียนเช้าชะมัดเลยแฮะ”

ฮวานยองตื่นตั้งแต่ดวงอาทิตย์ยังไม่ทันขึ้น ซึ่งเป็นตอนที่มูรยองเพิ่งจะทำเป็นหลับได้ไม่นาน และก็เป็นตอนที่เขาหมดเรี่ยวหมดแรงเพราะใช้พลังจิตไปจนพลังวิญญาณแทบหมดเกลี้ยงด้วย

ฮวานยองไม่ปลุกมูรยอง แต่กลับเดินออกไปห้องน้ำล้างหน้าล้างตาอย่างง่ายๆ ตามด้วยเตรียมอาหารเช้าจนเสร็จแล้วค่อยมาปลุกเขาให้ตื่น

“ถ้าจะไม่ให้สายก็ต้องออกเวลานี้”

มันเป็นเรื่องธรรมดาที่มูรยองจะกลิ้งไปกลิ้งมาบนผ้าห่มอยู่พักใหญ่ เพราะเขาเหนื่อยมากเลยไม่จำเป็นต้องแกล้งแสดงใดๆ อันที่จริงถ้าได้หลับตาต่ออีกสักห้าวินาที เขาก็คงจะหลับสนิทแบบที่ต่อให้โดนอีกฝ่ายลากขึ้นหลังไปเขาก็ไม่รู้ตัว

“คงจะลำบากน่าดูเลย”

มูรยองที่พูดงึมงำเหมือนคุยคนเดียวก้าวเดินไปอย่างเงียบๆ พอพ้นจากละแวกบ้านก็จะผ่านถนนสายเดียวกับเมื่อวานจนกระทั่งเดินมาถึงทางแยกที่คุ้นตา กว่าสองชั่วโมงที่พวกเขาไม่ได้คุยอะไรกันเลย ตอนนี้ฮวานยองทำเพียงแค่จ้องมูรยองที่ดูง่วงทั้งที่เท้าก็กำลังก้าวเดิน พร้อมกับคอยพูดปรามเป็นระยะๆ ว่า ‘ไม่ใช่ทางนั้น’

“…นายมาสายอาทิตย์ละกี่ครั้งเหรอ”

ดูจากเส้นทางแล้วก็เป็นเส้นทางที่ต้องออกเวลานี้ถึงจะไม่สายจริงๆ นั่นแหละ ถ้าเป็นมูรยองคงยอมนอนค้างที่โรงเรียนไปแล้ว ไม่สิ…ก่อนจะถึงขั้นนั้นเขาคงเลือกใช้ขนส่งสาธารณะก่อน แต่ฮวานยองกลับตอบออกมาอย่างมั่นใจจนเขารู้สึกเหมือนถูกเจ้าตัวย้อนถามกลับว่า ‘ทำไมนายถึงได้ถามอะไรอย่างนั้นออกมากัน’

“ตั้งแต่เรียนที่นี่มาฉันไม่เคยสายเลยสักครั้ง”

“…”

ระยะทางซึ่งเดิมทีเขาก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันใกล้อยู่แล้ว พอได้ยินอย่างนั้นเขาก็พลันรู้สึกว่าห่างไกลยิ่งกว่าเดิม มูรยองถอยออกมาแล้วเบี่ยงข้างหันมองไปยังฝั่งตรงข้ามกับฮวานยอง ทีแรกเขานึกว่าคนที่ขยันขนาดนี้บนโลกใบนี้จะมีเพียงซอซึงจูคนเดียวเท่านั้น ทว่านี่กลับกลายเป็นช่วงเวลาที่ความเชื่อนั้นของมูรยองแตกสลายเป็นชิ้นๆ

นักเรียนที่มาถึงโรงเรียนแล้วมีอยู่บางตาเนื่องจากตอนนี้ยังเช้ามากอยู่ แต่ในบรรดานักเรียนไม่กี่คนนั้น มูรยองก็ยังได้เจอคนคุ้นหน้าคุ้นตาและทักทายไปหลายรอบ

‘หวัดดี มูรยอง’ ‘วันนี้มาเช้าจังนะ’ ‘ทำไมวันนี้มาไม่สายได้ล่ะเนี่ย’ ‘ได้ข่าวว่าวันนี้ซึงจูจะมาโรงเรียนเหรอ’

‘ไง หวัดดี’ ‘ก็อย่างที่เห็นนี่แหละ’ ‘ปกติฉันก็ไม่ได้มาสายบ่อยสักหน่อย’ ‘เห็นซึงจูบอกว่าวันนี้จะมาโรงเรียนนะ’

ไม่ว่ามูรยองจะคุยกับใคร ฮวานยองก็ยังคงมองแค่ทางข้างหน้าและเดินต่อไปอย่างเงียบๆ อันที่จริงพวกเขาแค่เดินอยู่ด้วยกันเพราะจะไปทางเดียวกันเท่านั้น การจะบอกว่านี่คือ ‘การมาโรงเรียนด้วยกัน’ มันก็กระไรอยู่ แต่ความคิดของคนที่เห็นพวกเขาสองคนอยู่ด้วยกันนั้นกลับต่างออกไป

ทำไมสองคนนั้นถึงอยู่ด้วยกันได้ล่ะ

มูรยองรู้สึกได้ถึงสายตาที่จ้องมองมามากกว่าห้าครั้งแบบไม่เกินจริง ทั้งเพื่อนฝูงที่ทักทายมูรยอง ทั้งเด็กนักเรียนที่เคยเห็นหน้าค่าตากันผ่านๆ หรือแม้แต่กรรมการนักเรียนที่ยืนอยู่หน้าประตูโรงเรียนก็ยังมองพวกเขาด้วยสายตาแปลกๆ

มันคล้ายกับเมื่อวานตอนเขายืนอยู่ตรงทางเดินหน้าห้องเรียนกับฮวานยอง พอกำลังจะลืมสายตาที่มองมาราวกับกำลังดูลิงในสวนสัตว์ทีไร ความรู้สึกจากสายตานั้นก็จะตีเข้าที่ท้ายทอยของเขาเสมอ มันเป็นสายตาสนใจกึ่งอยากรู้อยากเห็น

แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ มูรยองเป็นนักแก้ไขปัญหาชื่อดังสำหรับคนทั้งโรงเรียน ส่วนฮวานยองเองก็โด่งดังในฐานะ ‘คนหล่อ’ ของโรงเรียนเช่นกัน ขนาดต่างคนต่างอยู่พวกเขายังเป็นประเด็นให้พูดถึง ยิ่งมาอยู่ด้วยกันอย่างนี้ก็ยิ่งน่าสงสัย

“โอ๊ะ นั่นซึงจูนี่”

ในจังหวะที่พวกเขาผ่านสนามกีฬาและเดินมาถึงทางขึ้นอาคารเรียน มูรยองที่มองไปด้านหลังแบบผ่านๆ ก็เห็นซึงจูกำลังเดินเข้าประตูโรงเรียนมาพอดี อีกฝ่ายมีเฝือกที่แขนข้างขวาและใส่เพียงเสื้อยืดแขนสั้นโดยไม่ใส่เสื้อนักเรียน

“ซอซึงจู!”

มูรยองเรียกซึงจูเสียงดังพลางจับแขนฮวานยองเอาไว้ ฮวานยองที่ทำท่าจะแยกตัวจากมูรยองเข้าไปในตึกพลันขมวดคิ้วพร้อมกับสะบัดมือออก

“บอกแล้วไงว่าอย่าแตะตัวฉัน…”

“ฉันก็ไม่เห็นจะบาดเจ็บอะไรสักหน่อย”

“ว่าไงนะ”

พอเห็นซึงจูขมวดคิ้วอยู่ไกลๆ เหมือนกำลังคิดว่า ‘ทำไมสองคนนั้นมาอยู่ด้วยกันได้เนี่ย’ มูรยองก็จับข้อมือของฮวานยองไว้แล้วยกมันโบกไปมาเบาๆ ให้ซึงจู

“ฉันบอกว่าถึงฉันจะแตะตัวนาย แต่ก็ไม่เห็นจะบาดเจ็บอะไรเลย”

“…”

ฮวานยองขยับปากทำท่าเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่มูรยองก็หัวเราะสดใสออกมาแทนที่จะฟังมัน ดวงตากลมหยียิ้มอย่างน่าเอ็นดู

“ก็อย่างที่บอกนั่นแหละ ไม่ได้มีความหมายอะไรพิเศษ”

มูรยองปล่อยข้อมือที่จับไว้พร้อมกับเอ่ยคำพูดนั้น มือซ้ายที่ร่วงตกลงมาแกว่งไกวตามหลังมาจังหวะหนึ่ง จากนั้นมูรยองก็เงยหน้าขึ้นสบตากับฮวานยองแล้วขยิบตาให้เป็นการบอกลา

“ไว้เจอกันนะ”

มูรยองวิ่งไปหาซึงจูโดยไม่แม้แต่จะหันหลังกลับมา ดูเหมือนกับลูกหมาที่วิ่งหาเจ้าของไม่มีผิด ฮวานยองมองภาพด้านหลังของมูรยองพลางกะพริบตาปริบๆ ด้วยสีหน้าที่ดูเหม่อลอย เขาทั้งงงและหมดคำจะพูดกับท่าทีนั้นของเจ้าตัว

 

“ทำไมถึงมากับหมอนั่นได้”

ซึงจูไม่ได้บาดเจ็บอะไรมากตามที่บอก นอกจากเฝือกที่แขนแล้วทุกอย่างก็ดูเป็นปกติดี เจ้าตัวบอกว่าจำใจใส่เฝือกแข็งๆ นี่เพราะกลัวพ่อแม่กังวล ถึงมันจะทำให้ใช้มือขวาไม่ได้ไปเลยก็ตามที มูรยองถอนหายใจอย่างโล่งอกอีกครั้งเมื่อซึงจูบอกว่าจะถอดเฝือกได้ในอีกประมาณสองอาทิตย์

“เมื่อวานฉันไปนอนบ้านหมอนั่นมาล่ะ”

มูรยองแย่งกระเป๋าที่ซึงจูสะพายอยู่มาโดยอัตโนมัติ แม้เจ้าตัวจะบอกว่าไม่ต้องช่วยถือ แต่เขาก็ยังรู้สึกไม่สบายใจจนต้องทำอะไรสักอย่าง

จริงสิ ต้องเขียนยันต์ให้หมอนี่สักแผ่นหน่อยแล้ว

มูรยองที่ตัดสินใจได้อีกครั้งพูดขึ้นด้วยท่าทีปกติ

“พอดีหมอนั่นบอกว่ามีเรื่องจะให้ช่วยน่ะ”

“เดี๋ยวนี้คุณมีบริการถึงบ้านแล้วเหรอครับเนี่ย”

ซึงจูจิ๊ปาก สายตาเขาดูไม่พอใจตั้งแต่ตอนที่มูรยองวิ่งมาหา ทีแรกเขาตั้งใจว่าจะบ่นออกมาเป็นชุดเลยด้วยซ้ำ แต่พอเห็นสีหน้ากังวลนั้นชัดๆ ก็ได้แต่อดกลั้นเอาไว้

“รอบนี้อะไรอีกล่ะ ผีอีกแล้วสินะ?”

“อืม…”

มูรยองตอบอ้อมแอ้มพร้อมกับกำสายกระเป๋าสะพายแน่น ซึงจูส่งสายตาสงสัยให้กับปฏิกิริยาตอบรับที่แตกต่างไปจากเคย เพราะมันแปลกมากเมื่อคนที่ปกติแล้วมักสาธยายทุกรายละเอียดอย่างมูรยองกลับเงียบสนิทไปแบบนี้

“อะไรกัน ไม่ใช่ผีหรอกเหรอ”

“จะว่าใช่มันก็ใช่แหละ แต่…”

มูรยองลากหางเสียงพลางมองไปยังประตูทางเข้าที่ฮวานยองเดินลับไป เขาก้าวเท้าตามซึงจูพร้อมกับพูดพึมพำด้วยสีหน้าหนักใจ

“พอดีมันค่อนข้างแปลกน่ะ”

 

‘นายทำได้อยู่แล้วใช่ไหม’

เมื่อตอนเช้ามืดของวันนี้ หลังจากเจ้าลูกไฟหายวับไป มูรยองก็ย่องออกมาที่รั้วหน้าบ้านอย่างเงียบๆ ระหว่างที่เพื่อนตัวน้อยของเขาไปตามหาเหล่าวิญญาณคนตายอยู่ มูรยองก็ต้องพยายามหาคำตอบด้วยตัวเองเช่นกัน ซึ่งก็ไม่ใช่งานใหญ่อะไร มันก็แค่ขั้นตอนในการตรวจดูให้แน่ใจเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น

เขายืนอยู่กลางลานสนามหญ้าหน้าบ้าน ก่อนหลับตาลงและปลุกประสาทสัมผัสการรับรู้จากอวัยวะรับสัมผัสทุกส่วนในร่างกาย

มือปราบวิญญาณที่ควบคุมพลังวิญญาณได้มักมีสมรรถภาพทางร่างกายเหนือกว่าคนทั่วไปมาก แน่นอนว่าความแข็งแรงของร่างกายก็เป็นหนึ่งในนั้น นอกจากนี้ยังมีความสามารถด้านการมองเห็น การได้ยิน การดมกลิ่น รวมถึงการรับรสด้วย

พอรวบรวมพลังวิญญาณและเพ่งสมาธิ เขาก็เริ่มได้ยินเสียงรอบตัวชัดเจนขึ้นทีละนิด เริ่มจากเสียงลมที่พัดไหว เสียงใบไม้ที่เสียดสีกันเป็นพักๆ เสียงแมลงที่ไม่อาจรู้ชนิด และเสียงของไฟถนนที่กะพริบติดๆ ดับๆ

‘…’

เขาเกิดความรู้สึกฉงนใจขึ้นมา มันเป็นความรู้สึกเดียวกับความรู้สึกที่คอยรบกวนมูรยองตั้งแต่ตอนเข้ามาในละแวกนี้

ทำไมแถวนี้ไม่มีคนอยู่เลย

มูรยองไม่อาจรู้สึกได้ถึงการมีอยู่ของผู้คนในบ้านแต่ละหลังที่พวกเขาเดินผ่านเลยแม้แต่หลังเดียว มันไม่ใช่ลางสังหรณ์ของมือปราบวิญญาณ แต่เป็นผลจากการที่ผู้ฝึกฝนประสาทสัมผัสทั้งห้าอย่างเขาได้ตรวจสอบดูอย่างละเอียดแล้ว สุดท้ายมูรยองถึงได้รู้ว่าบ้านเรือนมากมายหลายหลังนั้นล้วนเป็นบ้านร้างทั้งหมด

และในวินาทีที่เข้ามาในบ้าน ความนิ่งเงียบแบบเดียวกันนั้นก็ยังคงอยู่

อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรขนาดนั้น อาจเป็นเพราะแค่ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ในละแวกนี้ และมีความเป็นไปได้ว่ามูรยองอาจจะพลาดอะไรบางอย่างไป ทว่าสิ่งที่น่าแปลกก็คือไม่ใช่แค่คนเท่านั้น แต่เขาสัมผัสถึงการมีอยู่ของสิ่งอื่นๆ ไม่ได้เหมือนกัน

มูรยองค่อยๆ เพิ่มความเร็วและออกวิ่ง ก่อนจะปีนขึ้นไปบนกำแพงที่อยู่ถัดจากรั้วบ้าน กำแพงที่ก่อจากหินสูงไม่ถึงครึ่งของกำแพงโรงเรียน พอขึ้นมาเหยียบบนกำแพงหินหนาๆ มูรยองก็ได้เห็นภูมิทัศน์ที่ดูทรุดโทรมและเงียบวังเวงของทั้งหมู่บ้าน

เขาผิวปากเบาๆ เรียกเจ้าลูกไฟขึ้นมาอีกครั้ง

หนึ่ง…สอง…สาม…สี่…

ลูกไฟที่ลุกพึ่บขึ้นมาทีละดวงลอยวนอยู่รอบตัวมูรยอง ถึงจะดูบึ้งตึงแต่ขณะเดียวกันก็ดูอ่อนแรง พวกมันน่าจะได้ยินกันแล้วว่ามูรยองไม่มีเหรียญสิบวอนให้

‘กลับถึงบ้านแล้วฉันจะเอาให้แน่ๆ โอเคไหม’

มูรยองปลอบใจพวกมันและมอบหมายภารกิจให้แบบเดียวกับเจ้าลูกไฟดวงก่อนหน้า ดวงหนึ่งไปทางทิศตะวันออก ดวงหนึ่งไปทิศตะวันตก ส่วนอีกสองดวงไปทิศใต้และเหนือตามลำดับ

‘อย่าไปไกลเกินไปล่ะ ไปแค่เท่าที่พลังจิตของฉันส่งไปถึงพอ’

หลังจากกำหนดขอบเขตระยะทางเสร็จสรรพ มูรยองก็ส่งลูกไฟออกไปนอกกำแพงโดยไม่ต้องพูดอะไรยืดยาว สำหรับลูกไฟดวงหนึ่งที่ดื้อและไม่ค่อยเชื่อฟังคำสั่งกว่าเพื่อน มูรยองแอบแทรกซึมพลังจิตลงไปควบคุมมันเล็กน้อยโดยไม่ให้ดวงอื่นๆ รู้ตัว

ที่เหลือต่อจากนี้ก็แค่รอ อย่างเร็วก็สักสิบนาที อย่างช้าสุดก็สักครึ่งชั่วโมง เดี๋ยวเจ้าลูกไฟทั้งหลายที่ลอยล่องสำรวจไปทั่วหมู่บ้านนี้เพื่อค้นหาก็จะคาบข่าวมาส่งให้เขาเอง

‘ไปนานเหมือนกันแฮะ…’

มูรยองเดินบนกำแพงไปเรื่อยระหว่างรอ เขาไม่ได้เดินไปสนุกๆ แต่ถ่ายเทพลังวิญญาณของตัวเองเอาไว้จนทั่วเหมือนเป็นเครื่องสกัดกั้นการเข้ามาของสิ่งอื่นจากภายนอก เช่นเดียวกับยันต์ข้างกำแพงที่เห็นระหว่างทางกลับบ้าน ขอแค่มีตัวกลางเล็กๆ น้อยๆ อย่างหินหรือไม้ก็เพียงพอแล้ว

เมื่อเดินวนรอบกำแพงไปได้ประมาณสิบรอบ ลูกไฟที่มูรยองเรียกหาดวงแรกสุดก็กลับมาในสภาพห่อเหี่ยว แสงที่กะพริบริบหรี่ดูหมดกำลังใจต่างจากที่เห็นตอนแรก

‘…ไม่เจออะไรเลยเหรอ’

นี่เป็นผลลัพธ์ที่ไม่น่าเชื่อเลย ในเมื่อเห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าพลังวิญญาณของฮวานยองเป็นประเภทที่ดึงดูดเหล่าภูตผีปีศาจเข้าหา มันเป็นพลังวิญญาณระดับที่แม้แต่ปีศาจตนที่เจอที่โรงเรียนยังลุ่มหลงมัวเมาในพลังชีวิตที่ลุกโชนนั้นจนพานไปทำร้ายซึงจูด้วย แต่กลับไม่มีวิญญาณตนใดอยู่ในบ้านที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังวิญญาณของเขาเลยสักตน

ไม่เพียงเท่านั้นมูรยองยังได้รับข่าวร้ายจากลูกไฟดวงอื่นๆ ที่กลับมาอีกเป็นชุดว่าไม่มีวิญญาณของคนตายสักดวงทั้งในบ้าน นอกบ้าน และทุกๆ พื้นที่ที่มูรยองแทรกซึมพลังเอาไว้

แน่นอนว่าเขาไม่ยอมแพ้เพียงแค่นั้น หลังปลอบใจเหล่าลูกไฟที่ท้อแท้เสร็จ มูรยองก็ลุยหาคำตอบต่อเอง จนกระทั่งบ้านที่เต็มไปด้วยพลังวิญญาณของฮวานยองถูกแทนที่ด้วยพลังวิญญาณของเขา พลังจิตที่เขาแผ่ออกมาไหลบ่าไปทั่วเหมือนโอ่งน้ำก้นรั่ว หลังจากนั้นเขายังเดินไปรอบๆ ต่ออีก

‘…’

ทว่าผลลัพธ์ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงราวกับได้รับการประทับตรารับรองเอาไว้แต่แรกแล้ว บ้านที่ฮวานยองอยู่รวมถึงละแวกบ้านที่วังเวงแห่งนี้ไม่มีทั้งคนเป็นและคนตาย…

 

“สงสัยฉันคงต้องโทรหาพี่ชายหน่อยแล้วสิ”

ซึงจูพยักหน้าโดยไม่ได้ถามอะไรต่อ เพราะแค่มองผ่านๆ ก็ยังเห็นได้ชัดว่าสีหน้าของมูรยองเคร่งเครียดแค่ไหน ดูเหมือนว่าคงไม่ใช่เรื่องที่เขาจะเข้าไปมีส่วนร่วมอะไรด้วยได้

คิมมูรยอง นายคงต้องโต้รุ่งหลายวันอีกแล้วสินะ

ซึงจูคิดเพียงแค่นั้น

“นายต้องไปรับของด้วย อย่าลืมซะล่ะ นายยังไม่ได้อะไรจากมินจีเลยไม่ใช่เหรอ”

“ไม่ๆ มินจีบอกแล้วว่าจะให้กิ๊บติดผมที่ใช้ตอนเด็ก”

แม้จะดูเหมือนคนที่โอนอ่อนและผ่อนตามได้ในทุกๆ เรื่อง แต่มูรยองก็ไม่เคยลืมเรื่องรับค่าตอบแทนหลังช่วยงานเลยสักครั้ง เพราะตั้งแต่เริ่มทำงานนี้มาซึงจูก็คอยกำชับอยู่ตลอด อย่างไรเสียของที่เขารับมาจากทุกคนก็คล้ายกับขยะที่คงต้องทิ้งอยู่แล้วเลยไม่เคยมีใครดึงดันที่จะไม่ให้

“แล้วของคีฮวานยองล่ะ”

“…”

มูรยองล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกงโดยไม่พูดอะไร ช่วงนี้เขารู้สึกเหมือนกับว่าพลาสติกที่สัมผัสกับปลายนิ้วนั้นดูจะกระด้างขึ้นมากกว่าทุกวัน เขาพึมพำเล็กน้อยระหว่างถูมุมสี่เหลี่ยมของมัน

“ไม่รู้สิ…”

“ไม่รู้สิ?”

คิ้วของซึงจูเลิกขึ้นอย่างกับว่ากำลังจะบ่นมูรยองในอีกไม่ช้า มูรยองเลยรีบคลายสีหน้าแสร้งทำเหมือนกับว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

“ฉันต้องรับของตอบแทนอยู่แล้วแหละน่า”

โชคดีที่ซึงจูแค่พาดแขนลงมาบนไหล่มูรยองโดยไม่ได้ซักไซ้อะไรอีก แต่ดูจากน้ำหนักแขนที่กดทับลงมาพอตัวนั้น ดูเหมือนว่าคำตอบเมื่อครู่จะไม่ค่อยถูกใจเจ้าตัวสักเท่าไหร่ แล้วก็ใช่ว่ามูรยองจะไม่เข้าใจความรู้สึกนั้น เขาเลยได้แต่ปั้นหน้ายิ้มไปเรื่อยเปื่อย

 

* ระบำซึงมู เป็นหนึ่งในการเต้นรำแบบดั้งเดิมของเกาหลีที่มีชื่อเสียงที่สุด และถูกกำหนดให้เป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ที่สำคัญของเกาหลีใต้ โดยมีเอกลักษณ์ตรงชุดที่ใส่ซึ่งจะมีแขนเสื้อและชายชุดที่ยาวมาก ใช้ในการร่ายรำและออกท่วงท่าเพื่อความสวยงาม

* แพ็กซอลกี คือต๊อกชนิดหนึ่ง มีเนื้อสีขาวเหมือนหิมะ

** สุนัขสายพันธุ์จินโด เป็นสุนัขประจำชาติของเกาหลีใต้

*** สุนัขสายพันธ์พุงซาน เป็นสุนัขประจำชาติของเกาหลีเหนือ

**** อินจอลมี คือต๊อกชนิดหนึ่ง ทำจากข้าวเหนียวนึ่ง ทุบจนเหนียว ก่อนนำมาปั้นเป็นก้อนแล้วคลุกด้วยแป้งถั่วคั่ว มีสีเหลืองอมน้ำตาล

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com