ทดลองอ่าน มือปราบ (วิญญาณ) คนนี้ชื่อคิมมูรยอง เล่ม 1 Chapter 2-1 ถึง 2-3 #นิยายวาย – หน้า 3 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน มือปราบ (วิญญาณ) คนนี้ชื่อคิมมูรยอง เล่ม 1 Chapter 2-1 ถึง 2-3 #นิยายวาย

3 of 3หน้าถัดไป

Chapter 2-3

 

มูรยองที่ปกติแล้วจะนอนตลอดทั้งช่วงเช้ากลับฝืนถ่างตานั่งเรียนด้วยเหตุผลบางอย่าง ซึ่งเหตุผลนั้นคือเขาต้องจดโน้ตแทนซึงจูที่มือเจ็บ ทว่าความจริงแล้วปัญหานั้นซึงจูไม่ได้ขอ

“ช่างเถอะน่า นายนอนไปเถอะ”

“ไม่ได้…นายจับปากกาไม่ได้นี่”

มูรยองส่ายหัวไปมาแล้วใช้สองมือบีบแก้มตัวเองแน่น แน่นอนว่ามันไม่ได้ช่วยให้ตื่น แถมเขายังหาวออกมาอีกรอบในสภาพนั้น แต่พอเหลือบมองเฝือกบนแขนขวาของซึงจูแล้ว ใบหน้าเขาก็กลับมาดูมีสติราวกับโดนน้ำเย็นสาดใส่

“ฉันจะจดให้จนกว่านายจะได้ผ่าเฝือกออก”

“อะไรของนายเนี่ย…”

ขืนเขียนด้วยลายมือตอนง่วงนอนแบบนั้น ตอนเอามาอ่านทีหลังมีหวังยิ่งเสียเวลามากกว่าซะอีก

ซึงจูคิดเช่นนั้นขณะจับปากกาด้วยมือซ้ายอย่างทำอะไรไม่ถูก เพราะเขาไม่มีทางไม่รู้ถึงความรู้สึกผิดที่มูรยองมีต่อเขา แต่แทนที่จะมานั่งบอกว่า ‘ไม่เป็นไร’ เป็นร้อยหน สู้เขานั่งเรียนไปโดยปล่อยให้มูรยองทำตามใจคงจะดีกว่า

“งั้นตอนพักกลางวันพอกินข้าวเสร็จนายก็นอนพักสักหน่อยเถอะ ยังไงพรุ่งนี้ก็เป็นวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ระหว่างนั้นนายก็อย่าลืมพักซะล่ะ”

“อืม”

มูรยองรับคำแบบส่งๆ พลางจดตามตัวหนังสือบนกระดานอย่างตั้งอกตั้งใจ เดิมทีเขาไม่ใช่คนลายมือไม่สวย แต่คงต้องโทษที่วันนี้เขาง่วง ทั้งพยัญชนะและสระเลยพันกันยุ่งเหยิงไปหมด ดวงตาที่เปลือกตาปรือปิดไปครึ่งหนึ่งเองก็เต็มไปด้วยความง่วงงุน

ดังนั้นเมื่อถึงเวลาพักกลางวัน มูรยองก็แทบจะขยับมือไปตามระบบประสาทที่สั่งการโดยอัตโนมัติ สภาพสัปหงกศีรษะจวนจะทิ่มอยู่รอมร่อนั้นดูแย่ยิ่งกว่าทุกวัน ต้องโทษที่เขาใช้พลังจิตไปจนหมดเกลี้ยงตั้งแต่เช้ามืด แต่แน่นอนว่าซึงจูไม่มีทางรู้เรื่องนี้

“ตื่นได้แล้ว ไปกินข้าวกัน”

มูรยองงัวเงียตื่นขึ้น ก่อนจะเกาะหลังที่เห็นตรงหน้าไว้แน่น ปกติแล้วซึงจูจะให้ขี่หลัง แต่เพราะเวลานี้แขนของอีกฝ่ายเจ็บอยู่ มูรยองเลยได้แต่อดใจเอาไว้

แต่แล้วจู่ๆ มูรยองที่ถูกลากออกไปในสภาพที่เหมือนกับกระเป๋าเดินทางก็พลันรู้สึกหนาวขึ้นมาและชะงักไป

“มีอะไร”

ซึงจูที่พลอยหยุดเดินตามไปด้วยขมวดคิ้วมุ่น มูรยองกะพริบตาปริบๆ ทั้งที่แขนยังโอบรอบคอของซึงจูอยู่ เป็นเพราะเขาสบตากับฮวานยองที่เพิ่งออกมาจากประตูหลังของห้องเรียนชั้นมัธยมปลายปีสองห้องสาม

“…”

“…ไง”

“…”

“นายกำลังจะไปกินข้าวเหรอ”

สายตาไร้ชีวิตชีวามองมูรยองและซึงจูสลับกัน ดูเหมือนว่ามันจะจับจ้องไปยังเฝือกบนแขนขวาของซึงจูอยู่ครู่หนึ่งด้วย และแล้วฮวานยองที่มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาก็เดินกลับเข้าห้องเรียนไปโดยไม่ตอบอะไรกลับมาสักคำ

ซึงจูที่เห็นฮวานยองเป็นแบบนั้นก็ถอนใจแบบโกรธจริงจัง

“เฮอะ ไอ้คนไร้มารยาท”

“นี่ ต่อให้อยู่ในห้องก็ยังได้ยินนะ”

“แล้วใครใช้ให้ฟังล่ะ”

พวกเขาเดินไปยังโรงอาหารต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มูรยองเหลือบมองไปยังประตูหลังห้อง แต่ก็ดูเหมือนว่าฮวานยองไม่คิดที่จะออกมา

ว่าแล้วเชียว ไม่น่าชวนคุยเลยแฮะ แค่เห็นว่าสบตากันทั้งทีก็เลยทักไป แต่เราคงทักไม่ถูกเวลาเองล่ะมั้ง

เมนูอาหารกลางวันคือพุลโกกีเนื้อ* และซุปถั่วงอก มูรยองได้พุลโกกีเยอะกว่าคนอื่นๆ ถึงสองเท่าด้วยความสามารถในการผูกมิตรแบบเฉพาะตัว และหลังจากกินข้าวเสร็จก่อนใคร เขาก็เด้งตัวลุกขึ้นจากที่นั่งทันที

“ฉันไปก่อนนะ”

“อือ ไปนอนไป”

ซึงจูที่กินข้าวด้วยมือซ้ายพยักหน้าไปแบบส่งๆ ทีแรกมูรยองคิดว่าจะช่วยป้อนให้ แต่ก็จำต้องล้มเลิกความตั้งใจไปเมื่อซึงจูทำหน้าเคร่งใส่และร้องท้วงว่าไม่เอา พอได้ยินเขาบอกว่า ‘นายทำบ้าอะไรเนี่ย จะอ้วก’ มูรยองก็เลยยอมล่าถอย ไม่เถียงอะไรกลับไป

“เสื้อวอร์มฉันพาดอยู่บนเก้าอี้ เอาคลุมหัวนอนซะไป”

ความจริงแล้วเขาไม่ได้รีบลุกขึ้นเพื่อที่จะไปนอน แต่มูรยองก็ไม่คิดจะแก้ไขความเข้าใจผิดของซึงจู เขาทำเพียงแค่บอกให้ซึงจูค่อยๆ กินข้าวให้เสร็จแล้วตามมา ก่อนจะหยิบถาดอาหารและเดินออกจากโรงอาหารไป

สถานที่ที่มูรยองมุ่งตรงไปนั้นไม่ใช่ห้องเรียน แต่เป็นจุดทิ้งขยะที่ร้างผู้คน

“…”

มูรยองทรุดตัวลงนั่งยองๆ ตรงมุมหนึ่งพลางมองสำรวจไปรอบๆ ลานที่เอาไว้ใช้แยกขยะสำหรับรีไซเคิล แม้แต่ตอนที่หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเพื่อโทรออกก็ยังไม่ลืมชะโงกหน้าออกไปดูว่ามีคนมาหรือเปล่า

ตู๊ด…ตู๊ด…

เสียงรอสายดังอยู่ประมาณห้าครั้งได้ และแล้วเขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังผ่านโทรศัพท์มา

“ว่าไง มูรยอง”

“พี่ครับ!”

ปลายสายคือ ‘มูฮึน’ พี่ชายของมูรยอง เขาเองก็เป็นมือปราบวิญญาณเช่นเดียวกัน ซึ่งตอนนี้ได้แยกบ้านออกไปอยู่เองแล้ว และช่วงนี้ก็ลงไปต่างจังหวัดอยู่พักใหญ่ แม้เขาจะโตกว่ามูรยองสิบปี แต่พี่น้องคู่นี้ก็รักษาความสัมพันธ์ให้สนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็ก

“พี่ยุ่งอยู่ไหม”

“อืม…”

พอเลียบเคียงถามไปอย่างระมัดระวัง มูฮึนก็ลังเลใจอยู่พักหนึ่ง ดูเหมือนเขาจะกำลังทำอะไรสักอย่างอยู่และรอบตัวก็มีเสียงดังแปลกๆ ถ้าเป็นไปได้มูรยองก็อยากโทรหาใหม่ทีหลัง แต่เขาก็มีเหตุผลของตัวเองที่ต้องรบกวนเวลานี้เหมือนกัน

“พี่ยุ่งมากเลยเหรอ ขอคุยแป๊บหนึ่งได้ไหมอะ…”

“ไม่ๆ ตอนนี้ไม่ยุ่งแล้ว มีไรว่ามา”

โชคดีที่จู่ๆ รอบตัวมูฮึนก็เงียบสงบลง มูรยองเปลี่ยนมาจับโทรศัพท์ด้วยมืออีกข้างและลูบขมับไปด้วย

“ช่วยดูดวง** ให้ผมหน่อยสิ”

“ดูดวง?”

มือปราบวิญญาณชั้นนำแต่ละคนจะมีความสามารถโดดเด่นเฉพาะตัว ซึ่งมูรยองเองก็มีอยู่อย่างหนึ่ง ส่วนของมูฮึนคือการตรวจดูดวงชะตา ถ้าจะพูดให้ถูกคงต้องบอกว่าเขาสามารถอ่านพลังที่ชักนำโชคชะตาได้ มูรยองยังจำได้ดีที่มูฮึนเล่นมุกว่าจะไปตั้งเต็นท์รับดูดวง ซึ่งตอนนั้นก็โดนแม่ดุไปชุดใหญ่

“ทำไมจู่ๆ ถึงคิดจะดูดวง ปกตินายไม่สนใจนี่”

“พอดีมันจำเป็นน่ะพี่ ดูให้ตอนนี้เลยได้ไหม”

“ฉันดูให้อยู่แล้วน่า ว่าแต่จะดูของใคร ซึงจู?”

“เปล่า เพื่อนคนอื่นน่ะ”

“บอกวันเดือนปีกับเวลาตกฟากมา”

“เกิดปีเดียวกับผม…”

มูรยองลอบกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ เขาคิดเรื่องนี้กับตัวเองมาพักใหญ่เพราะกังวลใจที่จะต้องพูดมันออกมา เขาเปลี่ยนโทรศัพท์กลับไปยังมืออีกข้างและฝืนพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ อย่างยากลำบาก

“เกิดวันที่หนึ่งมีนา ยามจา**

‘นายเกิดตอนกี่โมงเหรอ’

มูรยองนึกถึงมูฮึนอยู่ในใจมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เพราะเขาสังหรณ์ใจว่าขั้นตอนนี้จำเป็นต่อการเพิ่มความมั่นใจให้กับสมมติฐานทั้งหลาย การจะแก้ปัญหาใดก็ตาม หากมีข้อมูลเยอะๆ ไว้ก่อนย่อมมีประโยชน์ ถึงเขาจะรู้สึกผิดต่อฮวานยองก็ได้แต่พยายามปลอบใจตัวเองว่ามันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้

“ไหนดูซิ ถ้ารุ่นเดียวกับนายก็จะเป็นปีคยองจา*** เดือนคีมโย**** วันคเยมโย***** ยามจา…เพื่อนผู้ชาย?”

“อืม ผู้ชาย”

เสียงขีดเขียนบางอย่างดังแกรกๆ มาถึงหูเขา เป็นเสียงที่ฟังดูไม่เหมือนกับการเขียนลงบนกระดาษและออกจะฟังดูสากหูสักหน่อย มูรยองที่นั่งฟังอยู่เงียบๆ เลยถามขึ้นอย่างเก็บความอยากรู้เอาไว้ไม่อยู่

“พี่ เขียนบนอะไรอยู่อะ”

“หืม? อ๋อ ไม่มีกระดาษก็เลยเขียนบนดินเหนียวน่ะ”

“…”

อยู่ข้างนอกจริงๆ ด้วยแฮะ

มูรยองรู้สึกผิดขึ้นมาในขณะที่ขยับเอาคางเกยไว้บนเข่า

เขาได้ยินเสียงคล้ายๆ แบบเดิมอีกสองสามครั้ง ก่อนจะได้ยินมูฮึนทำเสียงครุ่นคิดอยู่ในลำคอ

“แปลกแฮะ…” อีกฝ่ายพึมพำแบบนั้นและถามกลับมา “ไม่เห็นมีดวงชะตานี้เลยนี่?”

“…”

เขาไม่แปลกใจเลยเพราะเป็นเรื่องที่คาดไว้อยู่แล้วประมาณหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังพูดไม่ออกหน่อยๆ อยู่ดี

ทำยังไงดีนะ…

มูรยองค่อยๆ หลุบตาลงระหว่างพูดต่อด้วยน้ำเสียงหวั่นใจ

“พี่ครับ ถ้างั้น…”

 

เช้าวันจันทร์มูรยองแวะไปที่บ้านของซึงจูในเวลาที่อีกฝ่ายมักออกจากบ้านพอดี เนื่องจากพวกเขาได้รับอนุญาตให้ใส่เครื่องแบบฤดูร้อนได้ตั้งแต่สัปดาห์นี้ เสื้อผ้าจึงบางลงจากปกติมาก ซึ่งมูรยองเองก็ยังคงใส่แค่เสื้อยืดสีดำคลุมทับด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาวโดยไม่ผูกเนกไทเช่นเคย

“ซอซึงจู!”

“…อ๊า ตกใจหมด”

ซึงจูที่เพิ่งเปิดประตูหน้าบ้านออกมาพอดีผงะถอยหลังด้วยสีหน้าเหมือนเห็นผี ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วเขาไม่มีเนตรสัมผัสวิญญาณ

“ทำไมถึงโผล่หน้ามาที่นี่ได้”

ซึงจูเอากระเป๋าสะพายซ่อนไว้ข้างหลังและดูระแวดระวังมูรยองสุดๆ เพราะกลัวว่ามูรยองจะช่วยถือกระเป๋าให้เหมือนเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา แต่แทนที่จะแย่งกระเป๋ามามูรยองกลับรีบยื่นบางอย่างไปให้

“ฉันเอาอันนี้มาให้”

มันเป็นซองจดหมายกระดาษสีขาวสะอาดไม่มีลวดลาย ทว่าของที่อยู่ข้างในดูท่าจะไม่ใช่จดหมาย ซึงจูจึงลังเลใจและยังไม่ยอมรับมันมาอยู่พักหนึ่ง

“อะไรน่ะ”

สายตาที่เต็มไปด้วยความไม่ไว้ใจทำให้มูรยองกลอกตาล่อกแล่กไปมา แต่ถึงอย่างไรซอซึงจูที่หัวไวก็คงดูออกอยู่แล้ว

“ยันต์”

“…”

“รีบรับไปเร็ว”

“นี่นาย…”

ทั้งที่ซึงจูได้ยินคำพูดของมูรยองแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ยอมรับซองจดหมายไป ตรงกันข้ามเขากลับทำหน้าหงิกหน้างอด้วยความรำคาญและขยับริมฝีปากเหมือนพร้อมจะบ่นออกมา มูรยองเลยพยายามคะยั้นคะยอยัดซองจดหมายนั้นใส่เข้าไปในกระเป๋ากางเกงของซึงจูอย่างดื้อดึง

“จะมาบ่นเอาตอนนี้ก็สายไปแล้วล่ะ ถ้านายไม่รับ นายก็ต้องทิ้ง”

“แล้วมาบอกตอนนี้เนี่ยนะ…นายนี่มันจริงๆ เลย แล้วนี่นายตั้งใจจะยัดใส่ตรงไหนเนี่ย!”

สุดท้ายซึงจูก็รับยันต์ไปจากมือมูรยอง ท่าเปิดซองจดหมายและแอบมองสิ่งที่อยู่ข้างในนั้นดูระมัดระวังตัวจนดูเหมือนคนกำลังรับสินบน พอเห็นซึงจูถอนหายใจเสียงดัง มูรยองก็ยิ้มออกมาอย่างผู้ชนะ

“นายเขียนไปกี่แผ่นเนี่ย”

“…”

แต่แน่นอนว่ามูรยองชนะได้ไม่นาน…

“บอกมาตามตรง นายเขียนไปกี่แผ่น”

“อืม…”

มูรยองนึกถึงยันต์อีกแผ่นที่เสียบคั่นไว้ระหว่างหน้าหนังสือที่ใส่มาในกระเป๋า เขาหลบตาซึงจูและเดินหนีอย่างเฉไฉ แต่ซึงจูก็ยังคงตามมาโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง

“นายก็รู้อยู่แล้วนี่ว่าฉันเป็นพวกดวงซวย นายคงไม่เขียนมันแค่เพราะฉันมือเจ็บข้างหนึ่งหรอกใช่ไหม”

คำพูดนั้นถูกเผง ถ้าเป็นของที่ทำมาให้ซึงจูแค่คนเดียวโดยเฉพาะ มูรยองคงคิดแล้วคิดอีกอยู่นานจนไม่กล้าให้ ซึ่งก็ไม่มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษ ก็แค่ซอซึงจูเป็น ‘พวกดวงซวย’ จริงๆ

ยิ่งไปกว่านั้นการเขียนยันต์ต้องอาศัยเวลามากถึงสองวัน แน่นอนว่าหากไม่มีความจำเป็นต้องทำ มันก็ยากเกินกว่าที่มูรยองจะยอมลงแรง

“ฉันถามว่ากี่แผ่น…ไม่สิ ต้องถามว่าจะเอาไปให้ใครอีก”

ทุกคำที่ซึงจูพูดนั้นจี้ตรงจุดจนน่ากลัว มูรยองจึงทำเป็นนิ่งตอบกลับไปด้วยสีหน้าดื้อดึงเป็นที่สุด

“เรื่องส่วนตัวของฉันน่า”

“ตลกนักนะ คีฮวานยองใช่ไหม”

“…”

ถ้ามูฮึนเปิดกิจการรับพยากรณ์โชคชะตาเมื่อไหร่ก็น่าจะให้ซึงจูร่วมธุรกิจด้วยได้ คนหนึ่งดูดวงชะตา ส่วนอีกคนก็อ่านใจคนได้

“ทำขายแบบรับเงินยังจะดีซะกว่า ถ้าข่าวลือแพร่ออกไปว่านายแจกไอ้นี่ฟรี มีหวังคนคงได้แห่กันมาขอให้นายเขียนให้อีกพรึบแน่”

“ถ้ามันจำเป็นฉันก็ต้องเขียนให้อยู่แล้ว”

“โว้ย!”

สุดท้ายซึงจูก็ร้องเสียงดังออกมา และดังพอจะทำให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาหันมอง แต่มูรยองกลับยักไหล่อย่างไม่ยี่หระโดยไม่กะพริบตาแม้แต่น้อย

“ฉันไม่เขียนให้ใครที่ไหนก็ได้หรอกน่า”

“…”

ซึงจูทำหน้าอึ้งเหมือนพูดอะไรไม่ออก เพราะไอ้การที่มูรยองตอบกลับมาทันทีทันใดว่าจะเขียนให้แค่คนที่จำเป็นต้องใช้จริงๆ นี่แหละคือปัญหา แต่ดูท่าเจ้าตัวจะไม่รู้ตัวเลยสักนิด

“นายนี่มัน…เฮ้อ พอกันที”

คำพูดที่ว่า ‘ไม่มีพ่อแม่คนไหนเอาชนะลูกได้เลย’ นั้นดูท่าจะจริง ซึงจูเจ้าของฉายา ‘คุณพ่อของคิมมูรยอง’ เองก็ไม่เคยเอาชนะความดื้อดึงของมูรยองได้เลยจริงๆ ดูจากการพับยันต์อย่างสวยงามและเก็บใส่กระเป๋ากางเกงก็รู้ได้แล้ว ไหนจะคำถามแบบเป็นนัยนั่นอีก

“คราวนี้เรื่องมันร้ายแรงมากเลยเหรอ”

สีหน้ามูรยองดูจริงจังขึ้นมาทันตา เพราะมันยากเกินกว่าที่เขาจะอธิบาย ซึงจูจึงพูดด้วยน้ำเสียงที่สงบลงมากเหมือนรู้สึกได้ถึงบางอย่าง

“ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวนายไม่ต้องเล่าก็ได้…”

“…”

“แต่นายห้ามฝืนตัวเองเด็ดขาดเลยนะ”

มูรยองเลือกที่จะหัวเราะแห้งๆ พอเห็นดอกเบญจมาศดอกหนึ่งที่มีคนเอามาวางไว้ตรงทางแยก เขาก็กลืนเสียงหัวเราะขมๆ ลงคอไปอย่างยากเย็น ซึงจูเลยพูดเสริมอย่างจริงจังเมื่อสังเกตเห็นอาการนั้น

“แล้วนายก็ห้ามไปยุ่งกับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องเชียว”

มูรยองผงะไปทันที เขาตกใจมากที่ซึงจูสังเกตเห็นได้อย่างรวดเร็วทั้งที่เขาหันไปมองแค่แวบเดียวเท่านั้น

“…ขนาดนี้แล้วนายไปรับดูดวงกับพี่ชายฉันเลยไหม”

“อยากเห็นคุณป้าเป็นลมหรือไง”

มูรยองตั้งใจจะพูดเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ แต่กลับถูกซึงจูจิ๊ปากใส่แล้วดุเข้าให้ อย่างไรเสียก็เป็นแค่การคาดเดาเกี่ยวกับคนเพียงคนเดียวได้อย่างแม่นยำ และมันก็ยิ่งเดาได้ง่ายขึ้นไปอีกเมื่อเป็นมูรยอง การเข้าไปยุ่มย่ามในที่ที่ไม่จำเป็นและทุ่มเทสุดตัวนั้น ต่อให้ใครจะว่าอย่างไรมันก็คือคุณสมบัติเฉพาะตัวของมูรยองอยู่ดี

“ถ้านายมีใจจะช่วยก็ช่วยแต่คนเป็นเถอะ อย่าช่วยยันคนตายเลย”

หนนี้มูรยองไม่อาจรับคำได้จริงๆ ไม่ว่าพวกเขาจะตายแล้วหรือยังมีชีวิตอยู่ สำหรับมูรยอง พวกเขาก็ยังให้ความรู้สึกเหมือน ‘คน’ ไม่แตกต่างกัน ใช่ว่าแค่หมดสิ้นชีวิตแล้วก็จะกลายเป็นสิ่งไร้ค่าไปในพริบตา

จะว่าไม่มีชีวิตจิตใจเลยก็ไม่ใช่ซะทีเดียว

การตายของกายหยาบนั้นไม่ได้หมายถึงการสูญสลายของดวงวิญญาณสักหน่อย มูรยองคิดว่า ‘ชีวิต’ ไม่ใช่เปลือกนอก แต่เป็นสิ่งที่อยู่ข้างในต่างหาก แม้หลังจากสูญเสียชีวิตไปแล้วจะกลายเป็นปีศาจที่เกาะติดอยู่กับฮวานยองก็ตามที

ถึงอย่างไรนั่นก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญสำหรับเขาเลยสักนิด

“แล้วก็นะ…”

ซึงจูขมวดคิ้วเบาๆ ระหว่างขยับปากพูด มันเป็นสีหน้าที่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ชอบใจเอาเสียเลย แล้วก็ดูเหมือนจะขัดเขินอะไรบางอย่างที่จะพูดด้วย เมื่อมูรยองมองตอบด้วยสายตางุนงง เขาก็ถอนหายใจออกมา

“ขอบใจ ฉันจะพกยันต์นี้ติดตัวไว้ละกัน”

คำเพียงคำเดียวต้องใช้ความพยายามในการพูดขนาดนั้นเลยหรือไงกัน

มูรยองกะพริบตาและเงยหน้ามองเสี้ยวใบหน้าด้านข้างของซึงจู กล้ามเนื้อบนแก้มที่เนียนใสและเกลี้ยงเกลากระตุกเบาๆ มันเป็นการแสดงออกทางใบหน้าแบบเฉพาะตัวเวลาที่ซอซึงจูรู้สึกผิด

“ถ้าสำนึกบุญคุณก็อย่าทำหายแล้วกัน”

ซึงจูหันมาทำหน้าแหยใส่คำพูดล้อเล่นนั้นพร้อมกับพูดว่า “ให้ตายสิ นี่นายคิดว่าคนอย่างฉันจะทำหายหรือไงกัน แต่ต่อให้ทำหายจริง นายก็อย่าคิดที่จะทำแผ่นใหม่มาให้ฉัน”

อย่างไรเสียซึงจูก็ไม่ใช่คนที่จะทำของหายอยู่แล้ว ส่วนมูรยองก็เป็นคนที่ทำยันต์ขึ้นมาใหม่ได้เรื่อยๆ เช่นกัน ท้ายที่สุดแล้วคำพูดนั้นเลยกลายเป็นการกำชับที่ไร้ความหมายไปโดยปริยาย

 

แม้จะเข้าสู่ช่วงเวลาที่ใส่เครื่องแบบนักเรียนฤดูร้อนได้แล้ว แต่เอาเข้าจริงก็ยังมีนักเรียนที่เปลี่ยนมาใส่ไม่มากอยู่ดี เพราะเมื่อวันจันทร์จู่ๆ อากาศก็เย็นลงอีก ซึงจูที่ไม่สามารถใส่เสื้อเชิ้ตได้เพราะติดเฝือกยังคงต้องเอาเสื้อวอร์มมาคลุมตัวช่วงบนไว้ทุกคาบเรียน

ทันทีที่หมดคาบโฮมรูมรอบบ่าย มูรยองก็แยกกับซึงจูและเดินไปทางห้องสาม พอบอกว่าจะเอายันต์ไปให้ฮวานยอง ซึงจูก็ขอกลับบ้านก่อนโดยไม่ได้พูดอะไร แต่ก็มีเหลียวมองด้วยสายตาไม่ค่อยถูกใจอยู่พักหนึ่ง คงเพราะมูรยองเอาแต่ยิ้ม เขาเลยตัดสินใจที่จะไม่พูด

โรงเรียนมัธยมปลายแฮยอนห้ามคนเข้าออกโรงเรียนหลังเลิกเรียนอย่างเคร่งครัด และไม่มีการให้อยู่เรียนด้วยตัวเองต่อตอนกลางคืน เมื่อประตูใหญ่ถูกล็อกแล้วจะไม่มีการเปิดอีกจนกว่าจะถึงเวลาเปิดโรงเรียนในเช้าวันใหม่ ดังนั้นตอนนี้นักเรียนส่วนใหญ่จึงกำลังเดินตัดผ่านสนามกีฬาเพื่อกลับบ้าน

[2-3]

มูรยองยืนอยู่ตรงประตูหลังของห้องเรียนพลางกวาดตามองหาฮวานยองด้วยสีหน้าประหม่า เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะกลับไปแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมมูรยองถึงได้มีความรู้สึกว่าเขาน่าจะยังอยู่

โชคดีที่ฮวานยองยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะนิ่งๆ ท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามเย็นเหมือนอย่างเคย

“ยังไม่กลับบ้านเหรอ”

ฮวานยองผงกศีรษะขึ้นมา พอเห็นมูรยองก็เบือนหน้าหนีแล้วทำเป็นไม่เห็น มูรยองหวังให้มีปีศาจซ่อนอยู่ในเงาเขา แต่น่าเสียดายที่รอบนี้มีฮวานยองอยู่คนเดียวจริงๆ

“โล่งอกไปที ฉันคิดว่านายจะกลับไปแล้วซะอีก”

“อะไรของนาย…”

ฮวานยองขมวดคิ้วพลางหยิบกระเป๋าแล้วลุกขึ้น เสื้อเชิ้ตของเขาติดกระดุมถึงคอและเนกไทที่ผูกอย่างเรียบร้อย ตอนนี้เขายังใส่เครื่องแบบฤดูใบไม้ผลิอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นตอนเขาใส่เครื่องแบบฤดูร้อนก็คงเรียบร้อยไม่ต่างกัน

“นายมาที่นี่ทำไม”

ยิ่งฮวานยองเข้ามาใกล้ พลังวิญญาณแบบเฉพาะตัวของเขาก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ มันเป็นพลังที่ให้ความรู้สึกสดชื่นเย็นสบายต่างจากตอนมีปีศาจอยู่กับเขาด้วยอย่างเห็นได้ชัด มูรยองยื่นซองจดหมายที่ถืออยู่ในมือให้ฮวานยองแบบไม่พูดพร่ำทำเพลง

“เอาอันนี้มาให้”

“…”

มูรยองไม่รู้ตัวเลยว่าท่าทางของตนเองนั้นออกจะดูแปลกไปหน่อย ในห้องเรียนที่ไม่มีคน ดวงอาทิตย์ที่กำลังตกหลังเลิกเรียน กับเด็กนักเรียนที่ยื่นซองจดหมายสีขาวในมือไปข้างหน้าพร้อมรอยยิ้มบางๆ

“อะไรน่ะ”

แน่นอนว่าฮวานยองขมวดคิ้วมองด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความหวาดระแวง ทั้งยังไม่มีทีท่าว่าจะรับซองจดหมายหรือคิดจะเข้ามาใกล้มูรยองเลยสักนิด

“ถามว่าอะไรน่ะเหรอ…”

มูรยองต้องเดินเข้าไปใกล้ฮวานยองอีกก้าวแล้วลดเสียงลงอย่างช่วยไม่ได้ แม้จะไม่มีใครอยู่แถวนี้แต่ระวังไว้ก่อนก็ดีเหมือนกัน

“ยันต์น่ะ”

เสียงกระซิบกระซาบนั้นชวนให้รู้สึกจั๊กจี้แปลกๆ ปัญหาคงจะเป็นท่าทางที่ดูมีเลศนัยนี้ดูแปลกเกินไปสักหน่อย

“…ยันต์?”

“อื้ม ฉันเขียนเอง”

มูรยองวางยันต์ลงบนมือของฮวานยองอย่างไม่รีรอ ภาพมือที่สัมผัสกับมือที่เปลือยเปล่าและวางซองจดหมายลงไปนั้นดูเป็นธรรมชาติราวกับสายน้ำไหล นิ้วมือที่แตะกับมือของมูรยองขยับไหว แต่ครั้งนี้ฮวานยองกลับไม่ได้แสดงอาการเหมือนจะสะบัดมือเขาออก

“ถ้าพกติดตัวเอาไว้ ไหล่นายจะไม่หนัก”

“…”

ยันต์นั้นคือสิ่งที่เต็มไปด้วยพลังวิญญาณของมูรยอง ด้วยความที่มันถูกทำขึ้นด้วยขั้นตอนอันยุ่งยากและซับซ้อน พลังวิญญาณจึงไม่จางไปโดยง่าย มันน่าจะเป็นกลลวงที่พอจะซ่อนฮวานยองจากพวกปีศาจและผีร้ายไปได้ช่วงหนึ่ง

“อย่าทำหายเชียวนะ พกมันติดตัวไว้สักพัก เจ้านี่ทำใหม่ยากมาก เพราะงั้นนายต้องรักษามันเอาไว้ให้ดีนะ”

มูรยองเงยหน้าขึ้นมองเป็นเชิงบอกให้อีกฝ่ายตอบรับ ก่อนจะพบว่าดวงตาสีดำสนิทของฮวานยองนั้นอยู่ใกล้มาก หากหายใจออกมาแรงๆ ลมหายใจของพวกเขาก็คงจะสัมผัสกัน ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ระยะห่างระหว่างพวกเขาแคบลงขนาดนี้ ฮวานยองที่นิ่งค้างไปพักหนึ่งถอยหลบก่อนขมวดคิ้ว

“…นายทำได้ยังไง”

ยันต์นั้นยู่ยับเล็กน้อยอยู่ในฝ่ามือใหญ่ของเขา ฮวานยองพลันรีบคลายมือออกเป็นเชิงว่าไม่ได้ตั้งใจ มูรยองหยิบยันต์จากมือเขามากางให้เรียบ และหนนี้ก็พับมันอย่างดีก่อนจะใส่ไว้ให้ในกระเป๋ากางเกง

“เรื่องนั้นไว้ฉันจะบอกทีหลัง”

ในตอนที่มือของเขาโฉบผ่านกางเกง ฮวานยองผงะถอยไปเล็กน้อยและจ้องมองมูรยอง มือที่จัดว่ามีนิ้วเรียวยาวเมื่อเทียบกับขนาดมือรีบทำในสิ่งที่หวังไว้ก่อนจะละออกห่าง มูรยองที่ตีความสายตานั้นได้ว่า ‘ไม่ชอบใจ’ จึงยักไหล่และพูดเสริม

“แต่ถึงจะรู้วิธีไปก็ไม่มีใครทำตามได้หรอก”

อันที่จริงถ้าเป็นฮวานยองก็น่าจะทำได้ แต่มูรยองจงใจที่จะไม่บอกอีกฝ่าย ลำพังเขาทำเองน่ะได้ แต่เขาไม่ค่อยอยากเห็นคนอื่นทำมันสักเท่าไหร่ อีกอย่างมูรยองเองก็ไม่อาจมองข้ามความเป็นไปได้ที่ฮวานยองอาจรู้สึกตะขิดตะขวงใจหากเขาบอกขั้นตอนการทำออกไป

“ถ้านายพกเจ้าสิ่งนี้ติดตัวไปสักพัก…”

“ไหล่จะไม่หนักงั้นสินะ?”

สองสายตาสบประสาน ทั้งที่พวกเขาต่างจ้องมองกันอยู่แต่มูรยองกลับรู้สึกเหมือนต่างคนต่างมองกันคนละทิศคนละทาง ก่อนจะทันรู้ว่าตัวตนของความขัดแย้งนี้คืออะไร ฮวานยองก็หยิบยันต์ออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วยื่นคืนให้

“ฉันไม่ต้องการ นายเอากลับไปเถอะ”

“…หืม?”

ปฏิกิริยานั้นทำเอามูรยองอึ้งไปนิด ถึงแม้ฮวานยองจะไม่ได้บอกขอบคุณอย่างซึงจู แต่มูรยองก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะไม่ยอมรับมันแบบนี้ พอเห็นมูรยองกะพริบตาอย่างงุนงง ฮวานยองก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง

“อย่างที่บอกนั่นแหละว่าฉันไม่ต้องการ นายเอามันกลับไปเถอะ ฉันไม่ได้มาขอให้นายช่วยทำยันต์ให้แผ่นหนึ่งสักหน่อย”

ถ้าซึงจูอยู่ด้วย หมอนั่นก็คงจะพูดแบบนี้อย่างที่ชอบพูดเป็นประจำแน่ๆ

‘เฮอะ ไอ้คนไร้มารยาทเอ๊ย’

“เอ่อ คือ…นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกสักหน่อย”

มูรยองบอกอย่างใจเย็นเพื่อให้ความมั่นใจกับฮวานยอง อันดับแรกคือต้องทำให้ฮวานยองยอมพกยันต์ติดตัวไว้สักสองสามวัน แล้วที่เหลือต่อจากนั้นเดี๋ยวเขาจะจัดการต่อเอง

ขณะที่มูรยองพยายามสาธยายถึงสิ่งที่เคยวางแผนไว้หลังกลับมาจากบ้านของฮวานยอง ระหว่างคุยกับมูฮึน และตอนที่ทำยันต์ขึ้นมา ฮวานยองก็ขยำยันต์ในมือจนยับยู่ยี่ ครั้งนี้ไม่ใช่การเผลอลืมตัว แต่ชัดเจนว่าเป็นการจงใจ หลังจากใช้สองมือขยำซองจดหมายแล้ว เขายังโยนมันทิ้งลงถังขยะหลังห้องเรียนด้วย

“…”

มูรยองหลับตาแล้วก็ลืมตาขึ้นมาใหม่ มันเป็นเรื่องที่ทำเอาเขาสับสนมากจนนึกไม่ออกเลยว่าควรโต้ตอบกลับไปอย่างไรดี ฮวานยองพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาใส่มูรยองที่จ้องมองไปยังถังขยะนิ่ง

“ถ้าฉันอยากได้ของพวกนี้ ฉันคงจ่ายเงินซื้อไปตั้งนานแล้ว”

ไม่ใช่แค่ดูถูกความตั้งใจ แต่เรียกว่า ‘เหยียบย่ำมันไว้ใต้เท้า’ เลยก็ว่าได้ ถ้าเกิดใครมาเห็นเข้า ร้อยทั้งร้อยก็คงช็อกจนอ้าปากค้าง มีเพียงความเงียบอันหนักอึ้งคั่นกลางระหว่างพวกเขา หางตาที่เคยสดใสและอ่อนโยนคู่นั้นเวลานี้กลับลู่ตกลง

“…นี่ ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ แต่นายทิ้งของที่คนอื่นตั้งใจทำให้แบบนั้นได้ยังไง”

มูรยองไม่ได้ดูโกรธ และเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าตัวเองกำลังทำหน้าเบะเหมือนลูกหมาที่ถูกแย่งของเล่นชิ้นโปรดไปหรือเปล่า แต่พอเห็นยันต์จมอยู่ท่ามกลางขยะที่เละเทะจนไม่อยากทั้งเก็บมันขึ้นมาและทิ้งมันเอาไว้ มูรยองก็ได้แต่คร่ำครวญในลำคออย่างเจ็บปวดใจ

“บ้าเอ๊ย ถ้ารู้ว่าเจ้านี้ทำขึ้นมาได้ยังไง…นายจะมาเสียใจเอาทีหลังไหมนะ”

มูรยองถอนใจออกมาอย่างคร่ำครวญแล้วเงยหน้าขึ้นจ้องฮวานยองตรงๆ

“แต่ไม่ว่ายังไงนายก็ไม่ควรทิ้งของต่อหน้าคนให้นะ มันเสียมารยาท”

“…”

ปากบอกว่า ‘ถ้านายทำแบบนี้ ตัวนายจะลำบากเอานะ’ หรือ ‘นายเองก็อย่ามารู้สึกผิดเอาทีหลังแล้วกัน’ แต่นั่นกลับไม่ใช่การต่อว่า มันเป็นเสียงพูดที่อ่อนโยนจนแม้แต่ฮวานยองที่มีท่าทีไม่พอใจก่อนหน้านี้ยังอึ้งไป มูรยองแค่ใช้น้ำเสียงที่ฟังเหมือนเด็กน้อยนั้นตักเตือนเขาโดยที่ไม่ได้โวยวายอะไร

“อาทิตย์นี้ฉันเองก็เต็มกลืนแล้วด้วย…ไว้อาทิตย์หน้าฉันจะทำมาให้ใหม่ ถึงตอนนั้นก็อย่าทิ้งมันอีกล่ะ”

ฮวานยองยังไม่ได้ตอบอะไรแต่มูรยองก็หันหลังขวับทันที และก่อนที่เขาจะทันพูดอะไร มูรยองก็เดินไปตามโถงทางเดินหน้าห้องเรียนแล้ว ฮวานยองที่ถูกทิ้งไว้ตามลำพังจึงได้แต่มองภาพแผ่นหลังนั้นแล้วก็แค่นหัวเราะออกมา

 

โรงเรียนยังคงเต็มไปด้วยบรรยากาศครึกครื้นเพราะการสอบกลางภาคเพิ่งเสร็จสิ้นไปได้ไม่นาน ใบคะแนนสอบแจกคืนให้ในคาบโฮมรูมรอบเช้า มูรยองเก็บมันใส่กระเป๋าโดยไม่แม้แต่จะปรายตาดูคะแนนด้วยซ้ำ เพราะถ้าเป็นเรื่องเรียนเขายอมแพ้ไปนานแล้ว

ในตอนที่หมดคาบแรกมินจีเอากิ๊บติดผมอันเล็กมาให้เป็นค่าตอบแทน มันเป็นกิ๊บติดผมที่มีดอกไม้พลาสติกสีชมพูติดอยู่ด้านบนและมีเสียงป๊อกแป๊กฟังดูน่ารัก คงจะน่ารักน่าดูหากเป็นเด็กอายุสักสี่หรือห้าขวบติดมันเอาไว้

“มินจี เธอใช้อันนี้ตอนเด็กเหรอ”

“น่าจะใช่นะ ฉันเองก็จำไม่ได้แล้ว”

มูรยองบอกขอบคุณและเก็บกิ๊บติดผมลงในกระเป๋า มันดูเป็นของที่มีอายุเกินสิบปีเลยถือได้ว่าเป็นการลงแรงที่คุ้มค่าเหนื่อย

“ว่าแต่นายจะเอาไปใช้ทำอะไรน่ะ ติดให้เจ้าซอลกีเหรอ”

“อืม ก็…”

ยางลบใช้แล้วที่เหลือเพียงครึ่งก้อน ลูกแก้วที่เคยเล่น แหวนมิตรภาพสมัยเด็ก หรือไม่ก็เครื่องประดับสมัยเด็กๆ เพื่อนที่มาไหว้วานมูรยองทุกคนเป็นต้องถามว่าเขาจะเอามันไปใช้ทำอะไร และทุกครั้งมูรยองจะปล่อยเบลอโดยไม่ให้คำตอบที่ชัดเจนราวกับเขาอยากจะมีภาพลักษณ์เป็น ‘เด็กหนุ่มที่สะสมข้าวของประหลาด’ อย่างไรอย่างนั้น

“แปลกดีแฮะที่ไม่มีใครลือกันว่าคิมมูรยองเป็นโรคจิต”

ซึงจูออกปากชมด้วยน้ำเสียงจริงใจ ถ้าคนอื่นทำตัวแบบนี้คงมีข่าวลือประหลาดๆ เกิดขึ้นไปนานแล้ว แต่ดูเหมือนภาพลักษณ์ใสซื่อบริสุทธิ์ตามแบบฉบับคิมมูรยองจะปกป้องเขาจากเรื่องพวกนั้นได้ดีทีเดียว ทั้งยังมีข่าวลือที่ว่าเขารับของที่ดูเหมือนขยะไปก็เพื่อจัดหมวดหมู่ให้พวกมันและคัดแยกอีกต่างหาก

“นั่นน่ะสิ กิ๊บอันนั้นดูไม่มีประโยชน์อะไรเลยนะ”

“ของทุกอย่างก็มีประโยชน์ของมันกันทั้งนั้นแหละ”

มูรยองหยิบหนังสือเรียนของคาบต่อไปขึ้นมาแทนการตอบว่าจะเอาไปใช้ทำอะไร ทั้งยังหยิบสมุดโน้ตสะอาดๆ ออกมาไว้ใช้จดเลกเชอร์แทนซึงจูอีกเล่มด้วย แต่มินจีก็ยังคงป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ตัวมูรยอง ก่อนจะถามขึ้นอย่างระมัดระวัง

“ว่าแต่ว่า…มูรยอง นายสนิทกับคีฮวานยองเหรอ”

“หืม?”

ถึงจะเป็นชื่อที่เขาไม่คาดคิดว่าจะได้ยิน แต่ก็นับว่าเป็นชื่อที่แสนคุ้นเคย คงเป็นเพราะเขาเพิ่งไปเจอหน้าฮวานยองมาเมื่อวานหลังเลิกเรียน

“เห็นเขาว่าอาทิตย์ที่แล้วนายมาโรงเรียนพร้อมคีฮวานยองด้วยนี่”

“เออ ใช่ พอได้ยินเรื่องนั้นแล้ว ฉันก็คิดว่าความสามารถในการเข้ากับคนของคิมมูรยองนี่มันบ้าบอมากจริงๆ”

“หมอนั่นไม่ใช่คนน่ากลัวหรอกเหรอ แล้วหมอนั่นเป็นคนยังไงบ้างอะ”

นี่ฉันกลายเป็นข่าวลือไปซะแล้วเหรอเนี่ย

เพียงครู่เดียวคำถามที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นก็ถูกส่งมาเป็นชุด มูรยองกวาดตามองบรรดาเพื่อนๆ พลางขยิบตาให้อย่างขี้เล่น

“ฉันก็สนิทกับทุกคนในโรงเรียนแหละน่า”

“โอ๊ย อะไรเนี่ย”

“นายนี่มันจริงๆ เลย คิมมูรยอง”

แม้จะเป็นคำพูดที่ดูเหมือนเป็นเรื่องล้อเล่นแต่มันก็คือเรื่องจริง พวกเพื่อนๆ ที่หาคำไหนมาโต้แย้งไม่ได้เลยพากันโวยวายใส่มูรยอง ถึงอย่างนั้นคำพูดจากเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งก็ทำให้บรรยากาศในวงสนทนาเปลี่ยนไป

“ฉันว่าหมอนั่นก็เป็นแบบนั้นมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้วนี่”

บทสนทนาใหม่เริ่มต้นจากตรงนั้น ฮวานยองที่เข้ากับใครไม่ได้เลย ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็รู้สึกว่าน่าแปลก

“ปีที่แล้วฉันอยู่ห้องเดียวกับหมอนั่น แต่ก็ไม่เคยได้คุยกันเลยสักคำ”

“เขาแค่ไม่สนิทกับนายหรือเปล่า”

“เปล่าสักหน่อย ขนาดชวนคุยแล้วยังไม่ตอบเลย ตอนทำงานอะไรเป็นกลุ่มฉันแทบจะบ้าตายเพราะเขาไม่ออกความเห็นอะไรเลย”

“เอิ่ม…แล้วแบบนี้ตอนประเมินสมาชิกกลุ่มทำไงอะ”

“หมอนั่นก็แค่ทำหน้าที่ในส่วนที่ตัวเองต้องรับผิดชอบไง”

“อะไรเนี่ย หมอนั่นมันบ้าชัดๆ แต่ยังไงก็ช่างเขาเหอะน่า”

เสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง มูรยองปิดปากเงียบ แต่เพื่อนคนอื่นๆ กลับยังยืนล้อมอยู่รอบตัวเขาและคุยเรื่องฮวานยองกันต่อ

“เออ จริงสิ ฉันเคยเผลอเดินชนหมอนั่นตรงระเบียงแล้วโดนมองแรงด้วยล่ะ ตอนนั้นฉันนึกว่าจะโดนต่อยซะแล้ว”

“โห หมอนั่นตัวก็ใหญ่เบ้อเริ่ม นายคงจะกลัวขึ้นสมองเลยล่ะสิ”

“หมอนั่นแปลกจริงๆ แฮะ”

“ทำไมต้องทำเป็นเก๊กวางมาดอยู่คนเดียวแบบนั้นด้วยนะ”

“ไม่รู้สิ แต่ตอนนั้นที่มาห้องเรา หมอนั่นก็ทำตัวแบบนั้นไม่ใช่หรือไง ‘เรียกคิมมูรยองให้หน่อยสิ’ พูดเสียงโคตรน่ากลัวเลย…”

ซึงจูพลันย่นคิ้วกับสิ่งที่ได้ยิน สายตาของมูรยองมองไปยังเฝือกบนแขนขวาของเขาในจังหวะนั้นพอดี และตอนนั้นเองที่ซึงจูทุบโต๊ะแล้วสั่งให้พวกเพื่อนที่กำลังเสียงดังเงียบลง

“เฮ้ย หนวกหู พวกนายอย่ามานินทาคนแถวนี้ได้ไหม”

“นั่นสิ ฉันแค่ถามเฉยๆ เองว่าสนิทกันเหรอ แต่พวกนายดันมาพูดแบบนี้ แล้วฉันจะดูกลายเป็นคนยังไงกันล่ะเนี่ย”

แม้แต่มินจีเองก็ยังลำบากใจ แต่เพื่อนคนที่เปิดประเด็นขึ้นมาก็ยังไม่ยอมลดละ ทั้งยังเสียงดังขึ้นทั้งที่สีหน้าดูอับอาย

“เปล่านะ ไม่ได้นินทาสักหน่อย มันเรื่องจริงต่างหาก มูรยอง นายเองก็คิดว่าหมอนั่นเป็นคนแบบนั้นเหมือนกันใช่ไหมล่ะ”

แล้วสายตาทุกคู่ก็เบนความสนใจมาที่มูรยองทันที ถึงจะน่าหนักใจแต่มูรยองก็ตอบกลับไปโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง

“คีฮวานยองเขานิสัยดีนะ”

“…”

แค่คำพูดเดียวก็เพียงพอที่จะหยุดเสียงเอะอะทั้งหมด แม้แต่เพื่อนคนที่เผยความไม่พอใจออกมาอย่างปิดไม่มิดก็ยังปิดปากสนิทด้วยสีหน้าราวกับพูดไม่ออก ระหว่างที่กำลังนั่งลูบๆ คลำๆ หนังสือเรียนที่วางอยู่บนโต๊ะมูรยองก็คลี่ยิ้มออกมา

“อาจจะแค่ไม่สนิทใจกับคนแปลกหน้าล่ะมั้ง? ตอนฉันเอารูปเจ้าซอลกีให้ดู เขายังบอกว่า ‘แพ็กซอลกีซะที่ไหน นี่มันอินจอลมีต่างหากล่ะ’ อยู่เลย ไม่มีคนรักหมาที่ไหนเป็นคนไม่ดีหรอกน่า”

ประโยคหลังนั้นดูเหมือนจะกึ่งๆ เป็นการล้อเล่น มูรยองหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วเปิดรูปที่เขาเคยเอาให้ฮวานยองดูตอนนั้นยื่นให้กลุ่มเพื่อนดู มันเป็นรูปถ่ายที่มีเจ้าซอลกีนอนแผ่อยู่บนพื้นเหมือนกับอินจอลมี

“ดูสิ เจ้าซอลกีน่ารักเนอะ”

หัวข้อสนทนาพลันเปลี่ยนไปเป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างอัตราความเร็วในการเจริญเติบโตของเจ้าซอลกีกับสีขนของมัน ข้อขัดแย้งที่ว่า ‘เจ้านี่เหมือนแพ็กซอลกีหรืออินจอลมีกันแน่?’ จบลงที่ข้อสรุป ‘มันเหมือนแพ็กซอลกีที่สุกได้ที่’ ในตอนนั้นเองเสียงออดก็ดังขึ้นบอกเวลาเริ่มคาบเรียนที่สองราวกับรู้จังหวะพอดี

“เอาไว้พวกนายก็มาเล่นกับเจ้าซอลกีดูสิ”

“ได้อยู่แล้ว ฉันไปแน่นอนเลย เดี๋ยวจะซื้อขนมไปฝากด้วย”

“มูรยอง ฉันด้วยๆ ฉันขอไปด้วยคนนะ”

“มากันทั้งหมดเลยก็ได้นะ เจ้าซอลกีมันชอบคน”

ซึงจูเฝ้ามองเหตุการณ์ทั้งหมดนั้นด้วยแววตาสุดแสนจะทึ่ง ทั้งที่คิมมูรยองเป็นเพื่อนที่เห็นหน้ากันมาตั้งแต่เกิด แต่ทุกครั้งที่เห็นเหตุการณ์แบบนี้ซึงจูก็มักเกิดความรู้สึกแปลกใหม่ขึ้นมาตลอด โดยเฉพาะกับเรื่องที่ว่าเจ้าตัวไม่เคยตีสองหน้าเสแสร้งใคร

“คีฮวานยองนิสัยดี?”

มูรยองยิ้มกับคำพูดนั้น ดวงตาที่ไม่มีชั้นตาทอดตัวโค้งลงอย่างละมุนละไม

“วันที่ฉันไปนอนบ้านหมอนั่น เขาเตรียมอาหารเช้าจนเสร็จแล้วค่อยมาปลุกฉันไปกินด้วยล่ะ”

“…”

“แถมตอนเดินมาโรงเรียนก็รักษาจังหวะเท้ารอฉันให้เดินไปพร้อมกัน แล้วดูเหมือนว่าเขาจะเดินฝั่งริมถนนตลอดด้วยนะ”

“…นิสัยดีจังนะ”

“ฉันถึงได้บอกไงว่าเขาน่ะนิสัยดี”

มูรยองพยักหน้าเหมือนจะบอกว่า ‘เห็นไหมล่ะ’ ทว่าความจริงแล้วซึงจูกลับคิดว่า ‘คนที่นิสัยดีนั่นมันนายต่างหากล่ะ’ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้แก้ไขความเข้าใจของเจ้าตัวให้ถูกต้อง

“วันนี้ไปกินข้าวกลางวันกับคีฮวานยองกัน”

ซึงจูเหลือบมองมูรยอง ก่อนจะพบว่าไม่เห็นวี่แววล้อเล่นจากเจ้าตัวที่กำลังพลิกเปิดหนังสือเรียนเลยแม้แต่น้อย พอเห็นแบบนี้แล้วซึงจูก็อดหัวเราะใส่เขาไม่ได้

“…คีฮวานยองรู้เรื่องด้วยไหมเนี่ย”

แน่นอนมูรยองตอบว่า ‘ไม่’ อย่าว่าแต่จะกินข้าวด้วยกันเลย ฮวานยองคงยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามูรยองจะไปหา เขาเดาว่าป่านนี้อีกฝ่ายคงคิดว่ามูรยองจะเอายันต์ไปให้ประมาณอาทิตย์หน้าแน่ๆ

“ยังไงหมอนั่นก็ดูเหมือนจะกินข้าวคนเดียวอยู่แล้ว ถ้าชวนมากินด้วยกันก็ไม่น่าจะปฏิเสธไหมนะ”

“…”

มูรยองพูดออกมาง่ายๆ เหมือนไม่คิดอะไร แต่จากที่ซึงจูเห็น คีฮวานยองดูไม่ใช่คนอ่อนโยนเลยสักนิด คราวก่อนตอนทักทายอีกฝ่ายก็เมินใส่กันด้วยสีหน้าเย็นชา แถมไม่ใช่กับคนอื่นด้วย แต่เป็นกับคิมมูรยองนี่แหละ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นก็เพิ่งให้มูรยองไปค้างด้วยคืนหนึ่งแท้ๆ

“พอเลย จะกินด้วยกันไปเพื่ออะไร เพราะเพื่อนคนอื่นพูดแย่ๆ ใส่เลยสงสารงั้นสินะ?”

“จะว่าสงสารไหม…”

มูรยองนิ่วหน้าให้กับน้ำเสียงถากถางนั้นเป็นเชิงถามว่า ‘พูดอะไรของนาย’ และท่าทางย่นจมูกนั่นก็แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้คิดแบบนั้นจริงๆ

“พอพูดแบบนั้นก็คงฟังเหมือนเห็นใจเขาจริงๆ นั่นแหละ แต่ไม่หรอก ฉันแค่อยากสนิทกันให้มากขึ้นหน่อยก็เท่านั้นเอง”

เมื่อวานตอนเห็นฮวานยองทิ้งยันต์ลงถังขยะ มูรยองก็รู้สึกได้ถึงอะไรหลายอย่างเช่นถึงแม้เขาจะเป็นคนที่คบหาได้ยาก แต่พอลองดูๆ ไปแล้วสิ่งที่เขาทำนั้นก็ไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร ถึงอย่างนั้นก็ดูท่าว่างานนี้คงจะไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด

ที่จริงแล้วมูรยองแทบไม่เคยรู้สึกหนักใจอะไรกับการรับงานเลยสักครั้ง คนที่มาขอให้ช่วยส่วนใหญ่ต่างก็เต็มใจช่วยเหลือมูรยองและไม่ลังเลที่จะให้ข้อมูล ถ้าเป็นนักเรียนคนอื่นคงไม่มีใครมีท่าทีแบบนั้นตอนเขาเขียนยันต์ให้

“ต้องเจอกันบ่อยๆ จะได้ลองทำอะไรสักอย่าง”

“อ้อ…งานที่จ้างมาสินะ?”

“อืม ฉันยังช่วยหมอนั่นไม่ได้เลยอะ”

แผนการก็สมบูรณ์แบบไปแล้วประมาณหนึ่ง ส่วนเรื่องของฮวานยองเอง มูรยองก็คิดว่าสนิทกันขึ้นบ้างแล้ว ถ้าไม่ติดว่าอีกฝ่ายไม่ค่อยให้ความร่วมมือมาตั้งแต่ต้นน่ะนะ…หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน มูรยองก็พร้อมจะจัดการปีศาจตนนั้นและแก้ปัญหาทุกอย่างแบบไม่ให้ใครรู้ และคนรอบตัวฮวานยองก็จะไม่มีใครต้องเจ็บตัวอีก

“ทำไมนายถึงเป็นฝ่ายพยายามอยู่คนเดียวล่ะ หมอนั่นต้องเป็นฝ่ายกระตือรือร้นมาร้องขอให้นายช่วยสิ”

ซึงจูดูหงุดหงิดมากที่มูรยองต้องเป็นฝ่ายคอยตามช่วยแบบนั้น และมันก็ไม่ใช่แค่วันสองวันที่คิมมูรยองทำตัวเป็นไอ้หน้าโง่ให้คนอื่นหลอกใช้ แถมหนนี้ยังเล่นใหญ่ขึ้นอีก

แบบนี้เขาเรียกว่าเป็นความพยายามในแบบที่อีกฝ่ายไม่ได้ร้องขอไม่ใช่หรือไง

“…เขาก็คงมีเหตุผลที่เข้ามาหาก่อนไม่ได้แหละ”

“พ่อพระจริงๆ เลยนะนายเนี่ย”

“หมายถึงฉันเป็นคนใจดีงั้นเหรอ”

“มันแปลว่าไอ้คนหัวอ่อนต่างหากล่ะ”

มือที่ใส่เฝือกอยู่เคาะเหม่งมูรยอง บนพื้นผิวแข็งๆ ของมันเต็มไปด้วยรอยขีดเขียนหลากสีดูยุ่งเหยิงเพราะเพื่อนในห้องมาเขียนอะไรต่อมิอะไรเอาไว้มากมาย ถึงจะไม่ได้รู้สึกเจ็บอะไรเลย แต่มูรยองก็ลูบศีรษะตรงที่โดนเคาะไปเองโดยอัตโนมัติ

“ฉันไม่ได้ทำเพื่อหมอนั่นสักหน่อย…”

“เชื่อตายแหละ”

ซึงจูอาจจะไม่เชื่อ แต่เขาไม่ได้ทำเพื่อฮวานยองจริงๆ ถึงจะไม่ได้มาขอให้ช่วย แต่หากพบว่ามีปีศาจแบบนั้นอยู่ มันก็เป็นความรับผิดชอบที่เขาต้องตามหาและทำลายมันอย่างเร่งด่วน เพราะนั่นคือหน้าที่ของมูรยองในฐานะมือปราบวิญญาณและสมาชิกของตระกูลมือปราบวิญญาณที่ต้องยึดมั่นถือมั่นนับตั้งแต่วินาทีที่เขาลืมตาเกิดมา

“ถึงจะบอกว่าเป็นจิตอาสา แต่ฉันว่านายก็เลือกคนที่จะช่วยหน่อยเหอะ”

ไม่นานนักอาจารย์ก็เข้าห้องมา บทสนทนาของทั้งคู่เลยต้องจบลงเพียงเท่านั้น หนนี้มูรยองตั้งหน้าตั้งตาจดเนื้อหาที่เรียนด้วยลายมืออันสวยงาม พอเห็นมูรยองที่เป็นแบบนั้นแล้ว ซึงจูก็ถึงกับลอบถอนหายใจออกมา

 

เมนูอาหารกลางวันวันนี้คือโจลมยอน* กับทงคัตสึปลา

เพื่อนคนหนึ่งที่มักตัดตารางเมนูอาหารกลางวันของโรงเรียนเป็นแผ่นเล็กๆ และพกมันไปไหนมาไหนทุกที่เหมือนเป็นสมุดท่องศัพท์บอกมาแบบนั้น และพอบอกว่าจะมีน้ำแอปเปิ้ลเป็นของว่างของวันนี้ บรรดาเพื่อนผู้ชายก็พากันพนันไว้ก่อน

ทันทีที่เสียงออดดัง มูรยองก็มุ่งหน้าไปยังห้องสามตามที่ได้บอกซึงจูไว้ ปกติแล้วในเวลานี้เขาจะเกาะและห้อยต่องแต่งอยู่บนหลังซึงจู แต่วันนี้เขากลับเดินอกผายไหล่ผึ่งอย่างสง่าผ่าเผยอย่างกับนายพล ต่างกับซึงจูที่เกาหัวแกรกๆ พลางเดินเรื่อยเปื่อยตามหลังมูรยองมา

“…อะไรของนายเนี่ย”

“ก็มาชวนไปกินข้าวกลางวันด้วยกันไง”

ฮวานยองทำหน้าไม่อยากจะเชื่อกับคำพูดของมูรยองอย่างเคย ปฏิกิริยาของฮวานยองทำเอาซึงจูที่ยืนดูอยู่ห่างๆ รู้สึกอับอายแทน แต่ถึงอย่างนั้นมูรยองก็ยังคงเกาะแขนของฮวานยองไว้แน่นเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไร

“ได้ยินว่าวันนี้มีทงคัตสึปลาด้วยนะ”

“…”

ช่วงที่ผ่านมาฮวานยองก็คงจะเริ่มชินชาบ้างแล้ว เขาเลยทำเพียงแค่พยักหน้าเบาๆ และไม่ได้สะบัดมือที่มูรยองจับอยู่ออก จนผ่านไปพักหนึ่งถึงได้ค่อยๆ ดึงแขนตัวเองออกมา

“แล้วทำไมฉันต้อง…”

“ก็นายมีเรื่องที่รู้สึกผิดกับฉันอยู่นี่นา”

มูรยองแหงนหน้ามองฮวานยองช้าๆ ด้วยแววตาใสแจ๋ว เนื่องจากระดับสายตาของเขาอยู่สูงมาก มูรยองเลยต้องแหงนหน้าค้างอยู่อย่างนั้น ทันทีที่สายตาสบกันฮวานยองก็พลันขมวดคิ้วยุ่ง

“…แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องวันนั้น”

“โอ๊ะ รู้สึกผิดจริงๆ ด้วยแฮะ”

“…”

“ไปกันเถอะ ป่านนี้คิวยาวแล้ว”

มุมปากได้รูปคลี่ยิ้มกว้าง ฮวานยองเม้มปากแน่นสนิทให้กับรอยยิ้มสดใสไร้ที่ติ พอเห็นฮวานยองที่เดินตามมูรยองไปอย่างเสียไม่ได้แล้ว ซึงจูก็ได้แต่ดุนลิ้นอย่างเอือมระอา

ปากบอกว่าไม่ใช่เพื่อคีฮวานยอง โกหกชัดๆ

มูรยองอ้างว่าเป็นเพราะคำขอร้องให้ช่วย แต่ท้ายที่สุดแล้วก็คงเป็นเพราะจิตใจอันบอบบางของเจ้าตัวนั่นแหละที่นำพาไป คิมมูรยองที่ถึงตายก็ไม่ยอมเห็นใครต้องอยู่ตัวคนเดียวคงเป็นกังวลตั้งแต่ตอนที่เพื่อนในห้องพูดถึงฮวานยองแบบแย่ๆ เรื่องการจ้างอะไรนั่นก็เป็นแค่ข้ออ้าง ต่อให้ฮวานยองไม่ได้มาจ้าง มูรยองก็คงไปชวนหมอนั่นคุยอยู่ดี

“ซอซึงจู รีบมาเร็ว!”

“กำลังไปอยู่นี่ไง”

ใช่ว่าคิมมูรยองเพิ่งมาทำแบบนั้นแค่วันสองวันนี้ สมัยพวกเขาอยู่มัธยมต้นปีหนึ่ง มูรยองก็ไม่เคยปล่อยให้เพื่อนที่ไม่มีใครคุยด้วยถูกทิ้งอยู่คนเดียว แม้สภาพการณ์จะต่างไปจากฮวานยองนิดหน่อย แต่ความเป็นมาเป็นไปนั้นก็คล้ายๆ กันอยู่ดี

‘แชอึนงั้นเหรอ แชอึนนิสัยดีนะ’

ยัยนั่นชื่อคิมแชอึนหรืออีแชอึนกันนะ?

ซึงจูเองก็จำชื่อเธอคนนั้นไม่ได้เหมือนกัน เธอเป็นเพื่อนที่ถูกกลั่นแกล้งมาตั้งแต่ตอนอยู่โรงเรียนประถม ซึ่งเหตุผลที่เธอถูกแกล้งก็ไม่มีอะไรทั้งนั้น แค่เป็นไปตามธรรมชาติของพวกเด็กที่ยังไม่โตพอที่จะแยกแยะ แถมพักหลังแชอึนก็ถูกล้อเลียนไปยันเรื่องเหลวไหลไร้สาระอย่างเรื่องไว้ผมบ็อบสั้นแล้วดูประหลาด

‘ตอนฉันลืมเอากล่องดินสอมา แชอึนก็ให้ยืมปากกาตลอดทุกวันเลยนะ’

‘ฉันก็ไม่ค่อยรู้เรื่องทรงผมผู้หญิงนักหรอก แต่ผมที่ตัดมาก็น่ารักดีไม่ใช่หรือไง’

‘แถมเรื่องงานฝีมือน่ะ แชอึนเก่งมากเลยนะ’

‘งั้นเดี๋ยวฉันนั่งข้างแชอึนเอง’

มูรยองนั่งลงตรงที่นั่งที่ทุกคนหลีกเลี่ยงอย่างไม่อิดออด เขาทักทายแชอึนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และแน่นอนว่าคู่นั่งที่เลือกไว้แล้วก็จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปจนจบเทอมหนึ่ง ซึงจูที่ถูกทิ้งอย่างงงๆ เลยจำต้องหันไปทำความรู้จักกับเพื่อนที่เพิ่งเจอหน้ากันครั้งแรกอย่างกระอักกระอ่วนแทน

‘เธออยากดูรูปเจ้าซอลกีไหม’

‘เอาโยเกิร์ตของฉันไปกินด้วยสิ’

‘โอ๊ะ แชอึน เธอชอบดอกบอลลูน* เหรอ’

และแน่นอนว่าคิมมูรยองมีความสามารถในการผูกมิตรเป็นเลิศดังคาด เขาคุยเรื่องต่างๆ มากมายกับแชอึนทุกๆ ช่วงพักเบรกและพักเที่ยง ต่อให้มูรยองจะไม่ได้กินข้าวกลางวันในห้องเรียน แต่เจ้าตัวก็ชวนแชอึนไปกินด้วยกัน หลังจากนั้นแชอึนที่ดูอึดอัดในทีแรกก็เริ่มคุยกับมูรยองด้วยใบหน้าที่สดใสมากขึ้น

‘นายชอบยัยนั่นเหรอ’

หลังจากนั้นมาก็มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง กลุ่มเพื่อนที่มักกลั่นแกล้งแชอึนเริ่มหันมาล้อเลียนมูรยองไปด้วย ถึงจะเป็นคำพูดแสนแย่ที่ไม่มีคนดีๆ ที่ไหนจะพูด แต่มูรยองกลับตอบกลับด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนแปลง

‘อื้ม ฉันชอบแชอึน แล้วฉันก็ชอบพวกเธอด้วยเหมือนกัน’

คำตอบนั้นสดใสเสียจนเพื่อนสองคนในกลุ่มถึงกับหน้าแดง ตอนนั้นเองซึงจูก็ได้เห็นความผิดหวังที่ฉายชัดบนใบหน้าของแชอึน

มูรยองแจกรอยยิ้มสดใสไปตามประสาเจ้าตัวพร้อมกับเอ่ยปากเชิญชวนเพื่อนทุกคนในห้อง

‘พวกเธออยากไปหาเจ้าซอลกีที่บ้านฉันด้วยไหม’

นับจากวันนั้นแชอึนก็เริ่มมีเพื่อนขึ้นมาคนสองคน เพียงแค่ต้องใช้เวลาสักหน่อยเพราะความอคติของเพื่อนพวกนั้นที่เคยมีต่อเธอ แต่พอได้เริ่มพูดคุยกันครั้งหนึ่งแล้ว หลังจากนั้นความสัมพันธ์ก็พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว มูรยองคอยช่วยจนเธอสามารถยืนหยัดอยู่ได้ด้วยตัวเอง เพื่อนที่เธอเคยมีจากหนึ่งเพิ่มเป็นสอง และหลังจากนั้นก็กลายเป็นกลุ่มในที่สุด

เมื่อเทอมสองมาถึงที่นั่งก็ถูกสลับสับเปลี่ยน แต่แชอึนยังคงนั่งอยู่ใกล้มูรยองเสมอ แม้ในตอนนั้นเธอจะเข้ากับเพื่อนๆ ในห้องได้อย่างเป็นธรรมชาติแล้วก็ตาม ต่อให้ไม่ต้องได้ยินเองกับหูก็พอจะรู้ว่าเหตุผลนั้นคืออะไร

“คิมมูรยอง”

“มีอะไรเหรอ”

มูรยองที่เพิ่งนั่งลงในโรงอาหารเหลือบตามองซึงจู ถัดจากมูรยองมีฮวานยองที่ยังคงทำหน้าฝืนใจนั่งอยู่ด้วย ซึงจูมองฮวานยองและมูรยองสลับกันพลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเนือยๆ

“นายจำแชอึนเพื่อนสมัยที่เราอยู่ ม.ต้น ได้ไหม คิมแชอึนหรืออีแชอึนอะไรนี่แหละ”

“…นายหมายถึงซงแชอึน?”

“อ๋า นามสกุลซงหรอกเหรอ”

ก็เห็นมูรยองเรียกแต่แชอึนๆ อยู่ตลอด เขาจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเธอนามสกุลอะไร ช่วงแรกๆ เขาเองก็คุยกับแชอึนอยู่แค่ไม่กี่ครั้งเอง

“ทำไมจู่ๆ ก็พูดถึงแชอึนขึ้นมาล่ะ”

“จู่ๆ ก็นึกถึงขึ้นมาน่ะ นายยังติดต่อกับเธออยู่ไหม”

เท่าที่ซึงจูจำได้ แชอึนย้ายไปเรียนโรงเรียนมัธยมปลายที่อยู่ค่อนข้างไกลจากโรงเรียนมัธยมปลายแฮยอน ตอนนั้นพอเห็นแชอึนร้องไห้โฮต่อหน้ามูรยองแล้ว เขาก็พลอยรู้สึกสงสารไปด้วย ไหนจะคำพูดต่อมาที่ทำให้เขาถึงกับต้องแอบลุกหนีไปจากที่ตรงนั้นอีก

‘ฉันไม่อยากย้ายไปอยู่คนละโรงเรียนกับนายเลย…’

“ไม่นะ เรียนจบแล้วก็ไม่ได้ติดต่อกันเลย”

มูรยองตอบเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไรก่อนจะหั่นปลาชิ้นใหญ่เข้าปาก สีหน้าของเขาไม่ได้ดูอาลัยอาวรณ์หรือยังติดอยู่กับความทรงจำเก่าๆ เลยแม้แต่น้อย มูรยองทำเพียงเคี้ยวสิ่งที่อยู่ในปากตุ้ยๆ ก่อนพูดขึ้นอย่างใจเย็น

“สักประมาณปีสองปีสามก็ไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่แล้ว”

“…งั้นเหรอ”

“อืม ก็มีนานๆ ทีจะมาขอดูรูปเจ้าซอลกีทีล่ะมั้ง?”

ซึงจูพลันขมวดคิ้ว

ทั้งที่ตอนวันพิธีจบการศึกษาก็ดูอาลัยอาวรณ์กันขนาดนั้นไม่ใช่หรือไง

ถ้าเกิดได้รับคำสารภาพรักขึ้นมา คนอย่างคิมมูรยองก็ไม่น่าจะพูดจาไร้เยื่อใยแบบนั้นออกมาได้เลย

“แล้วตอนวันพิธีจบการศึกษาพวกนายคุยอะไรกัน”

สุดท้ายซึงจูจึงตัดสินใจเลียบเคียงถามสิ่งที่คาใจไปแบบอ้อมๆ เพราะมีฮวานยองนั่งอยู่ข้างๆ เขาเลยถามออกไปตรงๆ ไม่ได้ว่ามูรยองถูกสารภาพรักหรือเปล่า แม้ฮวานยองจะไม่ได้ดูสนใจฟังบทสนทนาของพวกเขาเลยก็ตาม

“ก็แค่บอกว่าไปอยู่โรงเรียนมัธยมปลายก็ขอให้โชคดีนะอะไรประมาณนี้…”

มูรยองกลอกตาคิดด้วยสีหน้าเหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ดวงตากลมโตของเขาหรี่ลงเล็กน้อยเหมือนกำลังนึกย้อนไปถึงความทรงจำในตอนนั้น

“แค่นั้น?”

“…”

ซึงจูรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าวันนั้นมีบางอย่างผิดปกติระหว่างทั้งสองคน บางทีสาเหตุอาจมาจากการไม่รู้จักสังเกตคนของมูรยองเอง

“…ถามจริง?”

“อื้ม”

สุดท้ายแล้วซึงจูจะมาบอกความรู้สึกที่แม้แต่เจ้าตัวเองก็ยังไม่เคยได้บอกเอาป่านนี้ไปเพื่ออะไรกัน มันคือเรื่องที่ผ่านไปแล้ว แถมดูเหมือนคนที่เกี่ยวข้องเองก็ไม่แม้แต่จะสนใจด้วยซ้ำ

“อืม…เอาเหอะ”

“อะไรของนายเนี่ย”

มูรยองไม่ได้เก็บเอาคำพูดของซึงจูมาคิดเป็นจริงเป็นจัง ถึงเจ้าตัวจะดูเป็นคนละเอียดอ่อน แต่เห็นอย่างนี้แล้วมูรยองก็เป็นแค่เด็กหนุ่มที่สุดแสนจะทึ่มในหลายๆ เรื่องก็เท่านั้นเอง และเพราะเป็นเช่นนั้นเจ้าตัวจึงละความสนใจจากบทสนทนาได้อย่างรวดเร็วแล้วไปจับจ้องอยู่ที่ถาดอาหารอันว่างเปล่าพลางเลียริมฝีปาก

“ฉันอยากไปเอาข้าวกลางวันอีกรอบจัง…”

“วนกลับไปต่อแถวเอาอีกรอบสิ พวกป้าๆ เอ็นดูนายจะตาย ยังไงก็คงตักให้อีกแน่”

“ไม่ได้หรอก ขืนโดนจับได้ก็ถูกดุกันพอดี”

มูรยองมุ่นคิ้วทำหน้ามุ่ยแล้วหันไปมองฮวานยอง เขาที่กินเสร็จเรียบร้อยแล้วตั้งท่าจะลุกจากที่ แต่มูรยองก็ดึงชายเสื้อของเขาไว้พลางเอ่ยถามด้วยสายตาแปลกใจ

“นายจะไปแล้วเหรอ ซึงจูเพิ่งกินไปได้นิดเดียวเองนะ”

“แล้วฉันไปเกี่ยวอะไรด้วย นายจะไปก็ไปเหอะ”

ซึงจูที่กินข้าวด้วยมือข้างเดียวเป็นฝ่ายตอบพร้อมโบกมือให้อย่างไม่ใส่ใจ สำหรับเขาการที่ฮวานยองยังนั่งอยู่กับที่มาจนถึงตอนนี้ก็นับว่าเป็นปาฏิหาริย์มากแล้ว

ทีแรกคิดว่าฮวานยองจะเมินกันไปเลยด้วยซ้ำ แค่ที่หมอนี่ตามมาด้วยก็เกินความคาดหมายมากแล้วไม่ใช่หรือไง

“นายเอานี่ไปกินเถอะ”

มูรยองไม่ได้ลุกขึ้นตามฮวานยอง แต่เลือกที่จะหยิบน้ำแอปเปิ้ลวางลงบนถาดอาหารของเขาแทน

นั่นไง เจ้านี่ตกเหยื่อด้วยของกินอีกแล้ว

ซึงจูแอบคิดอยู่ในใจพลางขยับช้อน

แต่ถึงยังไงคีฮวานยองเองก็เป็นผู้ชาย คงไม่น่าเกิดเรื่องคล้ายๆ กับตอนแชอึนหรอกมั้ง

และในวินาทีที่เขาตั้งใจว่าจะละความสนใจแล้วนั้นเอง…

“…ไม่เอาอะ นายแหละกินไป”

ฮวานยองเอาน้ำแอปเปิ้ลบนถาดอาหารคืนให้มูรยอง ไม่เพียงเท่านั้นเขายังวางน้ำแอปเปิ้ลของตัวเองเพิ่มไว้ให้ข้างกันโดยไม่รอให้มูรยองจับไว้ได้ทัน จากนั้นก็เดินหนีไปแบบไม่หยุดลังเลเลยสักนิด

“…”

“แค่กๆ”

เสียงไอค่อกแค่กดังขึ้น ซึงจูรีบปักหลอดลงไปในกล่องน้ำแอปเปิ้ลและดูดอึกหนึ่งทันที เขาเกือบจะสำลักออกมาด้วยความเวทนาอยู่แล้ว

“เห็นไหมล่ะ บอกแล้วไงว่าเขานิสัยดี”

ไม่รู้ว่ามูรยองรู้หรือไม่รู้ใจซึงจูกันแน่ เขาถึงได้พยักพเยิดไปยังทางที่ฮวานยองเดินจากไปอย่างมั่นอกมั่นใจแบบนั้น แต่ซึงจูก็ดูไม่ค่อยอยากจะเห็นด้วยกับเขานัก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหมอนั่นนิสัยดีจริงๆ หรือเป็นเพราะอีกฝ่ายคือมูรยอง ซึงจูชักเริ่มสับสนตั้งแต่ตรงนั้นเลย

“…นายทำอะไรกับหมอนั่นกันแน่”

“เปล่าหรอก เขาแค่รู้สึกผิดกับฉันก็เลยให้มาน่ะ”

มูรยองยักไหล่ตอบกลับมาแบบนั้นทั้งๆ ที่เขาไม่ได้พูดถึงแค่เรื่องน้ำแอปเปิ้ล นิ้วมือที่แกะหลอดซึ่งติดมากับกล่องดูไม่มีอะไรผิดสังเกต พอมาลองคิดดูอีกทีแล้ว ตอนพาฮวานยองมาโรงอาหารเมื่อกี้ มูรยองก็เหมือนจะถามฮวานยองว่ามีเรื่องอะไรที่รู้สึกผิดหรือเปล่าอยู่เหมือนกัน

คิดไปถึงตรงนั้นซึงจูก็กัดปลายหลอดย้ำๆ พลางเอ่ยถาม

“ไอ้เรื่องรู้สึกผิดนั่นน่ะ เรื่องอะไรงั้นเหรอ”

 

 

* พุลโกกี เป็นอาหารชนิดหนึ่ง ทำจากเนื้อวัวหมักด้วยซอสเกาหลี ผลไม้ และอื่นๆ ก่อนนำมาย่างไฟแล้วกินโดยห่อกับผักและน้ำจิ้ม

** การดูดวงในที่นี้ หมายถึงการดูดวงด้วยศาสตร์ที่ชื่อว่า ‘สี่เสาแห่งโชคชะตา’ ซึ่งเป็นศาสตร์การดูดวงที่ได้รับอิทธิพลมาจากจีนและใช้กันอย่างแพร่หลายในประเทศเกาหลีใต้ โดยคำว่า ‘สี่เสา’ หมายถึงวัน เดือน ปี และยามที่เกิด ใช้เป็นฐานในการตรวจดูดวงชะตา

** การแบ่งเวลาแบบสิบสองยาม หนึ่งยามมีสองชั่วโมง ซึ่งยามจาคือเวลาห้าทุ่มถึงตีหนึ่ง

*** ปีคยองจา ตรงกับปีหนู ธาตุทองตามตำราแผนภูมิสวรรค์

**** เดือนคีมโย ตรงกับเดือนกระต่าย ธาตุดินตามตำราแผนภูมิสวรรค์

***** วันคเยมโย ตรงกับวันกระต่าย ธาตุน้ำตามตำราแผนภูมิสวรรค์

* โจลมยอน เป็นบะหมี่ประเภทหนึ่งของเกาหลี ทำจากเส้นหมี่เหนียวนุ่มลวกแล้วนำไปล้างน้ำ โรยด้วยผักชนิดต่างๆ และไข่ ราดด้วยน้ำซอสรสเผ็ดหวานเย็น

* ดอกบอลลูน หรือบอลลูนฟลาวเวอร์ เป็นพืชที่มีดอกตูมลักษณะกลมโป่งพองคล้ายบอลลูน ดอกบานจะเป็นรูปถ้วยตื้น ปลายแยกเป็นห้าแฉก มีทั้งสีม่วง ชมพู และขาว รากใช้ทำเป็นอาหารหรือส่วนผสมของยา

  

ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน มือปราบ (วิญญาณ) คนนี้ชื่อคิมมูรยอง เล่ม 1

 

วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub

และร้านหนังสือทั่วไป

 

รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่

Meb / OOKBEE / Pinto E-book by Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN

 

3 of 3หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com