ทดลองอ่าน มือปราบ (วิญญาณ) คนนี้ชื่อคิมมูรยอง เล่ม 3 Chapter 12.5 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน มือปราบ (วิญญาณ) คนนี้ชื่อคิมมูรยอง เล่ม 3 Chapter 12.5 #นิยายวาย

Chapter 12-5

 

มูฮึนให้ฮวานยองเข้าบ้านไปก่อนด้วยเหตุผลว่าแม่เรียกหาเขา และฮวานยองก็รีบลุกขึ้นทันทีที่ได้ยินดังนั้น

ขนาดเจ้าซอลกียังไม่เห็นรีบอะไรขนาดนั้นเลยแท้ๆ

ระหว่างที่มูรยองมองแผ่นหลังของฮวานยองค่อยๆ ไกลออกไปพลางคิดแบบนั้น มูฮึนก็ทิ้งตัวลงนั่งข้างเขา

“มูรยองอา”

“…”

มูรยองยืดตัวขึ้น จู่ๆ เขาก็รู้สึกเหมือนทำความผิดขึ้นมาเสียอย่างนั้น เหมือนครั้งที่บังเอิญเจอมูฮึนหน้าประตูหน้าบ้านไม่มีผิด มูฮึนคลายสีหน้าลงเมื่อเห็นท่าทางที่ใครดูก็รู้ว่าตื่นตระหนกนั้น

“ทำไมต้องกลัวขนาดนี้ด้วย พี่ยังไม่ทันได้พูดอะไรเลย”

“…อืม”

พี่จะเห็นไหมนะ…พี่คงเห็นแล้วแน่ๆ

ต่อให้ไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้า แต่ก็คงจะเห็นตอนที่พวกเขากอดกันแน่ๆ ถึงไม่ได้คิดจะปิดบังอะไรและมันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะถูกดุด้วย แต่เขาก็ยังลอบสังเกตท่าทีของมูฮึนอย่างไม่มีเหตุผล

“เอ่อ…พี่เห็นใช่ไหม”

มูรยองเลียบๆ เคียงๆ ถาม ทั้งที่มันไม่ใช่สไตล์ของเขาเลยที่จะพูดจาอ้อมค้อมแบบนี้ มูฮึนจึงเหลือบมองมูรยองพลางเอียงคอถามกลับไป

“เห็นอะไร”

“…ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ”

มูรยองคลายกังวลลงในทันที บางครั้งการทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ก็ดูจะเป็นวิธีที่ไม่แย่เท่าไหร่นัก

แต่แล้วเขาที่วางมืออยู่บนเข่าทั้งสองข้างก็ไม่อาจทานทนกับความกระอักกระอ่วนได้ จึงเปิดปากพูดขึ้นอีก

“พี่ คือว่าเมื่อกี้นี้น่ะ…”

แม้จะโพล่งออกไปอย่างไม่ทันคิด แต่มูรยองก็ยังคงนั่งหลังตรงไม่เลิก

จะพูดอะไรดีนะ

จู่ๆ มูรยองที่กำลังคิดหนักก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้

“พี่จงใจพาคีฮวานยองออกไปใช่ไหม”

โชคดีที่มันเป็นหัวข้อสนทนาที่ต่อกันติดได้พอดี แถมยังเป็นเรื่องที่เขาคิดอยู่คนเดียวมาตั้งแต่ตอนที่มูฮึนกับฮวานยองเดินออกไป

‘ได้สิ งั้นเราออกไปกันเถอะ’

ตอนที่มูฮึนพูดแบบนั้น มูรยองมั่นใจว่าสีหน้าของอีกฝ่ายเหมือนกำลังคาดการณ์ถึงอะไรบางอย่าง มันเป็นสีหน้าที่ดูหนักอึ้งขึ้นมาในชั่วขณะเหมือนคนที่รู้ล่วงหน้าว่าต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น คนอื่นอาจมองไม่ออก แต่คนในครอบครัวหรือซึงจูที่อยู่กับเขามานานย่อมรู้ถึงความแตกต่างในสีหน้า

ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อครู่นี้เขาเองก็ยังบอกขอโทษฮวานยอง คนอย่างมูฮึนไม่มีทางพูดอะไรไปส่งเดชแน่ๆ ดังนั้นคำขอโทษนี้ย่อมมาจากใจจริงอย่างแน่นอน ถ้าจู่ๆ เกิดมีเรื่องที่เขาต้องขอโทษฮวานยองขึ้นมาก็คงมีแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวเท่านั้นที่มูรยองพอจะเดาได้

“คนจากสมาพันธ์คงจะพูดเรื่องพ่อสินะ?”

“สมกับที่เป็นน้องเล็กของเราจริงๆ”

มูฮึนไม่ปฏิเสธ และยังพูดออกมาอย่างสบายๆ มุมปากยกยิ้มขึ้นอย่างนุ่มนวล เขาชำเลืองมองมูรยองก่อนพึมพำพูดขึ้นราวกับพูดกับตัวเอง

“ถ้านายเอาสมองฉลาดๆ นี่ไปใช้เรื่องเรียนบ้างก็ดีสิ”

“…ตัวเองก็ไม่ไปเรียนมหา’ลัยเหมือนกันนั่นแหละ”

“พี่ไม่ไป แต่นายน่ะไปไม่ได้ต่างหากล่ะ มูรยอง”

มันไม่ใช่คำพูดล้อเลียน แต่เป็นความจริงที่ใครๆ ต่างรู้ เพราะเกรดของมูรยองนั้นแย่มากถึงขั้นที่นับอันดับขึ้นมาจากท้ายยังจะไวเสียกว่า ในขณะที่เกรดของมูฮึนนั้นดีมากจนทางโรงเรียนวุ่นวายกันไปหมดตอนเขาบอกว่าจะไม่เรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย

“แบบนี้ก็แสดงว่านายตั้งใจจะไม่ไปเรียนที่เดียวกันกับฮวานยองสินะ?”

“ก็หมอนั่นได้ที่สามของโรงเรียนเลยนะ…”

“โห”

แม้น้ำเสียงจะสงบนิ่ง แต่สีหน้ากลับฟังดูสงสารจากใจจริง มูรยองลูบหูตัวเองพลางก้มหน้าลงแบบไม่มีเหตุผล เขาไม่ได้อายที่เรียนหนังสือไม่ได้เรื่อง แต่อายที่เหมือนจะโดนจับได้ว่าตัวเองวาดฝันถึงการได้ไปเรียนต่อที่เดียวกันกับฮวานยอง

“แต่ก็นะ…ยังไงซะการปกปิดเอาไว้มันก็ไม่ใช่การทำเพื่อคนอื่นอยู่แล้วนี่นา”

นั่นคือเหตุผลที่มูฮึนพาฮวานยองออกไปข้างนอก เหตุผลที่เขาไม่คิดจะปิดบังแม้จะคาดเดาได้ตั้งแต่แรกแล้วว่าพวกเขากำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่

“แต่ก็คงต้องให้เจ้าตัวเขาตัดสินเอาเองล่ะนะ ให้คนอื่นมาคิดแทนไม่ได้หรอก”

“ถึงอย่างนั้น…”

ถึงอย่างนั้นคีฮวานยองก็ยังร้องไห้อยู่ดี ทำไมพี่ถึงทำให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรต้องร้องไห้ด้วยล่ะ

พอมูรยองจ้องมองด้วยสายตาที่ยังคงฉายแววไม่พอใจ มูฮึนก็ใช้มือขยี้ผมนุ่มๆ ของเขาอย่างมันเขี้ยว

“คนเราก็ต้องมีวันที่เสียน้ำตากันบ้าง”

เมื่อลองคิดดูแล้ว ฮวานยองที่เขาเคยเห็นผ่านความทรงจำของฮวานฮีกลับไม่เคยเสียน้ำตาเลยสักนิดในงานศพของพ่อกับแม่ ภาพของฮวานยองที่ใครๆ ต่างบอกว่าไร้จิตใจ แท้จริงแล้วกำลังเหนื่อยล้าจนไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะร้องไห้ออกมาต่างหาก

“เข้าบ้านกันเถอะ ข้างนอกนี่ร้อนชะมัดเลย”

มูฮึนปัดฝุ่นที่รองเท้าก่อนลุกขึ้น อากาศคืนนี้ร้อนอบอ้าวเกินกว่าจะนั่งต่ออย่างที่เขาว่า

ขณะที่มูรยองกำลังเดินตามเขาไปเงียบๆ จู่ๆ มูฮึนก็หันกลับมามองแล้วอุทานเสียงดัง

“เอ้อ”

ดวงตาที่ดูเฉียบคมต่างจากของมูรยองหยีลงคล้ายพระจันทร์เสี้ยว มูรยองมุ่นคิ้วเมื่อเห็นสีหน้าที่ฉายแววขี้เล่น ระหว่างที่กำลังคิดว่าทำไมพี่ชายถึงได้ทำหน้าแบบนั้น มูฮึนก็เอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ

“จะว่าไปแล้ว พี่ว่าพวกนายนอนแยกห้องกันเถอะ”

 

ตอนที่ทั้งคู่กลับเข้ามาในบ้าน แม่กับฮวานยองกำลังนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น มูรยองลอบมองทีท่าของมูฮึนเงียบๆ ด้วยใบหน้าแดงเรื่อ เพราะแม้จะพยายามถามแล้วว่าทำไมพวกเขาถึงต้องแยกห้องนอนกัน แต่ภายในใจก็ยังมีเรื่องที่ติดค้างอยู่อีกมากมาย

และในวินาทีที่เดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น แม่ก็หันขวับมามองมูรยองจนแม้แต่มูรยองที่ปกติจะไม่ตกใจกับสายตาดุๆ นั้นยังถึงกับผงะไป ระหว่างที่มูฮึนกำลังทำสีหน้าสงสัยไปด้วยอีกคน แม่ก็ชี้ที่นั่งข้างกายฮวานยอง

“มูรยอง มานั่งนี่สิ”

“…”

มันคือคำที่น่ากลัวที่สุดในบรรดาคำพูดทั้งหมดที่เขาเคยได้ยินมาในชีวิต มูรยองนั่งลงข้างฮวานยองด้วยสีหน้ากระวนกระวายอย่างปิดไม่มิด เขาไม่ลืมที่จะคุกเข่าทั้งสองข้างลงอย่างเรียบร้อย คงเพราะบรรยากาศที่ดูผิดปกติอย่างไม่รู้ทำไมเหมือนกัน

“มีอะไรเหรอครับ…”

มูฮึนกอดอกด้วยสีหน้าสนอกสนใจ เขาไม่ได้คิดจะมีส่วนร่วมในบทสนทนานี้ กระนั้นก็ดูเหมือนว่าอยากจะรับชมรับฟังเต็มที่ ในตอนนั้นเองเจ้าซอลกีที่ผล็อยหลับไประหว่างรอพวกเขาก็เดินออกมาจากห้อง ก่อนจะมาล้มตัวลงนอนหมอบตรงปลายเท้ามูฮึน

“มูรยอง ลูกน่ะ…”

แม่เปิดปากพูดขึ้นเสียงเข้ม ถือเป็นการเข้าประเด็นที่น่ากลัวจนพาให้หัวใจเขาร่วงหล่นลงโครมใหญ่ วินาทีที่มูรยองลอบกลืนน้ำลายอย่างอึกอัก แม่ก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลายลง

“แม่ได้ข่าวว่าลูกเกือบตกจากดาดฟ้า”

ภาพของช่วงเวลานั้นแล่นปราดเข้ามาในหัว มันคือวันที่เขาส่งฮวานฮีไปสู่สุคติ เป็นจังหวะที่เขาเกือบร่วงลงมาพร้อมราวกั้นดาดฟ้า ซึ่งหากไม่มีคีฮวานยอง ขาข้างหนึ่งของเขาก็คงหักไปแล้ว

“…”

มูรยองเพียงปรายตามองฮวานยองนิ่งแทนคำตอบ แม้ว่ามันจะเป็นสายตาที่ดูมีเค้าลางของความขุ่นเคืองราวกับต้องการจะบอกว่า ‘นี่นายเล่างั้นเหรอ…?’ แต่ฮวานยองกลับทำเพียงแค่หลบสายตา ถึงอย่างนั้นสิ่งที่ดังตามมาอย่างเจื่อนๆ ก็คือคำตอบที่ชัดเจน

“…ฉันเล่าเองแหละ”

ปกติแล้วแม่ของเขาเป็นคนไม่ค่อยโกรธ แต่จะมีอยู่สองอย่างเท่านั้นที่ทำให้แม่โกรธขึ้นมา หนึ่งคือการที่เขาโกหก สองคือการที่เขาทำเรื่องอันตราย อย่างแรกยังพอพิจารณาไปตามสถานการณ์ได้ แต่อย่างหลังนั้นไม่มีหนทางให้เขาแก้ตัวได้เลย

“คิมมูรยอง”

และมันก็เป็นไปตามคาด แม่เรียกเขาด้วยเสียงหนักอึ้ง ทำเอามูรยองรีบก้มหน้างุดลงพร้อมเม้มริมฝีปากแน่นในฉับพลัน

“แม่ไม่ได้อนุญาตให้ลูกรับงานที่โรงเรียนเพื่อไปทำเรื่องอันตรายแบบนั้นนะ”

นั่นคือสิ่งที่มูรยองเคยให้สัญญาตอนเริ่มรับงานครั้งแรกว่าหากมีเรื่องอันตรายเกิดขึ้นจะต้องส่งข่าวให้คนที่บ้านรู้ทันที และหากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับปีศาจ ห้ามผลีผลามเข้าไปยุ่งและต้องคิดให้รอบคอบอีกรอบก่อนเสมอ

“และแม่ก็ได้ยินมาอีกว่าลูกถึงกับขังฮวานยองไว้ในห้องเรียนด้วย”

“…”

หากฟังแค่คำพูดคงดูเหมือนเขารังแกฮวานยอง แต่เพราะหนนี้มูรยองไม่มีอะไรจะแก้ตัวจริงๆ เลยได้แต่ก้มหน้าอย่างเดียว

“การทำงานมันต้องรวมถึงการป้องกันตัวเองด้วยนะลูก จะมาคิดว่ายอมเสียสละตัวเองนิดหน่อยก็ได้แบบนั้นไม่ได้หรอกนะ ถ้าตอนนั้นลูกเกิดบาดเจ็บขึ้นมา ฮวานยองเขาจะรู้สึกยังไง”

มันเป็นเรื่องที่มูรยองเองก็สำนึกผิดครั้งใหญ่อยู่เหมือนกัน ตอนได้เห็นใบหน้าสิ้นหวังของฮวานยอง หัวใจเขาราวกับจะร่วงหล่นลงไปอยู่ที่พื้น แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่อาจให้สัญญาว่าจะไม่ทำแบบนั้นอีกได้

“เรื่องการส่งวิญญาณไปสู่สุคติ ลูกทำได้ดีมากและแม่เองก็ไม่ได้คิดที่จะดุเรื่องนั้น แต่วิธีการที่ใช้มันผิด ลูกเองก็รู้ตัวดีใช่ไหม”

“ครับ…ผมเข้าใจครับว่าแม่ต้องการจะบอกอะไร”

แม่คงรู้อยู่แล้วว่าเขาทำมันลงไปเพื่อช่วยฮวานยอง แต่ที่แม่ดุก็เป็นเพราะเขาพยายามจะจัดการเรื่องนี้เองคนเดียวโดยไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดี

“ลูกยังเป็นนักเรียน แถมลูกก็ยังไม่ใช่มือปราบวิญญาณอย่างเป็นทางการด้วย แม่ไม่ได้หมายความว่ายังไงลูกก็ต้องพึ่งพาคนอื่น แต่แม่หมายความว่าในยามจำเป็นลูกก็ต้องหัดรู้จักขอความช่วยเหลือคนอื่นบ้าง ไม่อย่างนั้นคนเราจะอยู่ร่วมกันไปทำไม”

มูฮึนที่ยืนดูอยู่ด้านหลังนั่งลงก่อนจะเริ่มลูบตัวซอลกี ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้คิดจะพูดแทรกบทสนทนาแต่อย่างใด เขาแค่อยากนั่งดูน้องโดนดุก็เท่านั้น

แม่ที่ยังดุมูรยองต่ออีกพักใหญ่ถอนหายใจออกมาด้วยสีหน้าที่เย็นลงเมื่อมูรยองสำนึกผิดแต่โดยดี

“ช่างเถอะ ทั้งสองคนไม่บาดเจ็บอะไรก็โชคดีแล้วล่ะ ต่อไปถ้ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกต้องบอกแม่นะ ฮวานยองเองก็ด้วย เข้าใจไหม”

ทั้งคู่ขานรับด้วยคำว่า ‘ครับ’ อย่างพร้อมเพรียงกัน ซึ่งฮวานยองเองก็ก้มหน้าคุกเข่าไปกับมูรยองด้วย มูฮึนที่นั่งดูอยู่เงียบๆ มาตลอดจึงแทรกบทสนทนาขึ้นมาตามหลัง

“ดีแล้วล่ะ ทีหลังก็ระวังให้ดี เดิมทีแล้วนายมีดวงที่จะเจ็บหนักที่นั่นด้วยนะ มูรยอง”

มูฮึนพูดแบบนั้นพลางชี้นิ้วไปที่น้องชาย ก่อนนิ้วเรียวจะเคลื่อนไปชี้ฮวานยองต่อ

“แต่ก็โชคดีที่ฮวานยองช่วยชีวิตนายเอาไว้”

ก่อนที่ฮวานยองจะทันได้ตอบอะไร มูฮึนก็ใช้มืออีกข้างชี้ไปยังมูรยองอีกหน หลังจากชี้นิ้วไปยังทั้งคู่แล้วเขาก็ขยิบตาด้วยท่าทีราวกับไม่ได้ใส่ใจอะไร

“โชคชะตาของพวกนายถูกผูกเข้าด้วยกันตั้งแต่ช่วงนั้นแหละ”

ดูเหมือนมูฮึนจะเคยกล่าวไว้ว่าหากได้ติดหนี้ชีวิตแล้ว โชคชะตาก็จะผูกติดกันไปด้วย มันคือคำพูดที่มูรยองได้ยินจากมูฮึนอยู่บ่อยๆ เพราะอย่างนั้นเขาถึงได้ชอบพูดเหมือนล้อเล่นว่า ‘นายจะเที่ยวช่วยชีวิตใครต่อใครไปทั่วไม่ได้นะ’

“โชคชะตาถูกผูกเข้าด้วยกันเหรอครับ”

“ใช่”

มูฮึนยกยิ้มพลางตอบฮวานยอง เมื่อเห็นฮวานยองจ้องมองมาอย่างไม่ละสายตา เขาจึงแสร้งถามกลับหน้าตาย

“ทำไม ดูทรงแล้วพี่ดูเหมือนหมอดูสินะ?”

“…”

จากท่าทีของเขาที่ตอบไม่ได้แล้วก็ดูเหมือนว่าเขาจะคิดแบบนั้นจริงๆ มูรยองที่ลืมไปว่าตัวเองกำลังโดนดุอยู่จึงหลุดขำพรืดออกมา โชคดีที่แม่เองก็เหมือนไม่ได้คิดจะดุเขาต่อแล้ว

“ดึกมากแล้ว เธอสองคนรีบไปนอนเถอะ พรุ่งนี้ยังต้องฝึกอีก”

พอแม่หันไปดูเวลาและพูดขึ้น ทั้งคู่ก็ลุกจากที่นั่ง โดยที่มูฮึนยังคงลูบตัวเจ้าซอลกีอยู่พลางๆ ก่อนจะเข้าห้องมูรยองลอบมองสังเกตท่าทีของพี่ชาย แต่แล้วมูฮึนก็ไม่ได้พูดอะไรจนกระทั่งน้องชายเข้าห้องไป

“ราตรีสวัสดิ์ครับ”

“จ้ะ ทั้งคู่เองก็ฝันดีนะ”

แกร๊ก…

ประตูห้องถูกปิดลง สุดท้ายแล้วภายในห้องนั่งเล่นก็เหลือเพียงแม่ มูฮึน และเจ้าซอลกี มูฮึนลูบพุงเจ้าซอลกีก่อนจะยิ้มออกมา

“ไม่ต้องให้สองคนนั้นใช้ห้องแยกกันเหรอครับ”

“เห็นน้องๆ บอกว่าไม่เป็นไรนะ?”

แม่ตอบเหมือนไม่มีอะไรมากพลางลุกขึ้นจากที่ แต่กระนั้นสายตาก็ยังคงมองบานประตูที่ปิดลงด้วยสีหน้าเป็นห่วงไม่น้อย

“คงเพราะรู้สึกเหมือนติดหนี้บุญคุณน่ะสิ ดูท่าจะเกรงอกเกรงใจเราน่าดูเลยล่ะ”

“ก็นะ…เรื่องนั้นมันก็แน่อยู่แล้วล่ะครับ”

มูฮึนยักไหล่ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ตอนนี้เจ้าซอลกีที่นอนแผ่เหมือนพินแดต๊อก* เริ่มกรนครอกฟี้ออกมา เมื่อแม่เดินกลับมาหลังจากเดินไปปิดไฟในห้องครัวแล้วก็ลดเสียงลงเรียกมูฮึน

“ว่าแต่ มูฮึนอา…”

มูฮึนเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นแม่ แววตาของเธอเฉียบคมต่างจากตอนที่ดุน้องๆ เธอมองไปยังประตูห้องที่ปิดอยู่อีกหนก่อนจะพูดขึ้นอย่างช้าๆ

“ไปสืบอะไรให้แม่เรื่องหนึ่งหน่อยได้ไหม”

 

แกร๊ก…

ทันทีที่ประตูปิดลงมูรยองก็ถอนใจออกมาเฮือกใหญ่ ฮวานยองหันมองเขาเมื่อได้ยินเสียงถอนใจที่ฟังดูมีความโล่งใจปนอยู่ในนั้น มูรยองลูบอกตัวเองพลางขมวดคิ้วมุ่น

“เฮ้อ ไม่โดนดุมานานแล้วแฮะ”

พอโตขึ้นถึงจุดหนึ่งมูรยองก็ไม่เคยโดนแม่ดุอีกเลย เพราะนอกจากเขาจะพยายามไม่ทำเรื่องที่ทำให้โดนดุแล้ว พวกเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มูฮึนกับมูยอนก็จะเป็นคนดุแทนเสียส่วนใหญ่ ดังนั้นพักหลังมานี้เขาเลยแทบไม่มีเรื่องให้แม่ดุเลย

“…ขอโทษนะ”

ฮวานยองหยุดยืนอยู่กลางห้องก่อนเอ่ยขอโทษอย่างเจื่อนๆ แม้ร่องรอยของการร้องไห้จะเลือนหายไปหมดแล้ว แต่ก็แทนที่ด้วยความรู้สึกผิดบนใบหน้าแทน

“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะเล่าให้นายโดนดุนะ”

มูรยองเองก็ไม่ได้คิดว่าฮวานยองจงใจเล่า มันคงเป็นเรื่องที่เขาเผลอพูดออกมาอย่างลืมตัวระหว่างที่คุยกับแม่ แต่ถึงอย่างนั้นในเมื่อฮวานยองบอกขอโทษออกมาก่อนแล้ว มูรยองก็ไม่คิดปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดมือ

“รู้สึกผิดเหรอ”

“อืม…”

มูรยองยิ้มกริ่มกับคำตอบที่ฟังดูรู้สึกผิดนั้น มันเป็นสีหน้าที่เหมือนมีแผนอะไรในใจ พาให้ฮวานยองรู้สึกระแวงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว แต่แน่นอนว่าในจังหวะที่มูรยองสาวเท้ายาวๆ เข้ามาหานั้น ความระแวงก็พลันทลายลงไปโดยที่เขาไม่ทันได้รู้ตัวเช่นกัน

“ถ้างั้นก็ขออยู่แบบนี้สักพักนะ”

มูรยองสอดแขนผ่านสีข้างและกอดเอวฮวานยองเอาไว้แน่น ก่อนฝังใบหน้าลงกับแผ่นอกกว้าง เส้นผมนุ่มของเขาไล้เฉียดผ่านคางของฮวานยองไปมาพร้อมกับลมหายใจที่เป่ารดลงบนกระดูกไหปลาร้า

“ตอนเด็กๆ พอพ่อกับแม่ดุฉันเสร็จก็จะกอดฉันเอาไว้แน่นๆ แบบนี้แหละ”

ความจริงแล้วก็แค่อยากถูกกอด แต่มูรยองก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตาหาเรื่องแก้ตัวไปเรื่อย ทั้งที่ตอนนี้อายุเขาก็ไม่ใช่น้อยๆ เหมือนเด็กที่จะมางอนตุ๊บป่องหลังโดนดุแล้วก็ตามที

“ไหนๆ ก็กอดกันแล้ว มาแบ่งพลังวิญญาณให้กันด้วยเลยดีกว่า”

“…”

ฮวานยองยกแขนทั้งสองข้างขึ้นอย่างทำตัวไม่ถูกโดยที่ไม่ได้กอดตอบหรือดันตัวมูรยองออก แต่เมื่อมูรยองกอดเขาแน่นขึ้นอีกนิด ฮวานยองก็ค่อยๆ โอบกอดกลับไปในตอนท้าย

ทันทีที่มือใหญ่กุมเข้าที่ไหล่เขา มูรยองก็เงยหน้าขึ้นมอง

“นายนี่ขี้อายจริงๆ เลย…”

พวกเขาไม่ได้เพิ่งกอดกันแค่ครั้งสองครั้งสักหน่อย แล้วทำไมปฏิกิริยาตอบสนองถึงได้เหมือนเพิ่งเคยทำแบบนี้ จู่ๆ ก็ทำเป็นกระดากอายที่ถูกกอดขึ้นมาเสียอย่างนั้น ทั้งที่ก็กอดกันแบบนี้มาตั้งแต่ก่อนคบกันเสียอีก แถมเอาเข้าจริงแล้วฮวานยองเองก็เคยทำในสิ่งที่น่าอายกว่านี้อย่างการจูบได้อย่างดีและดูช่ำชองอีกต่างหาก

“…นายมันหน้าไม่อายต่างหากล่ะ”

ฮวานยองวางมือลงตรงด้านหลังศีรษะของมูรยองแล้วลูบกลุ่มผมนุ่มนั้นเบาๆ ให้ใบหน้าของคนตัวเล็กซบลงบนอกของตัวเองอีกครั้ง มูรยองที่ถูกกอดจนจมอกดังเดิมจึงกระแอมเล็กน้อยก่อนพูดออกมาเบาๆ

“ถึงจะไม่รู้สึกผิดก็ทำแบบนี้ได้นะ”

“ไม่ต้องบอกก็รู้น่า…”

“…”

มูรยองยิ้มและหลับตาทั้งสองข้างลง พลังวิญญาณที่ค่อยๆ แผ่มายังเขาช่วยคลายความเหนื่อยล้าทั่วทั้งร่างกายจนหายเป็นปลิดทิ้ง บางครั้งเวลากอดฮวานยองเขาก็รู้สึกเหมือนได้ชาร์จแบตเตอรี่จริงๆ

“ว่าแต่นายอธิบายเรื่องบนดาดฟ้าไปว่ายังไง”

หัวใจเต้นตามความรู้สึกดี อุณหภูมิร่างกายของพวกเขาทั้งคู่เองก็ค่อยๆ อุ่นขึ้นเหมือนอากาศร้อนๆ ในฤดูร้อน

ฮวานยองตอบมูรยองที่ขยับยุกยิกและมุดเข้ามาในอ้อมแขนเขาเสียงเรียบ

“ฉันก็แค่อธิบายไปคร่าวๆ ว่านายเรียกฮวานฮีออกมาแล้วส่งเธอไปสู่สุคติ ระหว่างนั้นนายก็ขังฉันเอาไว้ในห้องเรียนชั้นมัธยมปลายปีที่สองห้องสาม ขึ้นไปบนดาดฟ้าคนเดียวแล้วก็เกือบพลาดท่าตกลงมา”

“คือ…ไอ้ตรงที่ฉันขังนายเอาไว้มันไม่ละเอียดเกินไปหน่อยเหรอ”

ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ดูเหมือนว่าฮวานยองจะยังมีความแค้นหลงเหลืออยู่ในใจ จังหวะที่คิดได้แบบนั้น ฮวานยองก็ย้อนถามเสียงกระด้าง

“แล้วใครสั่งให้นายขังฉันเอาไว้ล่ะ”

“…” หมอนี่ไม่ได้จงใจเล่าจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย

มูรยองพยายามจะสลัดความสงสัยที่ผุดขึ้นมาทิ้งไป เพราะต่อให้ฮวานยองจงใจเล่า การที่เขาจะกล่าวโทษฮวานยองก็ไม่ใช่เรื่องอยู่ดี มูรยองไม่ได้รู้สึกคับข้องใจที่ตัวเองถูกดุและไม่ได้คิดจะซักไซ้ด้วยว่าทำไมฮวานยองถึงได้ฟ้อง ดังนั้นเขาเลยทำเพียงแค่ตอบกลับไปโดยที่ยังคงซบใบหน้าอยู่กับอกของฮวานยอง

“ถึงอย่างนั้นโชคชะตาของเราก็เรียงร้อยเข้าด้วยกันตั้งแต่วันนั้นแล้วนี่เนอะ”

เสียงหัวใจที่เต้นแรงของฮวานยองทำให้ใจเขาสงบ

โชคชะตาเรียงร้อยเข้าด้วยกันงั้นเหรอ นี่เป็นคำที่โรแมนติกสุดๆ ไปเลยไม่ใช่หรือไง

พอได้ยินเสียงหัวใจนั้นแล้ว มูรยองคิดว่าฮวานยองเองก็คงจะรู้สึกดีพอๆ กับเขาที่สุขใจเช่นกัน

“…”

แต่ฮวานยองก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาเพียงแค่ออกแรงมือกระชับกอดมูรยองให้แน่นขึ้นอีก ในชั่ววินาทีสั้นๆ ที่มูรยองนึกสงสัย ฮวานยองก็ถามขึ้นมาอย่างหยั่งเชิง

“…ฉันมีเรื่องที่อยากรู้”

“เรื่องอะไรเหรอ”

ถึงมันจะเป็นการเปลี่ยนเรื่องที่ดูไม่เป็นธรรมชาติสุดๆ แต่มูรยองก็ไม่ได้สนใจ พอเขาเคลื่อนสายตาขึ้นมองอีกฝ่าย ฮวานยองก็เหลือบมองลงมา

“ถ้าตอนนั้นฉันไม่ได้โยนยันต์นายทิ้ง นายจะทำอะไรต่อ”

“เอ่อ…”

มูรยองลังเลที่จะตอบไปครู่หนึ่ง ถึงเขาจะปรับเปลี่ยนแผนการกลางคัน แต่ขั้นตอนที่ดำเนินไปก็แทบไม่เปลี่ยน

“ก็แค่…”

แผนการที่เขาวางไว้แต่เดิมนั้นเรียบง่ายมาก ก่อนอื่นก็ใช้ยันต์เพื่อซ่อนฮวานยองจากปีศาจให้มิดชิด จากนั้นเขาก็จะหาทางสัมผัสร่างกายฮวานยองบ่อยๆ เพื่อฝังพลังวิญญาณเอาไว้หลอกล่อให้ปีศาจที่น่าจะตามหาฮวานยองอย่างบ้าคลั่งเอื้อมมือมาหาเขาแทน

หรือหากจะพูดอีกอย่างก็คือใช้ตัวเองเป็นเหยื่อ

“ไม่มีอะไรมากหรอก แผนการมันก็คล้ายๆ กันแหละน่า”

“…เฮ้อ”

ถึงจะตอบแบบสรุปคร่าวๆ แล้ว แต่สีหน้าฮวานยองดูเหมือนจะไม่เชื่อเลยสักนิด เขาวางคางลงเหนือกระหม่อมมูรยองก่อนออกแรงกดคางลงมาในท่านั้นด้วยแรงอารมณ์

“เลิกทำเรื่องอันตรายสักทีเถอะ”

“โอ๊ย”

“รู้หรอกว่าไม่เจ็บ”

ไม่ได้ผลแฮะ

มูรยองบ่นงึมงำกับตัวเองพลางส่ายศีรษะไปมาเบาๆ โชคดีที่ฮวานยองไม่ได้บ่นอะไรมากกว่านั้น บางทีเส้นผมนุ่มๆ ของเขาอาจจะทำให้จั๊กจี้ ฮวานยองเลยทำเพียงแค่ถูไถแก้มเข้ากับกระหม่อมของเขาเบาๆ

“นอนกันเถอะ”

ไม่นานหลังจากนั้นมูรยองก็ผละออกจากอ้อมแขนของฮวานยองอย่างรวดเร็ว ฮวานยองมุ่นคิ้วพลางกำๆ แบๆ มือที่ไม่รู้จะเอาไปไว้ที่ไหนอย่างทำตัวไม่ถูก ในขณะเดียวกันมูรยองที่ทำตัวปกติโดยรีบรุดไปปิดไฟก็จับฮวานยองนอนลงบนฟูกและห่มผ้าให้เขาอย่างใส่ใจ

“ไม่นอนเหรอ”

“นอนสิ”

ทว่าสิ่งที่มูรยองมุดเข้าหานั้นกลับไม่ใช่ผ้าห่มตัวเอง แต่เป็นผ้าห่มของฮวานยอง มูรยองสอดแขนเข้าใต้ศีรษะที่แข็งเกร็งของฮวานยองก่อนดึงใบหน้าอีกฝ่ายเข้าหาอ้อมอกของตัวเองอย่างเอาแต่ใจ

“นอนกัน”

“…”

อันที่จริงมูรยองคิดไว้แล้วว่าในไม่ช้าคงจะถูกอีกฝ่ายถามว่ากำลังทำอะไร และเขาก็เตรียมตัวตอบอย่างหน้าไม่อายไว้แล้วว่า ‘ก็นอนหนุนแขนไง’ ทว่าฮวานยองกลับพลิกตัวมาทางเขาอย่างเหนือความคาดหมายโดยไม่ได้ว่าอะไร ทั้งยังโอบแขนรอบเอวกอดเขาตอบอีกต่างหาก ท่าทีนั้นทำเอามูรยองยิ้มกว้างพลางตบหลังเขาเบาๆ

“เด็กดี”

“ฉันไม่ใช่เจ้าซอลกีสักหน่อย…”

“เจ้าซอลกีก็ไม่ได้ชอบนอนหนุนแขนสักหน่อย”

ส่วนใหญ่แล้วเจ้าซอลกีจะชอบให้ตบตรงก้นมากกว่าลูบหัว และจะเป็นการดีมากถ้ามันนอนเหยียดยาวอย่างเรียบร้อย แต่มันกลับชอบนอนขวางเกะกะกินที่ด้วย มูรยองบอกกับฮวานยองที่เงียบไปเหมือนพูดอะไรไม่ออกด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“พ่อฉันต้องภูมิใจแน่ถ้าได้เห็นนาย”

ถึงมันจะเป็นคำพูดที่เขาเคยบอกไปแล้วหนหนึ่ง แต่เขาก็พูดออกมาอีกครั้งเพราะอยากให้ตะกอนที่ยังคงตกค้างอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจฮวานยองสลายหายไปให้หมด เขาไม่อยากให้คนที่ร้องไห้จนตาแดงด้วยความรู้สึกผิดคนนี้ต้องร้องไห้อีกแล้ว

กระทั่งผ่านไปพักหนึ่งฮวานยองถึงได้ตอบออกมาโดยที่ใบหน้ายังคงฝังอยู่ในอ้อมแขนของมูรยอง

“…ฉันไม่ได้จะหยามเกียรติคุณลุงนะ”

“ฉันรู้อยู่แล้วล่ะ”

ไม่มีทางที่คีฮวานยองจะพูดออกมาแบบนั้นเพื่อหยามเกียรติใคร ไม่มีทางที่คนที่มีพลังวิญญาณใสสะอาดขนาดนี้จะมีจิตใจเลวร้ายเช่นนั้น เขาแค่เป็นคนที่มีจิตใจละเอียดอ่อนและบอบบางเลยอ่อนไหวง่ายกว่าคนอื่นนิดหน่อยก็เท่านั้นเอง

“ฉันไม่ทันได้คิดเลยจริงๆ ว่ามันจะเป็นคำพูดเสียมารยาทกับคุณลุง…”

“อืม เรื่องนั้นฉันก็รู้”

“สำหรับคุณลุงแล้ว…”

น้ำเสียงสงบนิ่งของเขาดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศยามค่ำคืนทำให้ยิ่งฟังดูสงบกว่าเดิม ฮวานยองปิดปากเงียบเพราะพูดอะไรไม่ออกไปครู่หนึ่ง แต่ไม่นานนักเขาก็จัดการกับอารมณ์ได้และกระซิบบอกมูรยองอย่างนุ่มนวล

“ฉันรู้สึกขอบคุณท่านมาตลอดเลย”

มันเป็นคำพูดที่เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายจนท่วมท้นไปทั้งใจ มูรยองลูบท้ายทอยฮวานยองพลางขบริมฝีปากอยู่เงียบๆ เพราะเขารู้สึกเหมือนกับว่าความตื้นตันใจนี้อาจจะจางไปได้หากรีบร้อนตอบอะไรกลับไป

หลังจากนั้นฮวานยองก็เล่าเรื่องของ ‘คุณลุง’ ให้มูรยองฟังจนดึก มันคือเรื่องเกี่ยวกับความเอาใจใส่และความอบอุ่นของพ่อที่มูรยองเองก็รู้ซึ้งเป็นอย่างดี เรื่องเล่าดำเนินไปเรื่อยๆ อยู่นานกระทั่งพวกเขาผล็อยหลับไป

 

มูฮึนไม่อยู่บ้านเมื่อเช้าวันใหม่มาถึง แต่มีซึงจูที่แวะมาเที่ยวเล่นตั้งแต่เช้ากำลังนอนเกลือกกลิ้งอยู่กับเจ้าซอลกีในห้องนั่งเล่นแทน ทางด้านมูยอนเหมือนจะยังนอนอยู่ และเวลานี้แม่ของพวกเขาน่าจะอยู่ที่บ้านหลังเล็ก

มูฮึนกลับมาหลังจากมูยอนตื่นและพวกเขากินข้าวกลางวันกันแล้ว เขาออกจากบ้านหลังเล็กมาพร้อมแม่และใช้เวลาอยู่พักหนึ่งก่อนจะกลับเข้ามาในบ้านหลังใหญ่ ก่อนที่แม่ซึ่งเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นด้วยสีหน้าจริงจังเอามากๆ จะเอ่ยเรียกซึงจูเสียงเบา

“ซึงจูยา”

“ครับ?”

ซึงจูที่กำลังโยนลูกบอลให้เจ้าซอลกีอยู่พลันเงยหน้าขึ้น แม่ของมูรยองจึงยิ้มตอบอย่างอ่อนโยนเหมือนกับว่าไม่มีอะไร

“พ่อกับแม่จะกลับมาเมื่อไหร่เหรอจ๊ะ”

“พ่อแม่เหรอครับ”

เจ้าซอลกีคาบลูกบอลและวิ่งตึงตังเข้าใส่มูฮึน ก่อนที่เขาจะโยนลูกบอลออกไปใหม่อย่างเคยชิน พอซึงจูตอบกลับว่า “น่าจะกลับช่วงเย็นๆ วันนี้ครับ” แม่ก็สบตากับมูฮึนและพยักหน้า

“งั้นเหรอจ๊ะ โอเคจ้ะ”

มันเป็นบรรยากาศที่แม้จะอธิบายไม่ถูก แต่มูรยองก็รับรู้ได้ว่ามันไม่ปกติ เมื่อไหร่ที่แม่ของมูรยองทำสีหน้าเช่นนี้ก็ยืนยันได้เลยว่าเธอกำลังรอเวลาที่จะกระทำการบางอย่างอย่างแน่วแน่ เธอเดินออกจากประตูบ้านไปทันทีจนคนที่เหลือไม่อาจซ่อนสีหน้างุนงงเอาไว้ได้

“ทำไมคุณป้าถึงดูโกรธล่ะครับ”

ในบรรดาพวกเขา ซึงจูคือคนที่ถามขึ้นอย่างจับสังเกตได้ไว ฮวานยองเองก็มองมูรยองด้วยสายตาสงสัยเช่นกัน พอมูรยองเกาแก้มอย่างเก้อๆ เหมือนไม่ค่อยแน่ใจนัก มูฮึนที่เล่นอยู่กับเจ้าซอลกีจึงตอบให้แทน

“พอดีว่ามีเรื่องที่แม่ไม่ชอบที่สุดอยู่น่ะสิ”

“เรื่องอะไรกันนะ การโกหกเหรอ”

มูยอนถือแก้วมัคใบหนึ่งเดินออกมาจากห้องครัว มันเป็นแค่กาแฟอุ่นๆ และมูฮึนก็แย่งมันไปดื่มอึกหนึ่งอย่างหน้าตาเฉย ถึงมูยอนจะทำสีหน้าหมดคำจะพูด แต่ก็เพียงมองดูสิ่งที่เขาทำโดยไม่ได้ว่าอะไร

“ไม่ใช่ การที่ลูกๆ ตกอยู่ในอันตรายต่างหากล่ะ เดี๋ยวนะ อะไรเนี่ย…นี่เธอใส่น้ำตาลในกาแฟเหรอ”

“ใส่เยอะเลยล่ะ เช้าๆ แบบนี้ต้องกินอะไรหวานๆ หน่อย”

“เบาหวานจะถามหาเอาน่ะสิ”

“ฉันยังไม่ถึงวัยนั้นสักหน่อย”

มูฮึนขมวดคิ้วมุ่นอย่างกับกินยาขมเข้าไป ทำเอามูยอนหัวเราะคิกคักแล้วแย่งแก้วคืนมาจากมือเขา เจ้าซอลกีวิ่งวนๆ เหมือนว่าจะขอชิมด้วยคน แต่ก็ถูกมูฮึนจับเอาไว้ได้อย่างรวดเร็วจนหงายท้องโชว์พุง

“รอบนี้ทางสมาพันธ์ชักจะทำเกินไปหน่อยแฮะ”

ไร้ซึ่งคำอธิบายใดๆ มูยอนเพียงจิบกาแฟด้วยสีหน้าเหมือนรู้กันอยู่ ปล่อยให้ซึงจูที่มีสีหน้าฉงนสงสัยได้แต่ลอบสบตากับมูรยองและฮวานยองเงียบๆ

 

ซึงจูตัดสินใจอยู่กินข้าวเย็นที่บ้านมูรยองด้วยเหตุผลบางอย่าง เพราะนอกจากพ่อแม่เขาจะยังไม่กลับบ้านแล้ว แม่ของมูรยองก็บอกให้เขาอยู่ต่ออีกหน่อยแล้วค่อยกลับ ขณะเดียวกันมูฮึนกับมูยอนก็รับหน้าที่เป็นคนฝึกสอนให้ฮวานยองแทน หลังจากชื่นชมทักษะการยิงธนูที่ฝึกฝนตลอดช่วงที่ผ่านมาแล้ว พวกเขาก็สอนวิธีควบคุมพลังจิตเพื่อสร้างเป็นดาบให้กับฮวานยอง

ในระหว่างที่พวกเขาฝึกกันอยู่นั้น ซึงจูก็ออกไปเดินเล่นกับเจ้าซอลกี หลังจากกลับมาในสภาพหมดเรี่ยวหมดแรงเขาก็ระบายความอัดอั้นออกมาว่าเพราะแบบนี้ไงคิมมูรยองถึงได้ไม่อ้วนขึ้นเลย มีแค่เจ้าซอลกีเท่านั้นที่ดูจะสนุกสนานเพราะได้ไปวิ่งเล่นเต็มที่ก่อนกลับมา

“เด็กๆ มากินข้าวเย็นกันได้แล้ว”

พวกเขาเริ่มกินอาหารเย็นกันในตอนที่ดวงอาทิตย์กำลังตกดิน มูฮึนเป็นคนยกอาหาร ก่อนที่ทุกคนจะมานั่งจับเข่าล้อมวงกินข้าวด้วยกันที่ห้องนั่งเล่นเหมือนมื้อกลางวัน หลังจบมื้อก็เอาไอศกรีมถ้วยใหญ่จากช่องฟรีซออกมากินตบท้าย

และเมื่อตกดึกก็ได้เวลาที่มือปราบวิญญาณจะมา ในจังหวะเดียวกันตอนที่ซึงจูดูนาฬิกาแล้วบอกว่าใกล้ได้เวลาจะต้องลุกแล้ว จู่ๆ เจ้าซอลกีที่มีความสุขอยู่ท่ามกลางผู้คนก็พรวดพราดลุกขึ้นมาเห่า ‘โฮ่ง!’ เสียงดัง

“คนจากสมาพันธ์มาอีกแล้วเหรอ”

วันครบรอบวันตายก็ผ่านไปแล้ว คนพวกนี้คิดจะตื๊อกันไปถึงไหนนะ

ฮวานยองคิดแบบนั้นพลางขมวดคิ้วยุ่ง ก่อนที่มูรยองจะเอ่ยตอบ

“ปกติก็จะมากันตลอดทั้งเดือนนั่นแหละ น่าจะผลัดกันมาจนถึงสิ้นเดือนเลย”

“ตื๊อชะมัด…”

“ดื้อดึงกับเรื่องไม่เป็นเรื่องจริงๆ เลยเชียว”

มูยอนพยักหน้ารับคำพูดนั้นของมูรยองโดยไม่พูดอะไร ไม่มีใครแย้งคำที่ซึงจูบ่นงึมงำว่า “พวกตาแก่หัวโบราณ” จังหวะเดียวกันนั้นมูฮึนก็หลุดยิ้มออกมา ก่อนที่แม่ของพวกเขาจะยกยิ้มมุมปากแล้วพูดขึ้น

“วันนี้จะเป็นวันสุดท้าย อย่างน้อยตั้งแต่พรุ่งนี้ถึงอยากมาก็คงมาไม่ได้แล้วล่ะ”

คำพูดนั้นฟังดูจริงจังตามความหมาย ฮวานยองเงยหน้าขึ้นมองแม่ของมูรยองด้วยสายตาที่ยากจะอธิบาย ไม่ว่าใครจะพูดอย่างไร การมาของคนจากสมาพันธ์ก็ทำให้เขาเป็นกังวลอยู่เสมอ แม้แต่บทสนทนาสุดท้ายที่ได้ยินเมื่อวานก็เป็นเรื่องของเขาไม่ใช่หรืออย่างไรกัน

“มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ”

แม่เอียงคอถามเมื่อเห็นสายตาที่ดูเคร่งเครียดนั้น ฮวานยองถามด้วยสีหน้าเป็นกังวลชัด

“…จะไม่เป็นไรใช่ไหมครับ”

“หืม?”

แม่ของมูรยองเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มละไมพลางลูบศีรษะฮวานยอง สัมผัสจากมือที่อ่อนโยนนั้นทำให้ฮวานยองต้องหรี่ตาลงเล็กน้อยและมีสีหน้าเก้อเขิน

“แน่นอนสิจ๊ะ มันต้องไม่เป็นอะไรอยู่แล้วสิ”

ทั้งที่เขาไม่ได้อยู่ในวัยที่จะถูกมองเป็นเด็กแล้ว แต่ผู้ใหญ่บ้านนี้กลับทำให้ฮวานยองดูเป็นเด็กเล็กได้อย่างน่าแปลก เธอละมือออกมาพลางบอกด้วยน้ำเสียงสบายๆ

“แม่จะออกไปพูดแค่สามคำเท่านั้น เดี๋ยวกลับมานะจ๊ะ”

สายตาของทุกคนหันมองแม่เป็นตาเดียว ท่ามกลางใบหน้าของแต่ละคนที่มีความฉงนสงสัยอยู่เต็มไปหมด มีเพียงมูฮึนเท่านั้นที่ลูบหลังให้เจ้าซอลกีนิ่งๆ แม่จัดเสื้อผ้าจนเข้าที่เรียบร้อยก่อนยิ้มผ่านดวงตาอย่างผ่อนคลาย

“สงสัยคงต้องไปที่สมาพันธ์และบอกคนพวกนั้นสักหน่อย”

สายตาเฉียบคมจับจ้องฮวานยอง ทั้งที่มันไม่ใช่การจ้องเพื่อให้กลัว แต่ฮวานยองก็เงยหน้าขึ้นมองเธอด้วยสีหน้าหวั่นใจ และเมื่อได้ยินประโยคต่อมา สีหน้าเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นมึนงง

“ว่าฮวานยองรู้เรื่องแล้วว่าทำไมตัวเองถึงได้มาเรียนที่โรงเรียนมัธยมปลายแฮยอน”

“…”

โรงเรียนมัธยมปลายแฮยอนเหรอ

ฮวานยองไม่อาจย้อนถามแบบนั้นออกไปได้ แม่เคลื่อนสายตาไปมองซึงจูก่อนพูดเสริมขึ้นอย่างใจเย็น

“เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทั้งบ้านตระกูลเรากับบ้านตระกูลซอยึดถือกันมาอย่างเคร่งครัด”

ถ้าพูดถึงตระกูลซอ แน่นอนว่าต้องเกี่ยวข้องกับซอซึงจู แม่ของมูรยองทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้นก่อนหมุนตัวจากไป ปล่อยให้ฮวานยองกะพริบตาปริบๆ อยู่อย่างนั้น พอเห็นแม่เดินพ้นประตูบ้านไป ฮวานยองก็หันไปมองซึงจูในจังหวะถัดมา

“บ้านนายทำอะไรเหรอ”

“สิ่งสำคัญตอนนี้มันใช่เรื่องนั้นหรือไงเล่า”

ซึงจูย้อนถามด้วยสีหน้าหมดคำจะพูด ก่อนที่คำถามต่อมาจะถูกเอ่ยโดยมูรยองซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ซึงจู

“อะไรคือเหตุผลที่นายมาเรียนที่โรงเรียนมัธยมปลายแฮยอนเหรอ”

“…”

มูรยองสงสัยว่าฮวานยองจะรู้เรื่องนั้นไหม พอเจ้าตัวส่ายหน้าแทนความหมายว่าไม่รู้ มูรยองก็ทำสีหน้าสงสัยยิ่งกว่าเก่า

เหตุผลที่คีฮวานยองมาเรียนที่โรงเรียนมัธยมปลายแฮยอน…เรื่องที่เราไม่เคยนึกถึงเลยสักครั้งมีผลอะไรต่อสมาพันธ์กันนะ

ทั้งสามคนปิดปากเงียบ ท่ามกลางความเงียบงันนั้นมีเพียงมูยอนกับมูฮึนเท่านั้นที่ลอบสบตากัน กระทั่งเวลาผ่านไปพักหนึ่งซึงจูถึงได้ขมวดคิ้วและพูดขึ้นมา

“บ้านฉันเป็นนายทุนน่ะ”

ฮวานยองมุ่นคิ้วกับการตีความคำถามและตอบกลับมาอย่างใจเย็นของอีกฝ่าย เพราะมันทำให้เขารู้สึกได้ถึงบางอย่างจากท่าทีและน้ำเสียงที่ดูไม่ดีนั้น

“นายทุน?”

“อืม สนับสนุนเงินทุนให้ทางสมาพันธ์และให้ความช่วยเหลือในเรื่องต่างๆ บางทีก็สนับสนุนพวกข้าวของหรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการทำงานปราบวิญญาณด้วย”

ถ้าจะให้เรียกอีกอย่างก็คงต้องบอกว่าเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจ ครั้นจะบอกว่าตระกูลของซึงจูเป็นผู้ก่อตั้งและเสาหลักค้ำจุนของสมาพันธ์มือปราบวิญญาณก็คงไม่เกินจริงนัก ฮวานยองหรี่ตาลงพลางทำเสียงเหมือนกำลังครุ่นคิดอยู่ในลำคอ

ครอบครัวของซอซึงจูเองก็ดูเหมือนจะไม่ธรรมดาแฮะ…

ตั้งแต่ได้ยินเรื่องธรรมเนียมของครอบครัวเขา ฮวานยองก็นึกสงสัยบางอย่างขึ้นมา ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูลนี้จะไม่ใช่แค่ความสัมพันธ์แบบคนรู้จักกันทั่วไป เพราะต่อให้จะบอกว่าอยู่บ้านข้างเคียงกัน แต่การที่ซึงจูรู้เรื่องเกี่ยวกับการปราบวิญญาณไปหมดทุกอย่างก็ดูแปลกไม่ใช่น้อย

“นายทุนงั้นเหรอ”

ในตอนนั้นเองมูฮึนก็หลุดหัวเราะออกมาก่อนพูดแทรกกลางบทสนทนาระหว่างพวกเขา เขาขยิบตาซ้ายพลางยกมุมปากขึ้น

“ต้องเรียกว่าผู้อุปถัมภ์ต่างหากล่ะ ก็เป็นถึงตระกูลที่มีความสำคัญต่อการดำรงอยู่และการพัฒนาสืบต่อไปของสมาพันธ์มือปราบวิญญาณเลยนี่นา”

ถึงเขาจะพูดด้วยท่าทีเหมือนคนตีหน้าซื่อ แต่เนื้อหานั้นกลับดูไม่ต่างจากพวกนักต้มตุ๋นเลยสักนิด คงเพราะเขายิ้มอย่างปริ่มสุขราวกับกำลังทำการเผยแผ่ศาสนาเลยทำให้ยิ่งดูเป็นอย่างนั้น พอซึงจูทำท่าทีเหมือนขนลุกด้วยสีหน้ารับไม่ได้ มูฮึนก็ยิ้มกว้างจนเห็นฟัน

“จะว่าไปแล้วนายสงสัยเรื่องเกี่ยวกับโรงเรียนงั้นสินะ? ถ้าเป็นเรื่องนั้นน่ะพี่ชายคนนี้รู้นะ”

“พี่รู้จริงดิ?”

มูรยองย้อนถามขึ้นทันควัน มูฮึนจึงมองตาที่เป็นประกายคู่นั้นก่อนตอบกลับไปอย่างจริงจัง

“รู้สิ แต่มันเป็นความลับ”

“…ทำไมล่ะครับ”

หนนี้ฮวานยองเป็นคนถาม เสียงเขาฟังดูกระด้างอย่างบอกไม่ถูก มูฮึนเลยยักไหล่ตอบกลับไปแทนการให้คำตอบที่ชัดเจน

“ก็เพราะพี่เพิ่งโดนดุมาเมื่อวานน่ะสิ”

มีเพียงมูรยองเท่านั้นที่เข้าใจคำพูดนั้น ดูท่ามูฮึนน่าจะต้องทนฟังคำบ่นของแม่เป็นราคาของการพาฮวานยองออกจากบ้านไปฟังเรื่องนั้นเมื่อคืน หนนี้เลยไม่อาจเล่ามันออกมาได้โดยง่าย

“เอาเป็นว่าถ้าอยากรู้อะไรก็ถามแม่เอาเองแล้วกัน”

เมื่อมองผ่านหน้าต่างห้องนั่งเล่นก็เห็นว่าแม่กำลังเดินเข้ามา ดูท่าจะไปพูดแค่สามคำแล้วกลับจริงๆ เพราะแม่กลับมาไวกว่าปกติมาก มูฮึนให้เจ้าซอลกีลงจากตักก่อนลุกขึ้นยืน

“ซึงจู กลับบ้านกันเถอะ เดี๋ยวพี่ชายคนนี้อาสาไปส่งเอง”

เสียงนั้นฟังดูอ่อนโยนและใจดีราวกับกำลังเรียกลูกหมา ซึงจูไม่อาจซ่อนความงุนงงเอาไว้ได้ เพราะทั้งที่บ้านก็อยู่ติดกันแล้วจะอาสาไปส่งทำบ้าอะไร แน่นอนว่าถึงอย่างนั้นเขาก็ยังยอมเดินตามมูฮึนไปทางประตูบ้านอย่างว่าง่าย

แกร๊ก…

ประตูบ้านเปิดและปิดลง แม่กับซึงจูบอกลากันหน้าประตู แล้วซึงจูกับมูฮึนก็เดินออกไปด้านนอกด้วยกัน เจ้าซอลกีพยายามจะตามออกไปด้วย แต่โดนประตูนิรภัยอัตโนมัติขวางเอาไว้เสียก่อน มันเลยได้แต่นอนหมอบลงอย่างซึมๆ

“แม่คะ ตาลุงคนนั้นเขาไปแล้วเหรอคะ”

“ตาลุงคนนั้นงั้นเหรอ…”

แม่หลุดหัวเราะให้กับสิ่งที่มูยอนถาม แต่ก็ตอบกลับไปอย่างง่ายๆ ว่ากลับไปแล้ว ก่อนจะรู้สึกได้ถึงสายตาสองคู่ที่ทอดมองมานิ่งๆ เลยหันหน้าไปมอง

“มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ”

“…”

ถามออกไปดีไหมนะ

ฮวานยองรู้สึกขัดแย้งอยู่ในใจหลายต่อหลายหน ถ้าเกิดว่าเขาทำให้ตระกูลของมูรยองเดือดร้อนอีกครั้งก็คงยากจะข่มใจไม่ให้รู้สึกผิดได้ แต่ใจที่อยากรู้นั้นกลับยิ่งใหญ่กว่า เขาจึงขยับริมฝีปากถามออกไปในท้ายที่สุด

“…อะไรคือเหตุผลที่ทำให้ผมได้เข้ามาเรียนที่โรงเรียนมัธยมปลายแฮยอนเหรอครับ”

* พินแดต๊อก คือแพนเค้กที่ทำจากถั่วเขียวบดแล้วนำมาทอด

  

ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน มือปราบ (วิญญาณ) คนนี้ชื่อคิมมูรยอง เล่ม 3

 

วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub

และร้านหนังสือทั่วไป

 

รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่

Meb / OOKBEE / Pinto E-book by Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN

 

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com