everY
ทดลองอ่าน ค่ำคืนของนักล่า (อสูร) คิมมูฮึน เล่ม 2 บทที่ 9 – 3 ถึง 9 – 4 #นิยายวาย
ทดลองอ่านเรื่อง ค่ำคืนของนักล่า (อสูร) คิมมูฮึน เล่ม 2
ผู้เขียน : Oneulbom
แปลโดย : มิลค์พลัส
ผลงานเรื่อง : ค่ำคืนของนักล่า (อสูร) คิมมูฮึน
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
9-3
น่าแปลกที่ควางชิกเดินตามซึงจูมาอย่างว่าง่าย แต่จะว่าไปแล้วก็ดูเหมือนว่าไม่มีครั้งไหนเลยที่เขาทำตัวหัวแข็งและไม่ยอมฟังคำพูดของซึงจู แม้การกระทำของเขาอาจจะไร้มารยาทไปสักหน่อย แต่เขาก็ไม่เคยข่มขู่หรือใช้กำลังกับซึงจูเลยแม้แต่สักนิด เว้นเสียแต่ตอนช่วยจับซึงจูที่เกือบพลัดตกลงไปในทะเลสาบคราวนั้น
“อะไรเนี่ย…เจ้าพวกนั้นหายหัวไปไหนกันหมด”
ตอนที่กลับมาถึงบูธของคณะสังคมศาสตร์ บรรดาเพื่อนร่วมรุ่นก็ไม่อยู่กันแล้ว หลังจากเช็กโทรศัพท์ดูด้วยความสงสัยว่าทุกคนหายไปไหนกัน ซึงจูถึงได้เห็นว่ามีสายที่ไม่ได้รับหลายสาย รวมถึงข้อความที่บอกให้เขาไปที่ห้องกิจกรรมของคณะ ดูท่าพวกเขาจะไปกันก่อนแล้วเพราะซึงจูกลับมาช้า
แต่จะว่าไปมันกลับกลายเป็นเรื่องดีเสียอีก เพราะถ้าเพื่อนพวกนั้นเห็นควางชิกเข้าและถามว่าเป็นใครขึ้นมาอีกคงได้วุ่นวายแย่ ถึงพฤติกรรมของอีกฝ่ายจะดูแปลกๆ และน่าสงสัยไปสักหน่อย แต่โดยรวมแล้วหมอนี่ก็จัดว่าหน้าตาดี ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องมีคำพูดไร้สาระที่บอกว่าคนรอบตัวซอซึงจูเป็นอย่างนั้นอย่างนี้อีกแน่ๆ
“ไปนั่งรอตรงนั้นแป๊บหนึ่ง”
ซึงจูให้ควางชิกไปนั่งรออยู่ที่มุมหนึ่งก่อนจะค้นดูในกระเป๋า ในกระเป๋าช่องหน้าของเขามียาทาแผลและพลาสเตอร์ยาทุกรูปแบบที่เขาพกติดตัวมาตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย เนื่องจากคิมมูรยองเจ็บตัวบ่อยมาก เขาเลยต้องซื้อมาเก็บไว้อย่างครบครันจนกลายเป็นนิสัยที่จะต้องพกมันเอาไว้ตลอดเวลา
“เอ้า นี่”
เมื่อซึงจูยื่นยาทาแผลกับก้านสำลีให้ ควางชิกก็เงยหน้าขึ้นมองมานิ่งๆ สีหน้านั้นราวกับกำลังถามว่าเอามันมาให้ทำไม ซึงจูจึงยื่นหลอดยาเข้าไปใกล้ขึ้นอีกพร้อมเอ่ยปากเร่งเขาอีกครั้ง
“เอาไปทาแผลซะสิ”
“…”
คนเจ็บรับยาไปเงียบๆ ก่อนจะใช้มือหมุนเปิดฝาอย่างเก้ๆ กังๆ และในขณะที่ซึงจูกำลังคิดว่าทำไมหมอนี่ถึงไม่หยิบก้านสำลีไปด้วย หรือว่าหมอนี่คิดจะบีบยาป้ายลงบนแผลไปทั้งอย่างนั้นเลย อีกฝ่ายก็ทำอย่างที่คิดจริงๆ แต่จะบอกว่าทาก็คงไม่ใช่ คงต้องบอกว่าหมอนี่บีบยาเป็นก้อนโปะแผลไว้ทั้งอย่างนั้นเสียมากกว่า
“เดี๋ยวนะ นี่นายจะบ้าเหรอ ใครเขาทากันแบบนั้น…”
หลอดยาที่แทบจะเหมือนของใหม่พลันหมดไปประมาณครึ่งหลอดในพริบตา ซึงจูร้องลั่นพร้อมกับแย่งมันคืนมาจากมือเขา จากนั้นก็จับข้อมือของควางชิกเอาไว้แล้วช่วยทามันให้ใหม่อย่างเบามือด้วยก้านสำลีที่ถืออยู่
“หนาซะขนาดนี้…ไม่บีบใส่ปากกินเข้าไปเลยล่ะ”
“ยานี่กินได้ด้วยเหรอ”
“ได้ซะที่ไหนเล่า”
หมอนี่ดูท่าจะไม่เต็มเต็งชอบกล เล่นเอาซึงจูถึงกับคิดไม่ตกเลยว่าตอนนี้ตัวเองกำลังทำอะไรอยู่กันแน่
ถึงใจเขาไม่คิดที่จะทายาให้อย่างเอาใจใส่ แต่ซึงจูก็ยังเช็ดยาส่วนเกินออกแล้วแปะพลาสเตอร์ให้ไปตามความเคยชิน และในตอนนั้นเองจู่ๆ ควางชิกที่มองอยู่เงียบๆ ก็โพล่งขึ้นมา
“ฉันรู้ว่านี่มันเรียกว่าอะไร”
“อะไร”
“ให้แผลแล้วให้ยา”*
“…”
ซึงจูเถียงอะไรไม่ออก เพราะถึงแม้ต้นเหตุของแผลนี่จะเป็นแมวไม่ใช่เขา แต่มันก็เป็นเรื่องจริงที่ก่อนหน้านี้เขาโมโหใส่หมอนี่ไปอย่างไม่มีเหตุผล หากแต่ซึงจูก็มีเรื่องที่อยากจะพูดเช่นกัน
“ก็ครั้งที่แล้วนายช่วยชีวิตฉันไว้นี่”
มันเป็นแค่น้ำใจในฐานะเพื่อนมนุษย์ด้วยกันมากกว่าจะเป็นการตอบแทนบุญคุณ ในเมื่อหมอนี่เคยช่วยเขาที่เกือบพลัดตกลงไปในทะเลสาบเอาไว้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ควรต้องแสดงความขอบคุณ ถ้าไม่เห็นแต่แรกก็ว่าไปอย่าง แต่เขาไม่มีทางเพิกเฉยได้หลังจากเห็นว่าหมอนี่เลือดออก
“นี่ ควางชิก”
หลังจากดูจนแน่ใจแล้วว่าพลาสเตอร์ยาติดสนิทดี ซึงจูก็เอ่ยเรียกอีกฝ่ายอย่างหยั่งเชิง จนถึงตอนนี้ชื่อของอีกฝ่ายได้กลายเป็นชื่อที่ติดปากไปแล้วโดยที่เขาก็ไม่รู้ว่าทำไม ซึ่งหนนี้ควางชิกก็เลิกคิ้วขึ้นอีกครั้ง แต่ซึงจูก็แค่พูดในสิ่งที่กำลังจะพูดต่อ
“ไหนลองว่ามาหน่อยซิว่านายต้องการจะทำอะไรกันแน่”
“สิ่งที่ต้องการจะทำ?”
“ถ้านายมาหาฉันก็แสดงว่านายต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่างใช่ไหมล่ะ มาสนิทกับฉันแล้วนายจะได้อะไร”
เขาไม่ถามอย่างตรงไปตรงมาตั้งแต่แรกเพราะไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้อง เพราะถึงอย่างไรถ้าถูกขอให้ช่วยเขาก็ต้องปฏิเสธอยู่แล้ว และถ้าจะปฏิเสธเขาก็ต้องคิดเกี่ยวกับมันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เขาไม่อยากเปลืองพลังงานไปกับเรื่องไร้สาระ แต่มาถึงจุดนี้แล้วเขาคงจะต้องถาม
“ฉันไม่ได้จะฟังคำขอของนายนะ ก็แค่อยากรู้เลยอยากจะฟังมันผ่านหูสักครั้ง เข้าใจที่ฉันพูดใช่ไหม”
ซึงจูรีบอธิบายเอาไว้ก่อนเผื่อว่าเขาจะไม่เข้าใจ แต่ควางชิกกลับนิ่งไปและไม่ตอบอะไรอยู่นาน เขาเพียงแค่ลูบพลาสเตอร์ยาที่ซึงจูแปะให้พลางหลุบตาลงด้วยสีหน้าที่ซึงจูอ่านไม่ออก
จนเวลาผ่านไปครู่ใหญ่เขาถึงได้เปิดปากพูดออกมาช้าๆ ซึ่งมันช้าที่สุดนับตั้งแต่ซึงจูได้คุยกับเขามาจนถึงตอนนี้
“ฉัน…”
หมอนี่กำลังพยายามจะพูดอะไร ทำไมถึงได้เว้นจังหวะนานขนาดนี้นะ
ถึงอย่างไรมันคงไม่ใช่เรื่องสำคัญนัก ซึงจูจึงเริ่มคิดแล้วว่าอยากจะล้มเลิกคำพูดที่บอกว่าจะลองฟังดู
ทว่าในจังหวะที่ความอดทนของซึงจูลดลงจนถึงจุดต่ำสุด อีกฝ่ายก็เงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้ามุ่งมั่น
“ฉันจะล้มล้างสมาพันธ์”
หมอนี่บ้าไปแล้วแหงๆ
หน้าตึกออฟฟิศเทลสูงตระหง่าน ซึงจูกำโทรศัพท์มือถือแน่นพลางเหม่อมองขึ้นไปบนฟ้า พระจันทร์ดวงกลมโตที่ดูราวกับจะกลิ้งตกลงมาได้ทุกเมื่อลอยเด่นอยู่บนยอดตึกสูงที่ต้องแหงนหน้ามองอยู่พักหนึ่งกว่าจะเห็น บนผืนฟ้าที่ไร้เมฆบดบังมีเพียงพระจันทร์เต็มดวงเพียงดวงเดียวลอยประดับอยู่
“…”
ซึงจูไม่อาจละสายตาจากพระจันทร์ดวงนั้นได้อยู่พักใหญ่ราวกับต้องมนตร์สะกด ประกายที่ดูคล้ายกับแสงจันทร์ปรากฏอยู่ในดวงตาที่กะพริบอย่างช้าๆ ของเขา วันนี้นัยน์ตาภายใต้เปลือกตาชั้นเดียวดูสงบนิ่งกว่าทุกวัน
เอาล่ะ ทีนี้เอาไงต่อดี
ซึงจูกลั้นเสียงถอนหายใจเอาไว้ในลำคอ ความรู้สึกอัดอั้นตันใจก่อตัวขึ้นภายในใจมาตลอด เพียงแต่เขาพยายามแสร้งทำเป็นไม่รับรู้ก็เท่านั้น ซึงจูสลัดความคิดไร้สาระที่ล่องลอยอยู่ในหัวทิ้งด้วยการบังคับตัวเองให้นึกถึงสิ่งที่ได้ฟังมาก่อนหน้านี้
‘สมาพันธ์มือปราบวิญญาณมีบทบาทสำคัญในการปกป้องทุกชีวิตจากสิ่งที่มองไม่เห็นและคงไว้ซึ่งสายสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิต’
ควางชิกที่บอกว่าจะล้มล้างสมาพันธ์ได้พูดในสิ่งที่ซึงจูเคยได้ยินมาแล้วหนหนึ่งให้ฟังอีกครั้ง มันคือแนวคิดพื้นฐานของสมาพันธ์มือปราบวิญญาณที่ถือเป็นความภาคภูมิใจของมือปราบวิญญาณทุกคน อีกทั้งยังเป็นเป้าหมายที่ซึงจูเคยได้ยินอยู่หลายหน
‘เวลามือปราบวิญญาณทำงานจะต้องให้ความสำคัญกับทุกข์สุขของผู้คนเหนือสิ่งอื่นใด แต่ขอบเขตของ ‘ผู้คน’ ที่ว่านั้นไม่รวมถึงมือปราบวิญญาณด้วยกัน’
เรื่องนี้ซึงจูเองก็รู้ดีเช่นกัน และมันก็เป็นเรื่องที่เขาไม่เห็นด้วยมาโดยตลอด สู้เขาไม่รู้เรื่องนี้เลยยังจะดีเสียกว่า แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รับรู้จากการที่ได้เห็นว่าสมาชิกของครอบครัวบ้านหลังข้างๆ ต้องผ่านอะไรมาบ้าง ขอแค่ภารกิจที่มอบหมายให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ทางสมาพันธ์ก็ไม่เคยสนใจว่าจะต้องมีมือปราบวิญญาณอีกสักกี่คนที่จะต้องเสี่ยงชีวิต
‘ชีวิตของคนทุกคนต่างเท่าเทียมกัน ไม่จำเป็นต้องถูกใช้เหมือนสินค้าที่ใช้แล้วทิ้งเพียงเพราะเป็นมือปราบวิญญาณ’
แม้มันจะดูเหมือนบทพูดที่ท่องจำมา แต่ซึงจูเองก็เห็นด้วยเช่นกัน ระหว่างที่นิ่งฟังอยู่เงียบๆ ควางชิกก็หลุบตาลง เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
‘ถึงจะเล่าให้นายฟังไม่ได้ แต่นอกเหนือจากที่นายรู้มาแล้ว มันยังมีเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลอยู่เยอะมาก งานที่ทางสมาพันธ์สั่งให้ทำเริ่มเน้นไปที่การหาเงินมากขึ้นเรื่อยๆ และภายในก็เกิดความวุ่นวายอยู่ตลอด’
ซึงจูนึกสงสัยว่าทำไมจู่ๆ เขาถึงได้พูดออกมาโดยที่ดูขาดความมั่นใจขนาดนั้น แต่ดูเหมือนจะเป็นเพราะประโยคที่พูดในทำนองว่า ‘ฉันเล่าเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลให้นายฟังไม่ได้หรอก’ เนื่องจากก่อนหน้านี้ซึงจูเพิ่งตะโกนใส่เขาไปว่าให้พูดมาให้หมดทุกอย่าง หรือไม่ก็ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น
แท้จริงแล้วคำพูดนั้นไม่ได้ต้องการจะสื่อถึงควางชิก แต่เป็นมูฮึนต่างหาก
‘ฉันก็เลยอยากจะล้มล้างสมาพันธ์’
หลังจากพูดอ้อมโลกมาไกล บทสรุปก็เป็นอย่างที่ได้ฟังไปก่อนหน้านี้ ซึงจูรู้สึกว่าสายตาของอีกฝ่ายที่เงยหน้ามองขึ้นมาอีกครั้งดูแน่วแน่เกินกว่าที่เขาจะปฏิเสธออกไปหรือบอกว่าอย่าพูดเรื่องไร้สาระได้
‘เพื่อการนั้นแล้ว ฉันต้องการความช่วยเหลือจากคิมมูฮึน’
ทำไม…
ซึงจูยังไม่ทันได้ถามออกไป อีกฝ่ายก็พูดต่อทันที
‘และคนคนเดียวที่สามารถโน้มน้าวคิมมูฮึนได้ก็มีแค่นาย…ซอซึงจู’
‘…’
หนนี้ซึงจูก็ยังไม่อาจถามถึงเหตุผลที่หมอนี่คิดแบบนั้นได้ เพราะเขาคิดว่าไม่ว่าจะได้รับคำตอบแบบไหน เขาก็คงไม่สามารถเอาชนะความหนักแน่นของเหตุผลนั้นได้อยู่ดี
ในสายตาของหมอนี่เขาดูมีความสำคัญถึงขนาดที่จะโน้มน้าวมูฮึนได้เลยหรือ แทนที่จะรู้สึกภูมิใจอย่างทะนงตัว เขากลับรู้สึกห่อเหี่ยวใจสุดๆ
‘นี่นายกำลังขอให้ฉันไปโน้มน้าวใจพี่มูฮึนงั้นเหรอ’
‘ประมาณนั้น’
ดูเหมือนสิ่งที่เขาต้องการจากซึงจูจะไม่ใช่แค่นั้น แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่ม ดูจากการที่เขาขมวดคิ้วอยู่เงียบๆ มันก็ชัดเจนแล้วว่าเขายังไม่มีแผนการใดๆ ที่เป็นรูปธรรมเหมือนกัน แต่ก่อนจะชี้ให้เห็นถึงความไม่คิดหน้าคิดหลังของเขา ซึงจูต้องทำให้เขาตื่นจากการคิดไปเองเสียก่อน
‘โทษทีนะ แต่ช่วงนี้ฉันไม่ได้ติดต่อพี่เขาเลย’
ก่อนจะโน้มน้าวได้ก็คงต้องเจอหน้ากันให้ได้เสียก่อน แต่โชคร้ายที่เพียงแค่จะเจอหน้าอีกฝ่ายก็ยังไม่ง่ายเลย แม้ซึงจูจะยังไม่เคยลองติดต่อไป แต่เขาก็ตัดสินใจจะโกหกออกไปทั้งอย่างนั้น
‘คงจะเป็นแบบนี้ไปอีกสักพักล่ะมั้ง ดูท่าเขาไม่น่าจะรับโทรศัพท์หรอก…’
แต่ทันทีที่ควางชิกได้ยินเช่นนั้น เขาก็ตอบกลับมาเหมือนจะช่วยเฉลยคำตอบ
‘เขาอยู่ที่บ้าน’
‘นายรู้ได้ยังไง’
ดูเหมือนหมอนี่จะมั่นใจมากว่ามูฮึนอยู่ที่ไหน พอซึงจูถามออกไปด้วยความรู้สึกสงสัย เหตุผลที่ค่อนข้างน่าเชื่อถือก็ถูกเอ่ยขึ้นตามมา
‘ปกติแล้วในคืนวันเพ็ญพวกนักล่าอสูรก็มักจะอยู่บ้านกันทั้งนั้นแหละ พวกเราจะทำงานทั้งหมดล่วงหน้าตั้งแต่สัปดาห์ก่อนหน้า และพอถึงคืนวันเพ็ญก็จะพักผ่อนอยู่แค่ที่บ้าน’
บรรดามือปราบวิญญาณต่างก็บอกกันว่าคืนวันพระจันทร์เต็มดวงเป็นช่วงเวลาที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการทำงาน ซึ่งการที่มูรยองมักจะร่าเริงเพราะร่างกายเบาสบายในคืนวันเพ็ญก็น่าจะพิสูจน์ข้อเท็จจริงเรื่องนั้นได้แล้วไม่ใช่หรือ
‘เพราะงั้นวันนี้นายลองแวะไปหาเขาสิ’
แม้ว่ามันจะฟังดูเหมือนเป็นคำสั่งในวินาทีแรก แต่ซึงจูก็ไม่ได้อารมณ์เสียแต่อย่างใด เพราะเขาเพิ่งได้ยินแผนการแสนยิ่งใหญ่ที่จะล้มล้างสมาพันธ์ของหมอนี่ เขาเลยคิดว่าถึงอย่างไรก็น่าจะต้องบอกมูฮึน เพราะถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นระหว่างนี้คงจะยุ่งยากน่าดู
“…”
ไม่สิ…สุดท้ายแล้วมันก็เป็นแค่ข้ออ้าง เขาก็แค่อยากมาหามูฮึนโดยอ้างว่าต้องเอาสิ่งที่ควางชิกพูดมาบอกก็เท่านั้น ทั้งที่ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ต่อหน้าควางชิกเขายังตอบกลับไปอย่างเย็นชาว่า ‘ฉันจะแวะไปหรือเปล่ามันก็เรื่องของฉัน เพราะฉะนั้นไม่ต้องมาสั่ง’ อยู่เลย
ทั้งที่เขาไม่ได้มีนิสัยชอบทำอะไรตามอารมณ์แบบนี้ แต่พอเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคิมมูฮึนทีไรก็ไม่มีอะไรเป็นไปตามที่ใจคิดสักอย่าง ก่อนหน้านี้เขาเอาแต่คิดหนักเกี่ยวกับมันจนมาถึงประตูหน้าบ้านพร้อมกับมูรยอง
แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรหลังจากนั้น จู่ๆ เขาก็เดินเข้าบ้าน วางกระเป๋าแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าเหมือนถูกอะไรบางอย่างเข้าสิง
ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้ซึงจูก็มาหยุดยืนอยู่หน้าออฟฟิศเทลของมูฮึนในสภาพที่ดูคล้ายโจรเล็กน้อยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เนื่องจากเขากังวลเรื่องที่ว่ากลุ่มอิทธิพลใหม่กำลังเพ่งเล็งเขาอยู่ แต่ถึงอย่างไรก็ต้องมาหามูฮึนให้ได้ เขาจึงตัดสินใจใส่หมวกปิดหน้าปิดตาและใช้ฮู้ดของเสื้อตัวนอกคลุมเอาไว้ ถึงการทำแบบนี้จะไม่อาจปกปิดอะไรได้ แต่มันก็คงดีกว่าการเดินไปไหนมาไหนโดยให้คนรู้อย่างโจ่งแจ้งว่า ‘ผมซอซึงจูเองครับ’ สุดท้ายเขาก็เตรียมใจเอาไว้เรียบร้อยแล้วว่าคงจะโดนมูฮึนบ่นชุดใหญ่แน่หลังจากที่เจ้าตัวรู้ว่าเขามาที่นี่คนเดียว
“เรื่องนั้นไว้เจอกันก่อนค่อยว่ากัน”
ลองโทรหาดีไหม หรือจะกดเรียกผ่านอินเตอร์คอมดี?
หลังจากลังเลระหว่างทางเลือกสองทาง สุดท้ายซึงจูก็เลือกที่จะโทรหาอีกฝ่าย เพราะถ้ามูฮึนไม่อยู่ห้อง ต่อให้กดอินเตอร์คอมเรียกไปก็คงไม่มีประโยชน์ แต่แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ซึงจูควรจะมาคิดเอาตอนนี้ ตอนที่มาหยุดยืนอยู่หน้าที่พักของอีกฝ่ายแล้ว
ตู๊ด…
วินาทีที่เสียงรอสายดังขึ้น จู่ๆ ลำคอของซึงจูก็พลันแห้งผากขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล เนื่องจากเขาเคยคุยโทรศัพท์กับมูฮึนแค่ไม่กี่หน เขาจึงรู้สึกแบบนี้เสมอเวลาโทรหา มันเป็นความรู้สึกใจเต้นแบบที่อธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูก ซึ่งมันคล้ายกับความประหม่าหรือไม่ก็ความคาดหวัง
ตู๊ด…ตู๊ด…
ตู๊ด…
กริก…
“ขณะนี้ไม่มีผู้รับสาย กรุณาฝากข้อความโทรกลับของท่าน…”
“…”
ซึงจูกดปุ่มวางสายแล้วลองโทรใหม่อีกครั้ง เพราะเป็นไปได้ว่าโทรแค่ครั้งเดียวมูฮึนอาจจะยังไม่เห็น เขาตั้งใจว่าจะลองโทรดูอีกหน ถ้าหนนี้ไม่ได้ผลก็คงต้องลองคิดหาวิธีอื่นดู
ตู๊ด…
หนนี้เสียงรอสายดังต่อเนื่องอยู่นาน ความประหม่าที่รู้สึกตอนโทรออกครั้งแรกเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความเบื่อหน่ายและความกระวนกระวาย เสียงรอสายที่ได้ยินซ้ำๆ ทำให้ซอกมุมหนึ่งในใจของเขารู้สึกอึดอัด
ติดงานอยู่หรือเปล่านะ
แม้ว่าพระอาทิตย์จะตกไปแล้ว แต่ตอนนี้ก็ยังไม่ใช่เวลาดึก และถึงควางชิกจะบอกว่ามูฮึนมักจะอยู่ที่ห้องในคืนวันเพ็ญ แต่ก็ไม่แน่ว่าข้อมูลดังกล่าวนั้นจะถูกต้อง ตราบใดที่ไม่มีใครเห็นมูฮึนอยู่ที่ห้องด้วยสองตาก็ไม่มีทางที่คนอื่นจะรู้ว่ามูฮึนอยู่ที่ไหน
“ขณะนี้ไม่มีผู้รับสาย กรุณาฝากข้อความ…”
“…”
ซึงจูไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากวางสายแล้วเดินไปตรงประตูทางเข้าออฟฟิศเทล เนื่องจากครั้งที่แล้วเขารู้เลขห้อง จึงคิดจะลองกดเรียกดูสักครั้ง ซึ่งถ้ามูฮึนไม่รับสาย เขาก็คงจะทำอะไรไม่ได้นอกจากกลับบ้าน
“ห้อง 1405…”
ตอนเขามาที่นี่คราวที่แล้ว การกดเรียกผ่านอินเตอร์คอมมันแปลกใหม่สำหรับเขามาก เพราะเขาอาศัยอยู่ในบ้านเดี่ยวมาตั้งแต่เกิด จึงไม่ค่อยมีโอกาสได้เข้ามาเหยียบในออฟฟิศเทลที่มีหลายครอบครัวอาศัยอยู่แบบนี้สักเท่าไหร่ คิมมูรยองที่เขาสนิทด้วยที่สุดเองก็อาศัยอยู่บ้านเดี่ยวเหมือนกัน ดังนั้นเวลาไปเยี่ยมทีไร มูรยองก็จะมาเปิดประตูให้เป็นประจำ
เนื่องจากครั้งนี้เป็นครั้งที่สองแล้วที่ได้มาเหยียบที่นี่ ซึงจูจึงกดหมายเลขห้องตามด้วยปุ่มต่อสายอย่างคุ้นเคย เสียงดนตรีรอสายดังอยู่พักหนึ่งพร้อมข้อความเสียงที่บอกว่า ‘ขณะนี้กำลังเรียกสาย’
“…”
ทว่าหลังจากอดทนรออยู่พักใหญ่ สายของห้อง 1405 ก็ยังคงเงียบสนิท ถ้าเจ้าของห้องกำลังหลับอยู่จริง ติดต่อไปขนาดนี้ก็น่าจะตื่นได้แล้ว เพราะแบบนั้นซึงจูจึงคิดว่าเขาน่าจะไม่อยู่ห้องเสียมากกว่า
“โอ๊ย…ไอ้คนหลอกลวง”
หมอนั่นเปิดปากพูดทีไรก็มีแต่เรื่องเชื่อถือไม่ได้ ซึงจูบ่นงึมงำอย่างหัวเสียก่อนยกเลิกการกดเรียก ถ้าเอาแต่กดอินเตอร์คอมโทรหาห้องที่ไม่มีคนอยู่ไปเรื่อยๆ แบบนี้แล้วไม่โดนร้องเรียนหาว่าเป็นคนเสียสติก็คงจะโชคดีมาก
ซึงจูรู้สึกผิดหวังสุดๆ แต่ในทางกลับกันแล้วก็รู้สึกโล่งใจ เพราะการต้องเผชิญหน้ากับมูฮึนค่อนข้างเป็นภาระทางใจของเขาอยู่ไม่น้อย ซึ่งรวมถึงการถ่ายทอดคำพูดของควางชิกและการแวะมาที่นี่โดยไม่ได้ติดต่อมาก่อนล่วงหน้าเองก็เช่นกัน
พอคิดได้แบบนั้นแล้วซึงจูก็ตั้งใจจะหมุนตัวหันหลังกลับ แต่จู่ๆ ความรู้สึกชวนขนลุกก็แล่นปราดขึ้นมาตามแนวกระดูกสันหลัง
“…”
เขาพลันรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือก มันให้ความรู้สึกเหมือนมีสายลมเย็นพัดโถมเข้ามา พร้อมกันนั้นยังรู้สึกได้ถึงสายตาของใครบางคน พริบตาเดียวที่ความรู้สึกหวาดกลัวก่อตัวขึ้นมา ซึงจูก็ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวและได้แต่ยืนแข็งทื่ออยู่อย่างนั้น เพราะมันเป็นความรู้สึกที่สัมผัสได้จากสัญชาตญาณ และในตอนนั้นเองซึงจูก็รู้สึกว่ามีใครบางคนกำลังเดินเข้ามา
คงไม่ใช่หรอกน่า…
ซึงจูพยายามลบความรู้สึกหวาดหวั่นออกไปจากใจ เขากลั้นหายใจพลางกำยันต์ในกระเป๋ากางเกงเอาไว้แน่น แต่พอไม่รู้สึกถึงพลังใดๆ จากแผ่นยันต์ เพียงเท่านี้ก็ชัดเจนแล้วว่าเจ้าของเสียงฝีเท้าที่ได้ยินอยู่ตอนนี้คือคนเป็น
ใช่แล้ว…นั่นหมายความว่าเงามืดที่ทอดยาวมาจากทางด้านหลังของเขาตอนนี้ไม่ใช่เงาของปีศาจอย่างแน่นอน
“…”
แต่แล้วจู่ๆ ก็มีมือข้างหนึ่งยื่นมาจากทางด้านหลัง ซึงจูเกือบจะแหกปากร้องลั่นออกไปโดยอัตโนมัติ แต่ก็พลันกลั้นเสียงร้องที่จวนจะเปล่งออกมาจากลำคอเอาไว้ได้ทัน เมื่อเห็นนิ้วมือเรียวสวยที่แตะลงบนแป้นพิมพ์ของอินเตอร์คอมแล้วเริ่มป้อนตัวเลขลงไปอย่างใจเย็น
1…4…0…5…#…
มันเป็นตัวเลขที่แสนคุ้นตา และในจังหวะถัดมาซึงจูก็หลุดหัวเราะเสียงแห้งออกมาอย่างโล่งใจ
ปลายนิ้วชี้ของใครคนนั้นกดป้อนรหัสผ่านสี่หลักต่อจากหมายเลขห้อง หลังจากนิ้วมือที่เคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าราวกับจะบอกให้ดูและจดจำเอาไว้หยุดขยับ เสียงสัญญาณ ‘ติ๊ด’ ก็ดังขึ้นตามมา
“ซึงจูยา…”
เนื้อเสียงนุ่มทุ้มอ่อนโยนที่เพราะราวกับเพลงกล่อมเด็กที่ได้ฟังยามง่วง กลิ่นกายบางเบาที่ลอยมากับสายลม และไออุ่นอันแสนคุ้นเคยที่ไม่มีทางลืมได้ รวมถึงคำถามที่ทิ่มแทงใจเขาจนถึงกับสะดุ้งเฮือกอย่างลืมตัว
“ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ”
และใครคนนั้นก็คือคิมมูฮึน
ซึงจูถอดฮู้ดของเสื้อตัวนอกที่คลุมศีรษะอยู่ออกอย่างทำตัวไม่ถูก ในห้องนั่งเล่นอันกว้างขวางมีโซฟาหนังสีขาวที่เขาเห็นคราวที่แล้วตั้งอยู่ จนถึงตอนนี้ซึงจูก็ยังไม่รู้สึกถึงความมีชีวิตชีวาใดๆ ภายในห้องที่เรียบง่ายและว่างเปล่าจนชวนให้รู้สึกเหงาเลยแม้แต่น้อย
ทีแรกซึงจูตั้งใจจะถอดหมวกอีกใบออก ทว่าเขาก็ได้แต่จับปีกหมวกค้างอยู่อย่างนั้น เพราะนึกขึ้นได้ว่าถ้าไม่มีหมวกใบนี้ เขาก็คงทนสายตาของมูฮึนไม่ไหว เพราะมูฮึนที่ยืนเอนตัวพิงผนังกำลังจ้องมองมาที่เขาไม่วางตา
“…”
“…”
เขาก็ไม่ได้ทำอะไรที่น่าโดนดุขนาดนั้นไม่ใช่หรือไง ไม่สิ…เขาทำเรื่องที่น่าโดนดุจริงๆ นั่นแหละ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะทำตัวเคร่งขรึมและจริงจังขนาดนี้ เพราะปกติแล้วมูฮึนไม่เคยโกรธเขาเลยสักครั้ง เขาเลยเผลอคิดไปว่าสุดท้ายคงแค่โดนบ่นอะไรนิดหน่อยก็เท่านั้น
ทว่ามูฮึนกลับทำสีหน้าแบบนี้มาตั้งแต่ตอนที่เจอซึงจูตรงหน้าประตูทางเข้าแล้ว กระทั่งตอนที่เปิดประตูเข้ามา ตอนที่ซึงจูบอกว่ามาหาเพราะมีเรื่องจะเล่า หรือแม้แต่ตอนที่ขึ้นลิฟต์มาด้วยกันแล้วพาซึงจูเข้ามาในห้องก่อน อีกฝ่ายก็ยังคงทำสีหน้าอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้
“…”
แววตาที่ดูเยือกเย็นนั้นสร้างบรรยากาศกดดันมากกว่าที่เคย ถ้าเขาไม่กะพริบตาช้าๆ ซึงจูคงไม่มีแม้กระทั่งเวลาให้หยุดพักหายใจ ดวงตาสีดำสนิทแลดูมืดมิดยิ่งกว่าทุกวัน และริมฝีปากที่มักจะยกยิ้มให้กันอยู่เสมอเองก็ปิดสนิทเป็นเส้นตรง
“คือว่า…”
สุดท้ายซึงจูก็จำต้องเปิดปากขึ้นก่อนอย่างไร้ทางเลือก เพราะขืนยังเงียบอยู่ต่อไปแบบนี้เขาอาจถูกลงโทษอยู่ที่นี่ทั้งคืน ถึงมูฮึนจะไม่ได้ทำโทษอะไรเขาเป็นพิเศษ แต่ความรู้สึกของเขาในตอนนี้ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับโทษสถานหนักเลย ซึงจูหลุบตาลงก่อนจะเอ่ยปากพูดออกไป
“ผมผิดไปแล้วครับ”
พอมาลองคิดดูแล้ว ช่วงที่ผ่านมาเขาเคยโดนดุบ้างไหมนะ ถ้าไม่นับตอนที่ยังเด็กมากๆ ซึงจูก็ไม่เคยต้องทนฟังอย่างอื่นนอกจากเสียงบ่นที่ไม่ได้จริงจังอะไรนัก เพราะเดิมทีเขาก็ไม่ค่อยทำผิดอะไรอยู่แล้ว แถมอีกฝ่ายก็มักจะมองข้ามความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ไปอยู่เสมอเช่นกัน
ทว่าในระหว่างที่พยายามขอโทษคิมมูฮึนอยู่นั้น จู่ๆ เขาก็เกิดความรู้สึกต่อต้านขึ้นมา
“ครั้งต่อไปไม่ทำแบบนั้นอีกก็พอแล้วใช่ไหมครับ”
พอซึงจูพูดห้วนๆ ไปแบบนั้น มูฮึนก็พลันขมวดคิ้ว เขาหรี่ตาซ้ายลงเล็กน้อยพลางเอียงคอด้วยความสงสัย และสิ่งที่เขาพูดออกมาก็ไม่ใช่คำตอบรับว่าเข้าใจแล้ว แต่เป็นการย้อนถามกลับที่ใช้เวลานานกว่าปกติเล็กน้อย
“อะไร”
นี่เขาถามเพราะไม่รู้จริงๆ หรือใจจริงแล้วเขาแค่อยากจะให้ซึงจูบอกสิ่งที่ตัวเองทำผิดออกมากันแน่ ซึงจูขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดอึกๆ อักๆ
“ก็เรื่องที่มาที่นี่คนเดียวไงครับ…?”
“อ๋อ…”
มูฮึนรับคำเบาๆ แล้วพยักหน้า เขาตอบสนองช้ากว่าปกติเล็กน้อยและสติดูค่อนข้างจะไม่เต็มร้อยแบบแปลกๆ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงตอบกลับอย่างใจเย็นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนต่างไปจากสีหน้า
“นายก็ทำไม่ถูกจริงๆ นั่นแหละ คราวหน้าก็โทรตามพี่สิ หรือไม่ก็เข้ามาข้างในก็ได้”
คงจะไม่ได้โกรธ แต่แค่เหนื่อยสินะ?
ซึงจูคิดในใจเมื่อเห็นปฏิกิริยาตอบรับที่ไม่ต่างไปจากปกตินั้น
เมื่อครู่เขามัวแต่หลบตาอยู่เลยไม่ทันสังเกต ดูจากตอนนี้แล้วเหมือนว่าอีกฝ่ายจะง่วงนอนหน่อยๆ แต่มูฮึนกลับไม่ได้ออกอาการงอแง ซึ่งมันต่างไปจากปกติ
“…”
“…”
ความเงียบที่เหมือนกับก่อนหน้านี้ได้โรยตัวลงมาปกคลุมบรรยากาศระหว่างพวกเขาอีกครั้ง มูฮึนทอดสายตามองซึงจู ส่วนซึงจูก็ลอบสังเกตสีหน้าของมูฮึนที่มองมา แต่จะว่าไปแล้วก็น่าแปลกที่มูฮึนไม่ถามคำถามที่ควรจะต้องถาม อย่างเช่นว่า ‘ว่าแต่นายมาทำไม’ หรือ ‘มีเรื่องอะไรจะพูดเหรอ’ เลยแม้แต่น้อย
อันที่จริงการเปิดปากพูดก่อนไม่ใช่เรื่องยาก แต่ที่มันยากเพราะเขาตัดสินใจไม่ได้สักทีว่าควรพูดเรื่องของควางชิก…ไม่สิ นักล่าอสูรที่ไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหนคนนั้นก่อน หรือควรถามมูฮึนก่อนดีว่ามัวทำอะไรอยู่ในช่วงที่ผ่านมา เพราะพอจะเริ่มพูดเรื่องแรกก็ติดเรื่องหลัง และถ้าจะให้เริ่มพูดเรื่องหลัง มันก็จะดูเจาะจงจนเกินไป
ถ้าพูดไปจะเป็นยังไงนะ…
บางทีความรู้สึกที่คิดไปเองว่ามันคงเป็นความโกรธเคือง แท้จริงแล้วมันอาจจะเป็นความคิดถึงก็ได้ แม้ในหัวจะมีคำถามมากมายที่อยากถาม แต่เอาเข้าจริงพอเห็นเขาอยู่ตรงหน้าแล้ว ซึงจูก็จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าก่อนหน้านี้ตัวเองไม่ชอบใจเขาด้วยเรื่องอะไร ทั้งที่ตอนไม่ได้เจอหน้าก็นึกแค้นแทบตาย แต่ตอนนี้พอได้เจอหน้ากันก็รู้สึกว่าทุกอย่างนั้นพลันหายวับไปกับตา
“พี่ครับ เมื่อกี้…”
ในตอนนั้นเองซึงจูก็ได้ตัดสินใจแล้วว่าจะพูดเรื่องของควางชิกขึ้นมาก่อน แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ มูฮึนก็ชิงพูดตัดบทขึ้นมาเสียก่อน
“ก่อนอื่น…”
มูฮึนพยักหน้ากับตัวเองเบาๆ ก่อนจะล้วงเอาโทรศัพท์มือถือออกมา และคำพูดที่เขาพูดถัดมาหลังจากนั้นก็เป็นสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายของซึงจู
“นายกลับบ้านไปก่อนนะ เดี๋ยวพี่โทรเรียกมูรยองให้”
“ครับ?”
นี่มันเรื่องอะไรกัน
ซึงจูอึ้งกับคำพูดของเขาไปครู่หนึ่ง เพราะปกติแล้วมักจะได้ยินเขาบอกให้อยู่ต่อ แต่นี่ถือเป็นครั้งแรกเลยที่โดนบอกให้กลับไปก่อน เมื่อเห็นซึงจูกะพริบตาปริบๆ ด้วยสีหน้าอึ้งๆ มูฮึนก็ขมวดคิ้วมุ่นพลางส่ายหน้า
“เดี๋ยว…ไม่ต้อง”
ปฏิกิริยาตอบรับของเขายังคงเชื่องช้าเหมือนก่อนหน้านี้ และดูเหมือนว่าเขาจะกำลังสับสนอยู่เล็กน้อยด้วย เขาเม้มริมฝีปากแน่นแล้วก้มลงมองโทรศัพท์มือถืออีกครั้ง ก่อนจะส่ายหน้าหลังจากเสยผมที่ปรกหน้าไปหนหนึ่ง
“เดี๋ยวพี่ออกไปเอง นายอยู่นี่แหละ”
“ครับ? เดี๋ยวสิ นี่พี่เป็นอะไร…”
หลังจากพูดแบบนั้นออกมามูฮึนก็เดินตรงไปที่ประตูห้องอย่างที่พูดไว้ ท่าทางของเขาดูราวกับว่าจะออกไปข้างนอกเดี๋ยวนั้นจริงๆ ซึงจูที่รู้สึกสับสนไปหมดจึงรีบคว้าข้อมือของเขาเอาไว้
“พี่จะทำอะไรน่ะ จะออกไปข้างนอกทั้งอย่างนี้เนี่ยนะ?”
“…”
แม้แรงที่คว้าจับข้อมือของเขาเอาไว้จะไม่ได้มากจนน่าตกใจ แต่มูฮึนก็หยุดเดินเหมือนตัวแข็งทื่อไปในทันที เขาเผยสีหน้าหนักใจออกมาแล้วขมวดคิ้วอย่างที่ดูไม่ค่อยสมกับเป็นเขาสักเท่าไหร่ พอเห็นการกระทำนั้นแล้วซึงจูก็เปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงที่ราวกับกำลังข่มกลั้นความรู้สึกเอาไว้
“เดี๋ยวสิ…พี่”
ไม่รู้จะเรียกความรู้สึกในตอนนี้ว่าความหงุดหงิดได้ไหม ไม่สิ…คำว่าอึดอัดน่าจะเป็นคำอธิบายที่ถูกต้องกว่า จนถึงตอนนี้ซึงจูก็แทบจะไม่ได้สบตากับมูฮึนเลย ซึ่งเขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้พยายามหลบเลี่ยงกันแบบนี้
“ทำไมพี่ถึงได้เป็นแบบนี้ล่ะครับ”
พอลองมาคิดดูแล้ว คราวก่อนก็เป็นแบบนี้ ตอนที่มูฮึนเอาโทรศัพท์มือถือให้เขาแล้วบอกว่าน่าจะหาโอกาสมาเอาคืนยากเพราะเป็นคืนวันเพ็ญ มันมีความเกี่ยวข้องอะไรระหว่างการที่พระจันทร์เต็มดวงกับการมาเจอเขากัน เอาเข้าจริงแล้วถ้าไม่นับเรื่องที่ดูมึนงงนิดหน่อย มูฮึนที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ก็ดูไม่ได้ต่างจากปกติสักเท่าไหร่
“ครั้งที่แล้วพี่ก็พูดถึงคืนวันเพ็ญ ไหนพี่ช่วยอธิบายมาหน่อยสิครับ มีเหตุผลอะไรที่พี่มาหาผมในคืนวันเพ็ญไม่ได้ครับ”
ซึงจูระบายความอึดอัดใจออกมาขณะที่คว้าตัวมูฮึนไว้ ถ้าบอกมาตามตรงเขาก็จะเข้าใจและยอมรับมัน แต่นี่มูฮึนกลับเอาแต่ปิดปากเงียบตามอำเภอใจ เขาจึงรู้สึกอัดอั้นจนอกจะแตก แม้แต่หัวใจที่คิดว่าดีขึ้นแล้วก็ยังปวดหน่วงจนรู้สึกทรมาน
“ช่วยบอกผมทีว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่”
“ซึงจูยา…”
มูฮึนเปิดปากพูดขึ้นช้าๆ ด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำกว่าปกติ มันเป็นน้ำเสียงที่เนิบช้าจนชวนให้รู้สึกหงุดหงิด เช่นเดียวกับมือของเขาที่ดึงข้อมือของซึงจูออก
“ไว้เราค่อยคุยกันวันหลังนะ”
“…”
คำว่าวันหลังนี่มันหมายถึงเมื่อไหร่กัน เขาพยายามจะให้สัญญาที่ไม่ชัดเจนแบบนี้อีกแล้ว ดูจากการที่เขาพูดว่า ‘ไว้เราค่อยคุยกันวันหลังนะ’ ไม่ใช่ ‘ไว้พี่จะบอกนะ’ มันก็มีความเป็นไปได้ว่าเขาจะไม่ยอมบอกเหตุผลไม่ใช่หรือ
“จะวันนี้หรือวันหน้าพี่ก็คงจะไม่บอกผมอยู่ดีนั่นแหละ”
เป็นไปตามคาด มูฮึนไม่อาจปฏิเสธในสิ่งที่ซึงจูพูดออกไปด้วยความขุ่นเคืองได้ เขาทำเพียงแค่มุ่นคิ้วก่อนจะพูดขึ้นเบาๆ
“มันไม่ใช่เรื่องที่นายควรรู้หรอกนะ”
“ไหนพี่เคยบอกว่าการปกปิดเอาไว้ไม่ใช่การทำเพื่อคนอื่นไงครับ”
แม้ไม่ได้ตั้งใจจะถามซักไซ้ขนาดนี้ แต่ซึงจูก็จำใจต้องหยิบยกคำพูดที่มูฮึนชอบพูดบ่อยๆ ขึ้นมา ซึ่งมันเป็นคำพูดที่เจ้าตัวมักจะพูดกับซึงจูหรือมูรยองทุกครั้งที่พวกเขาปกปิดบางอย่างด้วยข้ออ้างว่าทำเพื่อคนอื่น
“หรืออย่างน้อยก็ช่วยบอกเหตุผลกันหน่อยสิครับว่าทำไมถึงบอกไม่ได้ ถ้าพี่เอาแต่ปฏิเสธและไม่ยอมบอกกันแบบนี้แล้วผมจะยอมรับมันได้ยังไง”
ความจริงแล้วนี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ซึงจูจะพูดได้อย่างเต็มปากเช่นกัน เพราะถ้าถามว่าใครมีเรื่องปิดบังมากกว่ากันก็คงต้องตอบว่าเป็นตัวเขาเองไม่ใช่มูฮึน มูฮึนสั่งให้เขาเล่าให้ฟังทุกอย่างแม้จะเป็นแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่ซึงจูก็ไม่คิดจะเล่าหากตัดสินด้วยตัวเองแล้วว่ามันน่าจะไม่เป็นอันตราย
“ถ้ามันทำให้พี่ลำบากใจ ผมก็จะไม่ถามอีก”
เพราะแบบนั้นถ้าพูดถึงมันแล้วมูฮึนต้องลำบากใจ ถ้าบอกเหตุผลแล้วมันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ หรือถ้ามันเป็นความลับที่ไม่สามารถบอกได้ เขาก็จะแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ให้
“ถ้าเหตุผลที่พี่จะหนีหน้าผมออกไปข้างนอกตอนนี้เป็นเพราะตัวพี่เอง ผมก็จะยอมรับและยอมอยู่ที่นี่แบบว่าง่าย”
ทว่าท่าทีของมูฮึนกลับมีสิ่งที่ดูแปลกไปชอบกล ซึงจูรู้สึกได้ พอเห็นคิมมูฮึนอยู่ตรงหน้าในตอนนี้แล้ว เขาคิดว่าสาเหตุที่มูฮึนไม่ยอมบอกเหตุผลเป็นเพราะคนฟังคือเขา หากเป็นคนอื่นมูฮึนก็คงจะตอบส่งๆ ไปเหมือนกับรำคาญแทนที่จะพยายามหาทางเลี่ยงแบบนี้
“แต่มันไม่ใช่แบบนั้นใช่ไหมครับ”
“เหตุผลนั่นน่ะเป็นเพราะตัวพี่เองแหละ”
“ตลกมากเหรอครับ”
“…”
พอเขาย้อนถามอย่างเย้ยหยัน มูฮึนก็ฝืนหัวเราะออกมา มันเป็นเสียงหัวเราะที่ชวนให้รู้สึกว่าแม้แต่ในสถานการณ์แบบนี้เขาก็ยังรู้สึกว่าคำตอบจากซึงจูนั้นตลกดี มูฮึนหันกลับมามองซึงจูอย่างไม่ได้ตั้งใจ จากนั้นใบหน้าของเขาก็แข็งทื่อไป ก่อนจะค่อยๆ หันไปมองทางอื่น
“ไม่หรอก มันเป็นเพราะพี่เอง”
หนนี้ดูเหมือนคำตอบจะมาจากใจจริง คำพูดแผ่วเบาราวกับลมหายใจที่ดังตามหลังมาก็เช่นกัน
“พี่แค่ไม่อยากให้นายเห็นพี่ในสภาพนี้”
“…”
สภาพนี้นี่หมายความว่าอย่างไร ซึงจูขมวดคิ้วมุ่นขณะกวาดตามองมูฮึนขึ้นลงตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ถึงจะเป็นสายตาที่ดูไร้มารยาท แต่ตอนนี้พวกเขาไม่ได้อยู่ในจุดที่จะมาสนใจเรื่องนั้นอีกต่อไปแล้ว หากดูจากจิวที่เรียงเป็นแถบอยู่บนหูและรอยสักที่พาดยาวลงมาตามลำคอแล้ว ถ้าไม่นับสีหน้าที่ดูเครียดเล็กน้อยก็ไม่มีอะไรที่พอจะใช้คำว่า ‘สภาพนี้’ ได้เลย
“เพราะงั้นก่อนอื่น…ไว้วันหลังนะ ตกลงไหม”
มูฮึนพูดด้วยสีหน้ากังวลใจอย่างบอกไม่ถูก แม้น้ำเสียงเขาจะฟังดูอ่อนโยนเหมือนกำลังคุยกับเด็ก ทว่าดวงตาที่ดูมืดมนกลับไม่เป็นเช่นนั้น คิมมูฮึนผู้เป็นที่สุดของโลกใบนี้มีเหตุผลอะไรให้ต้องกังวลขนาดนั้น
นั่นสิ…ไม่เห็นมีความจำเป็นต้องหันหลังให้เหมือนจะหนีกันไปแบบนี้เลยสักนิด
“…”
ถ้าเขาออกไปตอนนี้แล้วเมื่อไหร่จะกลับมา ถึงจะรู้ดีว่านี่คือห้องของมูฮึน และเขาต้องกลับมาแน่ๆ แต่ซึงจูก็ยังรู้สึกกระวนกระวายอยู่ดี เพราะบางทีมูฮึนก็อาจจะไม่กลับมาเลยจนกว่าจะได้เวลาที่ซึงจูต้องไปมหาวิทยาลัย
“พี่ครับ…”
เพราะอย่างนั้นเขาจึงเอ่ยเรียกมูฮึนเสียงแผ่ว
ทั้งที่กำลังหันหลังให้เหมือนพร้อมจะเดินออกไปอย่างไม่ลังเล แต่มูฮึนก็ชะงักฝีเท้าลงทันใดเมื่อได้ยินเสียงเรียกนั้น และในวินาทีที่ได้มองภาพแผ่นหลังของอีกฝ่าย ความรู้สึกบางอย่างก็พลันตีรวนขึ้นมาจากข้างใน
“วันนี้ผมเจอผีที่มหา’ลัย”
ต่อให้ใครจะหาว่าเขาขี้ขลาด แต่มันก็ช่วยไม่ได้ เพราะตอนนี้วิธีที่จะเหนี่ยวรั้งมูฮึนไว้ที่เขาคิดได้มีแค่วิธีนี้วิธีเดียวเท่านั้น คิมมูฮึนที่ไม่ได้เจอกันนาน คู่สนทนาที่ไม่แม้แต่จะเปิดโอกาสให้เขาได้พูดคุย ไม่มีทางเลยที่เขาจะไม่รู้สึกหงุดหงิดกับพี่ชายที่ทำนิสัยแบบนั้น
“ในทะเลสาบใหญ่ที่มหา’ลัย…มันมีสิ่งแปลกๆ ที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนปลาทอง…”
“…”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้นมูฮึนก็หันขวับกลับมามองซึงจูทันทีราวกับจะถามว่าทำไมถึงเพิ่งมาเล่าเรื่องนั้นเอาป่านนี้ สีหน้าของเขาดูเครียดขึ้นมาทันตา แต่ซึงจูก็ไม่หยุดพูดและยอมเล่าความจริงที่ไม่เคยบอกใครมาก่อนออกไป
“มันขอให้ผมช่วยมัน”
นี่คือเรื่องที่เขาไม่ได้บอกทั้งกับควางชิกและมูยอน สำหรับรายแรกนั้นเขาไม่คิดจะเล่าให้ฟังอยู่แล้ว ส่วนรายหลัง เขาแค่ไม่กล้าที่จะเล่า เพราะมันมีสถานการณ์มากมายที่เขาต้องอธิบายให้ฟังก่อนถึงจะเล่าเรื่องนั้นได้
“ขอให้ช่วย?”
มูฮึนพูดเพียงเท่านั้นก่อนจะขมวดคิ้วครุ่นคิดเงียบๆ สีหน้าที่เคร่งเครียดขึ้นกว่าเดิมอีกขั้นฉายแววจริงจังแบบที่ซึงจูไม่เคยเห็นมาก่อน เขาหลับตาลงพลางเสยผมเหมือนใกล้จะเสียสติเต็มที จากนั้นก็ลืมตาขึ้นพลางเอ่ยถาม
“ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“สักพักแล้วครับ”
ตั้งแต่วันที่เกือบตาย…
ซึงจูไม่ได้บอกว่าเขาเจอปลาทองสีดำในวันนั้น เพราะถึงมันจะเป็นหัวข้อสนทนาที่เขาพูดขึ้นมาด้วยความโกรธ แต่มันก็เป็นเรื่องที่เห็นได้ชัดว่าถ้าขืนเขาพูดเรื่องนั้นออกไปด้วย มูฮึนจะมีปฏิกิริยาตอบรับกลับมาอย่างไร
ทว่ามูฮึนก็ล่วงรู้ถึงประโยคหลังที่ซึงจูไม่กล้าพูดออกมาได้ในทันทีอย่างคนหัวไว
“วันที่พี่ดูดวงให้นายสินะ”
“…”
โอ๊ย ทำไมต้องมาอ้ำอึ้งพูดอะไรไม่ออกในเวลาแบบนี้ด้วยวะเนี่ย
“ตอนนั้นดูเหมือนนายจะเห็นปลาทองสีดำในทะเลสาบ…แล้วก็เกือบจะพลัดตกลงไป”
เขาช่างความจำดีแบบที่ไม่จำเป็นเลยจริงๆ ดูเหมือนมูฮึนที่จำสิ่งที่ซึงจูเคยพูดได้จะร้อยเรียงข้อเท็จจริงทั้งหลายเข้าด้วยกันและเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดของเหตุการณ์นี้แล้ว เขาถึงได้ยกมือข้างหนึ่งขึ้นปิดตาพลางพึมพำออกมาคล้ายสบถ
“แล้วจากนั้นเจ้านั่นก็เข้ามาแทรกแซงดวงชะตาของนาย…”
“…”
“ดูท่าจะใช่สินะ…”
บรรยากาศรอบตัวมูฮึนดูเหมือนจะกดดันกันมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ วันนี้ดูท่าคิมมูฮึนจะไม่สามารถข่มความรู้สึกเอาไว้ได้จริงๆ ริมฝีปากที่ปรากฏให้เห็นนั้นดูเย็นชาและไม่มีรอยยิ้มประดับเหมือนอย่างเคย อีกทั้งน้ำเสียงที่พูดออกมาอย่างใจเย็นก็ดูจะไม่มีความอบอุ่นเจืออยู่เลยแม้แต่น้อย
“คงเป็นเพราะเนตรสัมผัสวิญญาณของนายที่ตื่นขึ้น”
เพราะแบบนี้เขาถึงได้พยายามไม่พูดถึงมัน ซึงจูรู้ว่ามูฮึนคงจะหวาดหวั่นน่าดูเมื่อได้รู้ความจริงทั้งหมด เพราะคนที่ไม่เคยกะพริบตาเลยแม้แต่ครั้งเดียวให้กับเรื่องทั่วๆ ไปกลับดูอ่อนไหวจนน่าแปลกในเวลาแบบนี้
การที่เนตรสัมผัสวิญญาณของเขาตื่นขึ้นมาคราวนี้เป็นเพราะมูฮึนอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะคนที่คว้าตัวซึงจูไว้จนเขาปลอดภัยจากเงื้อมมือผีในตอนนั้นแล้วบังเอิญเติมพลังวิญญาณเข้ามาให้โดยไม่ได้ตั้งใจก็คือมูฮึน ถ้าวันนั้นซึงจูได้รับบาดเจ็บขึ้นมา ไม่สิ…ต่อให้ซึงจูจะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร แต่คนอย่างมูฮึนก็คงจะรู้สึกผิดมากอยู่ดี
“ซึงจูยา”
ไม่นานหลังจากนั้นมูฮึนก็เอ่ยเรียกซึงจูขึ้นเบาๆ เขาเลื่อนมือที่ใช้ปิดตาตัวเองอยู่ออกแล้วสบตากับซึงจู แม้น้ำเสียงจะยังคงฟังดูอ่อนโยนและใจดี ทว่าคำพูดที่ตามหลังออกมากลับไม่เป็นแบบนั้น
“ทำไมถึงไม่เคยบอกพี่เรื่องนั้น”
มันเป็นคำพูดที่ฟังดูเหมือนกำลังตำหนิกันอย่างบอกไม่ถูก
เพราะผมกลัวว่าพี่จะเป็นห่วง…เพราะผมตั้งใจจะไม่ไปตรงทะเลสาบแล้วเลยคิดว่าไม่น่าจะเป็นอะไร…
ในระหว่างที่กำลังคิดหาเหตุผลที่พอจะฟังขึ้นอยู่นั้น คำพูดที่ดังออกจากปากของซึงจูจริงๆ กลับเป็น…
“แล้วทีพี่ล่ะครับ”
ถ้ามูฮึนถามคำถามนี้ออกมาก่อนหน้านี้ ไม่ใช่ในตอนนี้ คำตอบของเขาก็คงจะต่างออกไป แต่มูฮึนกลับถามมันออกมาหลังจากที่เขาได้เห็นภาพแผ่นหลังที่จะทิ้งเขาเอาไว้เบื้องหลังแล้ว แถมมูฮึนยังไม่เคยบอกอะไรเขา ได้แต่ผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ และพยายามเหวี่ยงเขาให้เข้าไปอยู่ในช่วงเวลาแห่งการรอคอยอีกครั้ง
“พี่เองก็มีเรื่องที่ไม่ยอมบอกผมเยอะเลยนี่ครับ”
“นั่นมันไม่เหมือนกัน”
มูฮึนตอบกลับมาทันควันพร้อมกับขมวดคิ้วมุ่น จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาดขึ้นเล็กน้อย
“นี่มันไม่ใช่แค่ปัญหาของนายคนเดียว”
ถ้าจำไม่ผิดเหมือนมูฮึนจะเคยถามเขาว่า ‘การที่นายต้องตกอยู่ในอันตรายมันจะไม่เกี่ยวกับพี่ได้ยังไง’ ดูท่าเจ้าตัวเองก็คงจะรู้อยู่แล้วว่าเขากำลังพูดถึงประเด็นไหน ทั้งที่รู้เรื่องนั้นดีอยู่แล้ว แต่เจ้าตัวก็ยังขีดเส้นกั้นและพูดจาทำนองว่า ‘ฉันกับนายไม่เหมือนกันอยู่ดี’ อีก
ช่างเป็นตรรกะที่น่าขำสิ้นดี ถ้าอย่างนั้นแล้วสิ่งที่มูฮึนกำลังปิดบังเขาอยู่ก็เป็นเรื่องของตัวเองคนเดียวหรือ ถ้าในขอบเขตของปัญหานั้นมีความกังวลใจเกี่ยวกับเขารวมอยู่ด้วย เขาก็ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเหมือนกันสิ
“มันเป็นเรื่องที่อาจจะทำให้นายตกอยู่ในอันตรายได้เลยนะ”
“ใช่ แล้วมันก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตอนที่พี่ไม่อยู่ด้วย”
คำพูดที่ซึงจูพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งนั้นทำให้มูฮึนเม้มริมฝีปากแน่น ซึงจูใช้สายตาจับจ้องเขาก่อนพูดต่ออย่างชัดถ้อยชัดคำ
“แม้แต่ตอนที่อยู่คนเดียว ผมก็ยังเจอพวกมันอยู่ดี”
นี่คือสิ่งที่ซึงจูคิดมาโดยตลอด มันคือจุดขัดแย้งจุดใหญ่ของการกระทำที่เขาสังเกตเห็น ซึ่งเขาไม่กล้าบอกมูฮึนตลอดช่วงที่ผ่านมา
“ผมบอกแล้วไงครับว่าพี่ปกป้องผมไปตลอดไม่ได้หรอก”
การไปกลับมหาวิทยาลัยด้วยกันไม่สามารถปกป้องเขาจากภัยอันตรายได้ทั้งหมด ในหนึ่งวันซึงจูมีที่ที่ต้องไปมากกว่านั้น และมูฮึนก็ไม่สามารถไปกับเขาได้ทุกที่ ความจริงแล้วแม้แต่ควางชิกเองก็ยังหลบเลี่ยงสายตาของมูฮึนจนมาหาเขาได้อยู่เรื่อยๆ ไม่ใช่หรือ
“เรื่องอสูรนั่นก็เรื่องหนึ่ง เพราะผมต้องการพี่ เลยเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ที่ผ่านมาผมก็ปลอดภัยดีมาตลอดเพราะพี่ ผมรู้ดีครับว่านั่นเป็นเรื่องที่ผมควรรู้สึกขอบคุณ”
“…”
“แต่พวกกลุ่มอิทธิพลใหม่มันไม่ใช่แบบนั้นนี่ครับ”
พอได้พูดออกมาแล้วจู่ๆ ซึงจูก็รู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมขึ้นมา ไม่สิ…มันคือสิ่งที่เขารู้สึกอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว สิ่งที่เขาเก็บซ่อนเอาไว้ในใจอย่างดีพลันระเบิดออกมาทันทีที่มูฮึนหันหลังให้เขาโดยไม่ถามเลยสักคำว่าทำไมเขาถึงได้มาหาและเอาแต่พยายามจะหลบหน้ากัน
“ตอนผมบอกว่าจะจ้างคนคุ้มกัน คนที่บอกว่าไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้นก็คือพี่นะครับ พี่เองไม่ใช่เหรอครับที่บอกให้ผมไปไหนมาไหนกับพี่เพราะมันอันตรายแล้วจู่ๆ ก็มาจูบกันน่ะ”
ซึงจูยังคงโกรธเมื่อนึกถึงเรื่องในวันนั้น วันที่เนตรสัมผัสวิญญาณของเขาดับลง วันที่เขาหลุดพ้นจากอันตรายของอสูรที่มูฮึนเคยพูดถึงมาตลอด น้ำเสียงและสีหน้าของคิมมูฮึนที่จูบเขาอย่างไม่ลังเลใจทั้งยังบอกว่าทีนี้ซึงจูก็ต้องการตัวเขาแล้ว และสุดท้ายอีกฝ่ายก็ยังอาสาที่จะมารับส่งเขาต่อไป
“แต่ตอนนี้พี่กลับบอกว่ามาหาผมไม่ได้เพราะเป็นคืนวันเพ็ญเนี่ยนะครับ?”
ถ้ารับผิดชอบไม่ได้ก็อย่าอาสาเองตั้งแต่แรกสิ ถ้ามูฮึนไม่มาแตะต้องเขาตั้งแต่แรก เขาก็คงจะไม่ต้องมาคอยรู้สึกแบบนี้อยู่ทุกวัน
“ผมคงเป็นคนที่ทำได้แค่ตอบตกลงเวลาพี่สั่งให้ไปไหนมาไหนด้วยกันงั้นสินะ พอยอมตอบตกลงแบบว่าง่ายไปแล้ว อยู่มาวันหนึ่งพี่กลับบอกว่ามาหากันไม่ได้เพราะมีบางอย่างเกิดขึ้น ผมก็คงทำได้แค่อดทนรอจนกว่าพี่จะมาหากันแบบนั้นใช่ไหมครับ”
การที่มูฮึนไม่ให้สิทธิ์ในการเลือกใดๆ กับเขาเลยนับเป็นอะไรที่น่าอึดอัดเกินทน การที่เจ้าตัวคอยเทียวมาปกป้องดูแลเขา แต่แล้วจู่ๆ ก็หายหน้าหายตาไปเป็นพักๆ หรือแม้แต่การที่เจ้าตัวสั่งให้ใครมาอยู่ข้างเขาแทนที่ตัวเองก็เช่นกัน
“พี่ไม่บอกอะไรผมเลยสักอย่างว่าทำไมถึงมาไม่ได้ หรือพี่จะมาไม่ได้ไปจนถึงเมื่อไหร่ หรือผมต้องรอพี่อีกนานแค่ไหน ทั้งที่ไม่เคยบอกแบบนี้เลยสักครั้ง แล้วพี่จะให้ผมคิดว่าตัวเองจะต้องปลอดภัยและปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปแค่เพราะมีคนอื่นมาแทนที่พี่แล้วแบบนั้นเหรอครับ”
มูฮึนไม่พูดอะไรและได้แต่จ้องมองซึงจูนิ่งๆ ด้วยสายตาที่ซับซ้อน ไม่รู้ว่าเขาไม่คิดจะแก้ตัวใดๆ หรือแค่อยากลองฟังซึงจูก่อน แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ซึงจูก็คิดไว้แล้วว่าจะพูดอะไรต่อ
“ถ้าพี่จะเป็นแบบนี้ ผมก็คงต้องจ้างคนคุ้มกัน”
ถ้าอีกฝ่ายเลือกที่จะไหว้วานมูรยองกับฮวานยองด้วยเหตุผลที่ว่าสองคนนั้นไว้ใจได้ ซึงจูก็อยากจะถามเหมือนกันว่าคนคุ้มกันที่พ่อแม่ของเขาคัดเลือกมาอย่างดีนั้นไม่ดีตรงไหน ถ้าว่าจ้างคนธรรมดาไม่ได้เพราะความแตกต่างของพละกำลัง นั่นก็หมายความว่าเขาสามารถจ้างมือปราบวิญญาณคนอื่นที่ไม่ใช่อีกฝ่ายก็ได้ใช่ไหม หรือถ้าแบบนั้นยังไม่ได้อีก เขาจ้างมาแค่วันที่อีกฝ่ายมีเรื่องอะไรที่บอกเขาไม่ได้อีก แบบนี้ก็ได้ใช่ไหม
“พี่ไม่ได้มีหน้าที่ต้องมาคอยคุ้มกันผม และผมเองก็ไม่ได้ต้องการอะไรแบบนั้นจากพี่มาตั้งแต่แรกด้วย”
ซึงจูที่พูดมาถึงตรงนี้หายใจเข้าออกลึกๆ เขากลัวว่าตัวเองจะเผลอขึ้นเสียงเลยพยายามลดเสียงลงแล้วพูดต่อเบาๆ
“ถ้าจะเป็นแบบนี้ พี่ก็อย่าอาสาเองตั้งแต่แรกเลย”
ถึงจะไม่อยากกล่าวโทษมูฮึน แต่ตอนนี้ในใจเขามีแต่ความรู้สึกไม่พอใจ ไม่ใช่แค่กับเรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนี้เท่านั้น แต่รวมถึงท่าทีไม่ชัดเจนที่เจ้าตัวแสดงออกมาจนถึงตอนนี้ก็ด้วย เพราะมันหลายครั้งแล้วที่อีกฝ่ายมาสร้างความหวังที่ซึงจูไม่ได้ต้องการตั้งแต่แรก และสุดท้ายก็ทิ้งเขาไปตามใจชอบ
มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายให้ชัดเจนได้ยาก ถึงจะคิดว่าสมควรแล้วที่จะโกรธ แต่สุดท้ายเขาก็ได้แต่บอกกับตัวเองว่าโกรธไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา พอรู้สึกว่ามันเปล่าประโยชน์ ความโกรธที่เดือดพล่านขึ้นมาก็พลันค่อยๆ เย็นลง
ซึงจูกดปีกหมวกลงทั้งที่ยังก้มหน้าพลางคิดว่าดีนะที่ไม่ได้ถอดหมวกออก เพราะอย่างน้อยก็ต้องขอบคุณที่มันช่วยปกปิดใบหน้าเขาเอาไว้ เขาถึงยังใจเย็นอยู่ได้มาจนถึงตอนนี้ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่มีทางแสร้งทำเสียงเหมือนกับว่าไม่เป็นอะไรได้แน่
“คือ…ผมรู้นะว่าเรื่องนี้มันโคตรเหลวไหล…”
“…”
“แต่บางครั้งผมก็อยากรู้จริงๆ”
เขาจงใจไม่บอกออกไปตามตรงว่าอยากรู้อะไรทั้งที่ในใจอยากรู้แทบตาย
พี่มัวทำอะไรอยู่ที่ไหน ทำไมถึงได้ยุ่งขนาดนั้น พี่ไปไหนกันแน่ ทำไมถึงได้หายตัวไปกะทันหันแบบนั้น พี่ไปตรวจสอบเรื่องอะไรอยู่ แล้วพี่จะเล่าเรื่องพวกนั้นให้ผมฟังไหม
“พี่ไม่จำเป็นต้องออกไปไหนหรอก ผมผิดเองแหละที่แวะมากะทันหัน เพราะงั้นเดี๋ยวผมไปเอง”
ถ้าเขาบอกว่าจะไปส่ง ซึงจูก็จะยอม หรือถ้าเขาบอกให้อยู่ที่นี่อีกครั้ง ซึงจูก็จะยอมรับฟังอีกเช่นกัน พอได้เอ่ยถ้อยคำที่อยู่ในใจออกไปแล้ว ในหัวก็เย็นลงกว่าตอนแรกมาก อย่างน้อยก็เย็นลงจนถึงจุดที่ไม่ต้องฟังเหตุผลอะไรจากปากเขาตอนนี้แล้วก็ได้
“เรื่องเหตุผลน่ะ…”
แต่แล้วจู่ๆ มูฮึนก็เอ่ยปากออกมาช้าๆ พร้อมกับยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดหน้า ซึงจูมองเห็นเพียงแค่นัยน์ตาที่สั่นไหวผ่านช่องว่างระหว่างนิ้วเรียว มูฮึนจ้องมองซึงจูแล้วถามคำถามหนึ่งขึ้นมา
“พี่บอกได้เหรอ”
“…”
เพราะอะไรกัน ทั้งที่แค่ตอบไปว่าบอกได้ ทุกอย่างก็จบแล้ว แต่จู่ๆ เขาก็เกิดรู้สึกกลัวขึ้นมาชั่วขณะ มันเป็นความรู้สึกที่เหมือนกับความกังวลได้จู่โจมเข้ามาแบบฉับพลันและคืบคลานขึ้นมาตามแนวสันหลัง และในระหว่างที่ซึงจูพูดอะไรไม่ออกอยู่นั้น มูฮึนก็ถามขึ้นอีกรอบด้วยจังหวะการพูดที่ยังคงเนิบช้า
“ทำไมพี่ถึงสั่งให้กลับบ้าน…เรื่องนั้นพี่บอกนายได้จริงๆ ใช่ไหม”
ไม่รู้ว่ามูฮึนกำลังโกรธกันอยู่หรือเปล่า มันค่อนข้างยากที่จะตัดสิน เพราะการพูดจาของเขาก็ดูไม่ต่างอะไรจากปกติ แต่ในแววตากลับเต็มเปี่ยมไปด้วยมวลความรู้สึกบางอย่างที่ซึงจูเองก็ไม่อาจอธิบายได้ ซึงจูไม่กล้าขยับเท้าแม้สักก้าว ลำพังแค่จะกลืนน้ำลายลงคอยังรู้สึกประหม่า
“เหตุผลคืออะไรเหรอครับ”
* ให้แผลแล้วให้ยา เป็นสำนวน หมายถึงการทำไม่ดีกับใครคนหนึ่งไว้แล้วมาทำดีด้วยในภายหลัง
Comments
