everY
ทดลองอ่าน ค่ำคืนของนักล่า (อสูร) คิมมูฮึน เล่ม 2 บทที่ 9 – 3 ถึง 9 – 4 #นิยายวาย
9-4
สุดท้ายเมื่อซึงจูเอ่ยถาม มูฮึนก็กลอกตาหนหนึ่งก่อนจะหลับตาลง แม้มันจะเป็นการกระทำที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไร แต่ก็ดูเหมือนว่าเขากำลังว้าวุ่นใจอย่างน่าประหลาด ถึงขั้นที่ซึงจูรู้สึกได้ว่าถ้าเผลอไปแตะต้องจุดไหนผิดเข้า เขาคงได้ระเบิดอารมณ์ออกมาแน่ ไม่เพียงเท่านั้น เสียงถอนหายใจที่ฟังดูคล้ายกับเสียงครางเบาๆ ก็เช่นกัน
“เฮ้อ…ซึงจูยา”
น้ำเสียงแหบพร่านั้นฟังดูแตกต่างจากในยามปกติโดยสิ้นเชิง มูฮึนยกมือที่ปิดหน้าขึ้นขยี้ผมแล้วก้าวขายาวๆ เข้ามาหาซึงจู พอเห็นซึงจูสะดุ้งกับท่าทีคุกคามนั้น เขาก็แค่นหัวเราะแห้งๆ ออกมา
“ถ้าพี่พูดเรื่องที่มันเกินกว่าที่นายจะรับมือไหวขึ้นมา นายจะทำยังไง”
“แล้วเรื่องที่ว่านั่นมันเรื่องอะไร…”
ซึงจูโพล่งออกมาด้วยความหงุดหงิดในวินาทีเดียวกับที่มูฮึนเอื้อมมือมา ก่อนที่ไหล่ของเขาจะถูกคว้าไปอย่างรวดเร็ว เพียงชั่วพริบตาการมองเห็นก็พลันพลิกกลับ ทันทีที่หมวกที่สวมอยู่ตกลงบนพื้น ซึงจูก็เสียหลักก่อนล้มหงายหลังลงไป
“…!”
ศีรษะด้านหลังของซึงจูไม่ได้ฟาดพื้น ต้องขอบคุณมูฮึนที่สอดมือมารองระหว่างศีรษะของซึงจูกับพื้นไว้ได้ทัน
ตึง!
เสียงที่ฟังดูแล้วน่าจะเจ็บไม่น้อยดังขึ้นในวินาทีที่สัมผัสได้ถึงความนุ่มหยุ่นผ่านริมฝีปากที่เผยอออก
นี่มันเรื่องอะไรกัน…
ไม่มีเวลาให้เขาได้ครุ่นคิดถึงเรื่องนั้น เพราะมูฮึนที่กำลังขบกัดริมฝีปากของซึงจูราวกับจะกลืนกินได้ใช้มืออีกข้างกดไหล่เขาเอาไว้ มันเป็นสัมผัสที่แม้จะดูทะนุถนอมกันมากกว่าปกติ แต่ก็ให้ความรู้สึกคล้ายกับกำลังบีบบังคับอย่างที่ซึงจูเองก็อธิบายไม่ถูก
“จะทำอะ…อึก…”
จุ๊บ…
ริมฝีปากที่ผละออกจากกันพร้อมเสียงนั้นประกบลงมาใหม่อีกครั้งแทบจะในทันที ซึงจูที่ตกใจพยายามจะหยัดกายลุกขึ้น แต่มูฮึนก็รีบใช้หัวเข่ากดต้นขาของเขาเอาไว้ มิหนำซ้ำไหล่ขวากับต้นขาซ้ายยังถูกตรึงจนเขาไม่สามารถขยับเขยื้อนได้
“อึก…ฮึก…นี่พี่จะทำอะไร…”
ซึงจูพยายามผลักไหล่มูฮึนออก แต่ความพยายามนั้นกลับเปล่าประโยชน์เมื่ออีกฝ่ายเป็นมูฮึน เช่นเดียวกับการตะเกียกตะกายด้วยขาอีกข้าง การดึงทึ้งผมด้านหลังของอีกฝ่าย หรือแม้กระทั่งการพยายามยกลำตัวท่อนบนขึ้นเพื่อที่จะลุก
บ้าไปแล้ว คนอะไรตัวหนักขนาดนี้เนี่ย
ซึงจูรู้สึกราวกับกำลังถูกหินก้อนใหญ่ทับ แม้จะรู้อยู่แล้วว่ามูฮึนแรงเยอะ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รู้สึกถึงความแตกต่างที่เหนือกว่าตัวเองขนาดนี้ และเขาก็ยิ่งรู้ซึ้งมากยิ่งขึ้น เมื่อหนนี้มูฮึนที่ปกติแล้วจะแสร้งยอมให้เสมอไม่แม้แต่จะขยับเขยื้อนให้เลยสักนิด ไม่ว่าเขาจะพยายามทำอะไรก็ตาม
“ลุกไปหน่อย…โอ๊ย ให้ตายเถอะ พี่!”
สุดท้ายเมื่อซึงจูแผดเสียงตะโกนลั่นออกมา มูฮึนก็ก้มลงมองด้วยสายตาเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็แค่ครู่สั้นๆ เท่านั้น เขาทำท่าจะจู่โจมซึงจูด้วยการจูบอีกครั้งเหมือนเมื่อตอนก่อนหน้า แต่หนนี้เมื่อซึงจูไม่ยอมแพ้และกระชากผมเขาเต็มแรง เสียงร้องสำออยน่าหมั่นไส้จึงดังออกมาผ่านช่องว่างระหว่างริมฝีปาก
“ซึงจูยา พี่เจ็บนะ…”
“…”
มันเป็นคำพูดที่เสแสร้งแกล้งทำอย่างเห็นได้ชัด แต่ถึงอย่างนั้นซึงจูก็ยอมหยุดมือไปโดยอัตโนมัติ เพราะคำว่า ‘เจ็บ’ ที่ดังออกมาจากปากของคิมมูฮึนเป็นสิ่งที่ซึงจูไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย และในระหว่างที่เขากำลังรู้สึกผิดทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิดอยู่นั้น มูฮึนก็ขบเม้มริมฝีปากล่างของซึงจูแรงๆ ราวกับกำลังรอจังหวะนี้อยู่ก่อนแล้ว
“หยุด โอ๊ย…บอกว่าอย่าไง อ๊ะ หยุดสักที…!”
ในจังหวะที่อ้าปากโวยวาย เรียวลิ้นซุกซนก็แทรกเข้ามาในปาก ต่อให้ซึงจูจะตกใจจนหันหน้าหนีไปด้านข้าง มูฮึนก็ไม่สนใจเลยสักนิด แถมยังขยับศีรษะตามมาอย่างไม่ลดละ และเมื่อเขาแลบลิ้นออกมาตั้งท่าจะจู่โจมอีกครั้ง ซึงจูก็รีบเม้มริมฝีปากแน่นโดยอัตโนมัติ
“…”
“…”
ลมหายใจพรูออกมารินรดเหนือริมฝีปากที่ชื้นแฉะพร้อมกับเสียงที่ไม่อาจบอกได้ว่าเป็นเสียงหัวเราะหรือเสียงถอนหายใจ จากนั้นมูฮึนก็เริ่มเลียริมฝีปากล่างของซึงจูอย่างหยอกเย้าเหมือนกับเวลาเจ้าซอลกีแลบลิ้นเลีย เขาชิมรสริมฝีปากคนใต้ร่างจนหนำใจ และในบางจังหวะก็แกล้งใช้ปลายลิ้นดุนดันช่องว่างระหว่างริมฝีปากที่ปิดสนิท
“…”
ถึงแม้ว่าควรจะเอ่ยถามออกไปว่านี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน แต่ถ้าซึงจูอ้าปาก เรียวลิ้นของมูฮึนคงได้ฉวยโอกาสแทรกเข้ามาอย่างแน่นอน ซึงจูจึงทำแบบนั้นไม่ได้ พอเขาตัดสินใจถลึงตาใส่แทน มูฮึนก็ส่งยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้ผ่านดวงตา หลังจากใช้ริมฝีปากคลอเคลียริมฝีปากซึงจูอยู่ครู่หนึ่ง อีกฝ่ายก็เอ่ยกระซิบเสียงเบาโดยที่ยังไม่ยอมขยับออกห่าง
“ไม่ต้องเกร็งนะ…”
“…”
“พี่จะไม่ใส่มันเข้าไป”
ไอ้ที่ว่าจะไม่ใส่นี่ จะไม่ใส่อะไรกัน
ถึงจะดูเหมือนกำลังพูดถึงลิ้นอยู่ แต่บางอย่างในน้ำเสียงนั้นก็ฟังดูสองแง่สองง่ามเกินบรรยาย สิ่งที่เขากังวลไม่ใช่แค่เรื่องนั้น อีกสิ่งคือการที่เจ้าตัวเหมือนกำลังจะสื่อว่า ‘พี่จะไม่ทำอะไรที่นายไม่ชอบ’ ถึงแม้ว่าการที่เจ้าตัวไม่สอดลิ้นเข้ามาจะไม่ได้ทำให้ความจริงที่ว่าเจ้าตัวกำลังจูบเขาอยู่เปลี่ยนไปก็เถอะ
“ขอแค่เลียเฉยๆ พอ”
“ดะ…เดี๋ยวก่อน พี่ครับ…อ๊ะ…อื้อ…”
แม้จะพยายามร้องห้ามและหันหน้าหนี แต่ก็ไม่เป็นผลเพราะมือที่คว้าท้ายทอยของเขาเอาไว้แน่น มือนั้นใหญ่มากจนจับและตรึงศีรษะเขาเอาไว้อย่างไม่ยากลำบากอะไร อีกทั้งสัมผัสและเสียงเฉอะแฉะน่าอายเหมือนกำลังถูกโลมเลียอยู่นั้นยังทำให้รู้สึกเสียววาบไปทั่วท้องน้อย
โอ๊ย…เวรเอ๊ย
ซึงจูไม่เคยอ่อนไหวต่อการปลุกเร้าขนาดนี้มาก่อนในชีวิต เขารู้สึกเหมือนแค่โดนสัมผัสเพียงเล็กน้อยขนทั่วกายก็พร้อมที่จะลุกชัน แม้แต่ตอนที่พยายามออกแรงบีบไหล่เพื่อบอกให้อีกฝ่ายถอยออกไป ใบหน้าของซึงจูก็ยังแดงก่ำจากสัมผัสของฝ่ามือมูฮึนที่กำลังลูบต้นคอ
“อืม…เด็กดี”
“โอ๊ย ไอ้…ฮื่อ”
คำหยาบที่เขากำลังจะสบถออกมาพลันหายไปในปากของมูฮึนอีกครั้ง ซึงจูไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะเอ่ยปากพูด ต่างจากมูฮึนที่คอยพูดกระซิบกระซาบนั่นนี่ไม่หยุด นั่นเป็นเพราะทุกครั้งที่ซึงจูมีโอกาสได้อ้าปาก คิมมูฮึนก็จะขยับริมฝีปากตามมาประกบปิดอย่างไม่ยอมลดละ
“ชู่ว…”
รู้ตัวอีกทีไหล่ที่ถูกตรึงเอาไว้ก็กลับมาเป็นอิสระอีกครั้ง แต่แล้วมือของมูฮึนที่เคยจับยึดไหล่ของซึงจูก็เปลี่ยนมาลูบไล้ใบหูแทน เขาใช้ปลายนิ้วชี้ลากไปตามขอบใบหูอย่างช้าๆ ก่อนจะใช้นิ้วกลางลูบไล้เบาๆ ตั้งแต่หลังติ่งหูลงมาจนถึงปลายคาง
ซึงจูเพิ่งได้เรียนรู้เป็นครั้งแรกว่าการสัมผัสอย่างหยอกล้อนั้นน่าตื่นเต้นกว่าเป็นไหนๆ ทั้งที่พวกเขาไม่ได้แลกลิ้นกันอย่างดูดดื่ม แต่ยิ่งจูบกันนานเท่าไหร่ เสียงหายใจก็ยิ่งหอบถี่ หัวใจเองก็ยิ่งเต้นโครมครามจนรู้สึกเหมือนภาพเบื้องหน้าเริ่มพร่ามัว
มูฮึนย่อมไม่ยอมพลาดโอกาสนั้นและได้จับแขนของซึงจูมาโอบรอบคอของตัวเอง แม้ทีแรกมือของซึงจูจะกำชายเสื้อแน่น แต่ห้วงอารมณ์ที่กำลังคล้อยตามก็ทำให้นิ้วคลายแรงลง พอซึงจูลอบกลืนน้ำลายแล้วระบายลมหายใจหอบกระเส่าออกมา มูฮึนก็เอียงคอแล้วกดริมฝีปากลงไปแนบชิดขึ้นอีกเล็กน้อย
“…”
“…”
เสียงชื้นแฉะน่าอายดังก้องอยู่ในหู มูฮึนไม่ได้พยายามที่จะแทรกเรียวลิ้นเข้ามาอย่างที่สัญญาไว้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกลัวว่าจะโดนซึงจูกัดอีกหรือเพราะเหตุผลอื่น
มันเกิดขึ้นได้ยังไงกัน…
เขาไม่เคยคิดเลยว่ามันจะเป็นแบบนี้ไปได้ พอตั้งสติได้อีกครั้งซึงจูก็พบว่าตัวเองกำลังจูบกับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่ชายข้างบ้านอยู่อย่างว่าง่าย และในระหว่างที่กะพริบตาปรือปรอย ซึงจูก็ยื่นริมฝีปากให้เล็กน้อยเหมือนอย่างที่มูฮึนทำ บางครั้งเมื่อริมฝีปากที่ประกบกันอยู่ผละออกจากกัน เปลือกตาเขาก็จะกระตุกเล็กน้อยด้วยความร้อนใจ
อุณหภูมิร่างกายที่อุ่นร้อนขึ้นมาอย่างไม่ดูเวลานั้นให้ความรู้สึกต่างจากตอนที่ได้สัมผัสพลังวิญญาณอย่างสิ้นเชิง เพราะถึงแม้จะสัมผัสได้ถึงกลิ่นกายที่ผสานมาตามสายลมบางเบา แต่ทุกส่วนที่สัมผัสกันก็ร้อนผ่าวจนรู้สึกราวกับกำลังถูกแผดเผา ซึ่งประสาทสัมผัสที่อ่อนไหวกว่าปกติก็รับรู้ถึงการสัมผัสทั้งหมดนั้นได้อย่างชัดเจน
“อื้อ…”
ชั่วขณะที่เสียงครางดังลอดออกมาจากริมฝีปากของซึงจู มูฮึนก็ทิ้งร่างทาบทับลงมาเหนือตัวเขา อีกฝ่ายใช้ลำตัวท่อนล่างแทรกเข้ามาระหว่างขาของซึงจูโดยพยายามไม่ลงน้ำหนักใดๆ ก่อนจะใช้ต้นขากดหนักๆ ลงมาตรงหว่างขาของซึงจูราวกับจะกักขังไว้ ซึ่งในจังหวะที่รั้งเอวของคนใต้ร่างเข้ามาแนบชิด แก่นกายที่จากเดิมคล้ายจะชูชันก็พลันผงาดขึ้นเต็มที่
“…”
“…”
สายตาของคนทั้งสองสบประสาน พวกเขาต่างจ้องมองกันโดยไม่มีคำพูดใด ซึงจูที่ยังหอบหายใจมองมูฮึนที่อยู่ตรงหน้าอย่างเหม่อลอย
อา…ยังไม่พอ
พอซึงจูแลบลิ้นออกมาเล็กน้อยพร้อมกับความคิดนั้น ลมหายใจหอบสั้นๆ ก็พรูออกจากริมฝีปากของมูฮึน
“ฮ้า”
ชั่วพริบตาเดียวความอ่อนโยนก็พลันเลือนหายไปจากดวงตาสีดำสนิทคู่นั้น ไม่สิ…หากจะพูดให้ถูกคงต้องบอกว่าสิ่งที่เลือนหายไปคือสติสัมปชัญญะ เสี้ยววินาทีที่เปลือกตานั้นปิดลงและเปิดขึ้นใหม่อีกครั้ง รอยยิ้มที่หลงเหลืออยู่บนใบหน้าก็พลันหายวับไปเช่นกัน
“ฮึก…!”
ริมฝีปากที่ประกบลงมารุนแรงขึ้นเล็กน้อย ทั้งที่ทำท่าทีกังวลขนาดนั้น แต่พอมาตอนนี้แล้วกลับไม่ลังเลที่จะสอดลิ้นเข้ามาเลยสักนิด มูฮึนดื่มด่ำกับโพรงปากของซึงจูราวกับจะดับความกระหายพร้อมทั้งครอบครองเรียวลิ้นของซึงจูไว้โดยไม่ยอมผละออก
“…ฮึก…อื้อ”
มันเป็นจูบที่แสนตะกละตะกลาม มูฮึนใช้มือข้างหนึ่งจับกรอบหน้าของซึงจูเอาไว้แล้วสอดลิ้นเข้ามาจนลึก ทุกครั้งที่เขาตั้งหน้าตั้งตาใช้เรียวลิ้นแฉะชื้นควานสำรวจไปทั่วโพรงปาก คางเรียวก็ขยับเคลื่อนตามไปด้วย
มันเป็นความรู้สึกที่ราวกับต้องมนตร์ ในหัวมึนเบลอไปหมด แต่ถึงอย่างนั้นความรู้สึกที่คิมมูฮึนมอบให้ก็ชัดเจนเกินไป ซึงจูกลืนน้ำลายของเขาที่เอ่อท้นในโพรงปากลงคอไปโดยไม่รู้ตัว อีกทั้งยังดูดเรียวลิ้นของเขาเพื่อเติมเต็มลมหายใจที่ถูกช่วงชิงไป และรับบางสิ่งที่หลั่งไหลตามมาพร้อมกับลมหายใจเข้าสู่ร่างกายไปโดยสัญชาตญาณ
พลังวิญญาณ…
ในจังหวะที่ความเย็นก่อตัวขึ้นในช่องท้อง มูฮึนก็ถอนริมฝีปากออกไปด้วยสีหน้าราวกับลืมตัวไปชั่วขณะ ซึงจูจึงตระหนักได้ในตอนนั้นว่าเหตุผลที่เขาไม่คิดจะสอดเรียวลิ้นเข้ามาเป็นเพราะ ‘กลัวว่าเนตรสัมผัสวิญญาณจะตื่นขึ้นอีกครั้ง’ แต่มันก็เป็นช่วงเวลาเพียงชั่วครู่เดียวเท่านั้น ในจังหวะที่ซึงจูกระตุกชายเสื้อเขา ริมฝีปากของทั้งคู่ก็ประกบเข้าหากันอีกครั้ง
เมื่อถึงจุดหนึ่งซึงจูก็ไม่รู้สึกเขินอายกับการที่ส่วนล่างของร่างกายขยายใหญ่ขึ้นอีกต่อไป เพราะแม้แต่ความรู้สึกยามที่ต้นขาแกร่งบดเบียดลงมาก็ยังนำพาความเสียวกระสันเล็กๆ น้อยๆ มาให้ พอซึงจูร่างกายกระตุกและไม่รู้ว่าต้องทำตัวอย่างไร มูฮึนก็ยิ่งบดเบียดร่างกายส่วนล่างเข้าหาอย่างจงใจจะแกล้งกัน
“อื้อ…”
วูบหนึ่งซึงจูเผลอคิดไปว่าความรู้สึกที่เสียดสีกันผ่านร่มผ้านั้นไม่ถึงใจเลยสักนิด การฝืนทนไม่ยกเอวขึ้นจึงถือเป็นความอดทนครั้งใหญ่ของซึงจู เนื่องจากความเป็นชายที่ขยายใหญ่ขึ้นถูกกดทับอย่างแนบแน่น ซึงจูจึงรู้สึกตัวช้าไปมากว่าสิ่งที่มูฮึนใช้ถูไถนั้นคือส่วนเดียวกัน
บ้าไปแล้ว…
บางสิ่งที่ทั้งหนักและใหญ่โตนั้นต่างไปจากของเขา จนถึงเมื่อครู่ซึงจูยังมั่นใจว่ามันคงเป็นต้นขาแน่ๆ แต่ไม่รู้ว่าสิ่งที่สัมผัสกันอย่างแนบแน่นนั้นเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เมื่อเขาหยุดชะงักพลางกลืนน้ำลาย มูฮึนก็หรี่ตาพลางยิ้มบางๆ ออกมา
“ซึงจูยา…”
น้ำเสียงที่แหบพร่านั้นแตกต่างไปจากยามปกติ คงต้องโทษที่มันฟังดูหิวกระหาย ซึงจูจึงรู้สึกเหมือนขนลุกขึ้นมาชั่วขณะ แม้จะแค่ฟังอยู่นิ่งๆ ก็ตาม ซึ่งถ้อยคำที่ตามมาหลังจากนั้นก็ให้ความรู้สึกเช่นเดียวกัน
“พี่บอกแต่แรกแล้วไงว่าให้กลับบ้าน”
นั่นไม่ใช่ทั้งคำเตือนและความปรานี แม้จะกระซิบกระซาบด้วยถ้อยคำอ่อนหวานอย่างถึงที่สุดอย่างไร แต่มือของคนพูดก็ยังคงเคลื่อนลงไปด้านล่างก่อนที่ซึงจูจะทันได้ตอบรับอะไรด้วยซ้ำ ฝ่ามือที่ค่อยๆ เลื่อนลงมาล้วงเข้าไปในเสื้อฮู้ดและลูบไล้ผิวเปลือยเปล่าภายใต้ร่มผ้า
“…”
ซึงจูเกือบจะหลุดเสียงแปลกๆ ออกมาเลยได้แต่กัดริมฝีปากไว้แน่น พอเห็นซึงจูขมวดคิ้ว มูฮึนก็พรมจูบลงตรงหว่างคิ้วของซึงจูเบาๆ ก่อนจะเลื่อนลงมาจูบบนเปลือกตาแล้วยกยิ้มมุมปากด้วยสีหน้าซุกซน
“ไม่บอกให้หลีกไปด้วยแฮะ?”
มันเป็นคำถามที่ดังมาพร้อมกับเสียงหัวเราะ แต่ในความเป็นจริงแล้วดวงตาของเจ้าตัวกลับไม่ได้ยิ้มเลย
“รู้อยู่แล้วว่าพี่จะทำอะไรเลยอยู่นิ่งๆ สินะ”
มูฮึนพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพลางเสยผมที่ปรกหน้าให้ซึงจูอย่างเบามือ หลังจากจูบลงมาบนริมฝีปากที่คลอเคลียไม่ยอมห่างอีกครั้ง เขาก็ใช้ปลายลิ้นเลียริมฝีปากล่างที่คล้ายกับจะบวมเจ่อขึ้นเล็กน้อย และแทนที่จะถอยห่างออกไป เขาก็กลับใช้ปลายจมูกถูไถมันพลางเอ่ยถาม
“ว่าไง หืม? ซึงจูยา”
มูฮึนกำลังพยายามข่มใจอยู่อย่างเห็นได้ชัด แต่ถึงอย่างนั้นก็ดูกระวนกระวายอย่างบอกไม่ถูก ทั้งริมฝีปากที่คอยคลอเคลีย ทั้งนิ้วมือที่เคลื่อนเข้ามาซุกซนอยู่ใต้ร่มผ้า หรือแม้แต่ส่วนล่างของร่างกายที่ยังคงแนบชิดกันอยู่
หลังจากดูจนแน่ใจว่าสายตานั้นเริ่มแปรเปลี่ยนไปแล้ว ซึงจูก็เอ่ยพูดขึ้นเสียงแหบพร่า
“นี่ผมก็อายุยี่สิบแล้วนะครับ…”
แม้ไม่ได้ตั้งใจ แต่ลำคอเขาก็รู้สึกตีบตันไปหมด และเขาก็ยิ่งรู้สึกแบบนั้นเมื่อมูฮึนจ้องมองใบหน้าของเขาอย่างตั้งใจ ซึงจูลอบกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคออยู่ครู่หนึ่งแล้วพยายามทำเสียงให้นิ่งที่สุด
“ผมรู้ครับว่าพี่จะทำอะไร”
เขาแสร้งพูดเหมือนกับว่าไม่รู้สึกตื่นเต้นอะไร แต่ความจริงแล้วในใจกำลังประหม่าสุดๆ เพราะเขารู้ดีว่ามูฮึนกำลังจะทำอะไรอย่างที่เขาพูดจริงๆ มันคือสิ่งที่เคยมีอยู่แค่ในจินตนาการของเขามาโดยตลอด และเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในวันที่เนตรสัมผัสวิญญาณของเขาตื่นขึ้นเป็นครั้งแรก
“อ๋า…งั้นเหรอ”
มูฮึนคลี่ยิ้มบางๆ พลางคลอเคลียริมฝีปากของซึงจูด้วยริมฝีปากของตัวเอง การวอแวอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ดูจะรับมือได้ยากกว่าเวลาปกติที่เขาง่วงนอนเสียอีก มูฮึนที่ใช้ริมฝีปากนุ่มถูไถไปมาได้ใช้นิ้วลากไปตามแนวกระดูกซี่โครงของเขาอย่างหยอกเย้า
“นั่นสินะ ตอนนี้ซึงจูของพี่อายุยี่สิบแล้วนี่นา”
ลักษณะการพูดของอีกฝ่ายฟังดูเหมือนกำลังพูดหยอกล้อกับเด็ก และมันก็ยิ่งดูเหมือนแบบนั้นเข้าไปใหญ่เมื่อเขาทอดหางเสียงพลางอมยิ้มเหมือนได้เห็นปฏิกิริยาน่ารักๆ มูฮึนบดเบียดส่วนล่างลงมาเบาๆ แล้วขยับเอวหยั่งเชิง
“งั้นเราก็ทำอะไรแบบนี้…กับพี่ได้แล้วน่ะสิ”
“อึก…”
“โตเต็มที่แล้วนี่…เนอะ?”
ทุกจุดที่เขาสัมผัสพลันอ่อนไหวขึ้นเป็นเท่าตัว ทั้งจุดที่ริมฝีปากลากไล้ผ่านเบาๆ จุดที่นิ้วมือลูบคลำจนชวนให้รู้สึกจักจี้ หรือแม้แต่จุดที่ถูกกดทับผ่านเนื้อผ้าตรงหว่างขา
ทุกการเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างเชื่องช้าและผ่อนคลาย แต่มันกลับทำให้ซึงจูรู้สึกเหมือนจะเสียสติมากยิ่งขึ้นไปอีก ทั้งที่รุกหนักจนเขาแทบบ้ามาจนถึงป่านนี้ แต่ตอนนี้กลับดูเหมือนว่าอีกฝ่ายกำลังจงใจละเลียดชิมรสชาติจากเขาในทุกสัมผัสอย่างใจเย็น และเจ้าตัวก็ไม่ได้ดื่มด่ำกับความรู้สึกนั้นเพียงคนเดียว แต่ยังทำให้ซึงจูได้สัมผัสกับความรู้สึกดีทั้งหมดไปด้วยกัน
“อ๊ะ พี่ครับ…”
หนนี้ซึงจูใช้มือที่เคยกอดเขาเลื่อนไปจับตรงไหล่ แต่พอมูฮึนใช้ฝ่ามือลูบไล้สีข้าง เขาก็สะดุ้งตกใจจนมือนั้นลื่นตกลงมาที่ต้นแขนแกร่ง ก่อนจะสัมผัสได้ถึงกล้ามเนื้อที่กำลังเกร็งแน่น
แข็งชะมัดเลยแฮะ…
ซึงจูไม่ได้ตั้งใจจะคิดแบบนั้นในเวลานี้ แต่จู่ๆ ความคิดนั้นมันก็ผุดขึ้นมาเฉยๆ ไม่ใช่แค่ต้นขาที่สัมผัสได้ไปก่อนหน้านี้ แต่ยังรวมถึงท่อนแขนที่กำลังจับอยู่และลำตัวที่ทาบทับลงมาด้วย มันทั้งแข็งและแน่น แน่นอนว่าซึงจูรู้มาตลอดอยู่แล้วว่าเขาหุ่นดี แต่ไม่นึกเลยว่าร่างกายเขาจะหนักและเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อขนาดนี้
“อืม…ซึงจู นายต้องกินข้าวให้เยอะกว่านี้หน่อยนะ”
ในตอนนั้นเองจู่ๆ มูฮึนที่กำลังลูบคลำร่างกายท่อนบนของเขาอยู่ก็พูดพึมพำราวกับพูดกับตัวเอง มือใหญ่ลากผ่านใต้หน้าอกและลูบไล้ร่องลิ้นปี่ของเขาเล่น พอซึงจูห่อไหล่โดยอัตโนมัติ น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความห่วงใยก็ดังขึ้น
“ทำไมถึงได้ผอมแบบนี้นะ”
“…?”
นี่คือเรื่องเหลวไหลที่เขาเพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรกในชีวิต เพราะเมื่อมองในเชิงรูปธรรมแล้ว ซึงจูก็จัดว่าตัวสูงและมีน้ำหนักตัวที่เหมาะสมกับความสูงนั้น เขาดูหน่วยก้านดีเกินกว่าจะบอกว่าผอม และแน่นอนว่าเขาก็ไม่ได้ไหล่แคบหรือรูปร่างเล็กแต่อย่างใด
“นี่พี่กำลังพูดบ้าอะไร…”
ในจังหวะสั้นๆ ที่ซึงจูกำลังจะแย้ง มูฮึนก็เลื่อนมือขึ้นมาด้านบนอีกครั้ง มือที่อยู่ภายใต้เสื้อฮู้ดวางทาบลงบนหน้าอกแบนราบ เขาแตะฝ่ามือลงไปตรงกลางค่อนไปทางซ้ายเล็กน้อยตรงจุดที่หัวใจกำลังเต้น ก่อนจะลูบคลึงบริเวณนั้นอย่างเบามือ
“อืม เด็กดี”
“…”
ตอนเด็กๆ ซึงจูจะหลับลงได้เมื่อรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากฝ่ามือที่ลูบอย่างเบามือแบบนี้ ทว่าสัมผัสตอนนั้นไม่ใช่การสัมผัสบนผิวที่เปลือยเปล่าอย่างในตอนนี้ อีกทั้งใบหน้าก็ไม่ได้อยู่ใกล้กันขนาดนี้ อวัยวะส่วนล่างเองก็ไม่ได้ตื่นตัวแบบนี้เช่นกัน และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือลำคอเขาไม่ได้รู้สึกแห้งผากเวลาได้เห็นคิมมูฮึนในสภาพนี้
เขาลอบกลืนน้ำลายลงคอเพราะความต้องการที่เอ่อล้น ไม่มีทางที่คิมมูฮึนผู้มีประสาทสัมผัสทั้งห้าเป็นเลิศจะไม่รู้ความจริงในเรื่องนั้นจากระยะห่างที่ใกล้กันขนาดนี้ มูฮึนหัวเราะเบาๆ จนลูกกระเดือกขยับไหว ก่อนจะใช้หลังมือลากผ่านหน้าอกซ้าย และตอนนั้นเองส่วนที่ซึงจูลืมไปแล้วว่าเคยมีอยู่ก็เข้าไปอยู่ในระหว่างเรียวนิ้วของอีกฝ่าย แต่ก่อนจะทันได้รู้สึกอาย มูฮึนก็มอบจูบให้เขาอีกครั้ง
เสียงน่าอายดังขึ้นเมื่อมูฮึนถอนริมฝีปากออกไปเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะประกบริมฝีปากอีกครั้งพร้อมกับเรียวลิ้นที่สอดแทรกเข้ามา ในจังหวะที่รู้สึกวาบหวามเมื่อลิ้นนุ่มหยุ่นนั้นเคลื่อนผ่านฟันที่เรียงตัวสวย เรียวนิ้วที่อยู่แถวหน้าอกก็หยอกล้อกับยอดอกนั้นเบาๆ
“…!”
ซึงจูพลันไหล่กระตุกและกัดลิ้นมูฮึนไปอย่างลืมตัว แม้จะไม่ถึงกับเลือดออก แต่ก็คงจะเจ็บน่าดู แต่ถึงอย่างนั้นมูฮึนก็ไม่สนใจและยังคงจูบเขาอย่างไม่ลดละ อีกฝ่ายดูดลิ้นของซึงจูแรงๆ และกลืนทุกสิ่งที่อยู่ในโพรงปากลงไปในคอราวกับนึกเสียดายแม้แต่น้ำลายของซึงจู
แน่นอนว่าคนที่เป็นฝ่ายรับพลังวิญญาณมาก็คือซึงจู แต่น่าแปลกที่ซึงจูกลับรู้สึกเหมือนกำลังโดนดูดพลังชีวิตไปเสียอย่างนั้น อุณหภูมิร่างกายที่เย็นกว่าก่อนหน้านี้ไม่ได้ช่วยทำให้เขาได้สติเลยสักนิด ตรงกันข้ามแล้วมันกลับยิ่งทำให้สมองมึนเบลอจนเขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายกำลังบดเบียดช่วงล่างเข้ามา ในขณะเดียวกับที่มือก็กำลังวุ่นวายอยู่กับหน้าอกเขา
นี่มัน…เกินไปแล้ว…
สติสัมปชัญญะขาดหายไปเป็นพักๆ ก่อนจะกลับมาใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อซึงจูลืมตาที่หรี่ปรือขึ้นมอง มูฮึนก็จะส่งยิ้มตาหยีมาให้ทุกครั้งที่สบสายตากัน
ทั้งที่เป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง แต่ตรงหน้าเหมือนจะมีพระจันทร์เสี้ยวอยู่ด้วยแฮะ
พอคิดได้แบบนั้นเขาก็ดึงมูฮึนมากอดไว้แน่น
“อื้อ…”
“หืม?”
ทุกครั้งที่ซึงจูส่งเสียงครางเบาๆ มูฮึนจะขานรับอย่างอ่อนโยนราวกับจะถามว่ากำลังเรียกกันหรือเปล่า แต่จะว่าไปแล้วเสียง ‘หืม?’ นั้นก็ฟังดูเหมือนกำลังครวญครางและปลอบโยนกันอยู่ในที แต่ไม่ว่าเสียงนั้นจะเป็นเสียงแบบไหน มันก็ฟังดูเหมือนกับว่าเจ้าตัวกำลังตื่นตัวมากไม่ต่างอะไรกับซึงจู
“อึก…อื้อ…”
ส่วนล่างของร่างกายที่มีเสื้อผ้าขวางกั้นอยู่คับแน่นไปหมด ซึ่งเมื่อครู่มันยังไม่ขนาดนี้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่พึงพอใจกับการที่มูฮึนทำเพียงแค่บดเบียดสิ่งเดียวกันลงมา และเมื่อลำตัวท่อนล่างขยับออกห่างเพราะเขามัวแต่ยุ่งอยู่กับการขยับปรับเปลี่ยนองศาหน้า ซึงจูที่รู้สึกไม่ได้ดั่งใจก็กลับกลายเป็นฝ่ายที่ต้องชันเข่าแล้วบดเอวเข้าหาแทน
จะบ้าตายอยู่แล้ว
นั่นคือสิ่งที่เขาคิด ไม่สิ…เขาไม่รู้เหมือนกันว่าจะเรียกอะไรแบบนี้ว่า ‘ความคิด’ ได้หรือเปล่า ความรู้สึกที่ใกล้เคียงกับสัญชาตญาณนั้นยังคงดำเนินต่อไปกระทั่งในที่สุดมูฮึนก็เคลื่อนมือลงไปด้านล่าง
“อ๊า…”
มือที่เลื่อนลงมาจากเอวลูบไล้เนินเนื้อที่นูนขึ้นมาบนกางเกงของเขา ลูบมันจากบนลงล่างอย่างไม่รีบร้อนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ กอบกุมแก่นกายที่มีเนื้อผ้าขวางกั้นอยู่ โดยหลังจากที่คลำมันราวกับกำลังจะวัดขนาดเสร็จ อีกฝ่ายก็เริ่มขยับมือไปมาตามสัญชาตญาณ
“อ๊า…อึก…”
มันให้ความรู้สึกที่แตกต่างไปจากการใช้ส่วนล่างบดเบียดเข้าหากันอย่างสิ้นเชิง ถึงจะเป็นแค่การลูบคลำผ่านกางเกง แต่หากปลุกเร้ามันต่อไปเรื่อยๆ แล้วก็คงจะไปถึงปลายทางได้ไม่ยาก เพราะมันตื่นตัวมาสักพักตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว
“อื้อ…ฮือ…”
ซึงจูส่งเสียงครางอย่างน่าสงสารโดยไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังครางอยู่ ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยช่วยตัวเองมาก่อน แต่การทำแบบนี้ด้วยมือของตัวเองกับมือของคนอื่นนั้นมันต่างกันลิบลับ ถ้าสัมผัสแค่ข้างล่างยังพอว่า แต่ริมฝีปากของพวกเขายังไม่ผละออกจากกันสักนิด เขาจึงหายใจไม่ทัน
น่าเสียดายที่มูฮึนไม่ปล่อยให้ซึงจูไปถึงจุดสุดยอด เมื่อซึงจูที่อารมณ์พุ่งขึ้นจนถึงขีดสุดเชิดหน้าไปด้านหลัง มือของมูฮึนก็หยุดขยับตามไปด้วยพร้อมกับริมฝีปากที่ผละออกจากกัน ซึงจูรู้สึกเสียดายความสุขสมที่หยุดลงอย่างกะทันหันอยู่ครู่หนึ่ง ขณะที่มูฮึนเลียน้ำลายที่ไหลเลอะขอบปากให้แล้วยิ้มบางๆ ออกมา
“อายุตั้งยี่สิบแล้วจะฉี่ราดกางเกงไม่ได้แล้วนะ”
“…”
ต้นคอของซึงจูพลันร้อนผ่าวขึ้นมาจนขึ้นสีแดงก่ำ เพราะน้ำเสียงของอีกฝ่ายตอนพูดคำว่า ‘ฉี่ราด’ นั้นทำให้เขารู้สึกอายเกินไป ระหว่างที่กำลังสรรหาคำมาประท้วง จู่ๆ มูฮึนก็ขยับมืออีกครั้งและเคล้นคลึงความเป็นชายของเขาที่แข็งตัวขึ้นเบาๆ ส่วนปลายที่อยู่ในอุ้งมืออีกฝ่ายจึงตื่นตัวขึ้นเต็มที่
“…!”
ซึงจูรู้สึกขนลุกซู่ไปทั่วทั้งกายก่อนที่ความสุขสมจะค่อยๆ ไต่ไล่ระดับขึ้นทีละนิดจนล้นทะลักออกมา
“อ๊า…!”
สุดท้ายซึงจูก็คู้ตัวในวินาทีที่ถึงจุดสุดยอด ไม่มีทางที่เขาจะอดทนกับความรู้สึกสุขสมที่ถาโถมเข้ามาอย่างรุนแรงได้ พอเขาขมวดคิ้วพลางคว้าต้นแขนของมูฮึนไว้ มูฮึนก็ค่อยๆ ล้วงมือเข้ามาในกางเกงเขา
“ดูนี่สิ…ซึงจูยา”
นิ้วเรียวยาวรุกล้ำเข้าไปใต้กางเกงชั้นในอย่างไม่ลังเล เขาสัมผัสบริเวณที่เต็มไปด้วยหยาดของเหลวที่เพิ่งถูกปลดปล่อยออกมา ก่อนจะจับแก่นกายแข็งขืนที่ยังไม่อ่อนตัวลงเอาไว้อย่างอ่อนโยน และทุกครั้งที่เขาขยับมือก็จะมีเสียงเฉอะแฉะดังขึ้นอย่างน่าอาย
“ข้างในเปียกไปหมดแล้ว”
“เดี๋ยว…อื้อ…อ๊า…”
แก่นกายที่ไวต่อความรู้สึกอยู่แล้วขยับไปมาอยู่ในมือของมูฮึน เขาใช้ฝ่ามือคลึงเคล้นแก่นกายที่อยู่ในมือไปทั่วราวกับจงใจแกล้ง ทั้งที่ซึงจูคว้าข้อมือของเขาไว้ด้วยความรู้สึกเหมือนกำลังจะเป็นบ้าจากการสัมผัสแก่นกายโดยตรง แต่มูฮึนก็ไม่เห็นใจเลยสักนิด
“กางเกงเปียกหมดแล้ว ทีนี้จะทำยังไงดีล่ะ หืม?”
“ก็พี่…อื้อ…”
ใครที่จงใจทำให้มันเลอะเทอะอยู่ตอนนี้กัน ต่อให้ไม่ต้องมองด้วยตา ซึงจูก็รับรู้ได้ว่าส่วนล่างของตัวเองตอนนี้เละเทะแค่ไหน แม้จะอยากประท้วงถึงความไม่ยุติธรรม แต่อารมณ์สุขสมที่ยังไม่จางหายไปก็ทำให้พูดอะไรไม่ออก
“อืม ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวเราไปเปลี่ยนชุดกัน”
สิ้นคำนั้นมูฮึนก็ดึงกางเกงและกางเกงชั้นในของเขาลงพร้อมกันรวดเดียว คงต้องโทษที่มันถูกถอดออกไปอย่างง่ายดายมาก กว่าซึงจูจะทันได้รู้ตัว กางเกงก็ถูกถอดลงไปที่หัวเข่าแล้ว
แทนที่จะถอดกางเกงของเขาออกจนสุด แต่มูฮึนกลับเอนตัวกลับไปนั่งแล้วถอดเสื้อยืดที่ตัวเองใส่อยู่ออก ทันทีที่เขาไขว้แขนทั้งสองข้างแล้วถอดเสื้อออก รอยสักที่ทอดยาวลงมาจากคอก็ปรากฏสู่สายตา มันคือรอยสักรูปเถากล้วยไม้ที่เลื้อยยาวผ่านท่อนแขนที่ซึงจูจับอยู่ลงมาจนถึงข้อมือ มูฮึนใช้เสื้อยืดเช็ดคราบของเหลวที่เปื้อนมือแบบลวกๆ ก่อนจะม้วนเสื้อตัวนั้นแล้วโยนมันไปข้างๆ อย่างไม่แยแส
ทำไมวันนี้ถึงได้…
ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองหรือเปล่า ทุกการเคลื่อนไหวของมูฮึนในวันนี้นั้นดูไร้ซึ่งความปรานีเหมือนอย่างเคย แทนที่จะเป็นบรรยากาศที่ผ่อนคลายและอ่อนโยนอย่างที่เคยรู้สึกในยามปกติ ตอนนี้ซึงจูกลับรู้สึกหวั่นๆ ในใจขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ โดยเฉพาะกับท่าทางยามที่อีกฝ่ายโน้มลำตัวท่อนบนลงมาใหม่ ก่อนจะเชยคางแล้วจูบเขา รวมถึงสายตาที่ดูไร้สติอย่างน่าประหลาดนั่นด้วย
มูฮึนไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำว่าซึงจูกำลังตื่นกลัว เขาเพียงแค่กดริมฝีปากเข้าหาซึงจูอยู่หลายต่อหลายครั้งอย่างเอาแต่ใจ
“พี่ครับ เดี๋ยว…พอก่อน…อื้อ…”
ถ้าถามว่าเขาพรมจูบลงมารัวขนาดไหน ก็คงต้องบอกว่าถึงขั้นที่เรียกได้ว่าเขาจูบสะเปะสะปะไปหมดทั้งบนแก้ม คาง และริมฝีปาก ซึงจูตื่นตกใจกับการทำแบบนั้นมากเลยพยายามหันหน้าหนี แต่พอจะทำแบบนั้นก็โดนมือของมูฮึนจับยึดกรอบหน้าเอาไว้
“โอ๊ย พอได้แล้ว…!”
“อยากให้พี่เลิกจุ๊บเหรอ”
แม้แต่ตอนที่เอ่ยถามแบบนั้นมูฮึนก็ยังไม่หยุดจูบ เขาหัวเราะในลำคอราวกับกำลังคิดว่าท่าทางประท้วงของซึงจูนั้นน่ารักเสียเหลือเกิน ตอนเด็กๆ มูฮึนมักจะทำแบบนี้ตอนที่ทำซึงจูร้องไห้เท่านั้น แต่ตอนนี้เขากลับทำเหมือนว่าจะยอมให้ริมฝีปากผละออกห่างจากกันไม่ได้อย่างเด็ดขาด
“ทำไมล่ะ ไม่ชอบเหรอ”
“อยากจะทำอะไรก็ตามใจ”
สุดท้ายก็เป็นซึงจูที่ยอมแพ้ก่อน พอเห็นซึงจูที่ใบหน้าแดงก่ำพูดด้วยน้ำเสียงหมดแรง มูฮึนก็ยกยิ้มก่อนจะจับข้อมือของซึงจูไว้แล้วดึงไปตรงหว่างขา ซึงจูเบิกตาโตด้วยความสงสัยว่าเขาจะทำอะไร แต่แล้วมูฮึนก็พูดขึ้นเสียงอ่อนราวกับกำลังอ้อนวอน
“จับของพี่ด้วยสิ ซึงจูยา”
“…”
ให้ตายสิ จู่ๆ ก็มาขออะไรแบบนี้เนี่ยนะ
เขารู้สึกได้ถึงท่อนลำที่ทั้งใหญ่และหนาผ่านฝ่ามือ ถึงจะแค่จับมันไว้โดยไม่ได้กำให้แน่น แต่ซึงจูก็รับรู้ได้ว่าความเป็นชายที่แข็งตัวเต็มที่ของอีกฝ่ายนั้นใหญ่โตเกินกว่าที่ซึงจูจะเอาของตัวเองไปเทียบด้วยได้
ซึงจูมั่นใจว่าของตัวเองก็ไม่ใช่เล็กๆ เพราะสมัยมัธยมปลายตอนเปลี่ยนชุดพละเพื่อนนักเรียนชายทุกคนต่างก็เคยเห็นโครงร่างของส่วนนั้นที่เผยให้เห็นภายใต้กางเกงชั้นในของกันและกัน และซึงจูก็มักจะได้ยินคำพูดแนวๆ ว่า ‘ของหมอนี่โคตรใหญ่เลย’ จากเพื่อนๆ อยู่เสมอ แต่เขาก็ไม่ได้ภูมิใจกับมันสักเท่าไหร่ (ตรงกันข้ามแล้วเขากลับไม่ได้ใส่ใจและบอกเพื่อนพวกนั้นไปว่าเลิกพูดจาไร้สาระสักที) แต่ถึงอย่างนั้นขนาดของมูฮึนที่เห็นอยู่ในตอนนี้ก็ยังทำให้เขาเสียความมั่นใจ
“เร็วสิ…หืม?”
มูฮึนส่งเสียงในลำคอเหมือนกำลังอ้อนวอนพลางขยับช่วงเอวเข้าหาฝ่ามือของซึงจูช้าๆ ดูเหมือนเขาจะไม่มีความอับอายใดๆ กับการยัดเยียดมันใส่ฝ่ามือของซึงจูแล้วขยับช่วงเอวไปมาเลยสักนิด ในขณะเดียวกันนั้นเขาก็กดจูบลงมาบนริมฝีปากซึงจูอยู่สองสามหนแล้วระบายลมหายใจออกมาพร้อมกับพูดขึ้นเบาๆ
“จะเอาแต่จับมันอย่างเดียวเหรอ”
“เปล่าครับ”
ซึงจูเปล่งเสียงตอบออกมาอย่างยากเย็น และในเมื่อเขาตอบออกมาเสียงดังฟังชัดมาก ตอนนี้เขาจึงน่าจะต้องทำอะไรกับมันสักอย่าง ถึงแม้ภายในขอบเขตของคำพูดที่ว่า ‘ผมรู้ครับว่าพี่จะทำอะไร’ จะไม่มีการอ้อนขอให้ช่วยสัมผัสมันรวมอยู่ในนั้นด้วยก็ตาม
ถึงยังไงมันก็ขึ้นอยู่กับเราด้วยนี่นา…
เขาไม่เคยรู้เลยว่าการกระทำที่พอจะรู้จักแค่ในเชิงทฤษฎีจะน่าอายมากขนาดนี้ และมันก็ยิ่งน่าอายเข้าไปใหญ่เมื่อเหตุการณ์นี้ดันเกิดขึ้นทันทีหลังจากที่เพิ่งจะปลดปล่อยออกมา ก่อนที่สติสัมปชัญญะจะเริ่มกลับคืนมาเป็นปกติ มูฮึนคงรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างเมื่อเห็นซึงจูเป็นแบบนั้น อีกฝ่ายถึงได้แค่นหัวเราะออกมาราวกับกำลังนึกสนุก
“ช่วยทำให้พี่ขาดสติอีกรอบได้หรือเปล่า”
“…”
ทำไมคนคนนี้ถึงได้น่ากลัวขนาดนี้กัน มูฮึนอาจจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในด้านการอ่านใจคน แต่ถึงอย่างนั้นซึงจูก็รู้สึกเหมือนกับว่าอีกฝ่ายสามารถอ่านความคิดในหัวเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่งจนน่ากลัว ถึงเขาจะไม่ใช่คนที่อ่านง่ายขนาดนั้น แต่เขาก็ไม่มีวิธีรับมือเลยเมื่ออยู่ต่อหน้าคิมมูฮึนคนนี้
“ได้สิครับ”
ซึงจูแสร้งทำเป็นพูดอย่างใจเย็นแล้วเอื้อมมือข้างที่ว่างอยู่ลงไปด้านล่าง พอเขาเลื่อนมือทั้งสองข้างไปที่ขอบกางเกง มูฮึนก็ปล่อยข้อมือข้างที่จับไว้แล้วยกตัวขึ้นเล็กน้อยเพื่อช่วยให้ซึงจูถอดกางเกงออกได้ง่าย โดยกางเกงที่มูฮึนใส่ต้องปลดตะขอแล้วรูดซิปลงต่างจากของซึงจูที่เป็นกางเกงวอร์ม
ซึงจูลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่ก่อนจะปลดตะขอ เขาต้องวุ่นวายจับโน่นจับนี่อยู่หลายครั้งกว่าจะประสบความสำเร็จกับแค่การปลดตะขอนั้น ทันทีที่รูดซิปลงด้วยปลายนิ้วที่สั่นน้อยๆ กางเกงชั้นในสีดำและโครงร่างที่นูนใหญ่ภายใต้กางเกงชั้นในก็ปรากฏสู่สายตา
“จะจับด้วยมือเปล่าเลยก็ได้นะ”
แม้คำพูดนั้นจะฟังดูเหมือนเป็นการอนุญาต แต่แท้จริงแล้วความหมายของมันกลับไม่ต่างอะไรกับการสั่งให้ซึงจูสัมผัสมันด้วยมือเปล่าที่ไม่ใช่แค่การสัมผัสเพียงด้านนอกผ่านกางเกงชั้นในเลยสักนิด ซึงจูที่รู้ความหมายนั้นดีจึงไม่รีรอที่จะดึงขอบกางเกงชั้นในของเขาลง และในตอนนั้นเองความเป็นชายที่ตื่นตัวเต็มที่มาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ของเขาก็ดีดผึงออกมา
“…”
ใหญ่ชะมัด…
ความจริงนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเห็นเจ้าสิ่งนี้ของมูฮึน เพราะตอนเด็กๆ พวกเขาเคยลงอ่างอาบน้ำหรืออาบน้ำฝักบัวด้วยกัน มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกขนาดนั้นที่จะเห็นพวกเขาทั้งสี่ โดยรวมซอซึงแทพี่ชายของเขากับมูรยองที่แก้ผ้าล่อนจ้อนอยู่ด้วยกัน
แต่สิ่งที่เห็นตอนนั้นมันไม่ได้มหึมาขนาดนี้ ต่อให้จะมองว่าตอนนี้มันกำลังแข็งตัวอยู่ แต่ทั้งความหนาและความใหญ่โตของมันในตอนนั้นก็ไม่ได้ดูน่าหวั่นใจเหมือนอย่างในตอนนี้ มันอาจจะเป็นเรื่องธรรมดาเพราะอย่างมากตอนนั้นมูฮึนก็น่าจะยังอยู่ในช่วงมัธยมต้น แต่ถึงอย่างไรซึงจูก็ยังคิดว่าอัตราการเจริญเติบโตของมันน่าทึ่งเกินไปหน่อยจริงๆ
“จ้องแบบนั้นพี่ก็เขินแย่สิ…”
มูฮึนยิ้มตาหยีอย่างเขินอายราวกับกำลังเขินอยู่จริงๆ ทว่าคำถามที่เจ้าตัวถามถัดมาขณะก้มหน้าเอาหน้าผากลงมาแตะกันนั้น อย่าว่าแต่จะอายเลย นี่มันเรียกว่าไร้ยางอายสุดๆ ไปเลยต่างหาก
“ไอ้นั่นของพี่จ๋ามันน่าตื่นตาตื่นใจขนาดนั้นเลยเหรอ”
“…”
มันเป็นน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความขี้เล่น และเหตุผลที่เขาแสร้งใช้คำพูดหยอกล้อนั้นก็ชัดเจน
“ซึงจูของพี่เองก็โตแล้วเหมือนกันนี่”
มูฮึนพูดพลางจับมือทั้งสองข้างของซึงจูไปกอบกุมสิ่งนั้นของตัวเองเอาไว้ นิ้วของซึงจูที่จำต้องจับท่อนลำนั้นอย่างช่วยไม่ได้ดูจะสั่นเทาเล็กน้อย แม้ขนาดของมันจะน่ากลัว แต่เมื่อมองในเชิงรูปธรรมแล้ว ลักษณะที่เป็นลำตรงของมันก็ไม่ได้ดูน่ากลัวมากขนาดนั้น
“ดูสิ มือก็ใหญ่ขึ้นเหมือนกันนะเนี่ย”
“ให้ตายสิ…”
ถึงจะบอกอย่างนั้นแต่มือของเขาก็ยังเล็กกว่ามือของมูฮึนอยู่หนึ่งข้อนิ้วอยู่ดี เมื่อก่อนเขาตัวเล็กกว่ามูฮึนเกินกว่าหนึ่งฝ่ามือเสียอีก ซึ่งการที่ตอนนี้เขาจะโตขึ้นเยอะมันก็ไม่น่าจะใช่เรื่องแปลกอะไร ทั้งที่มันไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นต้องพูดเลยสักนิด แต่เจ้าตัวก็ยังตีเนียนมากุมมือของซึงจูไว้แล้วพูดมันขึ้นมา
เกินไปแล้ว…
ซึงจูรู้สึกได้ถึงชีพจรที่เต้นตุบๆ จากท่อนลำที่กำอยู่ในมือ แม้แต่เส้นเลือดที่ปูดโปนอยู่ทั่วเขาก็ยังสัมผัสถึงมันได้อย่างชัดเจน ทั้งที่ผิวสัมผัสจากผิวเปลือยเปล่านั้นร้อนผ่าว แต่พลังงานที่ส่งผ่านมามันกลับเย็นจนรู้สึกแปลกๆ
“อา…ซึงจูยา จับให้แน่นกว่านี้หน่อยสิ”
มูฮึนบีบมือของซึงจูแรงขึ้นพร้อมกับคำขอร้อง ทำให้เจ้าสิ่งนั้นถูกมือของซึงจูกำแน่นขึ้นกว่าเก่า ความรู้สึกยามสัมผัสกับสิ่งที่อยู่ภายใต้ฝ่ามือนั้นร้อนผ่าวจนรู้สึกราวกับมือจะไหม้ ซึ่งต่างจากตอนที่เขากำของตัวเองขณะช่วยตัวเองลิบลับ
ทั้งที่มือตัวเองกำลังช่วยปรนเปรอให้อีกฝ่ายอยู่แท้ๆ แต่ซึงจูกลับรู้สึกราวกับตัวเองเป็นฝ่ายถูกปรนเปรอเสียอย่างนั้น เพราะการที่มูฮึนเป็นฝ่ายขยับเอวอย่างช้าๆ เพื่อให้ท่อนลำของตัวเองขยับเข้าออกในกำมือนั้นทำให้ซึงจูรู้สึกราวกับตัวเองกำลังเป็นฝ่ายถูกกระทำเสียมากกว่า
“แฮก…”
ความสุขสมปรากฏขึ้นบนใบหน้าของคนที่ระบายลมหายใจออกมาเบาๆ มูฮึนจ้องมองซึงจูไม่วางตาราวกับไม่คิดจะซ่อนความรู้สึกใดๆ ยิ่งจังหวะที่สบตากัน เขาก็ยิ่งแกล้งส่งเสียงครางออกมาดังๆ ราวกับอยากให้ซึงจูได้ยิน
นี่มันชักจะลามกเกินไปแล้ว…
หัวใจของซึงจูเต้นโครมครามเหมือนกับกำลังทำสิ่งที่น่าอาย พอได้เห็นภาพที่ลามกแบบนี้แล้วเขาก็รู้สึกเหมือนเลือดมากมายกำลังไหลไปคั่งที่ส่วนหัวอีกครั้ง และแรงกระตุ้นนั้นก็ทำให้เกิดการตอบสนองของร่างกายเกิดขึ้นตามมาทันที
“แข็งอีกแล้วเหรอเราน่ะ”
“…!”
ซึงจูที่ตกใจพลันรีบบิดตัวหลบ แต่แน่นอนว่ามูฮึนไม่มีทางปล่อยให้ซึงจูทำแบบนั้นได้ง่ายๆ เขากำมือของซึงจูแน่นขึ้นอีกพลางจ้องมองร่างกายท่อนล่างของซึงจูราวกับกำลังชื่นชมผลงานอย่างเปิดเผย คงต้องโทษที่กางเกงและกางเกงชั้นในถูกดึงลงไปกองตรงเข่าตั้งแต่ก่อนหน้านี้ ส่วนล่างที่เปียกแฉะและเลอะเทอะไปด้วยอะไรต่อมิอะไรถึงได้ปรากฏสู่สายตาโดยไร้สิ่งใดปกปิด
“มองอะไรครับ”
ซึงจูเอ่ยถามเสียงขุ่นด้วยความอาย แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้มูฮึนสะทกสะท้านเลยสักนิด เขายิ้มเหมือนกับมองว่าท่าทีนั้นช่างน่ารัก ก่อนจะโน้มลำตัวลงมาซบหน้ากับต้นคอของซึงจู วินาทีนั้นซึงจูคิดว่าเขาจะปล่อยมือออก แต่เขากลับแทรกกายท่อนล่างเข้ามาระหว่างขาของซึงจู ก่อนจะจับมือของซึงจูมาคว้าแก่นกายทั้งสองเข้าไว้ด้วยกัน
“อืม…คราวนี้กางเกงคงไม่เปียกแล้วล่ะ”
“อื้อ…”
คิมมูฮึนที่เหมือนจะสูญเสียสติสัมปชัญญะไปจนหมดสิ้นแล้วเริ่มขยับเอวช้าๆ ในท่านั้น ซึงจูไม่ได้อยากกำมือให้แน่นขึ้นเลยแม้แต่น้อย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะมูฮึนกุมทั้งสองมือของเขาเอาไว้อยู่ แก่นกายทั้งสองตกอยู่ในอุ้งมือทั้งสองข้างของซึงจู และมือทั้งสองของซึงจูก็มีสองมือของมูฮึนกุมเอาไว้อีกที
แก่นกายที่เปียกอยู่ก่อนแล้วเลอะไปด้วยน้ำหล่อลื่นที่ไหลออกมาเรื่อยๆ ของเหลวที่ไม่รู้ว่าของใครเป็นของใครทำให้ความรู้สึกเสียวซ่านที่ถาโถมเข้ามายิ่งเพิ่มมากขึ้นไปอีก พอลมหายใจเริ่มขาดห้วง เสียงหอบหายใจก็เริ่มถี่กระชั้นมากขึ้นเรื่อยๆ
“แฮก…อึก…”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไม่มีเฟอร์นิเจอร์หรือเปล่า เสียงที่ต่างคนต่างเปล่งออกมาถึงได้ดังก้องไปทั่วห้องนั่งเล่น แม้เสียงเวลาพูดจะฟังดูกระท่อนกระแท่นและไม่ชัดถ้อยชัดคำนัก แต่เสียงครางกับเสียงลมหายใจกลับดังชัดมาก ยิ่งเสียงหายใจถี่กระชั้นขึ้นเท่าไหร่ เสียงครางของมูฮึนก็ยิ่งแหบต่ำมากขึ้นเท่านั้น
“อา…ซึงจูยา”
“อ๊า! อื๊อ…”
ท่อนเนื้อที่ไวต่อสัมผัสในอุ้งมือเสียดสีกันอย่างรุนแรง แม้ว่าตอนนี้มันจะแข็งตึงแค่ไหน แต่เมื่อมูฮึนออกแรงกำมือแน่น มันก็อ่อนยวบลงจนเข้าไปอยู่ในอุ้งมือของซึงจูได้ ทว่าปัญหามันอยู่ตรงที่แรงจับของมูฮึนดูท่าจะหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ
“พี่ครับ พี่…! ผมเจ็บ”
ซึงจูรีบประท้วงเพราะถ้าขืนยังเป็นแบบนี้ต่อไปส่วนนั้นของเขามีหวังได้ระเบิดจริงๆ แน่ เมื่อสติเริ่มพร่าเลือน สิ่งที่ดังออกมาจากปากอย่างยากลำบากจึงเป็นคำขอร้องเสียงแผ่ว
“เบาหน่อยสิครับ…”
“อา…”
โชคดีที่มูฮึนคลายมือออกทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น เขามุ่นคิ้วด้วยสีหน้ารู้สึกผิดก่อนจะใช้มือช่วยลูบเบาๆ ราวกับต้องการจะช่วยบรรเทาส่วนที่ปวด มูฮึนปรับลมหายใจแบบนั้นอยู่พักหนึ่งก่อนจะหลับตาที่พร่ามัวลงแล้วลืมขึ้นมาใหม่อีกครั้งพร้อมกับกระซิบเบาๆ
“ขอโทษนะ ตอนนี้พี่คุมแรงไม่ค่อยได้น่ะ”
ราวกับจะพิสูจน์ว่าคำพูดนั้นไม่ใช่คำโกหก มูฮึนดูแตกต่างไปจากปกติเล็กน้อยมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว ถึงเขาจะดูเหมือนออมแรงแล้ว แต่ซึงจูก็ยังรู้สึกได้อยู่ดีจากการที่เขาจับซึงจูด้วยแรงมือที่ให้ความรู้สึกราวกับกำลังบีบบังคับ และการที่เขาทำให้ซึงจูรู้สึกเจ็บเหมือนเมื่อครู่นี้
“เพราะคืนวันเพ็ญนี่แท้ๆ เลย…”
ซึงจูได้ยินคำพูดที่ดังตามหลังมาไม่ชัดเจนนัก เพราะมูฮึนพูดพึมพำด้วยเสียงที่แผ่วเบาราวกับเสียงลมหายใจ และในหัวของเขาก็มีเสียงหอบหายใจดังอื้ออึงไปหมด เมื่อได้ยินเสียงหอบหายใจดังกว่าเสียงพูด ซึงจูก็มองภาพเบื้องหน้าอย่างเลื่อนลอยด้วยดวงตาที่พร่าเบลอ ซึ่งเขาก็ไม่อาจเข้าใจได้เลยว่ามูฮึนตีความคำพูดของเขาไปแบบไหนถึงได้สรุปความออกมาแบบนี้
“ถ้างั้นก็ประมาณนี้พอเนอะ”
ในเวลาเดียวกับที่อีกฝ่ายพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูอ่อนโยนนั้น มูฮึนก็จับมือของซึงจูไว้อย่างออมแรง ดูเหมือนเขาจะใส่ใจกับสิ่งที่ซึงจูพูดก่อนหน้านี้เลยเบาแรงลงเยอะ พอซึงจูกุมมือเขากลับด้วยตัวเอง เขาก็ประทับจูบลงบนแก้มราวกับจะชมว่าเก่งมาก
“เอาแค่พอให้ไม่เจ็บ…”
“…”
ซึงจูรู้สึกอึดอัดไปหมดตรงแก่นกายที่กำลังเกร็งกระตุก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเพิ่งได้สัมผัสกับความรู้สึกสุขสมที่ใกล้เคียงกับความเจ็บปวดมาหรือเปล่า เขาถึงได้รู้สึกว่าความรู้สึกอึดอัดแค่นี้ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกทรมานอะไรมากนัก
เขารู้สึกแบบนั้นกระทั่งมูฮึนกระแทกเอวสอบเข้ามาอย่างแรง…
“อ๊า!”
“อืม เด็กดี…”
แก่นกายแข็งขืนเสียดสีกันจนได้ยินเสียงเฉอะแฉะน่าอาย ในขณะที่ซึงจูไม่อาจทำอะไรได้ ความรู้สึกมากมายก็ถาโถมเข้ามาอย่างพร้อมเพรียงกันทุกครั้งที่มูฮึนขยับกาย ท่อนเนื้อที่อาบไปด้วยน้ำหล่อลื่นบดเบียดกันไปมา ส่วนหัวที่ทั้งใหญ่และหนาครูดขึ้นลงไปตามแก่นกายของซึงจูตั้งแต่ส่วนโคนจนถึงส่วนปลาย
“อื้อ…”
วินาทีที่ซึงจูร้องครางออกมา ริมฝีปากของอีกคนก็ประกบลงมาแทบจะในทันที และในจังหวะที่ซึงจูสูดลมหายใจที่ขาดห้วงไปจนเต็มปอด มูฮึนก็สอดลิ้นเข้ามาอย่างรู้เวลาและอาศัยจังหวะนั้นฉกฉวยความหวานจากโพรงปากคับแคบ ซึงจูพยายามกัดลิ้นที่สอดเข้ามาในปากไปโดยอัตโนมัติ ทว่ามูฮึนกลับไม่มีท่าทีว่าจะล่าถอยเลยสักนิด
“อึก…อื้อ…”
ไหนบอกว่าจะไม่ใส่เข้ามาไง
ความคิดนั้นผุดขึ้นมาเพียงแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น เพราะทุกครั้งที่มูฮึนขยับเอวเข้ามา ความสุขสมก็เอ่อล้นขึ้นมาอีกครั้ง ทันทีที่ตระหนักได้ว่ายิ่งบีบมือเขาแน่นเท่าไหร่ก็จะยิ่งรู้สึกดีขึ้น เขาจึงกระชับมือของมูฮึนแน่นเหมือนอย่างที่มูฮึนทำก่อนหน้านี้
พลั่ก…
มูฮึนโถมกายกระแทกราวกับจะแทรกตัวเข้ามา ของเหลวที่วาววับเป็นมันเงาไม่ได้มีแต่น้ำรักของซึงจูที่ปลดปล่อยออกมาเท่านั้น เพราะมูฮึนเองก็อยู่ในสภาพที่กำลังถูกปลุกเร้าเต็มที่จนน้ำหล่อลื่นไหลออกมาจนเยิ้มอาบไปทั่วท่อนลำเหมือนกัน
“ฮึก…”
“…”
เมื่อความเสียวกระสันที่พุ่งสูงขึ้นแตะถึงจุดสุดยอด มูฮึนไม่แม้แต่จะส่งเสียงครางออกมา สิ่งเดียวที่เขาทำคือการไล่ต้อนเรียวลิ้นของซึงจูในขณะที่กักขังซึงจูไว้ใต้ร่าง โดยประสานมือหนึ่งเข้ากับมือของคนใต้ร่างแน่นแล้วยันพื้นเอาไว้ น่าทึ่งที่เขายังสามารถพยุงตัวโดยไม่ทิ้งน้ำหนักลงมาได้ ทั้งที่กำลังหอบหายใจเสียงดังราวกับสัตว์ป่าอยู่แบบนั้น
“อ๊า…!”
ซึงจูเกร็งมือตอนที่มูฮึนโถมกายเข้ามาอีกครั้ง ในตอนนั้นเองแก่นกายที่ถูกอวัยวะเดียวกันของอีกคนทาบทับลงมาก็กระตุกอย่างแรงพร้อมกับของเหลวสีขาวขุ่นที่หลั่งทะลักออกมา
“อื้อ…”
“แฮก”
เสียงหายใจดังสอดประสานกันอยู่ภายในโพรงปาก มูฮึนกัดริมฝีปากล่างของซึงจูก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้น หยาดน้ำลายที่มีเลือดผสมไหลเยิ้มเป็นสายลงมาจากริมฝีปากที่ผละออกจากกันช้าๆ ดูท่าซึงจูคงกัดแรงน่าดูถึงได้เห็นเลือดที่อาบอยู่บนลิ้นของเขาในตอนท้าย
“นั่น…”
ซึงจูไม่กล้าพอที่จะถามว่าเขาเจ็บหรือไม่ เพราะสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณที่เติมเต็มในช่องท้องหลังจากกลืนกลิ่นคาวเลือดที่หลงเหลืออยู่ลงคอ เมื่อภาพเบื้องหน้าค่อยๆ พร่าเลือนและดับมืดลง สติที่พยายามครองไว้อย่างสุดความสามารถก็ค่อยๆ เลือนไปเช่นกัน และไม่นานหลังจากนั้นเขาก็เหมือนจะหมดสติไป
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
