everY
ทดลองอ่าน ค่ำคืนของนักล่า (อสูร) คิมมูฮึน เล่ม 2 บทที่ 9 – 5 #นิยายวาย
ทดลองอ่านเรื่อง ค่ำคืนของนักล่า (อสูร) คิมมูฮึน เล่ม 2
ผู้เขียน : Oneulbom
แปลโดย : มิลค์พลัส
ผลงานเรื่อง : ค่ำคืนของนักล่า (อสูร) คิมมูฮึน
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
9-5
คืนวันเพ็ญ วันขึ้นสิบห้าค่ำของเดือนตามปฏิทินจันทรคติ มันคือวันที่ดวงจันทร์บนท้องฟ้ายามค่ำคืนสว่างเต็มดวง และเป็นช่วงเวลาที่ผืนฟ้ายามค่ำคืนถูกปกคลุมไปด้วยความสว่างที่มากกว่าปกติ
พอถึงคืนวันเพ็ญที่เป็นแบบนั้นทีไร พลังกายและพลังใจของสมาชิกจากครอบครัวบ้านข้างๆ ก็จะเอ่อล้นจนเต็มเปี่ยม ซึงจูเห็นแบบนั้นมาตั้งแต่เด็ก ทั้งคุณลุง คุณป้า มูฮึน มูยอน และมูรยอง กล่าวคือเมื่อพลังวิญญาณแข็งแกร่งขึ้น การควบคุมจิตใจก็จะทำได้ง่ายขึ้น ถือเป็นสภาวะที่ดีต่อการทำงานปราบวิญญาณอย่างที่หาช่วงเวลาอื่นมาเทียบไม่ได้
โดยเฉพาะมูรยองที่ชอบวิ่งวุ่นไปโน่นมานี่ด้วยท่าทีตื่นเต้นเหมือนเจ้าแพ็กซอลกีก่อนที่จะได้ออกไปเดินเล่น เจ้าตัวมักจะแสดงท่าทีตื่นเต้นอย่างออกนอกหน้าราวกับว่าจะบินได้ แม้ว่าพอโตขึ้นมาหน่อยจะสงบลงเล็กน้อย แต่ตอนเด็กๆ ก็เคยมีอยู่หลายครั้งที่ไม่สามารถจัดการกับสภาวะที่ตื่นตัวของตัวเองได้
ซึงจูจึงคิดว่ามูฮึนกับมูยอนเองก็คงจะเหมือนกับมูรยอง จริงๆ แล้วเขาได้ยินมาอยู่เหมือนกันว่ามูยอนทำงานได้มากกว่าปกติราวๆ สามเท่าในคืนที่พระจันทร์เต็มดวง
ถึงจะได้ยินมาแบบนั้น แต่ในกรณีของมูฮึน…
“พี่สูญเสียพลังในการควบคุมสติตัวเองไปน่ะ”
เพราะแบบนั้นเองสินะ
“สูญเสียพลังในการควบคุมสติตัวเอง?”
บนเตียงกว้าง ซึงจูหยัดตัวลุกขึ้นนั่งพลางขมวดคิ้ว ในขณะที่มูฮึนนั่งห้อยขาอยู่ข้างๆ พลางกลอกตาไปมาราวกับกำลังครุ่นคิด บนท่อนแขนแกร่งนั้นมีรอยสักลายดอกกล้วยไม้ที่โผล่พ้นออกมาจากเสื้อยืดแขนสั้นสีขาวปรากฏให้เห็นเด่นชัด
“จะบอกว่าสูญเสียสติสัมปชัญญะไปได้ไหมนะ…”
ท้ายประโยคที่ขาดหายไปเป็นหลักฐานที่บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าเขากำลังคิดหนักกับคำพูดที่จะพูดต่อจากนั้น ดวงตาสีดำสนิทกลอกไปมา ก่อนที่ในไม่ช้าเขาจะหรี่ตาลงแล้วทำสีหน้าแปลกๆ และในที่สุดเรื่องที่พูดขึ้นมาก็เป็นการออกตัวแทนคิมมูฮึนคนเมื่อคืน
“ช่างเถอะ เอาเป็นว่าเมื่อคืนพี่ไม่มีสติ”
เช้าตรู่วันนี้ซึงจูลืมตาตื่นขึ้นมาบนเตียงที่คุ้นเคย แสงแรกของยามเช้าสาดส่องเข้ามาจากนอกหน้าต่าง มูฮึนกำลังนอนหลับสนิทโดยกอดซึงจูเอาไว้ในอ้อมแขน ซึงจูพลันสะดุ้งเฮือกแล้วก้มลงมองสำรวจร่างกายตัวเอง ก่อนจะพบว่าโชคดีที่พวกเขาทั้งคู่ต่างก็อยู่ในสภาพที่แต่งตัวมิดชิด
มูฮึนลืมตาขึ้นทันทีที่ซึงจูขยับตัวเพียงเล็กน้อย เขาลูบหน้าพลางเพ่งมองสีหน้าของซึงจูอยู่พักใหญ่ หลังจากที่ซักถามโดยละเอียดว่ามีไข้หรือเจ็บตรงไหนหรือไม่จนได้ความ เขาก็ยอมปล่อยซึงจูด้วยสีหน้าวางใจ
ซึงจูเพิ่งจะรู้ตัวเอาตอนนั้นว่าตัวเองกำลังสวมเสื้อยืดตัวโคร่งกับกางเกงขาสั้นที่เดาว่าน่าจะเป็นของมูฮึนอยู่ แทนที่จะเป็นเสื้อฮู้ดตัวที่ใส่มา แน่นอนว่าเขาไม่ได้มีปัญหาอะไรกับเรื่องนี้หรอก เรื่องเดียวที่ค่อนข้างจะน่าหงุดหงิดใจอยู่สักหน่อยคงจะเป็นเรื่องที่ทำไมพอตื่นขึ้นมาแล้วเขาถึงไม่ได้ใส่กางเกงในแบบนี้ทุกที แต่แทนที่จะโวยวายเรื่องนั้น ซึงจูกลับถามในสิ่งที่เขาสงสัยที่สุดแทน
‘ความต้องการทางเพศของพี่จะสูงขึ้นในคืนพระจันทร์เต็มดวงเหรอครับ’
ช่างเป็นคำถามที่ตรงไปตรงมาแบบสุดๆ มูฮึนกะพริบตาปริบๆ ด้วยสีหน้าราวกับถูกของแข็งฟาดเข้าที่ท้ายทอยอย่างจัง จนเมื่อเวลาผ่านไปชั่วอึดใจหนึ่ง เขาถึงได้ยกมือข้างหนึ่งขึ้นปิดหน้าแล้วหัวเราะแห้งๆ ออกมา หลังจากยันตัวขึ้นนั่ง เขาก็พูดขึ้นมาว่า ‘พี่สูญเสียพลังในการควบคุมสติตัวเองไปน่ะ’ ด้วยน้ำเสียงหนักใจ
“นายรู้ใช่ไหมว่าพลังวิญญาณจะแข็งแกร่งขึ้นในคืนวันเพ็ญ”
“ครับ”
“สภาวะทางร่างกายของพี่…”
มูฮึนที่พูดขึ้นเบาๆ ใช้เวลาคิดหาคำพูดอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเขาเอียงคออย่างครุ่นคิด ซึงจูก็มองเห็นรอยสักบนต้นคอเขาเด่นชัดขึ้นกว่าเดิม
“อืม…”
มูฮึนทำเสียงครุ่นคิดในลำคอเบาๆ ก่อนจะพูดต่อช้าๆ
“น่าจะตั้งแต่ช่วงอายุยี่สิบเป็นต้นมา พอถึงคืนวันเพ็ญทีไร ร่างกายพี่จะอยู่ในสภาวะตื่นตัวมากกว่ามือปราบวิญญาณคนอื่นๆ น่ะ”
“สภาวะตื่นตัวเหรอครับ”
“อืม เวลาใช้พลังวิญญาณก็จะควบคุมได้ไม่ดี แถมถ้าเป็นหนักๆ ก็อาจจะวูบไปเลย”
มูฮึนยกมือขึ้นแล้วใช้นิ้วชี้นวดขมับเบาๆ ก่อนจะยักไหล่พลางอธิบายเสริม
“เวลาอยู่ในสภาวะที่ตื่นตัวแบบนั้น ประสาทสัมผัสทั้งห้าจะอ่อนไหวเป็นพิเศษจนรวนไปหมด แถมยิ่งอ่อนไหวก็จะยิ่งมีปฏิกิริยาที่รุนแรง…เพราะงั้นปกติแล้วพี่เลยไม่ค่อยออกจากห้องไปไหนในคืนที่พระจันทร์เต็มดวง เพราะถ้าออกไปแล้วเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นก็คงจะลำบากน่าดู”
ซึงจูไม่รู้ว่าขอบเขตของคำว่า ‘อุบัติเหตุ’ ที่อีกฝ่ายพูดถึงนั้นกว้างแค่ไหน แต่ถ้าถึงขั้นที่ต้องอยู่แต่ในห้องก็คงไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่ๆ พอลองจินตนาการถึง ‘คิมมูฮึนที่ดุดันและก้าวร้าว’ แล้วซึงจูก็ถึงกับต้องรีบส่ายศีรษะ เพราะไม่ว่าจะลองจินตนาการสักเท่าไหร่ เขาก็นึกภาพชัดๆ ไม่ออก
“ถ้างั้นพี่ก็คงจะจำเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนวันเพ็ญไม่ได้สิครับ?”
“ส่วนใหญ่ก็น่าจะเป็นแบบนั้นแหละนะ ตอนเด็กๆ ก็มักจะเป็นแบบนั้นแหละ แต่ทุกวันนี้พี่คุมตัวเองไม่ให้ขาดสติได้ดีกว่าเมื่อก่อนแล้วล่ะ”
มูฮึนยังบอกอีกว่าอันที่จริงเขาไม่เคยหมดสติมาเกือบห้าปีแล้ว มันเป็นปัญหาที่สามารถแก้ไขได้ง่ายๆ ด้วยการไม่ใช้พลังวิญญาณ แค่เร่งทำงานให้เสร็จล่วงหน้าแล้วพักผ่อนอยู่ที่ห้องก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว และเขาก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดอะไรมากนัก เพราะตอนนี้มันก็ได้กลายเป็นเรื่องธรรมดาในชีวิตประจำวันไปแล้ว
“เพราะงั้นเมื่อวานพี่ก็เลยคิดว่ามันคงจะไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นเหมือนกัน”
“…”
งั้นก็น่าจะบอกเรื่องนั้นกันตั้งแต่แรกสิ
ซึงจูที่คิดอย่างนั้นเม้มปากแน่น ถึงจะรู้ดีว่าอีกฝ่ายคงมีเหตุผลบางอย่าง แต่มันก็ยากที่จะยอมรับได้ว่ามูฮึนกำลังปิดบังเหตุผลบางอย่างที่ว่านั้นจากเขา เพราะเขายังไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าคำว่า ‘สภาพนี้’ ที่เจ้าตัวบอกว่าไม่อยากให้เห็นนั้นมันหมายความว่าอย่างไร
มูฮึนทอดสายตามองซึงจูนิ่งก่อนจะยื่นมือออกมาช้าๆ
“ยิ่งใกล้ชิดกันมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีด้านที่ไม่อยากให้เห็น”
มือที่ยื่นมาหาอย่างระมัดระวังดันหน้าอกของซึงจูให้นอนลงกับเตียงอีกครั้ง ซึงจูที่ยอมเอนตัวนอนลงอย่างไม่ขัดขืนขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะเอ่ยปากถามมูฮึนอย่างหยั่งเชิง
“มีใครรู้เรื่องนี้บ้างครับ”
อย่างน้อยควางชิกก็ดูเหมือนจะยังไม่รู้ แต่ถึงอย่างไรก็น่าจะมีคนที่รู้อยู่บ้าง ซึงจูจึงคิดจะถามว่าถ้ามีใครสักคนรู้ แล้วคนที่รู้เรื่องคนนั้นต่างกับเขาตรงไหน แต่แล้วมูฮึนก็คลี่ยิ้มออกมาบางๆ ก่อนจะตอบ
“ไม่มีใครรู้เรื่องนี้”
ซึงจูพลันชะงักไปครู่หนึ่ง สายตาที่ก้มลงมองเขาไม่มีคำโกหกแอบแฝงอยู่เลยแม้แต่น้อย
“ไม่มีเลย?”
“อืม เพิ่งมีแค่นายนี่แหละที่รู้ ซึงจู”
“คนที่บ้านก็ด้วยเหรอครับ”
“อืม พี่ไม่ได้บอก”
“…”
ซึงจูถึงกับพูดอะไรไม่ออก ไม่ใช่เพราะภูมิใจกับการที่ตัวเองเป็นคนเดียวที่ได้รู้เรื่องนี้ แต่เป็นเพราะรู้สึกผิดกับการที่บังคับให้มูฮึนต้องเปิดเผยในสิ่งที่พยายามปกปิดเอาไว้ ถึงขนาดที่ไม่ได้บอกใครเลยแม้กระทั่งคนที่บ้าน และยังเป็นเพราะเขาไม่รู้ว่าตัวเองเผลอมารบกวนคนที่กำลังพักผ่อนอยู่ดีๆ โดยพลการหรือเปล่า
แต่จะว่าไปแล้วบางทีเขาอาจจะจำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานไม่ได้ก็ได้ ซึงจูที่คิดอย่างนั้นขยับริมฝีปากเตรียมจะถาม แต่ก่อนจะทันได้ถามอะไร มูฮึนก็ตอบกลับมาราวกับอ่านใจออก
“พี่จำเรื่องเมื่อวานได้ทุกอย่าง”
“…”
ว้าว พี่ชายคนนี้ท่าจะอ่านใจคนได้จริงๆ นะเนี่ย
“ถึงจะไม่ค่อยเต็มร้อยเท่าไหร่ แต่ก็ยังพอมีสติอยู่”
มูฮึนบอกแบบนั้นก่อนที่จู่ๆ จะยกยิ้มมุมปาก
“เอ๋…หรือว่าจะไม่มีสติกันนะ?”
เสียงพูดพึมพำนั้นฟังดูยียวนเหมือนกลับมาเป็นคนขี้แกล้งคนเก่า เขาช่วยปัดผมด้านหน้าให้ซึงจู หลังจากนั้นก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี
“สรุปว่าพี่จำได้หมดทุกอย่างนั่นแหละ คงไม่เหมือนซึงจูของพี่หรอก”
ดูเหมือนเขากำลังจะบอกซึงจูว่าเพราะแบบนั้นก็อย่ากังวลไปเลย ทว่าหากฟังดูผ่านๆ แล้วก็เหมือนกับเขากำลังกล่าวหาซึงจูด้วยเหมือนกัน เพราะซึงจูเป็นฝ่ายที่จำเรื่องในวันที่ตื่นขึ้นมาที่ห้องของมูฮึนครั้งแรกไม่ได้
“ไหนบอกว่าถ้าอยู่ในสภาวะตื่นตัวรุนแรงแล้วจะวูบไปไงครับ”
ซึงจูที่จู่ๆ ก็รู้สึกอายขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผลรีบย้อนถาม ถึงจะไม่รู้ว่าจริงแท้อย่างไร แต่เมื่อวานมูฮึนเองก็คงจะตื่นตัวจนแทบหมดสติได้ไม่ต่างจากเขา แม้เจ้าตัวจะไม่ได้ขาดสติไปจนดุดันและน่ากลัว แต่ก็ยังไม่อาจเรียกได้ว่าอ่อนโยน จะว่าไปแล้วซึงจูก็รู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมอยู่หน่อยๆ ที่ตัวเองดันจำเรื่องทุกอย่างได้หมด
“ไม่รู้สิ…”
มูฮึนยิ้มและกะพริบตาช้าๆ พร้อมกับยกนิ้วทั้งห้าขึ้นวางทาบลงบนหน้าอกของซึงจู
“เป็นเพราะนายดูดกลืนมันไปเยอะหรือเปล่านะ ซึงจู”
สัมผัสที่เริ่มจากตรงหน้าอกค่อยๆ เลื่อนต่ำลงไปที่ลิ้นปี่ ความรู้สึกที่เชื่องช้าและชวนให้รู้สึกหวั่นไหวถูกส่งผ่านมาทางเสื้อยืดตัวบาง นิ้วของเขาเคลื่อนลงไปใต้สะดืออย่างอ้อยอิ่งก่อนจะแตะลงตรงจุดที่ความเย็นยังคงหลงเหลืออยู่
“นี่น่าจะกินเวลาสักเดือนนึงได้นะ”
“…”
ท้องน้อยของเขาพลันหดเกร็งขึ้นมาทันทีเพราะรู้สึกได้ถึงเลศนัยบางอย่างจากเสียงที่ทุ้มต่ำลง มูฮึนมองซึงจูในขณะที่ยังไม่ละมือออกไปพลางถาม
“ทีนี้ก็เล่ามาได้แล้ว”
ไม่มีความจำเป็นต้องถามว่าหมายถึงเรื่องอะไร เพราะมูฮึนส่งยิ้มผ่านดวงตามาให้ก่อนจะเอ่ยปากถามแล้ว
“เมื่อวานมาหาพี่ทำไม”
แม้ว่าเขาจะยิ้มอยู่ แต่ซึงจูกลับไม่ได้รู้สึกว่าเขากำลังยิ้มอยู่สักเท่าไหร่ เพราะถึงแม้ว่าเสียงพูดนั้นจะฟังดูอบอุ่นและอ่อนโยน แต่แววตากลับกำลังกดดันกันอย่างน่ากลัว ซึงจูสงสัยว่าทำไมเขาถึงได้ทำสีหน้าแบบนั้น แต่แล้วก็พลันกระจ่างในเหตุผลจากคำพูดที่เอ่ยขึ้นตามมา
“เรื่องปลาทองสีดำนั่นคงไม่ใช่เรื่องที่ตั้งใจจะมาเล่าแต่แรกสินะ”
ดูเหมือนมูฮึนจะสังเกตได้อยู่เหมือนกันว่าแท้จริงแล้วธุระของซึงจูไม่ใช่เรื่องปลาทอง แถมยังดูเหมือนจะดูออกด้วยว่าถ้าไม่โมโหขึ้นมา เขาก็คงจะเก็บเรื่องนั้นไว้เป็นความลับไปตลอดชีวิต บางทีมูฮึนอาจจะอยากถามถึงเรื่องนั้นตั้งแต่วินาทีที่เขาลืมตาตื่นขึ้นมาเมื่อครู่นี้แล้วก็ได้
ถ้าไม่เปลี่ยนประเด็นตอนนี้คงได้โดนบ่นชุดใหญ่แน่ ถึงแม้ว่ามูฮึนจะไม่โกรธ แต่การที่เขาพูดอย่างใจเย็นแบบนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ได้กำลังจับสังเกตอยู่ ซึงจูรู้ความจริงเรื่องนั้นดีจึงไม่ยอมปล่อยโอกาสนี้ไปและรีบเปิดปากพูดความจริง
“ไม่ใช่อะไรหรอกครับ คือว่าควางชิก…”
“ควางชิก?”
“เอ่อ…”
จริงสิ นี่มันไม่ใช่ชื่อหมอนั่นสักหน่อย
“อย่างที่ผมเคยบอกไปแล้วว่ามีนักล่าอสูรมาหาผม…”
“เขาบอกเหรอว่าชื่อควางชิก”
“เปล่าครับ ไม่ใช่…”
บางทีปัญหาน่าจะอยู่ที่เขารีบพูดเกินไป ชื่อที่เรียกจนติดปากจึงหลุดออกมา จู่ๆ ซึงจูก็รู้สึกเขินอายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกจนต้องขมวดคิ้ว และเขาก็ยิ่งรู้สึกแบบนั้นเมื่อมูฮึนจ้องมองมาด้วยสายตาสงสัยเหมือนกำลังถามว่าเขาพูดเรื่องอะไรอยู่
“เขาไม่ยอมบอกชื่อ ผมเลยเรียกเขาแบบมั่วๆ น่ะครับ”
“ควางชิก?”
“ครับ ก็…ควางชิกนั่นแหละครับ”
“ควางชิก…”
มูฮึนทวนชื่อนั้นอีกครั้งก่อนจะถอนหายใจยาว เสียงลมหายใจแผ่วเบานั้นฟังดูคล้ายกับการหัวเราะมากกว่าการหายใจ เสียงที่ฟังดูเกือบจะเหมือนเสียงถอนใจดังลอดออกมาจากช่องว่างระหว่างริมฝีปากที่ขยับเล็กน้อยของเขา
“ควางชิก…”
“…”
ชื่อนั้นแล้วมันทำไม รู้สึกเหมือนโดนดูถูกเรื่องเซ้นส์การตั้งชื่อเลยแฮะ ถึงควางชิกจะไม่ใช่การเลือกชื่อที่ดูเข้าท่าที่สุดจริงๆ ก็เถอะ
“ดูเหมือนจะสนิทกันขึ้นเยอะเลยนะเนี่ย เดี๋ยวนี้มีการตั้งชื่อเล่นให้กันด้วย”
“พี่จะบ้าเหรอ มันฟังดูเหมือนชื่อเล่นตรงไหน”
ถ้ามูฮึนคิดแบบนั้นจริง ซึงจูก็อยากจะเรียกมูฮึนว่า ‘พี่ชุนชิก’ อยู่เหมือนกัน เขาเกิดหงุดหงิดขึ้นมากะทันหันและถามออกไปแบบนั้น แต่มูฮึนก็ตอบกลับมาเหมือนไม่ได้ถือสาอะไร
“แค่เรียกด้วยชื่อที่ตั้งให้ด้วยตัวเองแบบไม่พ่วงนามสกุลก็ถือว่าเป็นชื่อเล่นแล้วนี่”
“เฮอะ…”
เหลือจะเชื่อ ไม่นึกเลยว่าการไม่มีนามสกุลจะเป็นปัญหา แต่สิ่งที่เหลวไหลที่สุดคงเป็นการที่เขาไม่รู้จะสรรหาคำพูดไหนมาโต้แย้งได้ สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจเปลี่ยนชื่อเรียกนั้นทันทีโดยไม่รีรอ
“โคควางชิกมาหาผม”
มูฮึนหัวเราะเสียงดังออกมาพร้อมกับหันหน้าไปอีกทางทันที ถึงจะใช้หลังมือปิดปาก แต่เรียวคิ้วนั้นก็ขมวดชิดกันราวกับว่าเขากำลังหัวเราะจนแทบเสียสติ ดูจากการที่ไหล่เขาสั่นอยู่ในท่านั้นแล้ว ดูท่าเขาคงจะชอบชื่อ ‘โคควางชิก’ ที่ซึงจูตั้งให้ใหม่น่าดู
“โคควางชิก…”
“…”
ถึงจะไม่ได้ตั้งใจตั้งชื่อนี้ให้เพราะคิดว่ามันเพราะดี แต่พอเห็นอีกคนหัวเราะถึงขนาดนั้นแล้วเขาก็รู้สึกตงิดใจขึ้นมาแปลกๆ คงเพราะรู้สึกเหมือนกำลังโดนดูถูกเรื่องเซ้นส์การตั้งชื่อเหมือนเมื่อครู่นี้
“เดี๋ยวสิ…มันฟังดูแปลกขนาดนั้นเลยหรือไงครับ”
ซึงจูแค่นหัวเราะออกมาด้วยสีหน้าหมดคำจะพูด แต่ถึงอย่างนั้นมูฮึนก็ยังไม่หยุดหัวเราะ เขาเลยถามให้แน่ใจอีกครั้งอย่างไม่เข้าใจ
“ชื่อควางชิกมันก็ชื่อธรรมดาทั่วไปไม่ใช่เหรอครับ”
ถ้าเทียบกันระหว่างคิมมูฮึนกับโคควางชิก ชื่อหลังก็ต้องฟังดูธรรมดากว่าอยู่แล้ว ทั้งที่ตัวเองก็ชื่อแปลกกว่าใคร มีสิทธิ์อะไรไปหัวเราะชื่อคนอื่นกัน
“ทั้งที่ตัวเองชื่อซึงจูน่ะนะ?”
ถึงอย่างนั้นมูฮึนก็ยังคงยิ้มแบบขำๆ พร้อมกับย้อนถาม สำหรับซึงจูที่คิดว่าชื่อตัวเองฟังดูเหมือนชื่อคนปกติธรรมดากว่าใครในนี้แล้ว คำพูดนั้นก็ถือเป็นคำพูดที่มีเหตุผลจนเขาต้องปิดปากฉับลงเดี๋ยวนั้น
แล้วไงล่ะ ยังไงซอซึงจูก็ฟังดูปกติดีกว่าโคควางชิกแหละน่า
จู่ๆ ซึงจูก็รู้สึกเหมือนตัวเองพลาดไปเล็กน้อย
“ถ้างั้นพี่ก็บอกชื่อจริงหมอนั่นมาสิครับ ก็หมอนั่นดันมาบอกผมว่าเขาไม่มีชื่อเองนี่นา”
ซึงจูแยกเขี้ยวแล้วหลบตาเขาอย่างไม่มีเหตุผล หลังจากหรี่ตามองอย่างเอ็นดูอยู่ครู่หนึ่ง มูฮึนก็ทำเสียงครุ่นคิดในลำคอแล้วกลืนน้ำลาย ก่อนจะพยักหน้าโดยที่ไม่ได้ปฏิเสธหรือตกปากรับคำ
“เรียกควางชิกไปก็แล้วกัน โคควางชิกก็ฟังดูดีนี่”
เปลี่ยนท่าทีไวไปหน่อยไหม
ทั้งที่ปากยังหัวเราะอยู่แท้ๆ แต่กลับเปลี่ยนคำพูดไปแบบพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ มิหนำซ้ำยังมีการพูดติดตลกว่าต่อไปตัวเองก็จะเรียกแบบนั้นด้วยเหมือนกันอีกต่างหาก
“แล้วสรุปว่าควางชิก…?”
“…”
เขารู้สึกเหมือนได้ทำสิ่งที่เลวร้ายลงไป ทั้งที่กำลังคิดแบบนั้น แต่ซึงจูก็ไม่ได้ถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับควางชิก ว่ากันตามตรงแล้วซึงจูก็ไม่ได้สนใจในตัวอีกฝ่ายขนาดนั้น เพราะมันไม่สำคัญว่าอีกฝ่ายเป็น ‘ใคร’ แต่สำคัญว่าอีกฝ่ายพูด ‘อะไร’ ต่างหาก ดังนั้นเขาจึงเริ่มเล่าจากใจความสำคัญหลักแทนที่จะลากบทสนทนานี้ให้ยืดยาวออกไป
“หมอนั่นบอกว่าจะล้มล้างสมาพันธ์ครับ”
“อ๋อ…งั้นเหรอ”
ทั้งที่เขาคิดว่ามันเป็นข่าวที่น่าตกใจพอตัว แต่สีหน้าของมูฮึนกลับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย ภายในดวงตายังคงฉายแววยิ้ม เขาจึงสงสัยขึ้นมาชั่วขณะว่าอีกฝ่ายได้ยินสิ่งที่เขาพูดอย่างถูกต้องจริงๆ ใช่ไหม
“อะไรของพี่เนี่ย ทำไมปฏิกิริยาตอบรับถึงได้เป็นแบบนั้นล่ะครับ”
ซึงจูคิดว่าต่อให้เขาจะไม่ตกใจแต่ก็คงต้องแสดงท่าทีที่เหนือความคาดหมายออกมาให้เห็นอยู่บ้าง ทว่าพอดูจากสีหน้านั้นแล้วมันดูเหมือนเขาแค่กำลังฟังเรื่องดินฟ้าอากาศที่ไม่ได้มีอะไรพิเศษ ตอนที่ซึงจูถามว่าความต้องการทางเพศของเขาจะพุ่งสูงขึ้นในคืนวันพระจันทร์เต็มดวงเหรอ เขายังดูอึ้งกว่านี้ด้วยซ้ำ
“ผมบอกว่าเขาจะล้มล้างสมาพันธ์นะ?”
แม้มือปราบวิญญาณทุกคนบนโลกจะไม่ได้สังกัดอยู่ภายใต้สมาพันธ์ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าส่วนใหญ่แล้วพวกเขาก็ได้รับการปกป้องดูแลจากสมาพันธ์ สมาพันธ์ที่เติบโตและขยายอำนาจมาเป็นเวลานาน ตอนนี้มีขนาดใหญ่มากจนต่อให้คิดจะล้มล้างก็คงไม่มีทางพังทลายลงได้
ดังนั้นตอนได้ยินเรื่องนี้จากควางชิกเป็นครั้งแรกซึงจูจึงคิดว่า ‘หมอนี่คงบ้าไปแล้วจริงๆ สินะ’ เขาจะล้มล้างสมาพันธ์ได้ด้วยวิธีไหนกัน ต่อให้จะคิดดูอีกกี่ทีก็ยังฟังดูฝันเฟื่องมาก และไม่คิดเลยว่ามูฮึนจะทำเหมือนไม่สะทกสะท้านอะไรแบบนี้ได้
“อย่าบอกนะว่าพี่รู้อยู่แล้วน่ะ?”
มูฮึนทำเป็นหรี่ตากับคำถามที่ซึงจูถามออกมาอย่างคาดเดา ก่อนจะเอียงคอพลางตอบเสียงเบา
“ก็…พอจะรู้อยู่คร่าวๆ ล่ะนะ”
“…”
และนี่ก็เป็นอีกสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายของซึงจู เขามาที่นี่ด้วยสมมติฐานที่ว่ามูฮึนน่าจะตกใจ แต่ปรากฏว่าคนที่ตกใจกลับกลายเป็นเขาเสียเอง พอซึงจูปิดปากลงด้วยสีหน้าอึ้งๆ มูฮึนก็เปิดปากพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงรื่นหูอันเป็นเอกลักษณ์
“ก่อนหน้านี้มีความไม่พอใจก่อตัวขึ้นภายในสมาพันธ์มาสักพักใหญ่แล้วล่ะ เพราะทิศทางของสมาพันธ์เริ่มสวนทางกับแนวคิดแรกเริ่มในการก่อตั้งมากขึ้น และเรื่องที่สมาพันธ์ใช้งานมือปราบวิญญาณเหมือนสินค้าที่ใช้แล้วทิ้งนั้นก็เกิดขึ้นบ่อยมากขึ้นเรื่อยๆ”
มันคล้ายกับสิ่งที่เขาได้ฟังจากควางชิก อันที่จริงมันก็เป็นเรื่องที่ซึงจูเห็นด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะนอกจากคุณลุงจะจากโลกนี้ไปด้วยเหตุนั้นแล้ว แม้แต่มูฮึนที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ก็ยังต้องลำบากจากการทำงานหนักเกินไปมาหลายต่อหลายวันเช่นกัน
“เรื่องการใช้งานหนักยังพอเข้าใจได้…แต่นับวันองค์กรที่ได้ชื่อว่าเป็นสมาพันธ์มือปราบวิญญาณมีแต่จะยิ่งตาบอดเพราะเงินมากขึ้นเรื่อยๆ”
เรื่องการใช้งานนั่นซึงจูไม่เข้าใจเลยสักนิด แต่ถึงจะคิดแบบนั้นซึงจูก็ไม่ขัดคำพูดของอีกฝ่าย เขาได้แต่จ้องมองมูฮึนเงียบๆ และรอฟังสิ่งที่อีกฝ่ายจะพูดต่อ
“กรณีอาคารใหม่ของโรงเรียนมัธยมปลายแฮยอนที่พวกเราเคยเรียนอยู่นั่นก็เหมือนกัน เดิมทีอาคารใหม่ไม่ควรถูกสร้างตรงนั้นมาตั้งแต่แรกแล้ว แต่บริษัทรับเหมาก่อสร้างกลับดันทุรังสั่งให้ดำเนินการเพื่อที่จะรับเงินลงทุน หน้าดินผืนนั้นเลยถูกพลิกกลับขึ้นมา ส่งผลให้พลังหยินแข็งแกร่งขึ้น พอพวกวิญญาณเข้าไปยุ่งกับพลังหยินแถวนั้นก็เลยเกิดอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ อยู่บ่อยๆ”
“อาคารใหม่…ใช่ตรงที่โค่นต้นไม้ทิ้งจนเหี้ยนแล้วสร้างขึ้นมาไหมครับ”
“อืม น่าจะเป็นช่วงที่นายกับมูรยองเรียนอยู่พอดีใช่ไหมล่ะ”
“ครับ น่าจะช่วงมัธยมปลายปีสอง”
ตอนที่ซึงจูเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลายมีการก่อสร้างเพื่อปรับปรุงอาคารร้างตรงมุมหนึ่งของโรงเรียนให้เป็นอาคารใหม่ หลังจากถูกเลื่อนกำหนดการไปครั้งแล้วครั้งเล่า การก่อสร้างก็เสร็จสมบูรณ์ในช่วงที่ซึงจูเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลายปีสองพอดี แล้วหลังจากนั้นก็มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ อย่างน่าประหลาด อย่างเช่นว่าเรื่องที่มักจะมีพวกรุ่นพี่มานอนหมดสติอยู่หน้าแปลงดอกไม้ หรือเรื่องที่มีเหล่านักเรียนทำข้าวของหายอยู่บ่อยๆ
‘ตรงนั้นฮวงจุ้ยไม่ดีน่ะ’
คำพูดในตอนนั้นหมายความว่าแบบนี้นี่เอง
ซึงจูนึกถึงคำพูดที่ครั้งหนึ่งมูรยองเคยพูดขณะเดินข้ามทางเชื่อมลอยฟ้าที่เชื่อมระหว่างอาคารเรียนหลักกับอาคารใหม่ ตอนนั้นเขาแค่คิดว่า ‘งั้นสินะ’ แล้วปล่อยผ่านหูไป แต่ในความเป็นจริงดูเหมือนว่าจะมีเรื่องของพวกผู้ใหญ่ที่มีอะไรลึกมากกว่านั้น ถ้าถึงขั้นที่คิมมูรยองยังต้องอดหลับอดนอนเพื่อแก้ไขปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณอยู่ทุกคืน ทั้งที่ตอนนั้นยังไม่ได้เป็นมือปราบวิญญาณอย่างเป็นทางการ ก็ดูท่าว่าคงจะมีปัญหาหนักจริงๆ
“ตอนนั้นพวกผู้บริหารระดับสูงมีความเห็นไม่ตรงกัน ปัญหาการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายภายในก็ยังไม่คลี่คลาย เรื่องนั้นคงทำให้พวกเด็กๆ อย่าง…ควางชิกเดือดร้อนกันน่าดูเลยล่ะ”
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งมูฮึนก็พูดชื่อ ‘ควางชิก’ ออกมาได้อย่างเต็มปาก แทนที่จะทักท้วงมูฮึนเรื่องนั้น แต่ซึงจูกลับเลือกที่จะขมวดคิ้วอยู่เงียบๆ และในตอนที่เขาตั้งใจจะถามออกไปว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับพวกเด็กๆ อย่างควางชิก มูฮึนก็เอ่ยปากพูดขึ้นมาก่อนด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาเหมือนพูดพึมพำกับตัวเอง
“ทั้งที่เป็นเด็กที่ไม่รู้ว่าอนาคตจะไปจบลงตรงไหนแท้ๆ…”
ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองหรือเปล่า ซึงจูรู้สึกคุ้นเคยกับความรู้สึกนี้อย่างน่าประหลาด พอมาลองคิดดูแล้ว หมอนั่นก็เคยพูดอยู่เหมือนกันว่าไม่ได้ไม่ชอบคิมมูฮึน และในขณะเดียวกันนั้นมูฮึนก็ดูไม่ได้มีความรู้สึกไม่ดีอะไรต่อควางชิกเลยสักนิด พอมองภาพโดยรวมแล้ว คำถามหนึ่งก็พลันผุดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“พี่มีความสัมพันธ์แบบไหนกับเขาเหรอครับ”
“หืม?”
พอโพล่งถามออกไปแบบนั้นแล้วเขาถึงเพิ่งจะมาตกใจเอาทีหลัง เพราะมันให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าเขากำลังซักไซ้คนรักที่ส่อแววนอกใจอยู่ไม่มีผิด ซึงจูส่ายศีรษะพลางผุดลุกขึ้นนั่งอย่างลืมตัว
“ไม่มีอะไรครับ จะว่ายังไงดีล่ะ…ถ้าฟังจากสิ่งที่หมอนั่นพูดแล้ว ดูเหมือนหมอนั่นจะสงสัยในตัวพี่สุดๆ เลยครับ”
เดี๋ยวก็ปรักปรำว่ามูฮึนเป็นผู้เกี่ยวข้องกับคนร้ายที่คลายผนึกอสูรบ้างล่ะ เดี๋ยวก็หาว่ามูฮึนคอยรับใช้สมาพันธ์บ้างล่ะ ทั้งที่โดนกล่าวหาขนาดนั้น แต่ก็ยังไม่แสดงท่าทีโกรธเคืองอะไรออกมาสักนิด นั่นคือสิ่งที่ซึงจูรู้สึกแปลกใจสุดๆ
“แต่จริงๆ แล้วดูเหมือนความสัมพันธ์ระหว่างพี่กับเขาจะไม่ได้เลวร้ายอะไร…เพราะงั้นผมเลยสงสัยว่าระหว่างพี่กับหมอนั่นเป็นความสัมพันธ์แบบไหนกันแน่”
จะว่าไปแล้วหมอนั่นยังเคยตั้งใจยุให้เราแตกกันด้วย
ซึงจูกลืนคำพูดต่อท้ายกลับลงคอไป เพราะถ้าเขาพูดแบบนั้นออกไปก็จะดูเหมือนเป็นการพยายามทำลายความสัมพันธ์ระหว่างมูฮึนกับอีกฝ่าย ต่อให้มันจะเป็นแค่การพูดความจริงโดยไม่ได้มีเจตนายุแยง แต่ซึงจูก็ไม่อาจมองข้ามความเป็นไปได้ว่าบางทีในใจเขาก็อาจจะมีเจตนาไม่ดีแฝงอยู่ด้วยเหมือนกัน
“อืม…”
มูฮึนเบนสายตามองไปทางอื่นครู่หนึ่งเหมือนกำลังเลือกคำพูด เขาเงียบอยู่อย่างนั้นสักพักก่อนจะยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ
“ในเมื่อเด็กน้อยเลือกที่จะทำแบบนั้นก็ต้องยอมปล่อยไปล่ะนะ”
“…”
เด็กน้อย?
ซึงจูชะงักกับคำนั้นไปโดยอัตโนมัติพลางลดสายตาลงอย่างครุ่นคิด
การมีรายชื่ออยู่ในสมาพันธ์มือปราบวิญญาณจะเกิดขึ้นได้หลังจากบรรลุนิติภาวะและได้รับการยอมรับในความสามารถแล้วเท่านั้น ทั้งนี้ก็เพื่อคัดกรองบุคคลที่บังเอิญเกิดในตระกูลมือปราบวิญญาณแต่กลับไม่มีพรสวรรค์ออกไป และในบางครั้งก็มีกรณีที่มีคนถูกเสนอชื่อเข้าร่วมตั้งแต่แรกเกิด แต่ต่อให้จะเป็นกรณีนั้น การทำกิจกรรมในฐานะมือปราบวิญญาณอย่างจริงจังจะเริ่มขึ้นได้ก็ต่อเมื่ออายุครบยี่สิบปี
ดังนั้นสุดท้ายแล้วมันก็หมายความว่าควางชิกต้องบรรลุนิติภาวะแล้วแน่ๆ ต่อให้จะเด็กแค่ไหนก็น่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับซึงจูที่เพิ่งอายุยี่สิบ ในสายตามูฮึนที่อายุมากกว่าถึงสิบปีแล้ว หมอนั่นอาจจะยังเป็นแค่เด็กก็จริง แต่ในความรู้สึกของเด็กอย่างเขาที่ได้ฟังก็อธิบายเป็นคำพูดไม่ถูกเหมือนกัน
“แล้วหมอนั่นขอให้นายช่วยอะไรล่ะ ซึงจู”
“หมอนั่นบอกว่าต้องการความช่วยเหลือจากพี่ในการล้มล้างสมาพันธ์ก็เลยมาขอให้ผมช่วยโน้มน้าวพี่”
ซึงจูพยายามสะกดกลั้นความรู้สึกที่ว้าวุ่นและทำเสียงให้นิ่งที่สุด ก่อนจะพูดเสริมอีกว่าไม่ได้ซักไซ้ไปถึงขั้นที่ว่าหมอนั่นต้องการความช่วยเหลือแบบไหน มูฮึนจึงยกยิ้มมุมปากพลางเอียงคอถาม
“แล้วนายจะโน้มน้าวพี่ไหม”
“ไม่ครับ”
เมื่อซึงจูตอบกลับไปอย่างหนักแน่น รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนริมฝีปากของมูฮึนก็ชัดขึ้นอีกเล็กน้อย จากนั้นซึงจูก็พูดเหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไรทั้งที่สีหน้าไม่เปลี่ยน
“ยังไงพี่ก็คงจะจัดการเองได้อยู่แล้วนี่?”
ซึงจูไม่ใช่คนที่มีความสามารถทางด้านวิญญาณ อีกทั้งไม่ใช่ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับทางสมาพันธ์ด้วย ถึงแม้ว่าในอนาคตเขาอาจจะต้องรับช่วงต่อจากตระกูล (แน่นอนว่าซึงจูไม่คิดจะทำแบบนั้น) แต่เขาก็ยังไม่ได้มีอำนาจในหลายๆ ส่วนของสมาพันธ์ เพราะแบบนั้นเขาจึงคิดแค่ว่าจะเล่าทุกอย่างไปตามที่ควางชิกพูด และยกหน้าที่ในการตัดสินใจทุกอย่างให้กับมูฮึน
“อีกอย่างถึงผมจะบอกให้ช่วย มันก็ไม่ใช่เรื่องที่พี่ต้องช่วยนี่ครับ”
“อ๋อ…นี่นายคิดแบบนั้นเหรอ”
มูฮึนยิ้มบางๆ พร้อมกับยื่นมือมาเหนือศีรษะของซึงจู พอซึงจูเงยหน้ามองตามมือเขาไปโดยอัตโนมัติ มูฮึนก็ใช้นิ้วชี้จิ้มลงตรงกลางหน้าผากเหมือนกับจะบอกให้อยู่เฉยๆ จากนั้นมือที่เอื้อมมาก็ช่วยหยิบเศษด้ายที่ติดอยู่บนเส้นผมออกให้ ก่อนจะขยับออกห่างไปอีกครั้ง
“ถ้านายออกปากขอให้ช่วย พี่ก็ต้องช่วยอยู่แล้วสิ ซอซึงจูของพี่ออกปากทั้งคนนี่นา ไม่ใช่คนอื่นคนไกลที่ไหนสักหน่อย”
ซึงจูรู้สึกแปลกๆ กับคำพูดนั้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแค่คนฟังคือซึงจู หรือเพราะคนฟังเป็นถึง ‘ซอ’ ซึงจูกันแน่ แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน มันก็เป็นการตั้งคำถามที่เปล่าประโยชน์มาตั้งแต่แรก
“พี่พูดแบบนี้เพราะรู้ดีว่าผมจะไม่ทำแบบนั้นใช่ไหมครับ”
ถึงซึงจูจะแกล้งพูดทีเล่นทีจริง แต่มูฮึนกลับไม่ขำเลยสักนิด เขาแค่ตอบกลับมาด้วยท่าทีสบายๆ เหมือนพูดในสิ่งที่แน่นอนอยู่แล้ว
“อืม…ถ้าจู่ๆ เด็กที่ไม่เคยขอให้ช่วยอะไรมาขอให้ช่วยก็คงจะมีเหตุผลอะไรสักอย่างแหละ”
“…”
มันคล้ายกับความเชื่อมั่นที่ซึงจูมีต่อมูฮึน ความเชื่อมั่นที่ให้ความรู้สึกประมาณว่า ‘คิมมูฮึนว่าไงก็ว่างั้น’ แต่พอมาอยู่ในฐานะของคนที่ได้รับความรู้สึกแบบนั้นแล้ว ซึงจูก็กลับรู้สึกแปลกเอามากๆ
“แล้วพี่จะทำยังไงครับ”
ปกติแล้วซึงจูคงไม่ถาม แต่สุดท้ายก็ถามออกไปเพราะทนความเคอะเขินไม่ไหว
ซึงจูนึกว่าจะได้รับคำตอบกลับมาทันทีว่าไม่สนใจ แต่มูฮึนกลับไม่พูดอะไรอยู่พักหนึ่ง กระทั่งเวลาผ่านไปพักใหญ่เขาถึงได้ปริปากในที่สุด
“ซึงจูยา”
มูฮึนเอ่ยเรียกเขาเสียงเบาก่อนจะคลี่ยิ้มบาง ทั้งที่มันเป็นรอยยิ้มที่สวยงามและสมบูรณ์แบบราวกับวาดขึ้น แต่นั่นกลับยิ่งทำให้ซึงจูรู้สึกสงสัยขึ้นมา
จะบอกว่าเหมือนพวกนักต้มตุ๋นหรือพวกเผยแพร่ลัทธิประหลาดดีนะ
มูฮึนขยับริมฝีปากอย่างเชื่องช้า ใบหน้าของเขาเปื้อนยิ้มที่ดูสดใสถึงขนาดที่ต่อให้จะจิตใจด้านชาขนาดไหนก็ต้องโดนสะกด
“พี่กำลังจะได้ขึ้นเป็นประธานสมาพันธ์”
และนี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ซึงจูได้ยินแล้วคิดว่าตัวเองคงเสียสติไปแล้ว
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน ค่ำคืนของนักล่า (อสูร) คิมมูฮึน เล่ม 2
วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub และร้านหนังสือทั่วไป
รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่
Meb / OOKBEE / Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN
Comments
