ทดลองอ่าน ค่ำคืนของนักล่า (อสูร) คิมมูฮึน เล่ม 3 บทที่ 15 – 1 ถึง 15 – 2 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน ค่ำคืนของนักล่า (อสูร) คิมมูฮึน เล่ม 3 บทที่ 15 – 1 ถึง 15 – 2 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่านเรื่อง ค่ำคืนของนักล่า (อสูร) คิมมูฮึน เล่ม 3

ผู้เขียน : Oneulbom

แปลโดย : Kitti B.

ผลงานเรื่อง : ค่ำคืนของนักล่า (อสูร) คิมมูฮึน

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

15-1

คืนที่ไหลบ่า

 

ถ้าคิมมูฮึนรู้เข้าจะมีปฏิกิริยายังไงนะ

ทั้งที่เป็นคนดั้นด้นมาถึงสมาพันธ์ด้วยตัวเองแท้ๆ แต่ในหัวของซึงจูตอนนี้กำลังคิดหนัก อันที่จริงมันดูใกล้เคียงกับการคาดคะเนมากกว่าการคิดหนัก เพราะเขาคิดว่าคราวนี้มูฮึนอาจจะโกรธจริงๆ

ซึงจูยังไม่เคยเห็นมูฮึนตอนโกรธเลยสักครั้ง อย่าว่าแต่จะบ่นเลย แค่ตำหนิสักครั้งก็ยังไม่เคย และยังเป็นคนที่ไม่แม้แต่จะชักสีหน้าหรือตะคอกเสียงดัง ไม่ใช่เพราะเขานิสัยดีเหมือนมูรยอง แต่เพราะเป็นผู้ใหญ่พอที่จะรู้จักควบคุมความโกรธของตัวเอง

ยิ่งไปกว่านั้นมูฮึนยังเป็นพี่ชายใจดีอย่างหาที่สุดไม่ได้สำหรับซึงจูเสมอ ต่อให้เมาแล้วเผลอไปตบหน้าก็คงจะไม่โกรธ ซึงจูคิดแบบนั้นมาโดยตลอด นั่นก็เพราะแม้เขาจะเคยลองด่าด้วยคำหยาบและใช้คำพูดไม่สุภาพ แต่อีกฝ่ายก็ไม่แสดงท่าทีโมโหออกมาเลยสักนิด แต่เขาไม่มั่นใจว่าเรื่องครั้งนี้จะทำให้มูฮึนโกรธหรือเปล่า

แต่ต่อให้มูฮึนเป็นคนแบบนั้นก็ยังมีเรื่องที่คนอื่นแตะต้องไม่ได้ นั่นก็คือความปลอดภัยของกลุ่มคนเพียงไม่กี่คนที่เขาต้องปกป้อง และหนึ่งในนั้นก็คือความปลอดภัยของซึงจูผู้ที่เขาหวงแหนราวกับไข่ในหิน บางทีใบหน้าโกรธเกรี้ยวที่ไม่เคยได้เห็นเลยสักครั้งของเขา ซึงจูอาจได้เห็นตอนที่ตัวเองได้รับบาดเจ็บก็ได้

และตอนนี้ซึงจูกำลังวิ่งออกไปนอกรั้วที่มูฮึนสร้างไว้ด้วยเท้าของตัวเอง ซึงจูมั่นใจว่ามูฮึนต้องตำหนิที่เขาทำอะไรตามอำเภอใจก่อนจะตัดสินว่าการกระทำของเขาถูกหรือผิด แม้ซึงจูจะไม่เสียใจกับการกระทำของตัวเอง แต่แน่นอนว่ามูฮึนเองก็ไม่คิดจะเสียใจกับการกระทำของตัวเองเหมือนกัน

คราวนี้ต้องโกรธจริงๆ แน่ ไม่สิ…น่าจะถึงขั้นโมโหเลยแหละ

ต่อให้จะไม่ได้ตะคอกออกมาเสียงดัง แต่ก็คงจะโกรธจนต้องคุมสีหน้าและข่มอารมณ์ไว้อยู่คนเดียว ซึงจูคิดว่าตัวเองก็ต้องอดทนให้ได้เหมือนกัน

ทั้งที่ประหม่าราวกับเด็กน้อยที่กำลังจะโดนดุ ซึงจูก็ยังสงสัยใคร่รู้ในด้านที่ยังไม่เคยเห็นของอีกฝ่าย ตอนแรกหลังตัดสินใจไปแล้ว เขาก็คิดว่าไม่ว่าอีกฝ่ายจะว่าอย่างไร เขาก็จะไม่สนใจอะไรทั้งนั้น แต่พอเอาเข้าจริงเขาก็กังวลเล็กน้อย แม้จะมีสิ่งที่อยากพูดกับอีกฝ่ายมากมายเท่าภูเขา แต่เขาก็ประหม่าจนไม่อาจเรียบเรียงคำที่จะต้องพูดได้เลย

“ถึงยังไงก็คงต้องดูสีหน้าก่อน”

ซึงจูขมวดคิ้วพลางจ้องมองประตูตรงหน้านิ่ง หลังยืนอยู่หน้าประตูประมาณห้านาทีก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใดตอบกลับมาจากภายในห้องที่เขาเคาะประตูเลยสักนิด พอลองเคาะประตูให้ดังขึ้นอีกเล็กน้อยก็ไม่รู้สึกว่ามีใครอยู่ในห้องเลย

“ไม่ได้อยู่ข้างในหรือเปล่านะ”

ไหนบอกว่าอยู่ที่นี่ไง

คนที่ต้องโทษอยู่แถมสภาพร่างกายก็ไม่ค่อยดีคงไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องออกไปข้างนอกยามค่ำคืน และดูจากการที่ประธานสมาพันธ์ไม่ได้พูดอะไรแล้วก็ไม่น่าจะมีงานอะไร

หรือว่าจะหลับอยู่

แต่มูฮึนไม่ใช่คนตื่นยากขนาดนั้น ถ้าหลับอยู่ป่านนี้ก็คงจะตื่นขึ้นมาแล้ว การที่อีกฝ่ายไม่เปิดประตูอาจเป็นการจงใจเมินก็เป็นได้

“…”

ซึงจูยกมือขวาขึ้นแล้วหันมองรอบโถงทางเดินครู่หนึ่ง แม้ว่าแต่ละห้องจะมีระยะห่างจากกันอยู่พอควร แต่ถ้าเคาะประตูต่อไปแบบนี้คนที่อยู่ห้องอื่นคงได้ตื่นกันหมดแน่ และเนื่องจากว่าเขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ในห้องจริงหรือเปล่า จึงไม่อาจตะโกนว่า ‘พี่ นี่ผมเองครับ!’ ออกไปได้

ซึงจูควานกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบมือถือออกมาอย่างช่วยไม่ได้ อันที่จริงแค่เขาโทรหาอีกฝ่ายตั้งแต่แรกก็น่าจะจบเรื่องแล้ว แต่เขาก็มัวลังเลเพราะความประหม่าที่ไม่รู้สาเหตุ มันเป็นความรู้สึกเหมือนตอนนั้นที่เขาไปหามูฮึนถึงที่คนเดียว ซึ่งเขาจำไม่ได้แน่ชัดว่าเมื่อไหร่

“นี่คือความรู้สึกอะไรกัน…”

ไม่รู้ว่าการที่เขารู้สึกแบบนี้เป็นเพราะที่ผ่านมาระหว่างพวกเขาไม่ค่อยได้คุยโทรศัพท์กันหรือเปล่า เวลาต้องโทรหาอีกฝ่ายทีไร เขาก็จะรู้สึกละล้าละลังแบบนี้ทุกที เพราะการพูดคุยโดยไม่เห็นหน้าเป็นสิ่งที่เขารู้สึกไม่คุ้นชินเอาเสียเลย และถึงจะรู้อยู่แล้วว่ามูฮึนคงไม่มีทางเมินสายเขา แต่ถ้ามูฮึนไม่รับสาย เขาก็คงจะผิดหวังน่าดู

 

‘พี่คิมมูฮึน’

 

หลังกดหมายเลขสิบหลักที่คุ้นเคยแล้วกดปุ่มโทรออก ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอก็ชวนให้รู้สึกไม่คุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก เขาไม่รู้ว่าควรพูดทักทายออกไปด้วยประโยคที่ว่า ‘ไม่ได้คุยกันนานเลยนะครับ’ ดีไหม เนื่องจากไม่ได้เจอหน้ากันมาหลายวัน ดังนั้นจึงอดที่จะรู้สึกแปลกไม่ได้

ตู๊ด…

เสียงรอสายดังขึ้น ซึงจูมองป้ายหมายเลขห้องทั้งที่มือถือยังคงแนบอยู่กับหู

หมายเลขสองหนึ่งสี่…ตรงกับวันเกิดพี่เขาเลยแฮะ

หลังคิดขึ้นมาได้แบบนั้น ไม่นานนักเสียงรอสายก็เงียบไป

“ไง…”

เฮ้อ…เดจาวูชัดๆ

ซึงจูกลืนน้ำลายหนืดลงคอเมื่อจู่ๆ ก็คิดขึ้นมาได้แบบนั้น น้ำเสียงที่ทุ้มต่ำและแหบพร่ากว่าปกติฟังดูคล้ายกับน้ำเสียงที่ได้ยินผ่านทางโทรศัพท์ในวันที่เขายืนอยู่หน้าออฟฟิศเทลของอีกฝ่าย มันเป็นน้ำเสียงที่ฟังดูไร้ชีวิตชีวาและไม่มีเรี่ยวแรงกว่าปกติ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความง่วงงุน หรือเป็นเพราะอ่อนเพลียกันแน่

“เวลารับโทรศัพท์ไม่คิดจะดูหน่อยเหรอครับว่าปลายสายคือใคร”

“…”

มูฮึนได้แต่เงียบโดยไม่ตอบอะไร ความเงียบไม่ใช่สิ่งที่ซึงจูรู้สึกไปเอง หลังจากเงียบอยู่พักใหญ่ มูฮึนก็พูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลกว่าปกติ

“ทำไมยังไม่นอนอีก ซึงจูยา”

น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนไปหลังจากได้รู้ว่าคนที่โทรมาคือซึงจู ดูเหมือนว่าเขาจะรับสายโดยไม่ได้ดูชื่อคนที่โทรมาจริงๆ

“รีบนอนได้แล้ว นี่มันดึกแล้วนะ”

ปกติเวลานี้ซึงจูคงนอนหลับปุ๋ยไปแล้ว มูฮึนเองก็คงจะรู้ความจริงข้อนี้ดี แม้จะไม่ใช่เวลาที่ถือว่าดึกสำหรับเหล่ามือปราบวิญญาณ แต่สำหรับคนปกติทั่วไปอย่างซึงจูแล้ว นี่เป็นเวลาที่ถือว่าดึกสุดๆ ดึกจนเรียกว่ากลางคืนไม่ได้ แต่ต้องเรียกว่าเกือบจะเช้ามืด

“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”

“…”

คราวนี้ซึงจูเป็นฝ่ายลืมสิ่งที่จะพูดไปเสียสนิท ทั้งที่ตัวเองเป็นฝ่ายรับโทษแท้ๆ แต่ยังมาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบคนอื่นหน้าตาเฉยอีก คนที่ต้องถามคำถามนั้นควรจะเป็นเขามากกว่ามูฮึนที่น่าจะอยู่อีกฝั่งของประตูบานนี้

“ผมได้ยินว่าพี่ได้รับโทษ”

เพราะไม่กล้าพอที่จะมองหน้า ซึงจูจึงถามผ่านทางโทรศัพท์แทน เขาเปิดปากพูดช้าๆ พลางจ้องมองป้ายหมายเลขห้องไม่วางตาราวกับว่ามันคือใบหน้าของมูฮึน

“ผมได้ยินมาจากคุณป้าน่ะครับว่าพี่ต้องลงไปอยู่ต่างเมืองชั่วคราว แล้วก็ยังไม่รู้ด้วยว่าจะได้กลับมาเมื่อไหร่”

ทั้งที่ได้ยินเรื่องนั้นมาหลายวันแล้ว แต่เขาก็ยังคงรู้สึกปวดใจอยู่ ถ้าไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นตั้งแต่แรก เขาก็คงไม่ต้องมาหาอีกฝ่ายถึงที่นี่ และก็จะได้ไม่ต้องมาน้อยใจและโกรธเคืองมูฮึนที่ทิ้งเขามาโดยไม่ได้บอกอะไรสักคำ

“เรื่องของผมเอง ผมก็ได้ยินมันมาจากผู้ใหญ่แล้วนะครับ คุณป้าบอกให้ผมอยู่แต่ในบ้านสักพัก”

“…”

“พี่ครับ…”

“อืม ซึงจูยา”

มูฮึนตอบกลับเสียงเรียบราวกับบอกว่ากำลังฟังอยู่ น้ำเสียงนั้นฟังดูเหมือนเป็นการอนุญาตให้ซึงจูพูดออกมาเรื่อยๆ ได้เลย ถึงแม้ว่าจู่ๆ ซึงจูจะโทรมาแล้วเอาแต่พูดอยู่ฝ่ายเดียวก็ตามที ซึงจูจึงถามเสียงอ่อนด้วยความรู้สึกอัดอั้น

“พี่ทำแบบนี้เพราะรู้ทุกอย่างอยู่แล้วสินะ”

มันเป็นคำถามที่รวมความสงสัยมากมายเอาไว้

พี่รู้เรื่องที่ตัวเองจะต้องถูกลงโทษอยู่แล้วใช่ไหม รู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าเราจะไม่ได้เจอหน้ากันสักพัก พี่เตรียมทุกอย่างไว้ตั้งแต่แรกเพื่อความปลอดภัยของผม และบอกให้พ่อแม่สั่งผมให้อยู่แต่ในบ้านใช่ไหม ตั้งแต่ก่อนที่เราจะไปสุสานประจำตระกูล กระทั่งวินาทีที่พี่ฆ่าอสูรตนนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดพี่เป็นคนเตรียมการทุกอย่างใช่ไหม นั่นสิ…ทั้งที่รู้ความจริงทั้งหมด แต่กลับไม่บอกอะไรผมสักคำเลยเนี่ยนะ

“พี่เองก็ไม่ได้รู้ไปหมดทุกเรื่องหรอกนะ”

คำตอบที่ฟังดูไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรเลยถือเป็นคำตอบที่ชัดเจนมากพอแล้ว ต่อให้ไม่รู้เรื่องทั้งหมด แต่เขาก็คงจะคาดเดาทุกอย่างได้ประมาณหนึ่ง

“นายโทรมาเพราะเรื่องนั้นเหรอ”

“…”

“พี่นึกว่านายโทรมาเพราะคิดถึงพี่ซะอีก…”

มูฮึนหัวเราะเบาๆ ต่อท้ายประโยค เขาไม่ได้หัวเราะเพราะความตลก เพียงแค่พูดหยอกล้อเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศเท่านั้น

“นอนดึกเดี๋ยวจะไม่โตเอานะ”

“อายุขนาดนี้แล้ว จะโตได้มากอีกสักแค่ไหนกันครับ”

ซึงจูเถียงกลับโดยอัตโนมัติก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ อีกฝ่ายทำเหมือนเขาเป็นเด็กอยู่ได้ ทั้งที่สมัยมัธยมปลายเขาโตไวและตัวค่อนข้างสูงมากแล้ว แต่ถ้าเขาคิดจะผ่อนคลายบรรยากาศที่ตึงเครียดก็ถือว่าทำสำเร็จ แม้จะคิดว่ามันน่าหงุดหงิดอยู่หน่อยๆ แต่สุดท้ายซึงจูก็ยอมเปิดปากในที่สุด ทว่าดูเหมือนเหตุผลที่ซึงจูรู้สึกประหม่าจะต่างไปจากที่มูฮึนคิดไว้

“ตอนนี้ผมอยู่ที่สมาพันธ์ครับ”

พูดแค่นี้ ทำไมถึงได้ยากนักนะ

ทั้งที่เตรียมใจก่อนจะมาถึงที่นี่แล้วแท้ๆ ไม่นึกเลยว่าพอมาหยุดยืนตรงหน้าประตูบานนี้ เขากลับไม่มีความกล้าพอที่จะเจอหน้าอีกฝ่าย ไม่สิ…จะว่าไปแล้วเขาก็ประหม่าทุกครั้งก่อนที่จะได้เจอมูฮึน

“พี่อยู่ห้องสองหนึ่งสี่ใช่ไหมครับ”

“…”

“ผมยืนอยู่หน้าห้องแล้ว…”

แกร๊ก…

จู่ๆ ประตูห้องก็เปิดออกทั้งที่ยังไม่ทันพูดจบ ซึงจูเกือบจะถูกประตูที่เปิดออกมากระแทกจึงผงะถอยหลังไปเล็กน้อยด้วยความตกใจ เสียงรอบตัวที่คล้ายกันดังออกมาจากโทรศัพท์ และในขณะเดียวกันใบหน้าที่แสนคุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นระหว่างช่องว่างของประตูที่เปิดออก

“…”

“…”

มูฮึนหอบหายใจเล็กน้อยซึ่งไม่ว่าใครมองก็ดูออกว่ารีบร้อนมาเปิดประตู เส้นผมสุขภาพดีดูยุ่งไม่เป็นทรงกว่าปกติ สายตาที่มองซึงจูก็ดูเหม่อลอยอย่างบอกไม่ถูก ทันทีที่สบตากัน ในหัวก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นสีขาวโพลน ซึงจูทำอะไรไม่ถูกจึงรีบแก้ตัว

“ผมเคาะแล้วนะ”

“…”

“แต่คิดว่าพี่น่าจะไม่ได้ยิน…”

ก็เลยโทรหา…

ไม่จำเป็นต้องพูดจนจบถึงตรงนั้น เพราะจู่ๆ มูฮึนที่ยังเอามือถือแนบหูอยู่ก็ยื่นมืออีกข้างออกมาช้าๆ ก่อนที่ปลายนิ้วมือนั้นจะค่อยๆ เลื่อนมาสัมผัสแก้มของซึงจู

“…”

สัมผัสชวนจักจี้ราวกับมีขนนกเฉียดผ่านทำให้เปลือกตาของซึงจูขยับไหว จากแก้มสู่ปลายคาง จากปลายคางสู่ริมฝีปาก และหลังจากค้างอยู่ที่บริเวณริมฝีปากอย่างอ้อยอิ่ง ปลายนิ้วนั้นก็เลื่อนกลับขึ้นไปที่เปลือกตาซ้าย แม้จะเป็นสัมผัสที่ไม่อาจคาดเดาเจตนาได้ แต่ก็เป็นสัมผัสที่อ่อนโยนจนยากจะปฏิเสธ

หลังเอาแต่ลูบไล้ใบหน้าของซึงจูอย่างทะนุถนอม ไม่นานนักมูฮึนก็กุมใบหน้าของซึงจูไว้ด้วยฝ่ามือ ก่อนจะสัมผัสทั่วใบหน้าของซึงจูอย่างแนบชิดกว่าเก่า โดยใช้นิ้วโป้งไล้ไปที่บริเวณโหนกแก้มและนิ้วกลางกับนิ้วก้อยไล้อยู่ข้างติ่งหู

“นาย…”

ทว่าในตอนท้ายของสัมผัสที่อ่อนโยนจนชวนให้รู้สึกแปลกๆ นั้นเอง มูฮึนก็แสดงท่าทีที่ซึงจูไม่คาดคิดออกมา เมื่อจู่ๆ สีหน้าของมูฮึนก็พลันบึ้งตึงราวกับถูกน้ำเย็นสาดใส่ น้ำเสียงเย็นชาที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนถูกเอื้อนเอ่ยออกมาจากริมฝีปากที่เคลื่อนไหวช้าๆ ของเขา

“นายมาทำอะไรที่นี่”

แม้น้ำเสียงจะเย็นเยียบจนน่าขนลุก แต่ซึงจูก็ไม่ได้ตอบกลับ เพราะบรรยากาศที่แผ่ออกจากตัวมูฮึนดูไม่ปกติเกินกว่าที่จะเปิดปากพูดได้ มูฮึนค่อยๆ ละมือจากใบหน้าซึงจูพลางพึมพำเสียงเบาเหมือนไม่อยากจะเชื่อกับภาพตรงหน้า

“แล้วมาที่นี่ได้ยังไง…”

“ก่อนอื่นเราเข้าไปคุยกันข้างในดีไหมครับ”

จะให้ยืนคุยกันตรงนี้ก็ยังไงอยู่ ทันทีที่ซึงจูพูดออกไปด้วยความคิดแบบนั้น มูฮึนก็หันมองไปรอบๆ ก่อนจะคว้าข้อมือของซึงจูแล้วดึงเข้าไปด้านใน แม้เขาจะไม่ได้ออกแรงเท่าไหร่ แต่ซึงจูก็ถูกดึงเข้าไปในห้องอย่างง่ายดาย

ไฟก็ไม่เปิด…

ภายในห้องมืดมากจนมองเห็นเพียงแค่เงารางๆ เท่านั้น แต่ก็เพียงแค่ชั่วครู่ เพราะทันทีที่มูฮึนปิดประตู ทุกอย่างก็มืดสนิท

“…”

ปัง…

หลังปิดประตู มูฮึนก็แปะอะไรบางอย่างที่บานประตูเสียงดังกรอบแกรบ มันน่าจะเป็นยันต์ แม้ตอนนี้ซึงจูจะไม่สามารถสัมผัสอะไรได้แล้ว แต่เขาก็พอจะเดาได้ว่ามันคือส่วนหนึ่งของเขตอาคม

เพราะแบบนี้เลยไม่ได้ยินเสียงเคาะประตูสินะ

วินาทีที่ซึงจูคิดแบบนั้น มูฮึนก็ถามขึ้นอีกครั้ง

“มาที่นี่ได้ยังไง”

“เอ่อ…”

น้ำเสียงที่เคยอ่อนโยนฟังดูเย็นเยียบกว่าก่อนหน้านี้เป็นเท่าตัว ต่อให้รอบด้านจะมืดมิดจนมองไม่เห็นหน้า แต่ซึงจูก็มั่นใจว่ามูฮึนกำลังจัดการอารมณ์ด้านลบของตัวเองอยู่ ฟังจากสิ่งที่เขาถามตอนยืนอยู่หน้าประตูก็รู้สึกได้ว่าเขาตื่นตกใจอยู่ไม่น้อย

“หัวหน้าทีมอียุนฮีพาผมมาครับ”

ขอให้เปิดไฟดีไหมนะ

พอซึงจูตอบอย่างใจเย็นพลางคิดเช่นนั้น มูฮึนก็ถามกลับด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยียบขึ้นอีกระดับ

“อียุนฮี?”

“ผมไม่ได้ถูกลักพาตัว ผมเป็นคนขอร้องให้เธอพาผมมาเองครับ”

ซึงจูรีบพูดเสริมเนื่องจากกลัวว่ายุนฮีจะเดือดร้อนไปด้วย เพราะจู่ๆ ก็นึกถึงยุนฮีที่ทำสีหน้าไม่สบอารมณ์พลางพูดว่าไม่อยากเจอหน้ามูฮึนขึ้นมาได้ ซึงจูชำเลืองมองรอบๆ ก่อนจะเหลือบตาขึ้นมองไปยังจุดที่มูฮึนยืนอยู่

“ผมบอกพ่อแม่ก่อนออกมาด้วยครับ ผมเขียนโน้ตทิ้งไว้แล้ว…”

ทั้งๆ ที่ตั้งใจว่าจะทำใจดีสู้เสือ แต่พอเอาเข้าจริงเขาก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตาพูด แม้จะใจกล้าถ่อมาถึงสมาพันธ์อย่างไม่เกรงกลัวอะไร แต่เขาก็รู้สึกว่ามูฮึนที่มองไม่เห็นหน้าในตอนนี้น่ากลัวกว่าปกติเป็นไหนๆ แม้ว่าคำว่า ‘น่ากลัว’ จะไม่เข้ากับมูฮึนก็ตามที

“…พอตื่นมา พวกท่านก็คงจะเห็น”

ซึงจูพูดต่ออย่างไม่ค่อยมั่นใจสักเท่าไหร่พลางลอบสังเกตท่าทีของมูฮึน ซึงจูมีสายตาเหมือนคนปกติทั่วไป เพราะอย่างนั้นไม่ว่าจะมองอย่างไรก็มองไม่เห็นเลยสักนิดว่ามูฮึนกำลังมีสีหน้าแบบไหน

“พี่ครับ ช่วยเปิดไฟ…”

“ห้ามมาที่สมาพันธ์ตามอำเภอใจ”

มูฮึนตัดบทซึงจูด้วยการเตือนอย่างจริงจัง แม้น้ำเสียงจะไม่ได้ฟังดูโกรธเกรี้ยว แต่บรรยากาศที่แผ่ออกมาจากตัวเขาก็ยังคงไม่ปกติ พอซึงจูหรี่ตามองอย่างจับสังเกต มูฮึนก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่

“รู้บ้างหรือเปล่าว่าที่นี่มีคนเพ่งเล็งนายเยอะแค่ไหน”

แต่คำว่า ‘เพ่งเล็ง’ ก็ใช่ว่าจะมีความหมายในแง่ที่อันตรายเสมอไปนี่นา

แน่นอนว่าคนที่ประจบสอพลอเพื่อหวังความรักใคร่เอ็นดูจากนายน้อยตระกูลซอก็คงจะรวมอยู่ในนั้นด้วย

“รีบกลับบ้าน…”

“ผมคุยกับประธานสมาพันธ์แล้วครับ”

คราวนี้ซึงจูเป็นฝ่ายพูดตัดบท เขากลืนน้ำลายหนืดลงคอพลางพยายามสงบใจที่เต้นระส่ำ เพราะตอนนี้การที่ทุกอย่างรอบด้านมืดสนิทอาจเป็นโอกาสเดียวที่จะทำให้เขาสามารถพูดออกไปตามตรงได้

“ผมตอบตกลงเรื่องที่เขาขอให้ช่วยชำระวิญญาณอสูรไปแล้วครับ เขาบอกว่าจะส่งนักล่าอสูรที่เชื่อมือได้มาคอยคุ้มกัน ผมก็เลยขอให้เป็นพี่ ส่วนเรื่องที่ผมมองเห็นความทรงจำของพวกอสูรตอนชำระวิญญาณ ผมไม่ได้บอกเขา…”

ซึงจูพูดสิ่งที่เตรียมมายืดยาวราวกับอ่านหนังสือ เพราะเขาคิดว่าขืนหยุดพูดไปกลางคัน อีกฝ่ายคงได้คิดว่าเขากำลังสร้างเรื่องขึ้นมาเพื่อแก้ตัว ดังนั้นเขาจึงจำเป็นจะต้องเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้กระชับและชัดเจนที่สุด

“…เพราะงั้นจากนี้ไป พี่จะต้องคอยดูแลผมไปอีกสักพัก”

“…”

แม้ซึงจูจะพูดจนจบมาถึงตรงนี้แล้ว แต่มูฮึนก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับใดๆ ซึงจูจ้องมองตำแหน่งที่ใบหน้าของอีกฝ่ายน่าจะอยู่ตรงนั้นพลางข่มความประหม่าที่อัดแน่นอยู่เต็มอก มูฮึนคงจะมองเห็นใบหน้าเขาอยู่แล้ว เขาจึงไม่ลืมที่จะพยายามรักษาสีหน้าให้นิ่งสงบเข้าไว้

“เรื่องลงโทษอะไรผมไม่รู้ด้วยหรอก แต่อย่างน้อยพี่ก็ไม่ต้องไปต่างเมืองแล้ว”

อาจเป็นเพราะว่าสายตาเริ่มคุ้นกับความมืด ซึงจูจึงเริ่มมองเห็นใบหน้าของเขารางๆ ตั้งแต่สีหน้าที่ดูเย็นชาและแข็งกร้าวต่างไปจากปกติ รวมไปถึงริมฝีปากที่ขยับอ้าออกอย่างช้าๆ

“รู้ตัวไหมว่านายกำลังพูดอะไรอยู่”

น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาแผ่วเบาราวกับเสียงลมหายใจ ซึงจูจึงย้ำความจริงอีกครั้งอย่างใจเย็น

“ผมเจรจากับประธานสมาพันธ์มาแล้วครับ”

“…”

ซึงจูพูดออกไปเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ดูเหมือนมูฮึนจะไม่ได้คิดเช่นนั้น หลังเงียบไปครู่ใหญ่มูฮึนก็แค่นหัวเราะก่อนจะเปิดปากถาม

“ล้อกันเล่นใช่ไหม”

ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องตอบคำถามนั้น เพราะมูฮึนรู้ดีอยู่แล้วว่าสิ่งที่เขาพูดไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ซึงจูเสยผมที่ปรกหน้าไปด้านหลังก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาสั้นๆ

“ฮึ…”

โชคดีที่ไม่ได้เปิดไฟ

ซึงจูได้แต่คิดเช่นนั้นในใจ เพราะไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่อาจเผชิญหน้ากับมูฮึนแบบนี้ได้ หากได้เห็นแววตาที่เปลี่ยนไปของมูฮึน ต่อให้จะเป็นคนที่จิตใจแข็งแกร่งมากแค่ไหนก็คงต้องรู้สึกหวาดหวั่นอย่างแน่นอน

“ซึงจูยา”

มูฮึนเรียกซึงจูด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทว่าในน้ำเสียงนั้นกลับแฝงไปด้วยความรู้สึกอันหลากหลายที่ไม่อาจจัดการได้ คำถามที่เอ่ยออกมาเสียงแผ่วเบาหลังจากนั้นก็เช่นกัน

“นายไม่คิดถึงใจพี่ที่ไม่อยากให้นายเจอเรื่องอันตรายบ้างเหรอ”

ซึงจูไม่ถามว่าทำไมมูฮึนถึงพูดแบบนี้ เพราะเขารู้เหตุผลนั้นดีอยู่แล้ว

เพราะแบบนั้นก็เลยไม่คิดจะซักไซ้อะไรและได้แต่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงว่างเปล่าสินะ

ไม่ใช่ว่าซึงจูไม่รู้ถึงความรู้สึกนั้น แต่ถึงอย่างนั้นซึงจูเองก็มีสิ่งที่อยากจะพูดเหมือนกัน

“แล้วพี่ล่ะครับ”

“…”

“พี่เคยคิดถึงใจผมที่ไม่อยากให้พี่เจอเรื่องอันตรายบ้างไหม”

ซึงจูไม่ได้แค่อยากย้อนถามส่งๆ ตามอารมณ์ แต่ที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ซึงจูคิดแบบนั้นเสมอ พอเห็นเขาต้องคอยแบกรับและเผชิญกับเรื่องอันตรายเพียงลำพังมาโดยตลอดแล้ว ซึงจูก็อดที่จะรู้สึกอึดอัดใจไม่ได้หลายต่อหลายครั้ง

“ต่อให้เป็นพี่ก็ใช่ว่าจะรับมือไปได้ซะทุกเรื่องนะครับ”

“แต่เรื่องคราวนี้มันต่างกัน”

“ในสายตาผม มันเหมือนกันครับ”

น่าจะต้องบอกว่าเขาทั้งรู้สึกผิด รู้สึกเจ็บใจ และรู้สึกเหมือนถูกหักหลัง เขารู้สึกละอายกับความรู้สึกเหล่านั้นจนโมโห และสุดท้ายปลายทางของความรู้สึกเหล่านั้นก็พุ่งตรงไปที่มูฮึน

“ทำไมพี่ถึงได้เอาแต่คิดเองเออเองอยู่คนเดียวและไม่เคยฟังผมเลย ในเมื่อพี่ยังทำแบบนั้นได้ แล้วผมจะทำแบบนั้นบ้างไม่ได้หรือไง”

ทั้งที่รู้ดีว่ามันดูงี่เง่า แต่ซึงจูก็ยังเลือกที่จะพูดออกไปแบบนั้น เขามาหาอีกฝ่ายถึงสมาพันธ์แค่ครั้งเดียว แต่อีกฝ่ายกลับแสดงท่าทีเหมือนโลกจะพังทลายลงมาต่อหน้า

“ผมไม่ได้เดินเข้าไปหาเรื่องอันตราย ผมแค่ยอมให้ความร่วมมือกับคนพวกนั้นแค่ครั้งเดียวเท่านั้น”

“ซึงจูยา”

“ผมขอโทษที่ไม่เชื่อฟังคำพูดพี่ แต่…”

“ซอซึงจู!”

จู่ๆ มูฮึนก็ตะคอกเสียงดังทำเอาซึงจูตกใจจนเบิกตาโต หลังยืนเหม่อและนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ซึงจูก็ถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง

“พี่ตะคอกใส่ผมเหรอ…”

“…”

มูฮึนกัดริมฝีปากแน่นราวกับเสียใจกับการกระทำเมื่อครู่ของตัวเอง น่าขำที่พอเห็นท่าทีแบบนั้นของมูฮึนแล้ว ความรู้สึกเสียใจที่ไม่อาจกลั้นไหวก็พลันเอ่อล้นขึ้นมา เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะพูดแก้ตัว ซึงจูก็หลุดปากพูดไปโดยไม่รู้ตัว

“ถ้างั้นผมต้องทำยังไงเหรอครับ”

ซึงจูรู้ว่าตัวเองทำในสิ่งที่น่าถูกดุ ทำในสิ่งที่มูฮึนห้าม ซึ่งการกระทำเช่นนั้นอาจนำไปสู่สถานการณ์ที่อาจจะยุ่งยากกว่าเก่า และรู้ดีว่าถ้าอีกฝ่ายมีแผนการอื่นอยู่ สิ่งที่เขาเลือกทำลงไปก็อาจเป็นสิ่งที่ฉุดรั้งแผนการของอีกฝ่าย

“พี่ถูกลงโทษเพราะผม แล้วพี่ยังจะบอกให้ผมเอาแต่หมกตัวอยู่ในบ้านและรอจนกว่าพี่จะคลี่คลายเรื่องทุกอย่างได้เหรอครับ”

ถ้าพี่จะตัดสินใจเอาเองแบบนั้นก็บอกกันสักหน่อยสิ บอกผมว่าเกิดอะไรขึ้น บอกผมว่าผมต้องทำยังไง อย่างน้อยก็บอกหน่อยว่าผมต้องรออีกนานแค่ไหน

“พี่ไม่คิดว่าผมจะเป็นห่วงพี่บ้างเหรอครับ”

ยิ่งเห็นว่าพี่ทำทุกอย่างเพื่อผมแล้ว ในใจก็มีแต่จะยิ่ง…

“ตอนที่พี่เหนื่อยแทบตาย ตอนที่พี่อดหลับอดนอนจนขับรถไม่ไหว พี่คิดว่าผมไม่รู้สึกผิดหรือไม่รู้สึกอะไรเลยงั้นเหรอ”

ซึงจูจ้องมูฮึนเขม็งโดยไม่หลบตา แม้ภาพเบื้องหน้าจะค่อยๆ พร่าเลือน แต่ต่อให้จะพยายามข่มความขุ่นเคืองใจที่เอ่อล้นขึ้นมาแค่ไหน สุดท้ายมันก็มีแต่จะล้นทะลักออกมา ความสุขุมใจเย็นที่พยายามรักษาเอาไว้มาตลอดได้พังทลายลงราวกับความรู้สึกในใจบางอย่างระเบิดออกมา

“พี่จะทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กน้อยที่ไม่รู้ประสีประสาไปอีกนานแค่ไหนพี่ถึงจะพอใจ!”

ความเสียใจที่ถาโถมราวกับคลื่นซัดสาดเข้ามาในใจของซึงจูอย่างไม่หยุดพัก ถ้าเป็นไปได้ซึงจูเองก็ไม่ได้อยากตะคอกเสียงดัง แต่เสี้ยววินาทีนั้นซึงจูก็ไม่อาจข่มความเสียใจเอาไว้ได้

“ผมเองก็ไม่อยากให้เป็นแบบนั้น ผมไม่อยากให้ใครต้องตาย ไม่อยากให้ใครคอยกังวลว่าผมจะเป็นหรือตายยังไง ไม่อยากให้ใครต้องมาลำบากเพราะเรื่องแบบนั้น!”

ตอนที่พี่ชายกับพี่สาวตาย แน่นอนว่าซึงจูยังเป็นแค่เด็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นซึงจูก็อ่อนไหวและรู้สึกได้ถึงความโศกเศร้าของคนในครอบครัวไม่ต่างกัน พ่อแม่ที่เอาแต่ร้องไห้ทั้งวันทั้งคืน ครอบครัวบ้านข้างๆ ที่รู้สึกผิดจนร้องไห้ไม่ออก ภาพเหล่านั้นยังคงแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำของเขา

“พี่มั่นใจไหมว่าตัวเองจะไม่มีจุดจบแบบคุณลุง”

หลังพี่ชายและพี่สาวเขาตายไปได้หนึ่งปี คุณลุงผู้เป็นพ่อของมูฮึนที่สุขภาพแข็งแรงมาตลอดก็จากไปเพราะทำงานหนักเกินไปจนร่างกายรับไม่ไหว แม้คนในครอบครัวมูฮึนที่สูญเสียคนสำคัญไปจะสะเทือนใจกับเรื่องนั้นกว่ามาก แต่ในหัวใจของเด็กน้อยในตอนนั้นก็ตระหนักถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้

“พี่คิดว่าคนอย่างผมจะไม่กลัวเรื่องแบบนั้นงั้นเหรอ”

มนุษย์เราไม่ว่าจะเป็นใครหรือไม่ว่าเมื่อไหร่ต่างก็ต้องตายด้วยกันทั้งนั้น เพราะสิ่งที่เรียกว่าความตายนั้นว่างเปล่า เด็กน้อยในวันวานที่ไม่เคยรับรู้รสชาติที่แท้จริงของมันจึงรู้สึกแบบนั้นมาตลอด แต่แล้วเมื่อภาพที่เคยคิดมาตลอดว่าจะคงอยู่ไปชั่วนิรันดร์ได้แตกสลายไป ซึงจูก็รู้สึกกลัวอย่างที่ไม่อาจทนไหว

“ผมเองก็กลัวเป็นเหมือนกัน กลัวว่าใครจะทำพลาด กลัวว่าทุกคนจะมัวแต่ห่วงผมจนไม่ห่วงตัวเอง กลัวว่าทุกคนจะได้รับบาดเจ็บแล้วไม่บอกกัน! ทั้งๆ ที่ผมกลัวมาตลอด แต่ทำไมพี่ถึงไม่รู้อะไรบ้างเลย!”

ใช่แล้ว ซึงจูเองก็กลัวความตาย แต่เพราะทุกคนเป็นห่วงเขาจนวุ่นวายกันเสมอมา เขาจึงไม่อาจแสดงท่าทีอะไรออกไปได้ เพราะถ้าตัวเขาแสดงความกลัวออกไปอีกคน ทุกคนก็จะยิ่งกังวลมากกว่าเดิม ดังนั้นเขาจึงได้แต่รักษาท่าทีนิ่งเฉยและแสร้งทำเป็นไม่รู้สึกรู้สามาโดยตลอด

“ทำไมพี่ถึงได้…!”

ยังไม่ทันพูดจบ น้ำตาก็ไหลริน

“…”

“…”

ซึงจูเห็นว่ามูฮึนชะงักไปผ่านสายตาที่พร่าเบลอ หลังจากที่ซึงจูระบายความโกรธและมูฮึนเองก็ได้แต่ฟังสิ่งที่ซึงจูระบายออกมาอยู่เงียบๆ ก็ไม่มีใครเอ่ยปากพูดอะไรอีก ระหว่างนั้นมีเพียงแค่ซึงจูที่ห่อไหล่พลางสะอึกสะอื้นเบาๆ

“เฮ้อ…”

น่าขายหน้าชะมัด ทั้งที่ไม่อยากร้องไห้เหมือนเด็กน้อยเลยแท้ๆ เพราะพอร้องไห้ในเวลานี้ การกระทำของเราก็มีแต่จะดูงี่เง่า

“เฮ้อ เวรเอ๊ย…”

แม้จะพยายามกลั้นเอาไว้แค่ไหน แต่ลำพังแค่พยายามไม่ให้ไหล่สั่นไปตามแรงสะอื้นได้ก็ถือว่าเกินจะรับไหวแล้ว แม้จะยกมือข้างหนึ่งขึ้นปิดตา แต่น้ำตาที่เอ่อล้นก็ไม่มีวี่แววว่าจะหยุดไหลเลยสักนิด

หลังสะอึกสะอื้นจนหอบหายใจอยู่พักหนึ่ง ซึงจูก็เปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือทั้งที่ยังคงไม่เงยหน้าขึ้น

“ผมรู้ว่าผมคงช่วยอะไรไม่ได้”

“…”

“ผมรู้ดี…แต่ทั้งที่รู้แบบนั้น…”

แม้มูฮึนจะเคยบอกว่าตัวเองไร้ประโยชน์ แต่ซึงจูกลับคิดว่าคนที่ไร้ประโยชน์จริงๆ คือตัวเขาเอง เพราะเขาเป็นเพียงคนธรรมดา การที่ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้และทำได้แค่รอรับความช่วยเหลือในสถานการณ์เช่นนี้จึงเป็นความจริงที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลง แม้แต่การไปมหาวิทยาลัยเขายังต้องได้รับการคุ้มกันเลย แล้วแบบนี้คนอย่างเขาจะช่วยเหลืออะไรใครได้

“ผมว้าวุ่นใจมาก แต่จะให้ผมทำยังไงได้ล่ะ”

ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องทำอะไรสักอย่างเพราะรู้สึกว่าถ้าเอาแต่อยู่เฉยๆ คงได้เป็นบ้าแน่ เขามั่นใจว่าสิ่งที่เขาทำลงไปจะไม่เป็นอันตราย และมั่นใจด้วยว่ามันจะไม่สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น อันที่จริงเขาก็ไม่คิดว่าตัวเองทำผิดอะไรมากมาย เพราะอย่างน้อยในเชิงผลลัพธ์ก็ถือว่ามันประสบความสำเร็จ

“พี่คงไม่รู้สินะว่าทุกครั้งที่เป็นแบบนี้ผมคิดอะไร”

แต่มูฮึนกลับยังคงแสดงท่าทีราวกับโลกทั้งใบถล่มลงมา ซึงจูไม่อยากเห็นเขาในสภาพที่ดูไม่สบายใจเช่นนี้ก่อนที่จะพูดถึงเรื่องความถูกผิด

ถ้าตัวตนของผมมันทำให้พี่ไม่สบายใจล่ะก็…

“สู้ให้ผม…”

ซึงจูไม่อาจพูดให้จบประโยคได้ ส่วนหนึ่งเพราะมันเป็นคำพูดที่เขาไม่อาจพูดต่อหน้ามูฮึนได้ แต่อีกส่วนเป็นเพราะสัมผัสอันอบอุ่นที่โอบกอดร่างกายเขาไว้ก่อนที่เขาจะทันได้พูดออกไป เพราะจู่ๆ มูฮึนก็โผเข้ามาคว้าต้นคอแล้วดึงเขาเข้าไปกอดจนจมอกพลางซุกใบหน้าลงมา

“พี่ขอโทษ…”

“…”

“พี่ผิดไปแล้ว”

น้ำเสียงที่สงบลงดังเข้ามาในหู มูฮึนกดปลายคางลงบนผมพลางโอบกอดซึงจูแน่นขึ้นอีกเล็กน้อย น้ำเสียงที่เอ่ยตามหลังมาฟังดูกระวนกระวายใจอย่างบอกไม่ถูก

“พี่จะไม่โมโหและจะไม่ตะคอกใส่นายอีกแล้ว”

มันเป็นคำพูดที่จริงจังต่างไปจากปกติ ปลายนิ้วที่สั่นระริกขณะกำลังลูบต้นคอของซึงจูอย่างทะนุถนอมก็เช่นกัน หลังโอบไหล่ด้วยมืออีกข้าง มูฮึนก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาราวกับเสียงลมหายใจ

“เพราะงั้นอย่าพูดคำนั้นออกมาเลยนะ”

คำพูดนั้นฟังดูคล้ายกับกำลังอ้อนวอน เหมือนเขาพอจะรู้ว่าสิ่งที่ซึงจูตั้งใจจะพูดออกมาคืออะไร คนที่ความรู้สึกไวจนน่าตกใจคงจะรับรู้ถึงความรู้สึกของซึงจูได้อยู่แล้ว

“พี่คิดผิดเอง”

“…”

“พี่ขอโทษนะ”

มูฮึนพร่ำพูดคำว่าขอโทษซ้ำไปซ้ำมาราวกับไม่รู้จะพูดอะไรดี ขณะลูบหลังซึงจูอย่างทะนุถนอม เขาก็กอดซึงจูแน่นขึ้นอีกเล็กน้อยราวกับกลัวว่าซึงจูจะหลุดมือไป หลังจูบผมซึงจูอีกครั้ง เขาก็พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือราวกับกลัวว่าซึงจูจะร้องไห้ออกมาหนักกว่าเดิม

“ขอร้องล่ะ อย่าร้องไห้เลยนะ หืม?”

พอได้ยินคำปลอบที่บอกว่าอย่าร้องไห้ น้ำตาก็พานจะไหลออกมาหนักกว่าเดิม ทั้งที่คนที่กำลังร้องไห้คือซึงจู แต่สีหน้าของมูฮึนกลับดูแย่ยิ่งกว่าเสียอีก แต่ถึงอย่างนั้นฝ่ามือที่คอยลูบแผ่นหลังซึงจูก็ยังคงทำหน้าที่เป็นอย่างดี

“…”

พอรู้สึกเหมือนจะปล่อยโฮออกมาอีกครั้ง ซึงจูก็เกร็งคอพลางกัดริมฝีปากแน่น แต่มันก็เปล่าประโยชน์ เพราะเสียงสะอื้นอย่างน่าสงสารยังคงดังลอดออกมาทุกครั้งที่ผ่อนลมหายใจ พอเห็นซึงจูกำมือแน่นจนไหล่สั่นระริกไม่หยุด มูฮึนก็พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนกว่าเดิม

“พี่เป็นแบบนี้เพราะเป็นห่วง”

มันเป็นเหตุผลที่ซึงจูเองก็รู้ดีอยู่แล้ว ทว่าคำพูดที่ตามหลังมากลับเป็นสิ่งที่ซึงจูเพิ่งเคยได้ยินจากปากของมูฮึนเป็นครั้งแรก

“พี่เองก็กลัวเหมือนกัน…”

“…”

“เพราะงั้นพี่ถึงได้เป็นแบบนี้ ซึงจูยา”

ท้ายที่สุดแล้วแม้ว่าคำพูดนี้จะฟังดูเหมือนเป็นข้ออ้าง แต่ซึงจูก็รู้ว่ามันเป็นความจริงจากใจของมูฮึน พอรู้แบบนั้นแล้ว ทั้งที่ควรจะเกลียด แต่ซึงจูก็ทำใจเกลียดมูฮึนไม่ลง เพราะมูฮึนก็กลัวไม่ต่างจากเขา และเขาเองก็เป็นห่วงมูฮึนไม่ต่างจากที่มูฮึนเป็นห่วงเขาเช่นกัน

“ซึงจูของพี่เองก็กลัวเหมือนกันสินะ”

น้ำเสียงที่ปลอบโยนอย่างแผ่วเบาทำให้น้ำตาที่ฝืนกลั้นเอ่อล้นออกมา และในวินาทีที่ได้ยินคำพูดถัดมาของมูฮึน ความเสียใจที่เคยพรั่งพรูก็ยิ่งถาโถมหนักกว่าเดิม

“พี่ไม่เคยรู้เรื่องนั้นเลย พี่ขอโทษนะ”

“ฮึก…”

ความจริงแล้วเขากลัวมาโดยตลอด นับตั้งแต่ตอนที่ขึ้นรถมากับยุนฮีจนถึงที่สมาพันธ์ ตอนที่พูดคุยกับประธานสมาพันธ์ ตอนที่ยืนอยู่หน้าห้องของมูฮึน กระทั่งตอนที่ได้เจอใบหน้าที่คุ้นเคยแต่กลับต้องหาข้อแก้ตัวเพราะตกใจกับปฏิกิริยาตอบรับที่เย็นชาของมูฮึน ทั้งหลายนี้ไม่มีวินาทีไหนที่เขารู้สึกวางใจได้เลย

“ฮึก…ฮึก…”

ซึงจูจำไม่ได้ว่าไม่ได้ร้องไห้หนักแบบนี้นานแค่ไหนแล้ว สมัยเด็กเขาร้องไห้ทุกครั้งที่ถูกมูฮึนแกล้ง แต่หลังจากความคิดอ่านเริ่มโตเป็นผู้ใหญ่ เขาก็แทบไม่ร้องไห้อีกเลย ยิ่งร้องไห้ฟูมฟายในอ้อมกอดแบบนี้ยิ่งไม่มีอยู่ในความทรงจำ

“ผมน่ะ…ฮึก…”

ซึงจูเปิดปากอย่างยากลำบาก การจะเอ่ยอะไรออกไปสักคำมันไม่ง่ายเลย หลังสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ สองครั้ง ในที่สุดซึงจูก็พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

“ผมเคยบอกไปแล้วนี่ครับว่าผมชอบพี่…”

ซึงจูเอื้อมแขนออกไปโอบกอดเอวของมูฮึนช้าๆ ก่อนจะกำชายเสื้อพลางฝังใบหน้าลงกับต้นคอเขา เมื่อความโศกเศร้าเสียใจถาโถมเข้าใส่ไม่หยุด คำพูดที่เคยเก็บไว้ในใจก็พรั่งพรูออกมาไม่หยุดเช่นกัน

“ทั้งที่รู้ ฮึก…แต่พี่ก็ยังทำแบบนั้น”

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกำลังร้องไห้อยู่ หรือเป็นเพราะกำลังซุกใบหน้าอยู่กันแน่ แม้แต่ซึงจูที่เป็นคนพูดเองก็ยังรู้สึกว่าถ้อยคำที่พูดงึมงำออกมานั้นฟังดูน่าสงสารจับใจ

“ที่ผมเคยบอกว่าให้กลับไปเจอกัน ฮึก…แค่ปีละครั้งสองครั้งเหมือนเมื่อก่อน พี่รู้ไหมว่ามันหมายความว่ายังไง”

เขาไม่ได้หมายความว่าจะตัดความสัมพันธ์กันทั้งที่ยังแก้ไขอะไรไม่ได้อยู่แบบนี้ แต่เขาหมายความว่าหลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เขาจะเดินกลับไปสู่ช่วงเวลาในอดีตที่แสนสงบสุข กลับไปสู่ช่วงเวลาที่ความว้าวุ่นใจเพียงอย่างเดียวของเขามีแค่ความรู้สึกที่มีต่อมูฮึน กลับไปมีชีวิตประจำวันในแบบที่ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องความเป็นความตายในชีวิต

“ทำไมพี่ถึงชอบทิ้งให้ผมอยู่คนเดียวเรื่อยเลย…”

“…”

“ทำไมถึงได้เอาแต่ทิ้งกันอยู่เรื่อย…ฮึก”

ซึงจูปล่อยโฮพลางถูไถหน้าผากลงบนลาดไหล่ของมูฮึน แต่ความขุ่นเคืองกลับไม่สงบลงเลย เขาจึงทำได้เพียงกอดมูฮึนไว้แน่นราวกับจะทำให้ร่างของมูฮึนแหลกคาอ้อมกอด ทั้งที่มันไม่ต่างจากการระบายความโกรธเลยสักนิด แต่มูฮึนก็กอดเขาแน่นขึ้นโดยไม่ได้ถือสาอะไร

“ใช่ซะที่ไหนล่ะ…พี่ไม่ได้ทิ้งให้นายอยู่ตัวคนเดียวสักหน่อย”

ฝ่ามือใหญ่เลื่อนจากแผ่นหลังลงมาที่เอวอย่างอ้อยอิ่ง ขณะที่มืออีกข้างที่วางอยู่บนต้นคอยังคงโอบกอดซึงจูเอาไว้ราวกับจะไม่ยอมปล่อยให้ซึงจูหายออกไปจากอ้อมอกของตัวเอง

“พี่ไม่เคยคิดที่จะทิ้งนายแบบนั้นเลยนะ พี่ผิดไปแล้ว”

ความรู้สึกที่เหมือนกับร่างกายหลอมละลายเพราะไออุ่นชัดเจนยิ่งกว่าความรู้สึกที่เหมือนกับหายใจติดขัดเสียอีก อุณหภูมิจากร่างกายที่โอบกอดเขาเอาไว้ กลิ่นกายที่ลอยมาแตะปลายจมูก กระทั่งน้ำเสียงที่ดังคลอเคลียอยู่ข้างหู สิ่งเหล่านั้นช่างอบอุ่นเหลือเกิน

“พี่ไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งนายสักหน่อย พี่จะทิ้งนายได้ยังไงกันล่ะ หืม?”

แม้มูฮึนจะเก่งเรื่องการปลอบโยนและการหยอกล้อ แต่มันก็ไม่ได้ผลกับซึงจูที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว คนที่เคยใช้ชีวิตอย่างสบายไร้ความกังวลใจมาตลอด ตอนนี้กลับกำลังแสดงท่าทีกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด

“หยุดร้องไห้เถอะนะ ร้องไห้หนักแบบนี้เดี๋ยวก็ปวดหัวพอดี”

แทนที่จะตอบอะไร ซึงจูกลับทำเพียงแค่ส่ายหน้าไปมา ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากหยุดร้องไห้ แต่เขาแค่ไม่รู้ว่าจะทำให้น้ำตาหยุดไหลได้อย่างไร พออารมณ์พลุ่งพล่านขึ้นมาหนหนึ่งแล้ว เขาก็ไม่อาจจัดการมันด้วยตัวเองได้

“ฮึก…ฮือ…”

มูฮึนปล่อยซึงจูออกจากอ้อมอกเพราะคิดว่าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว แม้จะรู้สึกเสียดายไออุ่นที่ผละห่างออกไปชั่วครู่หนึ่งจนนึกอยากดึงเข้ามาแนบชิดกายอีกครั้ง แต่มูฮึนก็ประคองแก้มของซึงจูด้วยสองมืออย่างทะนุถนอม ก่อนจะกดริมฝีปากจูบลงไปบนเปลือกตาที่เปียกชื้นอย่างอ่อนโยน

“ฮึบเร็ว ฮึบ”

หลังจูบสั้นๆ มูฮึนก็พูดด้วยน้ำเสียงสดใส ซึงจูจึงหลับตาพริ้มอย่างว่าง่าย ครั้งนี้เขาสงบนิ่งนานกว่าทุกที หลังพรมจูบไปทั่วโดยเริ่มตั้งแต่ดวงตาที่ร้อนผ่าวจนแดงก่ำ แก้มที่เปียกชื้นไปด้วยหยาดน้ำตา จนถึงริมฝีปากที่เม้มสนิทเป็นที่สุดท้าย มูฮึนก็ปิดท้ายด้วยการช่วยเกลี่ยหยาดน้ำตาที่คลออยู่บริเวณขอบตาให้อย่างเบามือ

“อย่าร้องไห้เลยนะ”

“…”

มันเป็นสิ่งที่มูฮึนมักทำบ่อยๆ เมื่อตอนที่ซึงจูยังเด็ก หลังจากแกล้งซึงจูจนร้องไห้งอแงแล้ว มูฮึนก็จะกอดซึงจูที่กำลังขวัญเสียไว้ในอ้อมอกก่อนจะจุ๊บตรงนั้นทีตรงนี้ทีเพื่อปลอบโยน และพอสบตากัน มูฮึนก็จะบอกว่า ‘พี่ขอโทษ’ พลางส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความรักและความเอ็นดูมาให้

“เลิกร้องไห้เถอะนะ”

แม้น้ำตาจะหยุดแล้ว แต่ซึงจูก็ไม่ตอบอะไร ตอนนี้เขาก็ไม่ใช่เด็กห้าขวบแล้วสักหน่อย เขาโตเป็นผู้ใหญ่เกินกว่าจะปลอบใจด้วยการจุ๊บแล้ว การที่มูฮึนจุ๊บตรงนั้นตรงนี้ทั้งที่เขาไม่ใช่เด็กน้อยอีกต่อไปแล้วจึงเป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิดที่สุด

“ขืนยังร้องไห้ต่อไป…”

วินาทีที่คิดได้ดังนั้น ซึงจูก็เอื้อมมือไปคว้าคอเสื้อของมูฮึนเอาไว้โดยไม่ทันให้ตั้งตัวเหมือนที่เคยทำหน้าประตูบ้านในคืนวันปีใหม่ และก่อนความกล้าที่ความมืดรอบกายมอบให้จะหายไป ซึงจูก็กระชากมูฮึนเข้าหาตัวแล้วกดจูบลงบนริมฝีปากมูฮึนซ้ำๆ อยู่หลายครั้ง

“…”

“…”

จุ๊บ…

มูฮึนถึงกับลืมหายใจไปชั่วครู่ในวินาทีที่เสียงน่าอายนั้นดังขึ้น แม้รอบด้านจะยังคงมืดสนิท แต่ในระยะห่างแค่นี้ซึงจูก็สามารถคาดเดาสีหน้าของมูฮึนได้ แค่ดึงใบหน้าของอีกฝ่ายเข้ามาแล้วกดจูบลงไป เท่านี้ก็ทำเอามูฮึนถึงกับเบิกตาโต หลังจากนั้นนัยน์ตาสีดำสนิทคู่นั้นก็ถูกความรู้สึกอื่นเข้าครอบงำ

“…”

มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในเสี้ยววินาที ก่อนที่มูฮึนจะคว้าต้นคอของซึงจูไว้พร้อมกับผลักซึงจูไปชิดกับประตู

ปึง!

เมื่อซึงจูเงยหน้าขึ้นพร้อมเสียงนั้น คราวนี้มูฮึนก็ครอบครองริมฝีปากของซึงจูด้วยการกระทำที่รุนแรงต่างไปจากก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด

“อึก…”

มันเป็นความรู้สึกราวกับหายใจไม่ออก ทั้งที่ความอุ่นจากกายที่สัมผัสกันไม่ได้ร้อนขนาดนั้น แต่ซึงจูกลับรู้สึกเหมือนกำลังจะขาดอากาศหายใจเพราะความร้อนรุ่ม ริมฝีปากที่บดเบียดกันจนไร้ช่องว่าง ลมหายใจที่ถูกเขาช่วงชิงไปและความวาบหวามที่เขามอบให้ ทุกอย่างล้วนรุนแรงเกินกว่าครั้งไหนๆ

แต่ถึงแม้จะจู่โจมเข้ามาอย่างรุนแรง มูฮึนก็ไม่ได้แสดงท่าทีที่ทำให้ซึงจูรู้สึกหวั่นเกรงเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเขากลับใช้มืออีกข้างที่ว่างยึดไหล่ของซึงจูไว้ ก่อนจะพักหายใจครู่หนึ่งโดยที่ริมฝีปากยังคงไม่ผละออกจากกัน จนถึงตอนนี้ฝ่ายที่รู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาเพราะกำลังข่มความรู้สึกบางอย่างไว้จึงเป็นซึงจู

ซึงจูขยับริมฝีปากราวกับลิ้มรสชาติของจูบนั้นอย่างลืมตัว ทั้งที่ไม่มีส่วนไหนที่แนบชิดกันได้มากไปกว่านี้แล้ว แต่ซึงจูก็ยังรู้สึกว่าสัมผัสเท่านี้ยังไม่เพียงพอ จึงเผลอคิดที่จะดูดดึงริมฝีปากอีกฝ่ายอยู่ตลอดเวลา ทว่าในตอนนั้นเองมือที่เคยสัมผัสต้นคอก็เริ่มเคลื่อนลงไปช้าๆ

“ฮึก…”

ฝ่ามือที่เลื่อนลงมาอย่างอ้อยอิ่งลูบไล้ต้นคอของซึงจูแผ่วเบา แม้แต่การกระทำที่ดูไม่ได้พิเศษอะไรก็ยังกระตุ้นความรู้สึกวาบหวามจนซึงจูถึงกับต้องห่อไหล่

หลังลูบซึงจูอยู่พักหนึ่งราวกับต้องการจะบอกให้ซึงจูคลายความประหม่า คราวนี้มูฮึนก็ย้ายมือมาเชยคางของซึงจูขึ้น และเมื่อริมฝีปากของซึงจูเผยออ้าออก มูฮึนก็ใช้นิ้วโป้งยึดปลายคางของซึงจูไว้มั่น แล้วใช้มืออีกข้างหนึ่งคว้าแขนของซึงจูมาคล้องคอตัวเองเพื่อเป็นหลักยึดไว้ ก่อนจะโน้มใบหน้าลงไปแล้วประกบริมฝีปากอย่างแนบแน่นยิ่งกว่าเดิม

ซึงจูเผลอยื่นลิ้นออกไปอย่างไร้สติ แม้จะเป็นแค่ปฏิกิริยาที่แสดงออกเพราะคิดว่ากำลังจะโดนจูบ แต่มันก็ทำให้มูฮึนถึงกับหายใจกระเส่าจนต้องยกมือข้างหนึ่งขึ้นสัมผัสใบหน้าด้านข้างของซึงจู

“…”

ตึง…

ประตูที่อยู่ด้านหลังส่งเสียงดังเมื่อมูฮึนยกแขนขึ้นเท้าประตูพร้อมขยับกายเข้าไปแนบชิดซึงจูขึ้นอีกนิด ซึงจูที่ถูกขังอยู่ระหว่างประตูและมูฮึนจึงต้องยกสองแขนขึ้นโอบรอบคอของมูฮึนไว้แน่น

“อืม…”

ทว่าน่าเสียดายที่มูฮึนดูเหมือนไม่มีความคิดที่จะสอดลิ้นเข้ามา สังเกตได้จากการที่ต่อให้ซึงจูจะพยายามยื่นลิ้นออกไปแค่ไหน มูฮึนก็ปฏิเสธและดูดดึงเพียงแค่ริมฝีปากของซึงจู แม้เขาจะยื่นลิ้นออกมาหยอกล้อช่องว่างระหว่างริมฝีปากของซึงจูเป็นระยะๆ แต่พอซึงจูเปิดปากออก เขาก็เอาแต่ล่าถอยกลับไปอยู่อย่างนั้นซ้ำๆ

ไม่ถึงใจเลยสักนิด…

ทั้งที่ตอนจะจูบก็จู่โจมเข้ามาอย่างเอาแต่ใจโดยไม่สนใจอะไร พอมาถึงตอนนี้ที่ซึงจูรู้สึกเครื่องติดขึ้นมา ก็ไม่รู้ว่าเขาจะยั้งใจอะไรนักหนา ท่าทางที่กำลังใช้มือหนึ่งประคองใบหน้าของซึงจูโดยที่อีกมือหนึ่งค้ำยันประตูไว้ในท่าที่เหมือนกำลังจะพังมันนั้นดูระมัดระวังกันสุดๆ ราวกับว่าเขากำลังรักษาเส้นแบ่งที่เลือนรางเอาไว้เพื่อไม่ให้ถลำลึกลงไปมากกว่านี้ ในขณะที่ริมฝีปากยังคงบดจูบลงมาด้วยสัมผัสที่เต็มไปด้วยความว้าวุ่นใจ

สุดท้ายซึงจูก็จงใจเบี่ยงหน้าหนีมูฮึนพร้อมทั้งผละริมฝีปากออก มูฮึนชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะหรี่ตามองซึงจู เพราะความรู้สึกที่แฝงอยู่ในสายตานั้นคือความต้องการ ซึงจูจึงพ่นลมหายใจที่หอบกระเส่าออกมาพลางปรือตา

“ถ้าจะทำ…แฮก…”

“…”

“…ก็ทำให้มันถึงใจสิ”

ก่อนจะทันได้พูดจบ ริมฝีปากของซึงจูก็ถูกครอบครองอีกครั้ง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสติสัมปชัญญะหลุดลอยไปไหนแล้วหรือเปล่า คราวนี้มูฮึนถึงได้จู่โจมเข้ามาอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย เขายึดใบหน้าของซึงจูไว้มั่นแล้วประกบริมฝีปากลงมา ก่อนจะสอดเรียวลิ้นเข้ามาในโพรงปากของซึงจูอย่างเอาแต่ใจ

“อึก…!”

ตึง…

ประตูที่แนบอยู่กับแผ่นหลังส่งเสียงดังขึ้นอีกครั้ง หลังจากสอดเรียวลิ้นหนาเข้ามาลึก มูฮึนก็เกี่ยวกระหวัดลิ้นของซึงจูอย่างรีบร้อน เมื่อเห็นว่าซึงจูไม่อาจทนกับสัมผัสนั้นได้จนตัวอ่อนยวบยาบ มูฮึนก็รีบสอดต้นขาเข้าไปตรงหว่างขาของซึงจูเพื่อไม่ให้หนีไปไหนได้

ซึงจูรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเหยื่อที่ถูกผลักให้จนมุม ทั้งที่เป็นฝ่ายท้าทายก่อนแท้ๆ แต่เพียงชั่วพริบตาเดียวก็พลันรู้สึกกลัวขึ้นมาเสียอย่างนั้น และในขณะที่กำลังคิดว่ารู้แบบนี้ตอนที่อีกฝ่ายยอมปล่อยออกมาน่าจะอยู่นิ่งๆ เสียตั้งแต่แรก ความเย็นยะเยือกก็เริ่มก่อตัวขึ้นภายในช่องท้อง

พลังวิญญาณ…

พลังวิญญาณที่เริ่มไหลไปหลอมรวมกันอยู่ที่ท้องน้อยคือพลังวิญญาณของมูฮึนไม่ใช่ของใครอื่น พลังวิญญาณที่มีอยู่ในน้ำลายและลมหายใจเริ่มแผ่ซ่านเข้ามาในร่างกายของซึงจูอย่างช้าๆ ก่อนที่ประสาทสัมผัสทั้งห้าจะเริ่มอ่อนไหวขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับความรู้สึกที่เย็นสบายราวกับมีสายลมพัดผ่านกาย

วี้ด

เสียงที่ดังอื้ออึงอยู่ข้างหูคือเสียงของเขตอาคมที่กักขังพวกเขาไว้ภายในห้องพักห้องนี้

เนตรสัมผัสวิญญาณตื่นขึ้นแล้วสินะ

ซึงจูรับรู้ถึงความจริงข้อนั้นได้ไม่ยาก เหตุผลที่มูฮึนลังเลที่จะจูบคงเป็นเพราะกลัวว่าเนตรสัมผัสวิญญาณของซึงจูจะตื่นขึ้น

“อือ…”

อะไรกัน กังวลเรื่องนั้นมาจนถึงก่อนหน้านี้เลยเนี่ยนะ ทำอย่างกับว่าเนตรสัมผัสวิญญาณนั่นตื่นแล้วจะดับลงอีกครั้งไม่ได้อย่างนั้นแหละ

“อื้อ…”

แม้จะไม่ได้ตั้งใจ แต่ซึงจูก็กลืนน้ำลายอยู่บ่อยๆ อย่างลืมตัว สัมผัสของมูฮึนที่ไล่ต้อนไปทั่วทุกที่ในโพรงปาก ความรู้สึกยามที่ลมหายใจอุ่นร้อนสอดประสานกันจนไม่รู้ว่าของใครเป็นของใคร รวมถึงเรียวลิ้นที่เกี่ยวกระหวัดกันพัลวันและน้ำลายที่เคล้าผสมกัน ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนทำให้ร่างกายที่ร้อนผ่าวเริ่มไวต่อความรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ

มูฮึนไม่ยอมปล่อยซึงจูที่กำลังตกอยู่ในห้วงอารมณ์นี้ไป ซ้ำร้ายยังรุกซึงจูหนักขึ้นกว่าเก่า พอซึงจูเริ่มดีดดิ้น เขาก็กอดรัดเอวของซึงจูไว้ และพอซึงจูตั้งท่าจะเบือนหน้าหนี เขาก็ติดตามไปอย่างไม่ลดละ แม้แต่ในจังหวะที่ซึงจูหอบเพราะหายใจไม่ทัน เขาก็ยังไม่ยอมปล่อย แต่กลับแบ่งปันลมหายใจของตัวเองให้กับซึงจู เขาเกาะติดซึงจูแน่นอย่างเอาแต่ใจราวกับว่าจะเป็นจะตายหากริมฝีปากของพวกเขาแยกออกจากกัน

ในวินาทีที่สติสัมปชัญญะพร่าเลือน ซึงจูก็ถูกความรู้สึกวาบหวามเข้าครอบงำ ความรู้สึกที่ชวนให้สั่นสะท้านไปทั่วทั้งกายทำให้เขาเอนตัวเข้าหามูฮึนโดยไม่รู้ตัว

โอ๊ย บ้าชะมัด…

มันเป็นความรู้สึกที่ดีมาก แต่ซึงจูไม่มั่นใจว่ามันคือความรู้สึกชั่ววูบหรือเปล่า มันต่างไปจากความรู้สึกสุขสมทางกายเพียงชั่ววูบ ความจริงที่มูฮึนกำลังกระหายในตัวเขาและแสดงท่าทีออกมาอย่างเร่าร้อนนั้นทำให้ความรู้สึกสุขสมแผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย

จู่ๆ มือที่เคยประคองใบหน้าก็เลื่อนมาสัมผัสหูของซึงจูโดยไม่ทันได้ตั้งตัว โดยมือซ้ายประคองต้นคอที่โผล่พ้นร่มผ้าของซึงจูไว้ ส่วนมือขวาสัมผัสใบหูและติ่งหูของซึงจูอย่างอ้อยอิ่ง

“ฮึก…อือ…”

“…”

มูฮึนผละริมฝีปากออกเล็กน้อยเพื่อปรับองศาใบหน้าใหม่ จากนั้นริมฝีปากที่ผละออกจากกันจนเกิดเสียงดังน่าอายก็ประกบเข้าหากันอีกครั้งอย่างแนบแน่นจนไม่มีช่องว่างให้ลมหายใจเล็ดลอดออกมาได้ ทันทีที่ซึงจูรับเรียวลิ้นของมูฮึนเข้ามาในปากพร้อมกับส่งเสียงคราง มูฮึนก็สอดมือเข้าไปในสาบเสื้อของซึงจูแล้วลูบไล้ไปตามลาดไหล่และกระดูกไหปลาร้า

“อึก…”

ทั้งที่มูฮึนไม่ได้สัมผัสตรงจุดที่ลามก แต่ร่างกายของซึงจูกลับสั่นสะท้านทุกครั้งที่ถูกเรียวนิ้วนั้นสัมผัส ส่วนหนึ่งคงต้องโทษเนตรสัมผัสวิญญาณของเขาที่ตื่นขึ้นมา ยามที่มือของมูฮึนสัมผัสผิวเปลือยเปล่า เขาถึงได้รู้สึกเย็บวาบขึ้นมา และในจังหวะที่ซึงจูกำลังจะบิดตัวหนีเพราะอ่อนไหวต่อความรู้สึกนั้น มูฮึนก็ดันต้นขาเข้ามาตรงหว่างขาของซึงจูมากขึ้นอีกเพื่อตรึงไว้ให้มั่น

“…!”

ซึงจูตกใจจึงเบี่ยงหน้าหลบจนได้ยินเสียงน่าอายดังมาจากริมฝีปากที่ผละออกจากกัน ทว่าครั้งนี้มูฮึนกลับจับปลายคางของซึงจูให้หันกลับมาแล้วประกบจูบลงมาอย่างดูดดื่มอีกครั้งโดยไม่มีท่าทีชะงักเลยแม้แต่น้อย

“ดะ…เดี๋ยว…อึก…”

“อืม…”

การกระทำที่ยังคงบดเบียดเข้ามาอย่างเอาแต่ใจและคำตอบที่ฟังดูขอไปทีนั้นไม่ว่าใครก็ดูออกถึงเจตนาที่แสดงออกมาอย่างชัดเจน ร่างกายของซึงจูตื่นตัวตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว ไม่มีทางที่ซึงจูจะไม่ตอบสนองต่อการปลุกเร้าที่ตรงไปตรงมาแบบนั้น ต่อให้ซึงจูที่หน้าแดงไปถึงหูจะพยายามผลักมูฮึนออกไปก็ไร้ประโยชน์ เพราะแขนขาเขาไม่มีเรี่ยวแรงเลยสักนิด

มูฮึนดึงมือที่เคยลูบไหล่ออกมาจากเสื้อแล้วกอดเอวซึงจูไว้ ก่อนจะดึงเข้าหาตัวจนร่างกายท่อนล่างแนบชิดกันกระทั่งไร้ช่องว่าง ซึงจูที่พยายามบิดตัวและดิ้นหนีจึงหยุดชะงักไปเพราะสัมผัสได้ถึงความใหญ่โตที่อยู่เบื้องล่าง

“…?”

ดูท่าจะเป็นเพราะปฏิกิริยาของซึงจูที่แปลกไป มูฮึนถึงได้ยอมผละริมฝีปากออก ทว่าริมฝีปากเขาไม่ได้ผละออกไปไกลนัก มันเป็นระยะห่างที่ใกล้ถึงขนาดที่ริมฝีปากสามารถสัมผัสกันได้เพียงแค่ใครสักคนเปิดปากพูด แต่ทั้งที่รู้แบบนั้นซึงจูก็ยังเลือกที่จะพูดถ้อยคำหนึ่งออกไปด้วยเสียงสั่นๆ

“พี่แข็งแล้ว…”

สิ่งที่ซึงจูสัมผัสได้ภายใต้กางเกงกำลังร้อนผ่าว มันเป็นความร้อนแบบเดียวกับที่ซึงจูรู้สึกได้มาโดยตลอด แม้จะรู้อยู่แล้วว่ามูฮึนกำลังตื่นตัว แต่ซึงจูก็ไม่นึกเลยว่าตัวเองจะได้สัมผัสกับหลักฐานอันเป็นที่ประจักษ์ขนาดนี้ ซึงจูจึงอดที่จะแปลกใจกับความจริงที่เพิ่งได้รับรู้ใหม่ไม่ได้

คิมมูฮึนเองก็แข็งเพราะแค่จูบเหมือนกันสินะ

“…”

จุ๊บ…จุ๊บ…

มูฮึนกดริมฝีปากแล้วพรมจูบย้ำๆ จนเกิดเสียงดังโดยไม่ตอบอะไร เสียงหัวเราะเบาๆ ที่ดังขึ้นตามมาเหมือนจะถามซึงจูว่าทำไมถึงพูดถึงเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วแบบนั้น แม้รอบด้านจะยังคงมืดสนิท ไร้แสงใดสาดส่องเข้ามา แต่ซึงจูก็พอจะมองเห็นดวงตาที่หยียิ้มอย่างอ่อนโยนของมูฮึนจากสายตาที่ปรับเข้ากับความมืดได้แล้ว

“ซึงจูยา…”

พอมูฮึนเรียกซึงจูขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ ซึงจูก็ละความสนใจจากส่วนล่างที่แนบชิดกันได้ในที่สุด เนื่องด้วยใจอยากจะขยับเอวหนีอยู่ตลอด เขาจึงได้แต่ยอมรับจูบที่มูฮึนมอบให้ทั้งที่ยังคงหอบหายใจไม่หยุด

“ซึงจูยา…หืม?”

มูฮึนจุ๊บซึงจูเบาๆ แล้วเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะส่งเสียงเรียกสติ มันเป็นเสียงเรียกที่ฟังดูเหมือนกำลังเรียกร้องความสนใจโดยไม่ได้คาดหวังคำตอบอยู่ในที แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังแอบบดเบียดเอวเข้ามาไม่หยุดจนซึงจูถึงกับต้องเกร็งท้องน้อย

“จะ…จะเรียกทำไมนัก…”

แค่นี้ก็เสียสติจนแทบจะบ้าตายอยู่แล้ว จะเรียกชื่อทำไมนักหนา เลิกจุ๊บสักทีเถอะ หรือไม่ก็ช่วยขยับตัวออกไปหน่อย หรือไม่อย่างน้อยๆ ช่วยกลับไปจูบกันเหมือนก่อนหน้านี้ก็ยังจะดีซะกว่า เอาแต่จุ๊บปากและทำตัวออดอ้อนเหมือนลูกแมวอยู่ได้ ลำพังแค่ริมฝีปากแตะกันมันไม่ทำให้คนอื่นเขาพอใจได้หรอก

ขณะที่ซึงจูกำลังคิดแบบนั้น มูฮึนก็ส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ออกมาเป็นของแถม

“อืม…พี่ว่า…”

แม้น้ำเสียงจะฟังดูผ่อนคลายลงมากแล้ว แต่บรรยากาศกลับไม่ได้ผ่อนคลายลงเลย แม้แต่การเคลื่อนไหวที่เชื่องช้าและสงวนท่าทีก็ยังไม่ได้ทำให้ซึงจูรู้สึกวางใจลงได้เลยสักนิด ตรงกันข้ามซึงจูกลับรู้สึกไม่ปลอดภัยเสียมากกว่า ทั้งที่เขากำลังทำใจเย็นราวกับต้องการจะบอกให้ซึงจูวางใจ แต่ในขณะเดียวกันก็ดูเหมือนว่าตัวเขาเองกำลังซ่อนสัญชาตญาณบางอย่างไว้เพื่อไม่ให้ซึงจูรู้สึกกลัว

ตึกตัก…ตึกตัก…

หัวใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ หากความรู้สึกก่อนหน้านี้คือความตื่นเต้น ความรู้สึกที่แทรกขึ้นมาในตอนนี้ก็คือความหวาดกลัวในสิ่งที่ไม่รู้จัก มือที่จู่ๆ ก็สอดเข้ามาในเสื้อเลื่อนมาลูบไล้เอวที่เปลือยเปล่า ก่อนจะเลื่อนขึ้นไปสัมผัสที่กระดูกสะบัก

หลังจากนั้นจู่ๆ มูฮึนก็กดจูบลงที่ใบหูของซึงจูพลางกระซิบถามเสียงเบา

“…เราอาบน้ำกันก่อนดีไหม”

คำพูดที่มูฮึนเอ่ยหยั่งเชิงนั้นสื่อความหมายชัด ซึงจูไม่ใช่เด็กน้อยที่ไร้เดียงสาถึงขนาดที่จะไม่เข้าใจความหมายของคำพูดนั้น หลังจากที่นิ่งสนิทไม่พูดไม่จาไปครู่ใหญ่ ซึงจูก็พยักหน้าที่แดงระเรื่อ

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ฟูมฟักจอมราชัน บทที่ 131-132

บทที่ 131 จะว่าไปแล้วการที่นางเข้ามาในจวนโม่เป่ยอ๋องได้นั้นช่างเป็นความบังเอิญนัก ครั้งหนึ่งในระหว่างปฏิบัติการลับ นางบั...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ลำนำฝูหรงเคียงกระเรียน บทที่ 17.1

บทที่ 17.1 ตกปลาตามลำพังท่ามกลางสายลมและหิมะ ‘เส้นแบ่ง’ คำนี้ราวกับจี้เข้าไปตรงใจกลางกะโหลกศีรษะของหยางหลุน เขารีบกล่าวก...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ลำนำฝูหรงเคียงกระเรียน บทที่ 17.2

บทที่ 17.2 ตกปลาตามลำพังท่ามกลางสายลมและหิมะ ที่ประตูหลักกำลังผลัดเปลี่ยนเวร ขอบฟ้าเปลี่ยนเป็นสีขาว ดวงอาทิตย์ยามเช้าค่อ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ห้วงฝันบันดาลรัก บทที่ 97-98

บทที่ 97 กรงเล็บมาร หวงหร่างลูบชายกระโปรงของชุดกระโปรงตัวหนึ่ง ชายกระโปรงตัวนั้นประดับด้วยขนวิหค นุ่มนิ่มเป็นพิเศษ ส่วนใ...

community.jamsai.com