everY
ทดลองอ่าน ค่ำคืนของนักล่า (อสูร) คิมมูฮึน เล่ม 3 บทที่ 15 – 1 ถึง 15 – 2 #นิยายวาย
15-2
ตลอดเวลาที่อาบน้ำซึงจูปล่อยให้สายน้ำจากฝักบัวไหลลงมาสัมผัสกายพลางพยายามสงบจิตใจอยู่พักใหญ่ ถ้าเมื่อครู่สานต่อจนจบไปเลยก็คงจะดี เพราะพอสติสัมปชัญญะกลับมาแล้วเขาก็รู้สึกอายจนแทบบ้า ความเขินอาย…ไม่สิ น่าจะต้องเรียกมันว่าความคาดหวังเสียมากกว่า มันเป็นความรู้สึกที่ซึงจูเพิ่งเคยสัมผัสเป็นครั้งแรก
แม้จะอยากอาบน้ำเย็นตามที่ใจต้องการ แต่ซึงจูก็ปรับให้เป็นน้ำอุ่นเพราะมันเย็นมากกว่าที่คิด เนื่องจากซึงจูไม่ได้ไร้ยางอายถึงขนาดที่จะช่วยตัวเองในขณะที่ระหว่างพวกเขามีประตูกั้นอยู่แค่บานเดียว ดังนั้นการร้องเพลงชาติแล้วพยายามสงบสติอารมณ์จึงน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ไม่รู้จะเรียกว่าโชคดีได้ไหม แต่พอได้สระผมไปสองรอบเขาก็รู้สึกว่าน่าจะออกไปจากห้องน้ำนี้ได้แล้ว
ที่นี่มีลักษณะเป็นหอพักแบบวันรูม มีผังห้องแบบที่พอเปิดประตูห้องน้ำออกไปแล้วก็เจอเตียงเลย ทันทีที่เปิดประตูออกไปหลังอาบน้ำเสร็จซึงจูก็พบกับไม้แขวนเสื้อที่สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นของมูฮึนแขวนอยู่หน้าประตู แม้จะไม่มีกางเกงชั้นใน แต่ซึงจูก็ไม่ได้คิดจะใส่ใจและรีบหยิบเสื้อยืดกับกางเกงมาใส่ทันที
ตอนที่ซึงจูเดินออกมา มูฮึนกำลังนั่งค้นกระเป๋าเป้ของซึงจูอยู่บนเตียง ดูเหมือนมูฮึนจะเก็บมันมาจากโถงทางเดินหน้าห้องที่ซึงจูทำตกไว้ก่อนหน้านี้ อีกทั้งยังดูเหมือนว่าเขาจะคุ้นชินกับการเปิดกระเป๋าเป้แล้วค้นดูของข้างในเสียเหลือเกิน ขณะกำลังค้นดูของข้างในราวกับเป็นของตัวเอง จู่ๆ มูฮึนก็พูดด้วยน้ำเสียงหยอกล้อโดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองซึงจู
“หนีออกจากบ้านมาเต็มตัวเลยนะ”
“…”
ซึงจูเบือนหน้าหนีอย่างเคอะเขินเพราะรู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนเด็กหนีออกจากบ้านจริงๆ จากนั้นก็แสร้งทำเป็นมองนั่นมองนี่ภายในห้องพลางค่อยๆ เดินย่องไปที่เตียง
“ทำไมถึงค้นกระเป๋าของคนอื่นล่ะครับ…”
“ระหว่างเราถือว่าเป็นคนอื่นเหรอ”
มูฮึนถามกลับอย่างหยอกล้อพร้อมวางกระเป๋าเป้ลงข้างตัว ก่อนจะตบตักตัวเองแปะๆ พลางพยักหน้าเรียก
“มานั่งนี่สิ เดี๋ยวพี่เป่าผมให้”
ให้ตายสิ อย่าบอกนะว่าจะให้นั่งตัก
ซึงจูคิดแบบนั้นพลางทรุดตัวนั่งลงบนพื้นด้านหน้ามูฮึน ทันทีที่เขานั่งขัดสมาธินิ่งตัวแข็งทื่อ เสียงหัวเราะก็ดังขึ้นเหนือศีรษะ
“พี่หมายถึงให้นายนั่งลงบนตักพี่ต่างหาก”
“นั่งตักพี่แล้วจะเป่าผมได้ยังไงล่ะครับ…”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ตอนนายเด็กๆ พี่ก็ทำให้บ่อยๆ”
นั่นเป็นเรื่องในสมัยที่ซึงจูยังเป็นเด็กตัวน้อย ทว่าตอนนี้ซึงจูตัวใหญ่ขึ้นจนน่าจะนั่งตักให้มูฮึนเป่าผมไม่ได้แล้ว ไม่รู้ว่ามูฮึนเองก็กำลังคิดเหมือนกันอยู่หรือเปล่าถึงได้เอาแต่นั่งยิ้มโดยไม่ดึงดันให้ซึงจูลุกขึ้นมานั่งตัก
ก่อนเป่าผมมูฮึนซับความชื้นที่อยู่บนเส้นผมด้วยผ้าขนหนูที่ซึงจูถือติดมาด้วย หลังจากเช็ดผมจนหมาดรวมถึงเช็ดใบหูให้ด้วย มูฮึนก็ค่อยๆ เป่าผมให้ซึงจูอย่างระมัดระวังด้วยไดร์เป่าผมที่วางอยู่บนเตียง
“ถ้าร้อนไปก็บอกนะ”
วื้ด…
ลมอุ่นแทรกไปตามเส้นผม ซึงจูเอนหลังพิงเตียงอย่างผ่อนคลายพลางปรือตา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะนิ้วของมูฮึนยาวหรือเปล่า ทุกครั้งที่มูฮึนขยี้ผม ซึงจูถึงได้รู้สึกจักจี้อย่างบอกไม่ถูก
“พี่…”
“หืม?”
“นอกจากผมแล้ว พี่เคยเป่าผมให้ใครหรือเปล่าครับ”
ซึงจูแค่ถามด้วยความสงสัย เพราะแม้จะดูเหมือนมูฮึนไม่เคยเป่าผมให้ใครมาก่อน แต่มูฮึนก็ดูชินมือกับการเป่าผมเกินกว่าจะบอกว่าไม่เคย
สิ่งที่ชอบทำให้เป็นประจำตอนเด็กๆ คงไม่ติดตัวมาจนถึงป่านนี้หรอกน่า
ขณะที่ซึงจูกำลังคิดแบบนั้น มูฮึนก็ตอบกลับเสียงใส
“อืม เคยสิ”
“ใครเหรอครับ…”
ซึงจูชะงักไปก่อนจะเงยหน้าขึ้น มูฮึนจึงยิ้มตาหยีพลางเบี่ยงไดร์หลบเพื่อไม่ให้ลมเป่าหน้าซึงจู
“ก็ซอลกีของพี่ไง”
“โอ๊ย อะไรเนี่ย”
ซึงจูอึ้งไปชั่วขณะเพราะสิ่งที่มูฮึนพูดนั้นไร้สาระสุดๆ แต่พอนึกถึงเจ้าซอลกีที่ตัวกลมใหญ่แล้ว ซึงจูก็เผลอแค่นหัวเราะออกมาโดยไม่รู้ตัว
“นั่นมันขนต่างหาก ไม่ใช่ผมสักหน่อย”
แต่จะว่าไปแล้ว มูฮึนก็มีประสบการณ์เป่าขนให้เจ้าซอลกีจริงๆ นั่นแหละ เพราะหลังจากที่เขากับมูรยองช่วยกันจับเจ้าซอลกีอาบน้ำเสร็จ เขาสองคนก็จะจับเจ้าซอลกีเป่าขนที่เปียกจนแห้งสนิท
“ไม่นับเหรอ งั้นพี่ก็ไม่เคยเป่าให้ใครแล้วล่ะ”
“มันก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว”
คำตอบที่มาพร้อมน้ำเสียงกระด้างทำให้มูฮึนคลี่ยิ้มแล้วปิดไดร์เป่าผม จากนั้นก็ลูบผมที่แห้งสนิทและยังอุ่นอยู่เบาๆ ก่อนจะก้มลงจุ๊บกลางกระหม่อมของซึงจู
“เรียบร้อยแล้ว”
“…”
ความประหม่าผ่อนคลายลงได้เพียงชั่วครู่ ทันทีที่บรรยากาศโดยรอบเงียบลง ไหล่ของซึงจูก็พลันเกร็งจนแข็งทื่อขึ้นมาอีกครั้ง ต้นคอของเขาเริ่มขึ้นสีแดงจัด ใบหูเองก็เริ่มเห่อร้อนขึ้นมาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
“เอ่อ…”
ซึงจูกลอกตาไปมาเพราะทำตัวไม่ถูก ก่อนจะปรายตามองมูฮึนที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่บนเตียงที่เดิมและกำลังก้มลงมองซึงจูอยู่เหมือนกัน พอมูฮึนเอียงศีรษะราวกับกำลังรอฟังอยู่ ซึงจูก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกับขมวดคิ้ว
“ปิดไฟไม่ได้เหรอครับ…”
ตอนนี้ภายในห้องสว่างเกินไป ถ้าทุกอย่างมืดสนิทจนมองไม่เห็นอะไรเหมือนก่อนหน้านี้ก็คงจะดี ขืนเปิดไฟอยู่แบบนี้คงได้เห็นทุกขั้นตอนกันพอดี
“ต่อให้ปิดไฟยังไงพี่ก็มองเห็นอยู่แล้วนี่ครับ”
“อืม…แล้วพี่เห็นไม่ได้เหรอ”
มูฮึนยิ้มตาหยีแล้วเอื้อมมือไปกดสวิตช์ที่อยู่ข้างเตียง จากนั้นก็จับแขนของซึงจูอย่างอ่อนโยนภายใต้ความมืดที่ปกคลุมทั่วทั้งห้องในชั่วพริบตา ก่อนจะดึงซึงจูที่นั่งอยู่ให้ลุกขึ้นได้อย่างไม่ยากเย็น
“มานี่สิ”
ทั้งที่เตียงแคบเกินกว่าที่ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่สองคนจะนอนด้วยกัน แต่มูฮึนก็ยังกอดซึงจูไว้แนบอกแล้วเอนตัวลงนอนอย่างไม่ลังเล หากเป็นเวลาปกติซึงจูคงจะแสดงท่าทีอึดอัด แต่วันนี้เขากลับยอมเอนตัวลงนอนหนุนแขนมูฮึนอย่างว่าง่าย
ถึงเวลาแล้วสินะ…
ซึงจูหัวใจเต้นโครมคราม ตอนสอบซูนึง* เขายังไม่รู้สึกประหม่าขนาดนี้เลย แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกว้าวุ่นจนคอแห้งผากไปหมด ระหว่างนั้นมูฮึนก็ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างกายของพวกเขา พอซึงจูขยับยุกยิกพลางพลิกตัวไปมา มูฮึนก็ใช้แขนอีกข้างกอดซึงจูไว้แนบอกพลางตบก้นกล่อมนอน
“…”
นี่มัน…ต่างไปจากภาพที่จินตนาการไว้นิดๆ แฮะ ไม่ว่าจะมองยังไงบรรยากาศตอนนี้ก็ดูต่างไปจากตอนที่จูบกันก่อนหน้านี้เกินไปหน่อย
ขณะที่ซึงจูกำลังคิดแบบนั้น มูฮึนก็พูดในสิ่งที่เหลือจะเชื่อออกมา
“นอนกันเถอะ”
“…”
ซึงจูได้สติขึ้นมาทันใดพร้อมทั้งเบิกตาโต เขาไม่รู้ว่าควรพูดอะไรออกไปดีในสถานการณ์แบบนี้ แต่อย่างน้อยก็พอจะรู้ว่าต้องไม่ใช่คำพูดที่บอกว่า ‘นอนกันเถอะ’ แน่ๆ ต่อให้คำว่า ‘นอน’ จะมีหลายความหมาย แต่ดูจากมือที่กำลังตบก้นกล่อมอย่างเอาใจใส่แล้ว ความหมายนั้นก็น่าจะมีแค่ความหมายเดียว
“เดี๋ยวสิ…เดี๋ยวก่อนสิครับพี่”
พอคิดว่าต้องมีอะไรผิดพลาดไปแน่ๆ ซึงจูก็รีบเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่าเส้นผมที่เฉียดปลายคางทำให้รู้สึกจักจี้หรือเปล่า มูฮึนถึงได้ขยับหน้าหนีเล็กน้อยพลางก้มลงมองซึงจู หลังจากนั้นซึงจูก็กะพริบตาสองข้างปริบๆ แล้วถามออกไปอีกครั้ง
“จะนอนทั้งอย่างนี้เลยเหรอครับ”
“นี่มันเลยเวลานอนของนายมาแล้วนะ”
มูฮึนไม่ได้พูดผิด เพราะตอนนี้เลยเวลานอนของซึงจูมานานมากแล้ว ปกติแค่หลับตาลงซึงจูก็หลับลึกแล้ว แต่ช่วงเวลาที่ชวนใจเต้นก่อนหน้านี้ทำให้เขาลืมความง่วงงุนไปเสียสนิท
“เวลาแบบนี้พี่ง่วงเหรอครับ”
“…”
ซึงจูถามอย่างขุ่นเคือง ทว่ามูฮึนกลับเอาแต่จ้องซึงจูนิ่งโดยไม่ได้ตอบอะไร ซึงจูจึงหรี่ตาลงเพราะจู่ๆ ก็นึกเสียใจขึ้นมา
รู้แบบนี้ก่อนหน้านี้น่าจะบอกว่าอย่าปิดไฟ
มูฮึนพ่นลมหายใจออกมาโดยที่ซึงจูไม่รู้ว่าเขากำลังหายใจตามปกติหรือกำลังถอนหายใจอยู่กันแน่ จากนั้นเขาก็ประคองศีรษะของซึงจูแล้วดึงเข้าหาอกของตัวเอง
“เฮ้อ…”
“…”
“จะหลับลงได้ไงล่ะ…”
ทันทีที่ใบหน้าซุกลงบนแผ่นอกกว้าง ซึงจูก็รู้สึกถึงจังหวะการเต้นของหัวใจได้อย่างชัดเจน ดูจากการเต้นของมันก็สมควรแล้วที่จะหลับไม่ลง ทั้งที่เขากำลังทำหน้าเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไร แต่ซึงจูก็รู้สึกได้ว่าหัวใจของพวกเขากำลังสั่นไหวไม่ต่างกัน
“…เพราะเหมือนจะข่มใจไม่ได้ พี่เลยยังนอนไม่หลับน่ะ”
คำพูดที่ฟังดูเหมือนกำลังพูดคนเดียวทำให้ซึงจูรู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูก พอลองคิดดูแล้วคืนวันพระจันทร์เต็มดวงก็เพิ่งจะผ่านพ้นมาเมื่อไม่กี่วันก่อน ดูเหมือนสภาพร่างกายและจิตใจของเขาน่าจะยังไม่มั่นคงดี ขณะที่ซึงจูลอบกลืนน้ำลายหนืดลงคอโดยไม่รู้ตัว มูฮึนก็ลูบหลังให้ราวกับกำลังกล่อมนอน
“คือ…พี่มีปัญหาเรื่องการควบคุมสติอยู่นิดหน่อยน่ะ…”
มันเป็นคำพูดที่ชวนให้รู้สึกเหมือนเดจาวู เพราะฟังดูคล้ายกับสิ่งที่ยุนฮีพูดตอนที่อยู่ในรถด้วยกันก่อนหน้านี้ แต่ถึงอย่างนั้นซึงจูก็ไม่รู้อยู่ดีว่าเหตุผลที่มูฮึนไม่ยอมทำเรื่องนั้นกับเขาเป็นเพราะเขาคือน้องชายของเพื่อน เป็นเพราะเขาคือเพื่อนของน้องชาย หรือเป็นเพราะความต่างของอายุกันแน่
“พี่มีสติตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”
ทั้งที่เรื่องจูบยังทำได้ แต่เรื่องเซ็กซ์กลับทำไม่ได้ นี่มันหมายความว่ายังไงกัน
มูฮึนแค่นหัวเราะให้กับคำพูดตอกกลับที่ฟังดูท้าทายนั้น ก่อนจะกดริมฝีปากจูบลงบนกระหม่อมของซึงจูแล้วกระซิบเสียงเบา
“อย่าปล่อยให้บรรยากาศพาไปสิ ซึงจูยา”
“…”
“ขืนทำกับพี่แล้วนึกเสียใจขึ้นมาทีหลังจะทำยังไงล่ะ”
ในตอนนั้นเองซึงจูถึงได้รู้เหตุผลที่มูฮึนบอกให้เขาไปอาบน้ำและพยายามดันเขาเข้าไปในห้องน้ำเป็นการใหญ่ เนื่องจากบรรยากาศพาไปมูฮึนก็เลยอยากให้เวลาเขาได้ไตร่ตรองดูดีๆ อีกสักหน่อย อีกฝ่ายจึงถ่วงเวลาไว้จนกว่าความเร่าร้อนที่โถมเข้ามาชั่ววูบจะสงบลง
“ผมไม่เสียใจทีหลังหรอกน่า”
ทว่าซึงจูกลับตัดสินใจอย่างแน่วแน่ได้ตั้งแต่ตอนที่อยู่ท่ามกลางสายน้ำจากฝักบัวแล้ว ไม่สิ…ต่อให้ไม่ต้องตัดสินใจหรือเตรียมใจอะไร ขอแค่อีกฝ่ายเป็นมูฮึน เขาก็ยินดีที่จะทำทุกอย่าง มันไม่ใช่ผลลัพธ์จากการตัดสินใจเพียงเสี้ยววินาที แต่เป็นผลลัพธ์จากความเชื่อใจที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อยนับตั้งแต่วินาทีที่เขาเกิดมาจนถึงตอนนี้
“ถึงยังไงนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกอยู่แล้วนี่…”
ซึงจูพูดเสริมอย่างหยั่งเชิง โดยหวังว่ามันอาจจะช่วยลดความรู้สึกผิดในจิตสำนึกของมูฮึนลงได้บ้าง และหวังว่ามันจะช่วยปิดบังความเคอะเขินหลังจากที่พูดประโยคก่อนหน้านี้ออกไปอย่างไม่รู้จักอาย
“…”
แต่มูฮึนกลับชะงักทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น แม้แต่นิ้วที่กำลังลูบไล้เส้นผมอย่างเบามือก็พลันหยุดนิ่งกลางอากาศ หลังผ่านไปชั่วอึดใจหนึ่งเขาก็เปิดปากถามขึ้นเสียงเรียบ
“นายเคยทำเรื่องแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่”
น้ำเสียงนั้นฟังดูทุ้มต่ำกว่าปกติ ทว่ายังไม่ทันที่ซึงจูจะได้ตอบ มูฮึนก็เดาะลิ้นเสียงดังก่อนจะกัดริมฝีปากแน่น แม้จะรู้สึกเหลือเชื่อกับสิ่งที่มูฮึนถามออกมาอย่างสิ้นคิด แต่ซึงจูก็เตรียมคำตอบสำหรับคำถามนั้นของมูฮึนเอาไว้แล้ว
“พี่พูดบ้าอะไรน่ะ จำเรื่องคืนนั้นไม่ได้เหรอ”
ทำไมคนคนนี้ถึงต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้ด้วยนะ
ต่อให้จะบ่ายเบี่ยงทำมาเป็นไม่รู้อะไรเอาตอนนี้ แต่เรื่องคืนนั้นก็ไม่มีทางหายไปได้ ตอนที่ทะเลาะกันเมื่อหลายวันก่อนซึงจูยังพูดอยู่เลยว่า ‘แต่อะไรที่ทำได้ พี่ก็ทำกับผมมาหมดแล้วแท้ๆ แล้วแบบนี้พี่จะมาพูดอะไรเอาป่านนี้’
“วันนั้นผมดื่มเหล้า ทำไมพี่จะไม่รู้”
ครึ่งหนึ่งคือความเจ็บใจ ส่วนอีกครึ่งคือความตกตะลึง ซึงจูประท้วงออกไปด้วยความรู้สึกเช่นนั้น ทว่ามูฮึนกลับนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“อ๋อ…”
ในเสียงที่อุทานออกมาราวกับนึกขึ้นได้นั้นฟังดูว่างเปล่า มูฮึนลูบศีรษะซึงจูอีกครั้งก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ
“…จนได้สินะ”
ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองหรือเปล่า ซึงจูรู้สึกว่าคำพูดนั้นฟังดูเบาใจอยู่หน่อยๆ เขายังไม่ทันได้พูดอะไรมูฮึนก็ขยับตัวปรับท่าแล้วดึงเอวเขาเข้ามากอดแน่น ขาของพวกเขากอดเกี่ยวกันภายใต้ผ้าห่ม ทำเอาซึงจูรู้สึกเกร็งตรงช่วงเอวอย่างบอกไม่ถูก
“ซึงจูยา”
น้ำเสียงอ่อนโยนดังขึ้นข้างหู เรียวนิ้วที่สอดเข้ามาในเสื้อลูบไล้ผิวบริเวณเอวที่เปลือยเปล่าของเขา ก่อนจะเลื่อนขึ้นมาที่กระดูกไหปลาร้าเหมือนที่เคยทำก่อนหน้านี้ หลังเกลี่ยนิ้วไปตามแนวกระดูกไหปลาร้าจนพอใจ มูฮึนก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไร้ซึ่งวี่แววของความขี้เล่น
“ถ้าคืนนั้นนายนอนกับพี่จริง เช้ามานายคงลุกเดินไปไหนไม่ได้แล้วล่ะ”
“…”
นี่มันเรื่องอะไรกัน
ซึงจูลืมสิ่งที่จะพูดไปเสียสนิทจึงได้แต่กะพริบตาปริบๆ ในขณะที่ยังคงได้ยินเสียงจังหวะหัวใจที่ไม่รู้ว่าเป็นของใครดังก้องอยู่ในหู พอเห็นซึงจูมีท่าทีสับสน มูฮึนก็อธิบายด้วยน้ำเสียงปกติ
“ถ้าจะให้ทำเรื่องแบบนั้นก็คงจะฝืนร่างกายไปหน่อยนะ”
“หมายความว่ายังไง…”
ในหัวของซึงจูพลันขาวโพลนไปหมด แม้จะพยายามอ้าปาก แต่สิ่งที่ดังออกมาก็แทบจะประกอบกันเป็นประโยคดีๆ ไม่ได้เลย เนื่องจากคำพูดของมูฮึนดังก้องอยู่ในหัวจนเขาคิดอะไรไม่ออก
หลังตกอยู่ในภวังค์นั้นอยู่ครู่หนึ่ง ซึงจูก็ลุกขึ้นนั่งแล้วก้มหน้ามองมูฮึน แม้ภายในห้องจะยังคงมืดสนิท แต่ซึงจูก็รู้ดีว่ามูฮึนน่าจะชะงักไปหลังสัมผัสได้ถึงอ้อมกอดที่ว่างเปล่า จากนั้นเขาก็เค้นเสียงที่ติดอยู่ในลำคอก่อนจะถามออกไปเสียงดัง
“พี่จะบอกว่าคืนนั้นเราไม่ได้นอนด้วยกันเหรอครับ”
แม้จะไม่เคยซักไซ้สอบถามเอาความอย่างละเอียดจากมูฮึนมาก่อน แต่ซึงจูก็คิดว่าตัวเองหลับนอนกับมูฮึนไปแล้ว ภาพทุกอย่างที่เขาเห็นในวันนั้นคือหลักฐาน และพยานก็คือคนที่ไม่เคยปฏิเสธอะไรเลยมาจนถึงตอนนี้อย่างคิมมูฮึน ทั้งที่คิดว่าเป็นแบบนั้นมาโดยตลอด แต่คำพูดในตอนนี้ที่ว่า ‘ถ้านายนอนกับพี่จริง’ นั่นมันหมายความว่าอย่างไร หากสันนิษฐานเอาตามคำพูดนั้นก็หมายความว่าพวกเขายังไม่เคยร่วมหลับนอนกันเลยไม่ใช่หรือ
“ฮะ…”
ซึงจูรู้สึกอึ้งจนถึงกับแค่นหัวเราะออกมา ความคลุมเครือที่เคยรู้สึกมาโดยตลอด รวมทั้งความกังวลมากมายที่เกิดขึ้นหลังคืนนั้นพลันหายวับไปในชั่วพริบตาราวกับฟองสบู่
“เรื่องที่ไม่ได้นอนกับพี่มันน่าตกใจขนาดนั้นเลยเหรอ”
มูฮึนหลุดหัวเราะออกมาเมื่อเห็นปฏิกิริยาเช่นนั้นของซึงจู แม้น้ำเสียงจะฟังดูรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก แต่คำพูดถัดมากลับฟังดูเจ็บช้ำใจแบบแปลกๆ
“พี่จะทำแบบนั้นกับน้องชายที่เมาจนภาพตัดได้ยังไงกัน”
“…”
แม้จะเป็นคำพูดที่ถูกต้องตามสามัญสำนึกของคนทั่วไป แต่ซึงจูกลับพูดอะไรไม่ออก แน่นอนว่าคิมมูฮึนที่เขารู้จักไม่ใช่คนที่จะฉวยโอกาสกับคนที่เมาจนไม่ได้สติ พอนึกถึงความจริงข้อนั้นได้ ซึงจูก็คิดว่าคงจะมีแต่คนที่เมาอย่างตัวเองเท่านั้นที่เข้าหาอีกฝ่ายอย่างไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ
“ถ้างั้นก็หมายความว่าคืนนั้นไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นสินะครับ”
ถ้างั้นสิ่งที่เราฝันเห็นตอนนั้นมันคืออะไร
หลังพ้นช่วงมัธยมต้นมาเขาก็ไม่เคยฝันเปียกอีกเลย ดังนั้นเขาจึงมั่นใจมากว่ามือที่เคลื่อนลงไปจัดการกับส่วนล่างหลังจูบกันต้องไม่ใช่แค่ภาพในจินตนาการอย่างแน่นอน
“ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้นงั้นเหรอ…”
ไม่รู้จะเรียกว่าโชคดีได้หรือเปล่า คราวนี้มูฮึนไม่ปฏิเสธ ตรงกันข้ามเขากลับบอกว่าถ้าจำไม่ได้ก็อย่าดึงดันรื้อฟื้นถึงมันเลยจะดีกว่า แต่ถึงอย่างนั้นซึงจูก็ยังคงกัดริมฝีปากแน่น พอเห็นแบบนั้นมูฮึนก็ยอมพูดอย่างช่วยไม่ได้
“คืนนั้นพี่แค่ใช้มือช่วยนายไปรอบนึง เพราะจู่ๆ นายก็แข็งขึ้นมาหลังจากจูบกัน”
มันเป็นความทรงจำในส่วนท้ายที่ซึงจูจำไม่ได้ เขาตกใจเมื่อได้ฟังเหตุการณ์ในคืนนั้นคร่าวๆ จนไม่อาจพยักหน้าให้กับคำถามที่ดังตามมาทีหลังได้
“อยากฟังแบบละเอียดไหมล่ะ”
คำถามหยั่งเชิงของมูฮึนไม่ต่างอะไรจากคำถามที่ว่าอยากลองเปิดกล่องแพนโดร่า* ดูสักหน่อยไหม แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไร และถ้าเป็นอย่างที่มูฮึนว่าจริงแล้วรอยฟันที่ทิ้งไว้บนต้นคอเขามันคืออะไร ไหนจะเจ้าของรอยเล็บบนแผ่นหลังกว้าง ถ้าไม่ใช่ซึงจูแล้วจะเป็นใครไปได้ แม้จะมีสิ่งที่อยากถามมากมาย แต่กลับไม่มีคำถามไหนที่ซึงจูกล้าพอที่จะถามออกไปเลย ตรงกันข้ามซึงจูกลับข่มอารมณ์ที่กำลังเดือดพล่านในใจแล้วถามขึ้น
“แล้วทำไมพี่ถึงต้อง…!”
ทว่าซึงจูกลับไม่อาจถามในสิ่งที่ดังออกมาจากปากได้จนจบประโยค เพราะทันทีที่พูดพร้อมทั้งสบตากับมูฮึน ปฏิกิริยาตอบรับที่มูฮึนแสดงออกตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาก็ฉายชัดขึ้นในหัว
‘อะไรที่ทำได้ก็ทำมาหมดแล้ว?’
วันนั้นที่มูฮึนบอกว่าจะขอเว้นระยะห่างจากซึงจู มูฮึนทำสีหน้างุนงงกับคำถามที่ว่า ‘แต่อะไรที่ทำได้ พี่ก็ทำกับผมมาหมดแล้วแท้ๆ แล้วแบบนี้พี่จะมาพูดอะไรเอาป่านนี้…’ ของซึงจู ตอนนั้นเขาโกรธมากจนไม่ทันได้คิดอะไร แต่พอลองมาคิดดูตอนนี้ก็มีจุดที่ดูแปลกอยู่ไม่น้อย
พอคิดได้ดังนั้นทุกอย่างก็เริ่มลงล็อก มูฮึนไม่เคยพูดว่า ‘นอน’ ออกมาจากปากเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทางฝั่งเขาเองก็ไม่เคยถาม และมันก็เป็นเพราะเขาไม่เคยถาม มูฮึนจึงไม่เคยพูดถึงเรื่องคืนนั้นเลย บางทีถ้าเขาลองถามออกไปแต่แรก มูฮึนก็คงจะคลี่ยิ้มพร้อมกับเล่าความจริงให้ฟังไปนานแล้ว
“แล้วพี่ไม่รู้เหรอครับว่าผมเข้าใจผิด…”
แต่ถึงอย่างไรมันก็น่าแปลกอยู่ดี คนเซ้นส์ดีอย่างคิมมูฮึนไม่น่าจะดูไม่ออกว่าแท้จริงแล้วเขากำลังเข้าใจผิด แล้วอีกอย่างคนที่จดจำเรื่องราวคืนนั้นได้อย่างละเอียดก็ไม่ใช่เขาที่เมาจนไม่ได้สติ แต่เป็นคิมมูฮึนที่ดูแลคนเมาอย่างเขาต่างหาก
“ก็รู้แหละนะ แต่แค่อยากแกล้งน่ะ”
สุดท้ายมูฮึนก็ไม่ปฏิเสธเรื่องที่ตัวเองรู้อยู่แล้ว พอซึงจูตั้งท่าจะโวยใส่หลังได้ยินคำตอบ มูฮึนก็รีบคว้าแขนเขาแล้วดึงตัวเข้าไปในอ้อมอกตามเดิมอีกครั้ง และทันทีที่ซึงจูเงยหน้ามองอย่างตกใจเมื่อถูกดึงเข้าไปกอดโดยไม่ทันตั้งตัว มูฮึนก็รีบก้มลงไปขบกัดริมฝีปากของซึงจู
“พะ…พี่จะทำ…”
ริมฝีปากหนาดูดริมฝีปากล่างของซึงจูราวกับกำลังชิมลูกอม ก่อนจะใช้ฟันหน้าขบอย่างหยอกเย้า แม้มูฮึนจะไม่ได้กัดแรงจนถึงขั้นที่ทำให้ซึงจูรู้สึกเจ็บหรือแสบ แต่ซึงจูก็รู้สึกจักจี้จนไม่อาจทนต่อสัมผัสที่ปลายลิ้นเขาไล้เลียกลีบปากของตัวเองได้
“นี่…อึก…”
แม้จะพยายามขยับศีรษะหนีออกมาแล้ว แต่ฝ่ามือใหญ่ก็กุมต้นคอของซึงจูเอาไว้มั่น หลังดูดดึงริมฝีปากของซึงจูอยู่พักหนึ่ง มูฮึนก็ยกยิ้มมุมปากจนตาหยีเมื่อเห็นซึงจูโวยวายลั่นราวกับรำคาญ
“อ๊ะ…พอสักที…!”
“นี่แหละ นิสัยตอนเมาของนาย”
เนื่องด้วยกำลังขบริมฝีปากของซึงจูด้วยฟันหน้า เสียงพูดของมูฮึนจึงดังลอดออกมาได้เพียงครึ่งหนึ่ง มูฮึนเลียกลีบปากด้านนอกที่วาววับไปด้วยน้ำลาย ก่อนจะหยอกเย้าริมฝีปากของซึงจูเป็นครั้งสุดท้าย พอผละริมฝีปากออกพร้อมกับเสียงดังที่น่าอาย เขาก็รู้สึกได้ว่าริมฝีปากล่างของซึงจูดูบวมเจ่อเล็กน้อย
“รีบแก้ซะก่อนจะติดเป็นนิสัย”
มันเป็นคำพูดจริงจังที่ฟังดูเหมือนเป็นการดุอยู่ในที ทีตอนนี้มาบอกให้เขาแก้นิสัย ทีตัวเองยังไม่คิดจะแก้ความเข้าใจผิดให้เขาเลย เขาไม่ใช่คนที่พอทำผิดครั้งหนึ่งแล้วก็ยังจะทำซ้ำเรื่องเดิมอีกสักหน่อย
“อย่าทำแบบนี้ที่ไหนนะ”
“ผมไม่ทำหรอกน่า…”
คำพูดนั้นทำให้ซึงจูรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมสุดๆ ต่อให้จะเมาขนาดไหนเขาก็ไม่มีทางทำแบบนั้นกับใคร และเขาก็คงไม่เสียสติถึงขนาดที่จะทำเรื่องน่าอายแบบนั้นกับใครที่ไหน เว้นเสียแต่จะเข้าใจผิดว่าคนคนนั้นเป็นคิมมูฮึน
“ผมทำแบบนั้นก็เพราะเห็นว่าเป็นพี่นั่นแหละ”
ซึงจูพูดออกไปอย่างขุ่นเคือง แต่มูฮึนกลับทำสีหน้าแปลกๆ รอยยิ้มพลันหายไปจากใบหน้าที่อยู่ไม่ไกลกัน หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่งมูฮึนก็หลับตาลงแล้วลืมตาขึ้นใหม่อีกครั้ง ก่อนจะพึมพำเสียงแผ่ว
“เฮ้อ…ให้ตายสิ”
ซึงจูไม่อาจถามออกไปได้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้เป็นแบบนั้น เพราะในวินาทีเดียวกันจู่ๆ มูฮึนก็จับไหล่ของเขากดลงกับเตียง ก่อนจะขึ้นคร่อมเขาไว้จนไม่อาจขยับหนีไปไหนได้แล้วประกบจูบลงมา
“…”
“…”
ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องผลักไสเรียวลิ้นที่สอดเข้ามาอย่างอ่อนโยน คราวนี้ซึงจูจับคอเสื้อเขาไว้อย่างว่าง่ายโดยไม่ต่อต้าน โดยในขณะเดียวกันนั้นมูฮึนก็ไล่สัมผัสตั้งแต่แก้ม ต้นคอ และลาดไหล่เขาตามลำดับอย่างช้าๆ ก่อนจะเคลื่อนมือต่ำลงไป
ซึงจูนึกว่ามันจะเคลื่อนต่ำลงไปมากกว่านี้ ทว่ามูฮึนกลับเอาแต่สัมผัสหน้าอกตรงจุดที่หัวใจกำลังเต้นราวกับต้องการจะสัมผัสถึงจังหวะของมัน ทั้งนี้ทั้งนั้นชีพจรที่เต้นไวกว่าปกติเล็กน้อยน่าจะถูกส่งผ่านไปถึงฝ่ามือของเขาได้อย่างง่ายดาย
บางทีมูฮึนก็ทำเหมือนกำลังตรวจสอบว่าซึงจูยังหายใจอยู่หรือเปล่า แม้เสียงหัวใจของซึงจูจะไม่ได้ผิดปกติมากนัก แต่มูฮึนก็ยังคงสัมผัสอยู่อีกพักใหญ่ บางทีมันอาจจะเป็นการคลายความกังวลตามแบบที่คุณลุงเคยสอนมูฮึนไว้ก็ได้
เราไม่ใช่เด็กสักหน่อย…
ในจังหวะที่ซึงจูคิดแบบนั้นมูฮึนก็ผละริมฝีปากออกไปช้าๆ แล้วลิ้มเลียน้ำลายที่เลอะอยู่บนปาก ก่อนจะเปลี่ยนมากดจูบลงบนแก้มของซึงจูแทน
หลังพรมจูบไปทั่วตั้งแต่หูเรื่อยลงมาจนถึงลำคอ มูฮึนก็เงยหน้าขึ้นก่อนจะหลุบตาลงมองซึงจูในระยะที่ใบหน้าห่างกันไม่ถึงคืบ
“นายนี่นะ ซึงจูยา”
น้ำเสียงที่ทุ้มต่ำและแหบพร่าฟังดูอ่อนโยนทั้งยังแผ่วเบาต่างไปจากปกติ แต่ลมหายใจที่หอบกระเส่ากลับฟังดูเร้าอารมณ์มากขึ้นกว่าเดิมอีกเท่าตัว เมื่อเห็นว่าซึงจูได้แต่นอนนิ่งพลางกะพริบตาปริบๆ มูฮึนก็ผ่อนคลายน้ำเสียงลง
“เอาไงดีล่ะ”
“…”
“แน่ใจใช่ไหมว่าทำกับพี่แล้วจะไม่เสียใจ”
ทันทีที่ได้ยินคำถามนั้นซึงจูก็รู้ได้ทันทีว่ามันเป็นการถามเพื่อยืนยันเป็นครั้งสุดท้าย และปลายทางของฝ่ามือบนหน้าอกจะย้ายไปที่ใดก็ขึ้นอยู่กับคำตอบของเขาในครั้งนี้
ทว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องตอบ ซึงจูได้ยื่นมือไปกอดคอของมูฮึนไว้ก่อนจะรั้งเข้ามาหาตัว นับจากวินาทีที่ริมฝีปากแตะกันอีกครั้ง ความลังเลใดๆ ก็ไม่หลงเหลืออยู่อีกต่อไปแล้ว
หากเทียบกับคนอื่นแล้วซึงจูถือว่าเป็นคนที่เติบโตมาอย่างบริสุทธิ์ผุดผ่อง แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีความอยากรู้อยากเห็นในเรื่องอย่างว่า ถึงจะไม่ใช่คนช่างจินตนาการ แต่ในช่วงแรกที่ย่างเข้าวัยหนุ่มเขาก็เคยจินตนาการถึงเรื่องที่ตัวเองตกเป็นของมูฮึน ทว่าจินตนาการไปก็เท่านั้น เขาไม่อาจสานต่อจินตนาการของตัวเองไปจนสุดทางได้เพราะความรู้สึกผิดบาปและความเคลือบแคลงใจในตัวเอง
การสกินชิปกับแฟนสาวที่คบกันสมัยมัธยมต้น การกอดคนวัยเดียวกันและการใช้ปากแตะกันอย่างเด็กน้อยที่คลุมเครือเกินกว่าจะเรียกว่าจูบ สิ่งเหล่านี้ได้กลายมาเป็นป้อมปราการป้องกันจินตนาการเพียงหนึ่งเดียวของซึงจู
ทว่าสุดท้ายแล้วพอเปลี่ยนมาจินตนาการถึงสิ่งเหล่านั้นกับมูฮึน ไม่ว่าจะเป็นการใช้ฝ่ามือใหญ่ลูบศีรษะ การกอดเขาเอาไว้ในอ้อมอกอย่างที่เคยทำเป็นประจำสมัยเด็ก หรือการจูบที่ใช้ลิ้นเกี่ยวกระหวัดกันอย่างไม่รู้จักอายหลังจากที่จุ๊บกัน ทุกอย่างล้วนมีข้อจำกัดเต็มไปหมด
“อ๊ะ พี่…เดี๋ยวก่อน…”
แต่ที่ผ่านมาเขากลับไม่เคยจินตนาการถึงภาพยามที่มูฮึนเลียยอดอกเขา ภาพยามที่ฝ่ามือใหญ่ลูบไล้ไปตามร่างกาย หรือภาพยามที่เขาถูกอีกฝ่ายจับเปลื้องผ้าเลยสักครั้ง มูฮึนประทับริมฝีปากลงไปบนจุดที่เขาไม่เคยนึกถึง ก่อนจะใช้ลิ้นโลมเลียเน้นย้ำตรงส่วนยอดที่นูนเด่น
“ทำไมพี่ถึง…ตรงนั้น…ฮึก…”
มูฮึนละริมฝีปากออกเป็นครั้งแรก แล้วจุดหมายถัดไปก็คือต้นคอ มูฮึนฝังจมูกแล้วซุกไซ้ไปตามแนวต้นคอพลางขบกัดผิวเนื้อบอบบางด้วยริมฝีปากอย่างหยอกเย้า แม้เรียวนิ้วที่สอดเข้ามาใต้ร่มผ้าจะยังคงสาละวนอยู่แถวช่วงไหล่ แต่ซึงจูกลับกัดริมฝีปากแน่นอย่างเกร็งๆ
มูฮึนอาจจะรับรู้ได้ถึงความเกร็งของซึงจู เขาจึงปรนเปรอสัมผัสตรงที่เดิมอย่างไม่รู้จักพอ ในขณะเดียวกันก็ใช้นิ้วโป้งบดคลึงยอดอกข้างที่ยังไม่ได้รับการสัมผัสพร้อมกับใช้ริมฝีปากขบบริเวณกระดูกไหปลาร้าเบาๆ พอเห็นว่าซึงจูเกร็งจนตัวแข็งทื่อ มูฮึนก็เคลื่อนริมฝีปากกลับขึ้นไปที่ต้นคอ ก่อนจะใช้มือหนึ่งลูบไล้ไปตามสีข้างของซึงจู
นี่มันจักจี้เกินไปแล้ว…
ทีแรกซึงจูคิดแบบนั้น ทั้งการเลียต้นคอด้วยลิ้น การจูบที่กกหู รวมไปถึงการพรมจูบไปตามแนวกระดูกไหปลาร้า การฝืนทนต่อทุกสัมผัสนั้นไม่ง่ายเลยสักนิด แม้แต่การที่อีกฝ่ายลูบไล้ไปทั่วเนื้อตัวท่อนบนก็ยังทำให้ซึงจูรู้สึกวาบหวามจนต้องงอตัว
พี่…เกินไป…มันจักจี้เกินไปแล้ว
ซึงจูตั้งใจจะพูดออกไปแบบนั้น รวมทั้งอยากถามว่าทำไมถึงได้เอาแต่สัมผัสตรงจุดที่ตัวเขาเองยังไม่เคยสัมผัส เขาอยากให้อีกฝ่ายเลิกลูบไล้เนื้อตัวกันสักที อีกทั้งยังอยากบอกอีกฝ่ายว่าถ้าจะทำแบบนี้ สู้ถอดกางเกงออกให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยเสียยังจะดีกว่า
…!
ทว่าเมื่อถูกมูฮึนบีบเคล้นตรงยอดอก ซึงจูก็ถึงกับพูดไม่ออก เพราะแม้จะเป็นเพียงช่วงวินาทีสั้นๆ แต่ความรู้สึกเจ็บแปลบก็แล่นปราดไปทั่วร่าง แน่นอนว่ามูฮึนไม่ยอมปล่อยช่วงเวลานั้นไป เขาขบกัดติ่งหูของซึงจูก่อนจะกระซิบด้วยน้ำเสียงหอบกระเส่า
“ผ่อนคลายหน่อยสิ”
ทั้งที่ปากพูดแบบนั้นแต่มูฮึนกลับยังคงใช้นิ้วบดขยี้ยอดอกที่ถูกบีบเคล้นไปก่อนหน้านี้ ในยามที่เรียวนิ้วซุกซนนั่นขยับ เอวของซึงจูก็สั่นกระตุกด้วยความเสียวซ่าน มิหนำซ้ำมูฮึนยังขบกัดใบหูเขาจนร่างกายรู้สึกหวามไหวไปหมด
ไม่นานหลังจากนั้นมูฮึนก็จัดแจงถอดเสื้อยืดของซึงจูอย่างคล่องมือ ก่อนจะลูบไล้เนื้อตัวท่อนบนที่ปรากฏสู่สายตาพลางพรมจูบไปทั่วใบหน้าราวกับเป็นการเอ่ยชมซึงจูที่นอนนิ่งอย่างว่าง่าย จากนั้นริมฝีปากก็ค่อยๆ เคลื่อนลงมาที่ต้นคอแล้วมุ่งตรงไปยังจุดที่ใช้นิ้วหยอกล้อไปก่อนหน้านี้
“อ๊ะ…!”
ตอนนี้มูฮึนกำลังใช้ปลายลิ้นบดคลึงตรงยอดอกของซึงจูเบาๆ สลับกับดูดมันเข้าไปในปากแล้วขบกัดด้วยฟันหน้าอย่างหยอกเย้า แม้ซึงจูจะพยายามทึ้งผมมูฮึนเพราะทำอะไรไม่ถูก แต่อีกฝ่ายก็ไม่มีท่าทีว่าจะหยุด
“ตรงนั้นมันรู้สึกแปลก…อื้อ…”
แม้จะเป็นความรู้สึกที่คลุมเครือจนเกินกว่าที่จะบอกว่ามันคือความสุขสม แต่ถ้าจะให้บอกว่าไม่ได้รู้สึกอะไรก็คงจะไม่ถูกต้องนัก เพราะความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคยนั้นทำให้เขาสะดุ้งจนไหล่กระตุกอยู่ตลอดเวลา เขาดิ้นเร่าทุกครั้งยามที่มูฮึนใช้เรียวลิ้นบดคลึง เช่นเดียวกับช่วงล่างที่เกร็งกระตุกทุกครั้งยามที่มูฮึนดูดยอดอกของเขาเข้าไปในปากอย่างแรง
“อืม…ไม่แปลกหรอกน่า”
มูฮึนพึมพำทั้งที่ยังไม่ละริมฝีปากออกไป มันทำให้ซึงจูรู้สึกเสียวซ่านจนถึงกับต้องจิกเกร็งนิ้วเท้าแล้วกลั้นหายใจ และในวินาทีเดียวกันนั้นมูฮึนก็เคลื่อนมือที่เคยลูบไล้อยู่ตรงสีข้างลงมา
“อา…”
มือนั้นเคลื่อนผ่านสะดือลงมาหยุดที่ขอบกางเกง ก่อนจะสอดเข้าไปข้างในกางเกงอย่างไม่ลังเล เนื่องจากซึงจูไม่ได้ใส่กางเกงชั้นใน จุดที่มือของเขาสัมผัสได้เป็นอย่างแรกก็คือแก่นกายที่ไร้ปราการป้องกัน มูฮึนกำมือรอบแก่นกายที่แข็งตัวขึ้นมาประมาณหนึ่ง ก่อนจะรูดชักมันไปตามความยาวอย่างเบามือ
“ฮึก…!”
ในขณะเดียวกันมูฮึนก็ดูดหน้าอกของซึงจูแรงขึ้นกว่าก่อนหน้านี้อีกนิด เขาคอยหยอกล้อหน้าอกนั้นทุกครั้งที่ขยับมือจนซึงจูแยกไม่ออกว่าความเสียวซ่านที่กำลังรู้สึกอยู่ในตอนนี้มาจากส่วนไหน หลังดูดหน้าอกจนซึงจูรู้สึกเจ็บเล็กน้อย มูฮึนก็ขบกัดยอดอกนั้นพร้อมกับที่ขยับมือแรงขึ้น
“…!”
วินาทีที่ภาพเบื้องหน้าพลันสว่างวาบกลายเป็นสีขาว ซึงจูก็หลับตาพริ้มพลางปลดปล่อยออกมา เมื่อความต้องการที่ตีรวนอยู่ในช่องท้องล้นทะลัก เรียวขาของซึงจูก็เกร็งกระตุกไปพร้อมนิ้วเท้าที่จิกเกร็ง โดยในขณะที่ซึงจูกำลังหลั่ง มูฮึนก็ใช้ฝ่ามือรองรับน้ำรักทั้งหมดของซึงจูไว้
“แฮก…แฮก…”
จุ๊บ…
มูฮึนผละริมฝีปากออกจากหน้าอกของซึงจูพร้อมเสียงนั้น เนื่องจากเขาดูดดึงและขบมันอยู่พักใหญ่ ยอดอกที่ฉ่ำวาวไปด้วยหยาดน้ำลายนั้นจึงแข็งตั้งเป็นไตและดูเหมือนจะบวมขึ้นเล็กน้อย พอเห็นซึงจูนอนตัวสั่นระริกเพราะความเย็นที่สัมผัสผิวตรงส่วนนั้น มูฮึนก็พูดออกมาอย่างหน้าตาเฉย
“วันนี้เสร็จไวแฮะ”
“…”
ใบหน้าของซึงจูพลันเห่อร้อน เพราะแม้แต่ตัวเขาเองก็คิดเหมือนกันว่าตัวเองเสร็จไว ต่อให้จะอ้างว่าเป็นเพราะฝืนอดทนมานาน แต่แท้จริงแล้วมันเป็นเพราะความสุขสมที่มาจากการสัมผัสตรงจุดที่ไม่คุ้นเคย
“เอาล่ะ ทีนี้ถอดกางเกงดีกว่า”
ไม่รู้จะเรียกว่าโชคดีได้ไหมที่มูฮึนไม่พูดถึงความจริงที่น่าอายข้อนั้น เขาจับกางเกงของซึงจูไว้ด้วยมือข้างที่ไม่เลอะน้ำรัก ก่อนจะถอดมันออกอย่างง่ายดาย หลังถูกเปลื้องผ้าจนร่างกายเปลือยเปล่าในชั่วพริบตา ซึงจูก็ทนต่อความอายไม่ไหวจนต้องพูดออกมา
“พี่…ช่วยเช็ดไอ้นั่นออกก่อนเถอะครับ”
“หืม?”
ไม่คิดจะทำอะไรกับสิ่งที่เปื้อนมืออยู่หรือไงนะ
พอซึงจูพูดออกไปด้วยความคิดนั้น มูฮึนก็เอียงคอด้วยความสงสัย ก่อนจะยกขาทั้งสองข้างของซึงจูขึ้นพร้อมกับพูดสั้นๆ
“ไม่ต้องเช็ดก็ได้นี่”
มูฮึนพูดพลางเลื่อนมือไปตรงหว่างขาของซึงจู เขาไม่ได้คว้าจับแก่นกายซึงจูไว้เหมือนก่อนหน้านี้ แต่ลากมือลงไปสัมผัสพื้นที่ว่างใต้ส่วนกลมกลึงทั้งสอง ก่อนจะใช้น้ำรักชโลมไปทั่วส่วนที่อ่อนไหวนั้น ทว่าในจังหวะที่เขาสัมผัสปากทางที่ปิดสนิท ซึงจูก็พลันตกใจจนผุดลุกขึ้น
“ดะ…เดี๋ยวครับ เดี๋ยวก่อน!”
มูฮึนที่กำลังจะสอดนิ้วเข้าไปพลันหยุดการเคลื่อนไหว ทั้งนี้เนื่องจากรอบด้านมืดสนิท ซึงจูจึงมองเห็นไม่ชัดว่าเขากำลังทำสีหน้าแบบไหน แต่มูฮึนผู้มีดวงตาที่สามารถมองเห็นได้ตอนกลางคืนกลับมองเห็นสีหน้าที่กำลังตื่นตกใจของซึงจูได้อย่างชัดเจน
“ตะ…ตรงนั้น…พี่จะใส่เข้ามาตรงนั้นเหรอครับ”
“…”
มูฮึนชะงักหลังได้ยินคำถามนั้น ก่อนจะฮึมฮัมในลำคอแล้วถามด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มเหมือนอย่างเคย
“ถ้าไม่ใช่ตรงนั้นแล้วนายคิดว่าพี่จะต้องใส่เข้าไปตรงไหน”
“…”
คราวนี้ฝ่ายที่ชะงักไปกลับกลายเป็นซึงจู แม้ว่าซึงจูพอจะรู้มาบ้างว่าเซ็กซ์ระหว่างผู้ชายต้องทำกันแบบไหน แต่การสัมผัสประสบการณ์นั้นด้วยตัวเองกับการรู้มาจากที่อื่นก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“เดี๋ยวสิ…ถึงผมจะรู้อยู่แล้วก็เถอะ…”
พอหางเสียงของซึงจูเริ่มสั่นเครือ มูฮึนก็หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะก้มลงไปจูบแก้มของซึงจูแล้วถามด้วยน้ำเสียงกรุ้มกริ่ม
“ซึงจูยา เมื่อกี้นายยังบอกว่าเคยนอนกับพี่อยู่แท้ๆ”
“…”
“ไม่ใช่ครั้งแรกสักหน่อย ทำไมถึงได้สั่นแบบนี้ล่ะ”
มันไม่ใช่คำถามที่ต้องการซักไซ้เอาคำตอบ แต่เป็นคำถามเพื่อแกล้งหยอกเขาเสียมากกว่า มูฮึนยิ้มจนตาหยีพลางคลอเคลียปลายจมูกของซึงจูด้วยจมูกของตัวเองราวกับต้องการจะบอกว่าท่าทีของซึงจูยามที่พูดอะไรไม่ออกช่างแสนน่ารัก จากนั้นมูฮึนก็ถามต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนราวกับกำลังปลอบโยนเด็กน้อย
“กลัวเหรอ”
“…”
ถ้าตอบว่ากลัว มูฮึนก็คงจะหยุด แต่มาถึงขั้นนี้แล้วซึงจูย่อมไม่คิดที่จะหยุด ในจังหวะที่ซึงจูกำลังเม้มริมฝีปากและครุ่นคิดว่าตัวเองจะถูกสอดใส่เข้ามาหรือเปล่า คำพูดที่ไม่คาดคิดก็ดังออกมาจากปากมูฮึน
“ถ้านายกลัว เดี๋ยวพี่รับให้เอง”
“หืม?”
เมื่อซึงจูเบิกตาโต มูฮึนก็หัวเราะเบาๆ อีกครั้งราวกับเอ็นดูท่าทีนั้นของซึงจู ทว่ามันช่างตรงกันข้ามกับสถานการณ์ที่ต้องคอยข่มความต้องการให้สงบเอาไว้จนถึงขั้นต้องพูดแบบนั้นออกมาจากปาก
“ขอโทษที แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว…พี่ไม่คิดจะหยุดหรอกนะ”
“…”
“ถึงพี่จะไม่เคยใช้ข้างหลังก็เถอะ แต่…”
ความหมายที่แฝงอยู่ในถ้อยคำที่ขาดหายไปนั้นช่างชัดเจน ขอเพียงแค่ซึงจูบอกว่ากลัว เขาก็พร้อมที่จะเป็นฝ่ายอดทนให้เอง หลังลังเลกับทางเลือกที่จู่ๆ มูฮึนหยิบยื่นมาให้ ซึงจูก็โอบแขนรอบคอของมูฮึนโดยสัญชาตญาณ ก่อนจะส่ายศีรษะเบาๆ
“หะ…ให้ผมทำเถอะน่า”
ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน ซึงจูก็ไม่ได้ใส่ใจเลยสักนิด ขอแค่อีกฝ่ายเป็นมูฮึน ไม่ว่าอะไรก็คงจะดีไปหมด ยิ่งไปกว่านั้นเขายังไม่กล้าพอที่จะยัดเยียดสถานการณ์แบบนี้ให้มูฮึนด้วย
“ผมไม่รู้หรอกนะว่าต้องทำยังไง…”
“…”
“แล้วก็ไม่มั่นใจด้วยว่าตัวเองจะ…ฮึก!”
นิ้วหนึ่งชำแรกเข้าไปในช่องทางคับแคบโดยที่ซึงจูยังไม่ทันพูดจบ พอเห็นซึงจูกุมท้องน้อยแน่น มูฮึนก็ประทับจูบลงบนริมฝีปากของซึงจู หลังจากสอดลิ้นเข้าไปในโพรงปากราวกับปลอบว่าอย่าเกร็ง มูฮึนก็เริ่มขยับเรียวนิ้วอย่างใจเย็น
“ฮึก…”
ต้องขอบคุณมูฮึนที่ช่วยใช้น้ำรักชโลมช่องทางไว้อยู่ก่อนแล้ว การสอดเข้าไปหนึ่งนิ้วจึงไม่ได้ยากเย็นเท่าไหร่นัก มูฮึนสอดนิ้วเข้าไปยังจุดที่อยู่ลึกด้านในช้าๆ หลังแน่ใจแล้วว่าซึงจูไม่รู้สึกเจ็บ เขาก็ถอนนิ้วออกมาครึ่งหนึ่ง ก่อนที่จะสอดเข้าไปอีกครั้งแล้วเริ่มควานนิ้วสำรวจผนังด้านในอย่างระมัดระวังราวกับกำลังหาอะไรบางอย่าง
“…ฮือ…อื้อ”
ซึงจูเกร็งจนขาสั่นระริกเพราะสัมผัสที่ไม่คุ้นเคย ร่างกายยังไม่อาจทำความเข้าใจได้ว่านี่คือความรู้สึกดีหรือไม่ ซึงจูรู้สึกเพียงว่ามูฮึนกำลังสัมผัสในจุดที่ไม่ควรสัมผัส ถึงแม้ว่าความรู้สึกยามที่ลิ้นเกี่ยวกระหวัดกันจะชวนให้รู้สึกดีจนท้องน้อยวูบโหวงไปหมด ทว่าเรียวนิ้วที่สอดอยู่ในช่องทางด้านล่างกลับให้ความรู้สึกเหมือนเป็นสิ่งแปลกปลอมที่ร่างกายไม่คุ้นเคย
“…”
ดูเหมือนคืนนั้นจะไม่ได้มีอะไรจริงๆ แฮะ
ความคิดนั้นผุดขึ้นมาในหัวที่ว่างเปล่า ต่อให้จะบอกว่าเมาหนักแค่ไหน แต่ก็คงจะเหลือเชื่อเกินไปถ้าบอกว่าเขาลืมสัมผัสเหล่านี้ได้ลง
“กำลังคิดเรื่องอื่นอยู่สินะ”
มูฮึนดูออกว่าสติสัมปชัญญะของซึงจูหลุดลอยออกไปที่อื่นแล้ว หลังไล่ต้อนเรียวลิ้นของซึงจูอย่างอ่อนโยนเขาก็พูดเสียงเบาโดยที่ยังไม่ละริมฝีปากออก และในเสี้ยววินาทีที่ซึงจูลืมตาขึ้นหลังได้ยินคำพูดนั้น นิ้วที่สอดลึกอยู่ด้านในก็กดลงตรงจุดหนึ่งอย่างหยั่งเชิง
“…!”
ช่วงเอวที่เกร็งกระตุกมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้พลันแอ่นขึ้นจากเตียง พอรู้สึกเหมือนมีประกายไฟปรากฏขึ้นในหัว ขนทั่วกายก็ลุกซู่ไปหมด ซึงจูตกใจจนผละริมฝีปากออกเพราะความเสียวซ่านแปลกๆ ที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนจนถึงตอนนี้
“พะ…พี่ครับ เดี๋ยวก่อน…อ๊ะ…!”
ทว่ามูฮึนกลับไม่ยอมปล่อย อีกทั้งยังจงใจมอบจูบให้อีกครั้ง เขากดเน้นลงไปตรงจุดก่อนหน้านี้พลางจับต้นขาของซึงจูไว้มั่นจนซึงจูไม่อาจขยับกายหนีได้ และในจังหวะที่มูฮึนเพิ่มจำนวนนิ้วที่สอดอยู่ด้านในช่องทางเป็นสองนิ้ว แก่นกายของซึงจูที่ปลดปล่อยจนอ่อนยวบลงไปแล้วหนหนึ่งก็กลับมาแข็งขืนอีกครั้ง
“ฮือ…อื้อ…!”
มูฮึนกลืนกินเสียงครางที่ดังลอดออกมาจากปากซึงจูด้วยปากของตัวเองจนหมด พอมูฮึนเอาแต่สัมผัสจุดแปลกๆ มาตั้งแต่เมื่อครู่ ซึงจูก็รู้สึกเหมือนมองเห็นแสงสว่างรำไรอยู่เบื้องหน้า โดยทุกครั้งที่มูฮึนขยับนิ้ว ซึงจูก็จะบิดเอวไปมาเพราะไม่รู้ว่าต้องจัดการกับความรู้สึกนี้อย่างไร
“ฮึก…พี่ครับ อื้อ…พะ…พี่”
วินาทีที่จำนวนนิ้วเพิ่มขึ้นจากสองเป็นสามนิ้ว ซึงจูก็ครางออกมาพลางเอ่ยเรียกเสียงเครือ มูฮึนจึงถอนริมฝีปากออกแล้วพินิจมองใบหน้านั้น ซึงจูจ้องมองมูฮึนกลับพลางเอ่ยปากอ้อนวอนด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความต้องการ
“สะ…ฮึก…”
“…”
“ใส่เข้ามาสักทีเถอะ พี่…”
ต่อให้มีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้นในตอนนี้เขาก็ไม่สนแล้ว ความสุขสมที่เพิ่งเคยได้สัมผัสเป็นครั้งแรกในชีวิตทำให้ในหัวเขาปั่นป่วนไปหมด ขณะที่ความต้องการกำลังพุ่งสูงขึ้น ความเขินอายก็ก่อตัวขึ้นเช่นกัน เขารู้สึกละอายเหลือเกินที่นึกอยากจะกำจัดมันทิ้งโดยไว
“ผมทนไม่ไหวแล้ว…ฮึก!”
เรียวนิ้วที่เพิ่มขึ้นเป็นสามนิ้วควานลึกเข้าไปด้านในยิ่งกว่าเดิม ซึงจูหอบหายใจพลางกอดคอมูฮึนแน่น เมื่อเห็นแบบนั้นแล้วมูฮึนที่กำลังคลึงจุดกระสันของซึงจูอยู่ก็ลอบกลืนน้ำลาย ก่อนจะพูดเสียงลอดไรฟัน
“อา…ซึงจูยา…มองพี่จ๋าหน่อยสิ…”
แม้จะอยากรู้ว่ามูฮึนขอให้มองอะไร แต่ลมหายใจของอีกฝ่ายก็ใกล้เข้ามาก่อนจะรินรดบนใบหน้าเขา นับจากนั้นมูฮึนก็ไม่ยั้งมืออีกต่อไป ริมฝีปากที่ขบกัดใบหูของซึงจูเองก็เช่นกัน ต่อมามูฮึนที่หอบกระเส่าราวกับคลั่งก็กระซิบข้างหูเพื่อเอ่ยคำเตือน
“ถ้าใส่เข้าไปเลย นายจะเจ็บเอานะ”
ดูเหมือนว่าตอนนี้ความอดทนอดกลั้นของเขาจะดำดิ่งลงจนถึงจุดต่ำสุดแล้ว ขณะที่ซึงจูปลดปล่อยไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่เขายังไม่ทันได้ทำไปถึงไหนเลยด้วยซ้ำ ร่างกายที่อุ่นร้อนจนเครื่องติดแล้วจึงมีแต่จะร้อนรุ่มขึ้นเรื่อยๆ
“เพราะงั้นเลิกกอดรัดกันแน่นแบบนี้สักทีเถอะนะ…หืม?”
แม้น้ำเสียงจะฟังดูใจดี แต่มันก็คือคำเตือน อีกทั้งยังฟังดูเหมือนคำขอร้องกลายๆ ว่า ‘ถ้าไม่อยากเจ็บก็ทำตัวผ่อนคลายเข้าไว้’ ซึงจูรู้ว่าตัวเองต้องทำอย่างไร แต่เขาเองก็รีบร้อนไม่ต่างจากอีกฝ่ายเลย
“ผมก็ไม่ได้…ฮึก…รัดแน่นสักหน่อย…”
“หืม? เนี่ยน่ะเหรอที่ว่าไม่แน่น”
“บ้าเอ๊ย รีบๆ ใส่เข้ามา…อ๊า…”
ช่องทางที่มีเรียวนิ้วกำลังสอดใส่เข้าออกพลันรู้สึกวูบโหวงไปหมด เสียงเฉอะแฉะน่าอายดังขึ้นทุกครั้งที่ขยับมือ พอเห็นซึงจูทำอะไรไม่ถูกจนได้แต่บิดเร่าไปมา มูฮึนก็ช่วยพรมจูบลงบนใบหน้าเพื่อปลอบโยน
น้ำหล่อลื่นหลั่งออกมาจากแก่นกายที่ตื่นตัวเต็มที่อย่างต่อเนื่อง แม้จะไม่ได้หลั่งออกมาเหมือนตอนที่ถึงจุดสุดยอด แต่ความเสียวกระสันที่ก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ ก็ทำให้รู้สึกเหมือนทุกอย่างในหัวกำลังหลอมละลาย ซึงจูคว้าคอเสื้อมูฮึนไว้แน่นอย่างกระสับกระส่าย ก่อนจะชันเข่าขึ้นแล้วเกร็งขาจิกเท้าแน่น
“พี่…ขอร้องล่ะ…”
มูฮึนถอนนิ้วออกทันทีที่เสียงครางอย่างน่าสงสารดังออกจากปากของซึงจูอีกครั้ง พอนิ้วที่เคยขยับขยายช่องทางด้านในอย่างใจเย็นถอนออกไปอย่างกะทันหัน ซึงจูก็สะดุ้งจนไหล่สั่นระริก ก่อนจะมองมูฮึนด้วยสายตาที่พร่าเลือน
“พี่จะใส่เข้ามาแล้วใช่ไหม…”
“…”
ทั้งที่มันไม่ใช่คำถามที่ตอบยากเลยสักนิด แต่มูฮึนกลับไม่ตอบอะไรอยู่ครู่หนึ่ง เขาได้แต่จ้องมองซึงจูอย่างชั่งใจ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ เมื่อเห็นแบบนั้นซึงจูจึงขมวดคิ้วพร้อมกับส่งสายตาตำหนิกลับไปเพราะตัวเขาเองก็เริ่มจะทนต่อความรู้สึกบางอย่างไม่ไหวแล้วเหมือนกัน
“ยังอีกเหรอ…”
“ยัง”
มูฮึนตอบกลับมาสั้นๆ พลางส่ายหน้าเบาๆ แม้น้ำเสียงจะยังคงนิ่งสงบ ทว่าถ้อยคำที่ดังตามหลังมากลับฟังดูอ่อนโยนกว่าปกติ
“พี่จะใส่เข้าไปแล้วนะ”
จุ๊บ…
จูบที่มูฮึนมอบให้ช่างหอมหวาน ทันทีที่ซึงจูปรือตาขึ้นสายตาของทั้งคู่ก็สอดประสานกันกลางอากาศอย่างลึกซึ้ง หลังจากนั้นมูฮึนก็เปิดปากพูดขึ้นช้าๆ โดยที่ยังไม่ละสายตาไปจากซึงจู
“พี่ขอพูดเผื่อไว้ก่อนนะ…”
“ครับ?”
มูฮึนพ่นลมหายใจที่หอบกระเส่าเพราะความต้องการออกมาพร้อมกับเสียงครางแหบพร่าที่ฟังดูคุกคามและน่าหวั่นเกรง เขาลูบผมซึงจูอย่างทะนุถนอมก่อนจะพูดขึ้นพร้อมกับถอนหายใจ
“ถ้าพี่ไม่เชื่อฟังนาย…ถึงตอนนั้นนายต่อยพี่ได้เลยนะ”
“…?”
จู่ๆ ก็มาพูดอะไรแบบนี้บนเตียงเนี่ยนะ
ซึงจูที่เฝ้ารอให้มูฮึนสานต่อมาพักใหญ่ถึงกับส่งสายตางุนงงกลับไปให้ เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่ควรพูดในสถานการณ์แบบนี้เลยสักนิด มิหนำซ้ำน้ำเสียงที่จริงจังนั้นยังฟังดูเหมือนเป็นการล้อเล่นกันเสียมากกว่า
“ไม่ต้องใช้ฝ่ามือนะ ต่อยด้วยกำปั้นได้เลย”
มูฮึนคว้ามือของซึงจูมากุมแก้มตัวเองราวกับต้องการจะบอกว่าถ้าจะต่อยก็ให้ต่อยมาตรงนี้ได้เลย ต่อให้มูฮึนจะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่ถ้าโดนหมัดของซึงจูไปก็คงต้องมีเจ็บกันบ้าง
“เพราะถ้าไม่ทำแบบนั้นพี่คงไม่ได้สติ…”
ถ้อยคำที่ดังออกมาเบาๆ หลังจากนั้นเหมือนไม่ได้พูดกับซึงจู ทั้งถ้อยคำที่บอกว่าฝ่ามือนั้นเบาเกินไป ทั้งถ้อยคำที่บอกว่าต่อให้ซึงจูใช้กำปั้นต่อยจริงก็กลัวว่าตัวเองจะดึงสติกลับมาไม่ได้ มูฮึนเอาแต่พูดในสิ่งที่ซึงจูไม่เข้าใจซ้ำไปมาเหมือนกำลังตอกย้ำกับตัวเอง
“ไม่สิ…นายกัดพี่เลยน่าจะดีกว่า”
มูฮึนกดมือของซึงจูเข้ากับแก้มตัวเองย้ำๆ เหมือนตัดสินใจได้แล้วในที่สุด แม้ท่าทีเวลาที่เขาพูดแบบนั้นจะดูน่ารัก แต่คำพูดที่ตามมากลับไม่ได้ฟังดูน่ารักเลยสักนิด
“ต้องกัดพี่ให้เลือดไหลเลย เข้าใจไหม”
“เดี๋ยวสิ…”
กำลังพูดอะไรอยู่เนี่ย
มูฮึนไม่ใช่สัตว์ป่า เขาจึงคิดว่าไม่เห็นจำเป็นที่จะต้องทำตามอย่างที่พูดเลยสักนิด ต่อให้มูฮึนจะเอาแต่ใจแค่ไหน แต่ก็คงไม่เป็นปัญหาถึงขั้นที่จะต้องทุบตีกัน
“ทำไมผมต้องต่อยพี่ด้วยล่ะ…”
พอซึงจูถามด้วยน้ำเสียงเหมือนไม่เข้าใจ มูฮึนก็ได้แต่หัวเราะเสียงแห้งโดยไม่ได้พูดอะไร สีหน้าที่ดูลำบากใจของเขาทำให้ซึงจูพูดอะไรไม่ออกก่อนจะลอบกลืนน้ำลาย
“นั่นสินะ ถ้าไม่มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นได้ก็คงจะดี”
มูฮึนพูดพลางถอดเสื้อยืดของตัวเองออกอย่างลวกๆ ด้วยมือข้างหนึ่ง ก่อนจะถอดกางเกงแล้วโยนลงไปข้างเตียงโดยไม่ใส่ใจจะจัดการกับเส้นผมที่ยุ่งเหยิง ในที่สุดซึงจูก็ได้เห็นภาพเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในคืนวันนั้น ทว่าเขากลับมองเห็นเป็นเพียงภาพขาวดำเพราะความมืดมิดที่ปกคลุมอยู่โดยรอบ
ไม่น่าปิดไฟเลยแฮะ…
มนุษย์ช่างเอาใจยากเหลือเกิน ทั้งที่ก่อนหน้านี้บอกมาตลอดว่าโชคดีที่มืด แต่พอมีสิ่งที่อยากเห็นเข้าหน่อยก็กลับคำเสียอย่างนั้น ทั้งลำคอแกร่ง ลาดไหล่กว้าง กล้ามเนื้อที่เรียงตัวกันอย่างประณีต รอยสักรูปดอกกล้วยไม้งดงามที่ทอดยาวลงมาจากคอ หรือแม้แต่จุดซ่อนเร้นใต้ร่มผ้าจุดอื่นๆ ซึงจูก็อยากมองเห็นมันทั้งหมด
“ทำไม มองไม่เห็นเหรอ”
น่าหมั่นไส้ที่มูฮึนรู้ทันความในใจของซึงจู พอเห็นซึงจูหรี่ตาราวกับพยายามเพ่งมอง มูฮึนก็หลุดหัวเราะแล้วคว้ามือทั้งสองข้างของซึงจูมา ก่อนจะเอามือข้างหนึ่งวางที่ไหล่ ส่วนอีกมือหนึ่งก็วางลงบนหน้าอก จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงเย้าแหย่
“ถ้างั้นก็ลองใช้มือสัมผัสสิ”
คำพูดนั้นต้องการจะสื่อว่า ‘ในเมื่อมองไม่เห็นด้วยตาก็ลองใช้มือสัมผัสมันให้เต็มที่สิ’ พอถูกมูฮึนยั่วยวนอย่างหน้าไม่อาย ซึงจูก็ค่อยๆ ขยับมืออย่างลืมตัว ทันทีที่ลูบไล้ไปตามผิวกายท่อนบน ซึงจูก็สัมผัสได้ถึงกล้ามเนื้อแน่นที่กำลังขยับอยู่ใต้ฝ่ามือ
นี่สินะ…คนออกกำลังกาย
ทั้งที่ตอนใส่เสื้อผ้ายังไม่ได้ดูล่ำบึ้กขนาดนี้ แต่ทุกที่บนร่างกายที่เขาได้สัมผัสในตอนนี้กลับแข็งแกร่งดังหินผา ตรงกันข้ามกับผิวที่นุ่มจนแทบไม่อยากจะละมือ
“พี่จ๋าจักจี้นะ ซึงจูยา”
มูฮึนพูดกลั้วหัวเราะก่อนจะจับขาของซึงจูอ้าออก จากนั้นก็ยกขาข้างหนึ่งพาดไว้บนบ่า ส่วนอีกข้างก็ยกขึ้นมาโอบเอวตัวเองไว้อย่างช่ำชอง เนื่องจากทั้งคู่อยู่ในสภาพที่ไร้เสื้อผ้าปกปิด ทุกส่วนที่สัมผัสกันจึงล้วนแต่เป็นผิวกายที่เปลือยเปล่า ทว่ามูฮึนที่เป็นฝ่ายจัดแจงท่าทางกลับเป็นฝ่ายถอนหายใจออกมา
“อา…”
ตุบ…
ซึงจูสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่สัมผัสช่องทางด้านหลังของตน ต่อให้ไม่มองด้วยตา ซึงจูก็รู้ดีว่ามันคือแก่นกายของอีกฝ่าย แต่หลังจากนั้นมูฮึนก็พลันจิ๊ปากพลางหยุดทุกการเคลื่อนไหว
“ไม่มีถุงยางซะด้วยสิ”
“ไม่ต้องใช้ก็ได้ครับ”
ไม่เห็นต้องคิดมากเลย…
“อืม…”
มูฮึนส่งเสียงในลำคอครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะแห้งๆ ออกมาอย่างหนักใจ แม้จะรู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูก แต่เขาก็ลังเลแค่เพียงชั่วครู่เท่านั้น
“เอาไว้เดี๋ยวพี่จัดการให้ทีหลังแล้วกัน”
แม้ในใจจะคิดว่าจำเป็นต้องจัดการอะไรหลังจากนี้ด้วยหรือ แต่ซึงจูก็ไม่อาจถามออกไป เพราะทันทีที่พูดจบ มูฮึนก็ให้สัญญาณด้วยการแนบส่วนหัวลงมาตรงบริเวณช่องทางของเขา
“ผ่อนคลายหน่อย”
“…!”
ส่วนหัวใหญ่ชำแรกผ่านเข้ามาในช่องทางคับแคบ แม้จะเตรียมช่องทางมาดีระดับหนึ่งแล้ว แต่ความรู้สึกยามที่ปากช่องทางเปิดอ้าออกก็ทำให้ซึงจูถึงกับลืมหายใจไปชั่วขณะ แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้จะยังสอดใส่เข้าไปได้เพียงแค่นิดเดียว มูฮึนจึงได้เน้นย้ำกับซึงจูอีกครั้ง
“อย่าเกร็ง…”
“อ๊ะ…ฮึก…”
คนพูดก็พูดได้สิ
มันเป็นความรู้สึกที่ต่างจากตอนที่มูฮึนสอดนิ้วเข้ามาลิบลับ ความรู้สึกยามที่ช่องทางเปิดอ้าออกนั้นไม่ได้ใกล้เคียงกับสิ่งที่ซึงจูคาดคิดเอาไว้เลยสักนิด เขารู้สึกราวกับร่างกายช่วงล่างกำลังจะฉีกขาดออกจากกัน และรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งที่ผิดปกติเกิดขึ้นภายในร่างกาย
“พะ…พี่ นะ…นี่มันไม่ใช่แล้ว…”
ซึงจูรั้งแขนมูฮึนไว้แน่นพลางส่ายหน้าพัลวัน มูฮึนจึงโน้มตัวลงไปแล้วซุกใบหน้าลงกับต้นคอของซึงจูพร้อมทั้งหอบหายใจ แม้ก่อนหน้านี้เขาจะเป็นฝ่ายเร่งเร้าขอให้อีกฝ่ายสอดใส่เข้ามา แต่ตอนนี้ซึงจูรู้ซึ้งแล้วว่าคำพูดของมูฮึนที่บอกว่ามันใส่เข้ามาไม่ได้นั้นหมายความว่าอย่างไร
“ไม่ไหว…ฮึก…”
ซึงจูเพิ่งจะตระหนักได้ในวินาทีนั้น ท่อนลำของมูฮึนใหญ่มากจนทำให้เขาหวั่นใจ ขนาดตอนที่ได้สัมผัสมันด้วยมือเปล่าเขายังตกใจกับขนาดและความยาวของมัน เขาจินตนาการภาพยามที่มันสอดใส่เข้ามาในร่างกายไม่ออกเลยสักนิด
“ใส่ไอ้นั่นเข้ามาไม่ไหวหรอก…”
“ทีงี้ทำมาเป็นบอกว่าไม่ไหว”
มูฮึนยิ้มกรุ้มกริ่มราวกับเยาะเย้ยซึงจูว่า ‘เห็นไหมล่ะ พี่บอกแล้วว่าใส่ไอ้นี่เข้าไปไม่ได้หรอก’
“เจ็บไหม”
“…”
คงต้องขอบคุณมูฮึนที่อุตส่าห์ช่วยเตรียมช่องทางด้านหลังให้ ระหว่างที่ทำไปเมื่อครู่จึงไม่ได้รู้สึกเจ็บมากนัก ดังนั้นซึงจูจึงเลือกที่จะไม่ตอบ เพราะถ้าบอกว่าไม่เจ็บก็คงจะเป็นการโกหก แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีทางเลยที่คนอย่างมูฮึนจะดูไม่ออกว่าซึงจูเจ็บ
“โอ๋ๆ เด็กดี”
มูฮึนประทับจูบลงบนขมับของซึงจูพลางเอ่ยปลอบอย่างอ่อนโยน ก่อนจะลากไล้มือไปตรงหว่างขาของซึงจูช้าๆ แล้วกำแก่นกายที่กำลังฉ่ำเยิ้มเอาไว้
“ไม่เป็นไรนะ แค่ทำตามที่พี่บอกก็พอ”
* ซูนึง หรือ College Scholastic Ability Test (CSAT) คือการสอบวัดระดับความรู้และทักษะทางการศึกษาเพื่อใช้สำหรับการเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาของประเทศเกาหลี
* กล่องแพนโดร่า คือกล่องที่บรรจุความชั่วร้ายต่างๆ นานาที่ทำให้จิตใจของมนุษย์ไม่บริสุทธิ์ มักใช้ในการเปรียบเปรยถึงสิ่งต้องห้ามที่ไม่ควรแตะต้อง
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
