everY
ทดลองอ่าน ค่ำคืนของนักล่า (อสูร) คิมมูฮึน เล่ม 3 บทที่ 15 – 3 ถึง 16 – 1 #นิยายวาย
16-1
คืนเร้นเงา
หลังฟ้าสางหลายชั่วโมง แสงอาทิตย์อันอบอุ่นก็สาดส่องผ่านผ้าม่านผืนบางเข้ามาในห้องที่เงียบสงัด อาบไล้ใบหน้าของซึงจูที่กำลังหลับสนิทด้วยความอ่อนเพลีย ขณะที่ซึงจูขมวดคิ้วเพราะแสงแดดที่ส่องแยงตา ใครบางคนก็ใช้ฝ่ามือหนาช่วยสร้างเงาขึ้นเหนือดวงตาเพื่อบดบังแสงแดดนั้นให้
“ครับ ซึงจูอยู่กับผมครับ”
เจ้าของฝ่ามือนั้นคือคิมมูฮึนที่กำลังเอนหลังพิงหัวเตียงพลางคุยโทรศัพท์ มูฮึนตอบปลายสายเบาๆ ก่อนจะหัวเราะอย่างไร้เสียงออกมาเมื่อเห็นซึงจูผ่อนคลายสีหน้าลง ดวงตาที่หยียิ้มทั้งสองข้างฉายแววเอ็นดูซึงจูที่กำลังนอนสลบไสลอยู่ข้างกาย
“ไม่บาดเจ็บตรงไหนครับ ทุกอย่างปกติดี”
น่าจะเอาม่านกันแสงมาติดนะ ไม่สิ…แบบนี้น่าจะดีกว่า
มูฮึนหันหน้ากลับมาพร้อมกับความคิดนั้น แต่พอจ้องมองแขนที่กำลังโอบกอดเอวเขาอยู่ เขาก็พับความคิดนั้นเก็บไป เพราะขืนลุกจากเตียงตอนนี้ซึงจูที่กำลังหลับคงได้ตื่นขึ้นมาทั้งที่ยังเช้าอยู่ ไม่สิ…อันที่จริงแล้วสาเหตุที่เขาไม่อยากลุกเป็นเพราะความโลภที่ไม่อยากแยกจากความอบอุ่นของร่างกายที่แนบชิดอยู่ในตอนนี้
“ป้าจะบ้าตายเพราะเจ้าลูกคนนี้ ไม่คิดบ้างเลยเหรอว่าตื่นเช้ามาป้าจะตกใจขนาดไหน…”
เจ้าของเสียงที่ได้ยินผ่านโทรศัพท์คือคนที่มูฮึนรู้จักและคุ้นเคยเป็นอย่างดี เธอคือผู้ใหญ่ที่อาศัยอยู่บ้านหลังข้างๆ มาตั้งแต่เขาเกิด และเป็นถึงผู้นำตระกูลซอที่เป็นหนึ่งในสมาชิกของสมาพันธ์มือปราบวิญญาณมาตั้งแต่แรกเริ่ม แม้เธอจะเป็นถึงบุคคลที่แม้แต่เหล่ามือปราบวิญญาณระดับสูงยังยากที่จะได้เห็นหน้า แต่ตอนนี้เธอเป็นแค่แม่ผู้ห่วงลูกชายที่หนีออกจากบ้านมากลางดึกเท่านั้น
“ดูท่าจะเตรียมตัวออกจากบ้านมาอย่างดีเลยล่ะครับ เตรียมกระทั่งชุดนอนและกางเกงชั้นใน”
มูฮึนใช้หัวไหล่ดันมือถือเข้ากับหูพลางตอบกลับด้วยน้ำเสียงติดตลก เขารื้อเสื้อผ้าทุกชิ้นในกระเป๋าออกมาดูอย่างถือวิสาสะแล้ว แต่สุดท้ายเสื้อที่เขาใส่ให้ซึงจูกลับเป็นเสื้อยืดของตัวเอง แม้ตอนนี้ตัวเขาแทบจะเปลือยเปล่า แต่ก็ดีกว่าปล่อยให้ฝ่ายที่เนื้อตัวเปลือยเปล่าเป็นซึงจู
“เห็นเจ้าตัวบอกว่าบอกทางนั้นก่อนออกมาแล้ว ไม่ทราบว่าคุณป้าเห็นกระดาษโน้ตที่ซึงจูทิ้งไว้ไหมครับ”
มูฮึนดึงผ้าขึ้นมาห่มให้ซึงจูด้วยมือข้างที่เพิ่งว่าง ก่อนจะกลับมาถือมือถือใหม่อีกครั้ง แม้มือถือเครื่องใหม่เอี่ยมไร้รอยตำหนิจะไม่ใช่ของมูฮึน แต่เขาก็คุ้นเคยกับมันมาก
“เฮ้อ อย่าให้ป้าพูดเลย รู้ไหมว่าเจ้าเด็กคนนี้เขียนไว้ว่าอะไร เขียนแค่ว่าจะไปสมาพันธ์ แถมยังทิ้งนามบัตรอะไรเอาไว้ด้วย”
“นามบัตร…ใช่ของหัวหน้าทีมอีหรือเปล่าครับ”
“ใช่ หัวหน้าทีมอียุนฮี”
มูฮึนนึกถึงยุนฮีเพื่อนร่วมงานของเขา ก่อนจะปรายตามองซึงจูพลางครุ่นคิดว่าซึงจูโน้มน้าวยุนฮีที่ไม่น่าไว้ใจได้อย่างไรกัน ทั้งที่ทำให้คนในบ้านวุ่นวาย แต่ท่าทางของซึงจูที่กำลังนอนหลับอย่างเหนื่อยอ่อนกลับดูสบายใจเหลือเกิน
“ว่าแต่ป่านนี้แล้วยังหลับอยู่อีกเหรอ นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้วเนี่ย…”
“เอ่อ…”
มูฮึนพูดไม่ออกกับคำถามที่ปลายสายยิงมาอย่างกะทันหัน เขากลืนน้ำลายก่อนจะหรี่ตาลงด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน
“คงจะเหนื่อยมากน่ะครับ”
เขาไม่ได้โกหก เพียงแต่ว่าเหตุผลที่ทำให้ซึงจูเหนื่อยน่าจะต่างไปจากสิ่งที่คุณป้าคิด
“เพราะกว่าจะมาหาผมก็เช้ามืดแล้วครับ”
“อืม…”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมูฮึนที่อยู่ข้างๆ คุยโทรศัพท์เสียงดังเกินไปหรือเปล่า ซึงจูถึงได้ขยับตัวไปมาพร้อมทั้งครางเสียงงัวเงีย มูฮึนจึงกระชับกอดซึงจูเหมือนที่ทำเป็นประจำเพื่อให้ได้ชิดใกล้กันมากขึ้นอีกนิด ซึ่งก็โชคดีที่ซึงจูผล็อยหลับไปอีกครั้ง
“เรื่องรายละเอียดผมจะติดต่อไปเล่าให้ฟังทีหลัง คุณป้าไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ”
มีสิ่งที่เขาต้องอธิบายเยอะแยะไปหมด ถ้าจะให้อธิบายตอนนี้คงได้ถือสายข้ามวันแน่ๆ เขาอยากเข้าใจสถานการณ์จนกระจ่างก่อนแล้วถึงค่อยเล่ารายละเอียดให้ฟังทีหลัง เพราะมีข้อมูลบางส่วนที่เขายังไม่รู้โดยละเอียด อีกทั้งยังมีเรื่องที่ต้องพูดพร้อมกันอยู่แล้ว ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากจะไปเล่าให้คุณป้าฟังด้วยตัวเองถึงที่บ้าน
“ทีแรกก็กังวลแหละ แต่พอรู้ว่าอยู่กับมูฮึนป้าก็วางใจ”
“ฮะๆ…”
ซึงจูทำแบบนี้เพราะเขาแท้ๆ พอได้ยินคำพูดที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยของคุณป้าแล้วเขาก็รู้สึกละอายใจสุดๆ โดยคำพูดถัดมาของคุณป้าที่เจือความรู้สึกผิดก็ทำให้เขารู้สึกแบบนั้นเช่นกัน
“ทำให้เธอลำบากอยู่เรื่อยเลย”
“ไม่หรอกครับ…”
มูฮึนตอบกลับเสียงแผ่วเบาพลางหลุบตาลง เสียงหัวเราะแห้งๆ ที่ดังออกมาจากริมฝีปากไม่ได้มาจากใจจริง มันเป็นเพียงแค่การแสดงที่มีไว้เพื่อกลบเกลื่อนความละอายใจของตัวเอง
“ผมเองก็ต้องขอโทษด้วยนะครับ”
มันเป็นคำพูดที่ออกมาจากใจจริง ไม่ใช่แค่เรื่องที่ซึงจูหนีออกมาจากบ้านคราวนี้เท่านั้น แต่เขาสำนึกผิดต่อสิ่งที่ตัวเองได้ก่อไว้ตั้งแต่อดีตจนถึงตอนนี้ ทั้งยังนึกตำหนิจิตสำนึกของตัวเองกับเรื่องที่เพิ่งเกิดเมื่อคืน
“เธอมีเรื่องอะไรต้องขอโทษกัน ป้าต้องไปทำงานแล้ว ถ้าซึงจูตื่นป้าฝากเธอดุด้วยนะจ๊ะ เด็กคนนั้นเชื่อฟังคำพูดของเธอ ไม่ค่อยเชื่อฟังคำพูดของป้าเท่าไหร่”
“ครับ เดี๋ยวผมจัดการให้ สวัสดีครับ”
พอโตเป็นผู้ใหญ่ก็ไม่ค่อยฟังเราแล้ว
มูฮึนคิดแบบนั้นก่อนจะกล่าวลาอย่างมีมารยาทแล้วกดวางสาย ขณะที่เขาคุยโทรศัพท์ แสงแดดที่เคยสาดส่องก็ถูกกลุ่มเมฆบดบัง มูฮึนจึงลดมือที่บังแดดลงแล้วเกลี่ยผมให้ซึงจูอย่างเบามือ
“ซึงจูยา”
“…”
“รู้หรือเปล่าว่าตอนนี้คนอื่นเขาเป็นห่วงนายขนาดไหน”
มันเป็นน้ำเสียงที่อ่อนโยนเกินกว่าจะมองว่าเป็นการกล่าวโทษและแผ่วเบาเกินกว่าจะปลุกให้ซึงจูตื่น เขาเป็นคนพูดเบาอยู่แล้ว ซึงจูจึงไม่มีทางได้ยินอย่างแน่นอน แม้คุณป้าจะสั่งให้เขาดุ แต่เขาก็ไม่คิดที่จะดุซึงจูเลย
‘ตอนนี้ผมอยู่ที่สมาพันธ์ครับ’
เขาตกใจมากตอนที่ได้ยินคำพูดนั้นเมื่อวาน ทั้งยังรู้สึกเหมือนฟ้าถล่มลงมาต่อหน้า ซึงจูเป็นน้องชายที่เขาหวงแหนราวกับไข่ในหินจนอยากจะซ่อนเอาไว้ เมื่อวานเขาจึงเป็นห่วงแทบตายว่าซึงจูจะได้รับบาดเจ็บตรงไหนและจะมีใครทำร้ายหรือเปล่า
“คงจะไม่ทิ้งรอยนะ…”
ดูเหมือนจะมีรอยฟันอยู่จุดหนึ่ง
มูฮึนคิดแบบนั้นพลางลูบไปตามต้นคอของซึงจู แม้ว่าบริเวณนั้นจะเกลี้ยงเกลาไร้ร่องรอยใด แต่ตรงหน้าอกที่อยู่ภายใต้ร่มผ้าดูเหมือนจะมีร่องรอยที่เขาสร้างไว้เต็มไปหมด เพราะตอนที่สติสัมปชัญญะพร่าเลือน เขาได้ฝังเขี้ยวลงไปบนหน้าอกนั้นอย่างลืมตัว
ถึงอย่างนั้นสภาพของซึงจูในตอนนี้ก็ไม่ได้ดูน่ากังวลแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกับมูฮึนที่ตามเนื้อตัวมีร่องรอยอยู่เต็มไปหมด ต่างจากซึงจูที่ดูเกลี้ยงเกลาหากมองเผินๆ เหนือรอยสักลายดอกกล้วยไม้บนต้นคอที่ซึงจูเอาแต่ขบกัดเมื่อคืนเหมือนมีดอกไม้สีแดงกำลังบานสะพรั่ง
“เหมือนตอนเด็กไม่มีผิด”
ซึงจูติดนิสัยชอบกัดเวลาใช้หลอดหรือแก้วกระดาษ แม้ตอนแรกเขาจะเป็นฝ่ายอนุญาตให้ซึงจูกัดก็เถอะ แต่ซึงจูก็จริงจังกับการกัดเขาสุดๆ สงสัยตอนเด็กจะติดจุกนมเกินไปหน่อย พอโตแล้วเลยเลิกนิสัยชอบกัดไม่ได้สักที
แน่นอนว่าในสายตาเรา ซึงจูก็ยังเป็นเด็กน้อย…
พอคิดว่าถ้าซึงจูได้ยินเข้าคงจะโกรธแน่ๆ มูฮึนก็รีบขยับเปลี่ยนท่าเพื่อให้ซึงจูนอนสบายขึ้น หลังเอนตัวนอนลงข้างกัน เขาก็สอดแขนเข้าไปใต้ศีรษะของซึงจูแล้วดึงเข้ามากอดในอ้อมอกด้วยความเคยชิน และเนื่องจากซึงจูไม่ได้มีนิสัยแปลกๆ ตอนนอนจึงมักซุกตัวเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างว่าง่าย
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะนิสัยของซึงจูที่เขาหวั่นใจ หรือเป็นเพราะซึงจูแค่ต้องการพลังวิญญาณไปตามสัญชาตญาณกันแน่ แม้มูฮึนจะคาดหวังให้เป็นอย่างแรก แต่อย่างหลังเองก็ดูจะมีน้ำหนักไม่น้อย เพราะตอนนี้เขาสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณที่เข้มข้นและเต็มเปี่ยมจากตัวของซึงจูที่รับไปจากเขาเมื่อคืน
มีหวังได้โดนคุณป้าดุแน่ๆ
คนที่ต้องโดนดุไม่ควรเป็นซึงจู แต่ควรเป็นตัวเขาเอง แม้คุณป้าจะไม่ใช่คนขี้โมโห แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเขาทำเรื่องอันตรายหรือพูดโกหก คุณป้าก็จะตำหนิอย่างไม่ปรานี หากเป็นอย่างหลังคุณป้าก็คงจะให้อภัยไปตามสภาพการณ์ แต่หากเป็นอย่างแรก ต่อให้เอาเหตุผลอะไรมาอ้างคุณป้าก็คงไม่มีทางให้อภัยเขาเด็ดขาด และในครั้งนี้คนที่ต้องรับผิดชอบทุกอย่างกระทั่งเรื่องที่ซึงจูก่อก็ควรเป็นเขา
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรม เขารู้สึกผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ทั้งกับซึงจู คุณป้า รวมไปถึงซึงฮีผู้เป็นพี่สาวของซึงจู
“…”
ขณะที่จมอยู่ในห้วงความคิดก็ดูเหมือนว่ามือที่โอบกอดซึงจูจะเผลอออกแรงหนักเกินไป ซึงจูถึงได้ลืมตาตื่นขึ้นมา ในวินาทีที่สายตาสบกันกลางอากาศ มูฮึนก็พลันเจ็บแปลบในอก มันเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่ได้มองหน้าซึงจู
“ขอโทษนะ พี่ทำให้นายตื่นเหรอ”
ทั้งที่ปกติแล้วมูฮึนจะกล่อมซึงจูให้หลับต่อ แต่วันนี้เขาอยากพูดคุยกับอีกฝ่าย และถึงจะไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า แต่ความจริงแล้วเขากำลังทำตัวไม่ถูก เพราะถึงนี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามีอะไรกับใคร แต่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาลืมตาตื่นขึ้นมาบนเตียงเดียวกับคนที่เพิ่งมีอะไรกัน ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับทำให้เขาใจฝ่อ
“ทำไมพี่ยังไม่นอนอีกล่ะครับ”
“…”
กลับมาใช้คำพูดสุภาพอีกแล้วแฮะ
“ใช่ที่ไหนเล่า พี่หลับไปตื่นนึงแล้วต่างหาก”
มูฮึนข่มความรู้สึกน้อยใจที่ถาโถมเข้ามาในใจแล้วตอบกลับเสียงใส แต่จะโทษใครได้นอกจากตัวเขาเองที่เป็นคนตีตัวออกหากจากซึงจูแต่แรกกระทั่งอีกฝ่ายติดพูดสุภาพจนเป็นนิสัย ต่อให้จะบอกว่าตอนนั้นมีเหตุการณ์มากมายเกิดขึ้น ทว่าสิ่งที่สำคัญสำหรับซึงจูกลับไม่ใช่เหตุผล แต่เป็นผลลัพธ์
“นอนต่อเถอะ”
ทันทีที่มูฮึนลูบหลังกล่อมเบาๆ ซึงจูก็หลับตาทั้งสองข้างลงอีกครั้ง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตื่นมาได้แค่ครู่เดียวหรือเปล่า เสียงลมหายใจถึงได้กลับมาดังเป็นจังหวะสม่ำเสมออีกครั้ง ฉับพลันนั้นความรู้สึกบางอย่างก็ก่อตัวขึ้นในใจอีกหน มูฮึนจึงดึงซึงจูเข้ามากอดไว้แน่นเพื่อซึมซับความรู้สึกอันหอมหวาน ซึงจูคงไม่รู้ว่าในวินาทีที่เขากอดซึงจูไว้ในอ้อมอก เขาต้องเตรียมตัวเตรียมใจรับมือสิ่งต่างๆ มากมายขนาดไหน และวันนั้นที่ได้จูบกันเป็นครั้งแรก เขารู้สึกเสียใจมากแค่ไหน
และนี่ก็คือเรื่องราวของมูฮึนที่ซึงจูไม่เคยรับรู้
นับจากวันนี้ ย้อนกลับไปวันแรกของเดือนอ้ายเมื่อยี่สิบเก้าปีก่อน เด็กคนหนึ่งได้ถือกำเนิดขึ้นมาในตระกูลมือปราบวิญญาณแถวหน้า เด็กน้อยมีพลังวิญญาณที่แก่กล้าเหมือนแม่ผู้เป็นผู้นำตระกูล และสามารถมองเห็นการไหลเวียนของพลังวิญญาณได้นับตั้งแต่วินาทีแรกที่ลืมตาดูโลก วันใดที่เด็กน้อยร้องไห้จ้าขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล วันนั้นจะมีอุบัติเหตุเล็กใหญ่เกิดขึ้น และวันใดที่เด็กน้อยหัวเราะร่าอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย วันนั้นก็จะมีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้นในบ้าน
เนื่องจากเด็กน้อยเกิดในช่วงเวลาเช้ามืดที่มีหมอกทึบปกคลุม พวกผู้ใหญ่จึงตั้งชื่อว่า ‘มูฮึน (霧昕)’* และเพียรสอนเขาไม่ให้ใช้พลังในทางที่ไม่ถูกไม่ควร ดังนั้นแล้วทุกครั้งที่เขามองเห็นอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้น เขาก็มักจะเมินเฉยและแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เพราะถ้าขืนพูดออกไปก็อาจทำให้เกิดเคราะห์ร้ายขึ้นได้ และถึงแม้จะมีพรสวรรค์ด้านสติปัญญาดีเลิศ แต่เขาก็ไม่เคยยอกย้อนคำพูดของผู้ใหญ่เลยแม้แต่ครั้งเดียว
หลังจากนั้นสิบปีสิบเดือน ในวันที่ยี่สิบสามเดือนสิบสองตามปฏิทินสุริยคติ หรือตรงกับวันที่เก้าเดือนสิบเอ็ดตามปฏิทินจันทรคติ
ผู้คนต่างเรียกผีที่ก่อกวนการโยกย้ายหรือกิจวัตรต่างๆ ของมนุษย์ว่า ‘ซน’** และเรียกวันที่ผีเหล่านั้นไม่ออกมาเพ่นพ่านว่า ‘วันปลอดผี’ ซึ่งเป็นวันที่มีตัวเลขหลักสุดท้ายเป็นเลขศูนย์และเก้าตามปฏิทินจันทรคติ มันจึงกลายเป็นวันที่ผู้คนมักเลือกให้เป็นวันโยกย้ายไปโดยปริยาย
และซึงจูเกิดในคืนที่ไร้ร่องรอยของผีเหล่านั้น
ว่ากันตามตรงแล้วคนที่นิมิตเห็นการมาเกิดของซึงจูคือมูฮึน ในวันที่ตรงกับวันเกิดอายุครบสิบเอ็ดปี มูฮึนฝันว่าตัวเองกลืนดวงอาทิตย์ดวงใหญ่ลงท้องไปในคราวเดียว หลังจากวันนั้นไม่นานเขาก็ได้ข่าวการตั้งครรภ์ของคุณป้า อันที่จริงมูฮึนรู้อยู่แล้วว่าดวงอาทิตย์ดวงนั้นคือชีวิตที่กำลังจะถือกำเนิดขึ้นในท้อง
ทว่ามูฮึนก็ไม่ได้เล่าความฝันให้ใครฟัง เหตุผลนั้นมีเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือในวินาทีที่เขาพูดถึงอนาคตที่มองเห็นออกมาจากปากก็จะเกิดเคราะห์ร้ายขึ้นกับคนที่เกี่ยวข้อง ต่อให้จะไม่รู้ว่ามันเป็นฝันดีหรือฝันร้าย แต่มูฮึนก็ไม่อาจพลั้งปากพูดออกไปว่าตัวเองฝันเห็นเด็กคนนั้นได้
‘มูฮึนของป้าคงจะรู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าตัวเองกำลังจะมีน้อง’
เพราะอย่างนั้นตอนที่คุณป้าถาม มูฮึนจึงได้แต่ปิดปากเงียบและไม่ตอบอะไร คุณป้าสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่แฝงอยู่ในความเงียบ จึงคลี่ยิ้มพลางลูบศีรษะมูฮึน ระหว่างนั้นซึงฮีที่หรี่ตาจับพิรุธอยู่ข้างๆ ก็ถามขึ้นอย่างดีใจ
‘ถ้าเกิดมาแข็งแรงก็คงจะดีเนอะ ว่าไหม’
สิ่งที่มูฮึนสามารถทำได้มีเพียงไม่กี่อย่าง อย่างแรกคือการพยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไร อย่างที่สองคือการมองท้องของคุณป้าที่ยังดูไม่ออกว่ากำลังตั้งครรภ์พร้อมกับพูดอ้อมๆ ว่า ‘ต้องแข็งแรงอยู่แล้ว’ และอย่างสุดท้ายคือการนึกถึงดวงอาทิตย์ที่เห็นในฝันแล้วพูดอ้อมแอ้มเบาๆ โดยไม่ให้คนอื่นได้ยินว่า ‘อยากเจอไวๆ จัง’
แล้วเด็กคนนั้นก็ลืมตาดูโลกหลังจากที่ทั้งสองตระกูลให้กำเนิดซึงแทและมูยอนผ่านมาเก้าปี ตอนที่คุณป้าท้องแก่ ซึงแทที่อิจฉามูยอนมาตลอดก็ไม่อาจเก็บซ่อนท่าทีดีใจเอาไว้ได้ เขาโอ้อวดเป็นการใหญ่ว่าตัวเองก็มีน้องเหมือนกัน อีกทั้งยังบอกว่าพอโตขึ้นแล้วจะให้น้องเล็กของทั้งสองบ้านแต่งงานกัน ซึงฮีจึงเอ่ยปากเตือนทั้งสองคนที่จับคู่ให้น้องเสร็จสรรพว่าควรถามความเห็นของน้องเล็กทั้งสองคนเสียก่อน
แน่นอนว่าไม่ได้มีแค่น้องๆ เท่านั้นที่ตื่นเต้นกับการมีน้องเล็กคนใหม่ ซึงฮีเองก็อยากเจอหน้าน้องเล็กจึงเฝ้าถามทุกวันว่า ‘หนูต้องนอนอีกกี่คืนถึงจะได้เจอน้องเหรอคะ’ นั่นคงเป็นเพราะมูรยองที่เพิ่งเกิดมาได้ไม่นานน่ารักราวกับเทวดาตัวน้อย ความคาดหวังของเหล่าพี่ๆ จึงเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
มูฮึนไปบ้านข้างๆ ทุกวัน ปกติแล้วคุณป้าไม่ค่อยอยู่บ้านเพราะงานยุ่ง แต่ยิ่งคุณป้าท้องแก่ โอกาสที่จะได้เจอคุณป้าที่บ้านก็มีมากขึ้น หลังได้รับอนุญาตจากคุณป้า มูฮึนก็เอื้อมมือไปลูบท้องพร้อมทั้งพูดคุยกับน้องเบาๆ จากนั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงการดิ้นของน้องที่อยู่ในท้องเป็นครั้งแรกในชีวิตนับตั้งแต่มีน้องมาหลายคน
‘ดูเหมือนน้องจะได้ยินเสียงมูฮึนด้วยนะจ๊ะ’
มูฮึนดีใจกับคำพูดประโยคนั้นจนถึงกับพูดอะไรไม่ออกครู่ใหญ่ เขาไม่ได้ยินแม้แต่เสียงของซึงฮีที่พร่ำบอกให้เขาหลีกไปเพราะกำลังรอให้ถึงคิวของตัวเอง สิ่งที่อยู่ในหัวของเขาตอนนั้นมีเพียงสัมผัสที่รู้สึกได้ผ่านฝ่ามืออันเป็นหลักฐานการมีชีวิตอยู่ของน้องในท้อง
เวลาผ่านไป กระทั่งเหลือเวลาอีกประมาณหนึ่งสัปดาห์จะถึงวันคลอด คุณป้าก็ดูปกติดีมาตลอด จนกระทั่งช่วงเที่ยงวันก็ปวดท้องคลอดขึ้นมากะทันหันจนคนในบ้านต้องรีบพาไปโรงพยาบาล โดยฝากซึงฮีกับซึงแทไว้ที่บ้านของมูฮึน แม้แต่มูรยองที่ตอนนั้นกำลังนอนหลับปุ๋ยก็ตื่นขึ้นมาคลานเตาะแตะตามไปสมทบที่ห้องนั่งเล่น
‘ว่าแต่พี่มูฮึนกำลังทำอะไรอยู่เหรอ’
‘พี่ฉันหลับอยู่น่ะ’
มูยอนตอบแบบนั้น แต่ความจริงแล้วมูฮึนกำลังกำผ้าห่มแน่นพร้อมกับพร่ำภาวนาในใจ เขาไม่ได้ภาวนาขอให้คุณป้าปลอดภัยหรือขอให้น้องแข็งแรง แต่ภาวนาขอให้ตัวเองไม่นิมิตเห็นอนาคตขึ้นมาเอาตอนนี้ และขอให้เหตุการณ์เลวร้ายอย่างวันที่ซึงฮีตกชิงช้าหลังจากที่เขามองเห็นอนาคตอันเป็นลางร้ายไม่เกิดขึ้น
ดูเหมือนสวรรค์จะรับฟังคำอ้อนวอนนั้น เพราะมูฮึนไม่นิมิตเห็นอะไรเลยจนกระทั่งคุณป้าออกจากโรงพยาบาล หลังจากนั้นสามวันคุณป้าก็กลับบ้าน หน้าท้องของคุณป้าที่เคยโป่งนูนค่อยๆ กลับไปแบนราบเหมือนปกติโดยข้างๆ มีคุณลุงที่กำลังโอบอุ้มเจ้าตัวน้อยไว้แนบอก
‘เป็นเด็กผู้ชายเหมือนมูรยองเลย’
มูฮึนไม่ได้สนใจเรื่องเพศของน้องเลยสักนิด ในหัวเขาคิดแค่ว่าอยากเจอหน้าน้องเพียงเท่านั้น
เด็กสี่คนรวมตัวอยู่ที่ห้องนั่งเล่นเพื่อเตรียมเจอหน้าสมาชิกใหม่ของครอบครัว พวกเขาถูมือไปมาอย่างตื่นเต้น มีเพียงมูรยองคนเดียวเท่านั้นที่ดูดถุงมือเด็กเสียงดังจ๊วบๆ โดยที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไร
‘เอ้า ทักทายน้องกันหน่อยสิ’
ทันทีที่ได้เห็นเด็กแรกเกิด มูฮึนที่ตื่นเต้นกับการพบกันครั้งแรกหลังเฝ้ารอมาตลอดก็มีเพียงความรู้สึกเดียว
โห…ตัวจิ๋วเดียวเอง
ไม่ว่าจะมือหรือเท้าก็ดูเล็กไปหมด แถมใบหน้าก็ยังมีรอยย่นตามแบบฉบับเด็กแรกเกิด ดูไปแล้วเหมือนหัวมันฝรั่งอย่างบอกไม่ถูก และถ้าจะถามว่าส่วนไหนที่ดูเหมือนมันฝรั่งก็คงตอบว่าเครื่องหน้าที่แต่งแต้มอยู่บนใบหน้าเล็กจิ้มลิ้มนั่นล้วนเหมือนไปเสียทุกส่วน แม้จะมีหูตาจมูกครบ แต่มูฮึนก็ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเจ้าสิ่งมีชีวิตตัวน้อยตรงหน้านี้คือคนจริงๆ
ทั้งมูรยอง ซึงแท และมูยอนที่เป็นน้อง มูฮึนล้วนเคยเห็นทุกคนตอนแรกเกิด แม้มูยอนกับซึงแทจะอายุห่างจากเขาไม่มากเท่าไหร่จนเขาจำอะไรไม่ค่อยได้ก็เถอะ แต่ตอนที่ได้เห็นมูรยองตอนแรกเกิดเมื่อประมาณเจ็ดเดือนก่อน เขาก็จำได้แม่นว่าตัวเองไม่ได้รู้สึกแบบนี้ เด็กคนนี้ทั้งตัวเล็ก บอบบาง และดูอ่อนแอกว่ามูรยองเป็นไหนๆ
‘เหมือนมนุษย์ต่างดาวเลยแฮะ’
‘…’
มูฮึนชะงักกึกไปกับคำพูดของซึงฮีที่จู่ๆ ก็โพล่งออกมา
มนุษย์ต่างดาว…ไม่เห็นต้องพูดขนาดนั้นเลยนี่
ขณะที่มูฮึนกำลังคิดแบบนั้น ซึงฮีก็พูดในสิ่งที่ฟังแล้วน่าใจหายขึ้นมาอีกครั้ง
‘ทั้งที่มูรยองออกจะน่ารักแท้ๆ แต่ทำไมน้องหนูถึงได้ขี้เหร่จังเลยคะ’
บรรดาผู้ใหญ่พากันหัวเราะออกมายกใหญ่ แม้แต่มูรยองที่นั่งอยู่อย่างเรียบร้อยก็พลอยโบกมือและหัวเราะเอิ๊กอ๊ากไปด้วย ซึงแทกับมูยอนเองก็ดูเหมือนจะเห็นด้วยกับคำพูดของซึงฮี มีเพียงมูฮึนคนเดียวเท่านั้นที่เถียงกลับด้วยสีหน้าจริงจัง
‘อย่าพูดแบบนั้นสิ ฉันว่าน้องน่ารักจะตาย’
ทั้งที่น้องก็ออกจะน่ารักแท้ๆ ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ ถึงจะตัวเล็กไปนิด แต่ก็ใช่ว่าจะไม่น่ารักสักหน่อย
‘ถ้าคิดว่าน้องไม่น่ารัก เธอก็เอาน้องมาให้ฉันสิ’
‘ไม่มีทาง นี่น้องฉัน’
ซึงฮีขมวดคิ้วพลางส่ายหน้าปฏิเสธทันควัน ถึงจะแกล้งหยอกว่าน้องขี้เหร่ แต่พอถูกมูฮึนเอ่ยปากขอน้อง ซึงฮีก็รู้สึกหวงขึ้นมาทันที พอเห็นเด็กสองคนจ้องตากันเขม็ง คุณพ่อก็อุ้มมูรยองขึ้นมาแนบอก ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเจือหัวเราะ
‘ตอนเด็กๆ ทุกคนก็หน้าตาแบบนี้เหมือนกันหมดแหละน่า แต่ลุงว่าน้องเล็กของซึงแทกับซึงฮีก็น่ารักดีออก’
เด็กน้อยเหมือนจะรู้ว่าทุกคนกำลังพูดถึงตัวเอง จึงขยับตัวไปมาทั้งที่ยังแทบจะลืมตาไม่ได้ด้วยซ้ำ แถมน้ำลายยังไหลย้อยออกมาจากปากที่ขมุบขมิบเหมือนจะงอยปากของลูกนก พอเห็นภาพนั้นของเด็กน้อยมูฮึนก็ผ่อนคลายสีหน้าลง ส่วนซึงฮีที่เหม่อไปครู่หนึ่งก็พึมพำเสียงแผ่ว
‘น่ารักจริงๆ ด้วยแฮะ’
มันเป็นคำพูดที่ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ แต่ในคำพูดนั้นก็แฝงไปด้วยความรู้สึกหวั่นไหวที่ไม่อาจเก็บซ่อนเอาไว้ได้ แม้จะพยายามทำตัวนิ่งสุขุมเป็นผู้ใหญ่แค่ไหน แต่ซึงฮีก็ดีใจมากๆ ที่เด็กคนนี้คือน้องคนที่สองของเธอ
‘พ่อกลับบ้านแป๊บนึงนะ เดี๋ยวมา’
ขณะที่บรรยากาศวุ่นวายเริ่มสงบลง คุณลุงก็เดินออกจากบ้านไปพร้อมกับพ่อแม่ของมูฮึนโดยบอกว่าจะไปเอาอะไรสักอย่าง ในเวลาเดียวกันนั้นคุณป้าก็เดินหายเข้าไปในครัว ในห้องนั่งเล่นจึงเหลือแต่เด็กๆ
เวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งนาที ซึงแทที่อยากรู้อยากเห็นก็สร้างเรื่องขึ้น
‘นี่ ห้ามจับน้องนะ’
‘ฉันเช็ดมือแล้วน่า ไม่เป็นไรหรอก’
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตื่นเต้นกับแก้มป่องที่มีไรขนอ่อนขึ้นบางๆ หรือเป็นเพราะอิจฉาบรรดาพี่ๆ ที่ได้ทักทายน้องในระยะประชิด แม้มูยอนจะเอ่ยเตือนแล้ว แต่ซึงแทก็ยังรั้นที่จะแตะน้องเบาๆ ด้วยปลายนิ้ว
ไม่ทันที่ซึงฮีกับมูฮึนจะได้เอ่ยปากห้ามอีกครั้ง ทันทีที่ปลายนิ้วแตะลงบนผิวอย่างระมัดระวัง เด็กน้อยที่หลับตาพริ้มอยู่ก็เบะปากร้องไห้จ้าออกมาทันที โดยที่ซึงแทยังไม่ทันรู้สึกว่าตัวเองแตะโดนตัวน้องเลยด้วยซ้ำ
‘คุณป้า! ซอซึงแททำน้องร้องไห้ค่า!’
‘ไม่ใช่สักหน่อย ฉันยังไม่ทันทำอะไรเลย!’
มูยอนวิ่งหน้าตาตื่นเข้าไปในครัวทันที ตรงข้ามกับมูฮึนและซึงฮีที่เบิกตาโตตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ เพราะมูรยองเป็นเด็กที่แทบจะไม่ร้องไห้เลยสักแอะ ทั้งสองจึงไม่คุ้นเคยกับการเห็นเด็กแรกเกิดร้องไห้งอแง แต่ไม่นานหลังจากนั้นมูรยองที่นอนอยู่ท่ามกลางเสียงเอะอะก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นขึ้นมาอีกคน
แน่นอนว่านั่นเป็นวันที่วุ่นวายที่สุดในวัยสิบเอ็ดขวบ มูฮึนไม่เคยว้าวุ่นใจขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต หลังกลอกตาเลิ่กลั่กไปมาเพราะทำตัวไม่ถูก มูฮึนก็โน้มตัวลงไปปลอบเด็กน้อย
‘อย่าร้องน้า…นะ?’
เมื่อเห็นเด็กน้อยร้องไห้อย่างน่าสงสาร หัวใจมูฮึนก็หนักอึ้งไปทั้งดวง ขอเพียงแค่ปลอบโยนเด็กน้อยได้ ไม่ว่าเด็กน้อยจะขออะไร เขาก็พร้อมมอบให้ทุกอย่าง มูฮึนไม่นึกเลยว่าเวลาเด็กน้อยร้องไห้จะดูน่าสงสารถึงขนาดนี้ ทั้งที่ร้องไห้ออกมาโดยไม่มีน้ำตาแม้สักหยด
‘อุแง…’
‘เด็กดี…’
มูฮึนเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาทำแบบนี้เพราะคิดอะไรอยู่ เขาได้แต่ลูบกำปั้นน้อยๆ ด้วยปลายนิ้วอย่างทะนุถนอมเหมือนที่เคยทำกับมูรยอง แต่ตอนนั้นเองจู่ๆ มือของเด็กน้อยที่นุ่มราวกับสำลีก็คว้าจับนิ้วของเขาไว้
‘…’
หากถามว่าเด็กชายวัยสิบเอ็ดขวบจะไปรู้สึกอะไร มูฮึนก็ตอบได้เลยว่าในช่วงเวลานั้นเขารู้สึกตื้นตันใจจนอธิบายเป็นคำพูดไม่ถูก อุณหภูมิที่ส่งผ่านมาสู่นิ้วหัวแม่มือนั้นอุ่นและชัดเจนกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก และเขายิ่งรู้สึกถึงมันมากขึ้นเมื่อเด็กน้อยจับนิ้วของเขาแน่นโดยที่ไม่รู้ว่าไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน แต่ดูท่าแล้วจะเป็นเรี่ยวแรงที่เค้นออกมาจากการดูดนม
‘หืม? ก็ไม่เห็นร้องไห้เลยนี่จ๊ะ’
คุณป้าที่เร่งรีบเดินออกมาจากครัวมองเด็กน้อยที่เพิ่งหยุดร้องไห้ด้วยสีหน้าตื่นตระหนก พอเบนสายตาไปมองมูฮึนที่ตัวแข็งทื่อขณะที่ยังคงยื่นนิ้วให้เด็กน้อยจับอยู่ เธอก็หลุดหัวเราะออกมาอย่างโล่งใจ
‘พี่มูฮึนช่วยปลอบน้องสินะจ๊ะ’
มูฮึนสบตากับเด็กน้อยอยู่ครู่ใหญ่โดยไม่พูดอะไร เพราะดวงตาที่ปรือปิดลงครึ่งหนึ่งกำลังจ้องมองเขาด้วยแววตาใสแจ๋ว และในเสี้ยววินาทีที่จ้องมองเข้าไปในนัยน์ตาที่เปล่งประกาย สายตาของมูฮึนก็พลันพร่าเลือนไปชั่วขณะ
‘เอ่อ…’
ถึงแม้ว่าภาพในอนาคตที่ปรากฏขึ้นมาชั่วขณะหนึ่งจะไม่ชัดเจนนัก แต่มูฮึนก็ได้รู้ความจริงว่าโชคชะตาของตัวเองกับเจ้าสิ่งมีชีวิตตัวน้อยนี้ผูกพันกันอย่างเหนียวแน่น
นับตั้งแต่ตอนที่กลืนดวงอาทิตย์ลงท้องในความฝันมาจนถึงตอนนี้ พวกเขาต่างถูกสายสัมพันธ์อันเหนียวแน่นพันผูกไว้จนไม่อาจแยกจากกันได้ ซึ่งโชคชะตาที่มีเพียงมูฮึนเท่านั้นที่สัมผัสได้นี้นับเป็นความลับที่เขาไม่อาจบอกใครได้
ตระกูลคิมมีสิ่งที่เป็นเหมือนธรรมเนียมปฏิบัติ นั่นคือการที่ต้องคอยปกป้องตระกูลซอมาตั้งแต่โบราณกาล ทั้งสองตระกูลอาศัยอยู่ในบ้านที่ตั้งอยู่เคียงข้างกันและมีลักษณะเหมือนกัน มีลูกหลานในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน เลี้ยงลูกหลานให้เติบโตมาด้วยกัน และมีลูกหลานที่อายุเท่ากันสามคน ถึงแม้ทั้งหมดนี้อาจจะเป็นแค่ความบังเอิญ แต่มูฮึนก็มองว่ามันเป็นภาระหน้าที่ของเขาเสมอมา
เพราะมันคือโชคชะตาที่ต้องปกป้อง มูฮึนคิดแบบนั้นมาตลอด ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไร เขาก็พร้อมจะอุทิศกายเพื่อปกป้องชีวิตที่แสนล้ำค่าของเด็กน้อยคนนี้ เขามั่นใจว่าความรู้สึกของเขาในตอนนี้คือหน้าที่ของโชคชะตาที่สวรรค์ลิขิตมา
โชคดีที่เด็กน้อยไม่ตกเป็นเป้าของคำสาปที่สืบต่อกันมารุ่นสู่รุ่น เนื่องจากดวงชะตาในหลายด้านสอดคล้องกัน เพราะเกิดในวันที่มีกระแสพลังวิญญาณไหลเวียนน้อยจึงทำให้เกิดมาโดยไม่มีพลังวิญญาณ พอเกิดมาในวันที่ไม่มีพวกผีออกมาเพ่นพ่านและเป็นวันที่ไม่มีนัยน์ตาปีศาจคอยสอดส่อง ดวงชะตาของเด็กน้อยจึงหวนคืนกลับสู่หนทางที่ควรจะเป็น
เมื่อเด็กน้อยเอาชนะและข้ามผ่านค่ำคืนมาได้แล้ว พ่อแม่จึงตั้งชื่อให้ว่า ‘ซึงจู (勝晝)’ ที่มีความหมายว่า ‘จงเอาชนะกลางวัน’ และมอบเครื่องรางสะเดาะเคราะห์เหมือนกับที่มอบให้ซึงฮีและซึงแทตอนแรกเกิด พอครบร้อยวันก็จัดงานฉลองครบรอบร้อยวันให้ อีกทั้งยังจัดงานฉลองครบรอบวันเกิดใหญ่โตให้ทุกปี
เนื่องจากทุกคนในตระกูลซอต่างประสบพบเจอกับอุบัติเล็กใหญ่เป็นประจำ ความห่วงใยที่คนในตระกูลมีต่อซึงจูที่เติบโตมาอย่างแข็งแรงไร้โรคภัยจึงเพิ่มพูนขึ้นทุกวัน
‘พี่ เมื่อไหร่น้องจะคลานได้’
‘พี่จะไปรู้ได้ไงล่ะ เจ้าโง่’
‘แม่! คิมมูยอนด่าผมว่าเจ้าโง่!’
บ่อยครั้งที่เด็กห้าคนนั่งล้อมกันเป็นวงกลมแล้วจ้องมองซึงจู และก็บ่อยครั้งเช่นกันที่เด็กน้อยขี้แยอย่างซึงจูมองพวกพี่ๆ ที่มารุมล้อมแล้วร้องไห้จ้าเสียงดัง
เนื่องจากเกิดมาตัวเล็ก ซึงจูจึงค่อนข้างโตช้าเมื่อเทียบกับเด็กคนอื่นในวัยเดียวกัน ซึงฮีกับซึงแทร้อนใจและเฝ้าถามอยู่ทุกวันว่าเมื่อไหร่น้องของพวกเขาจะโตสักที เพราะเห็นว่ามูรยองที่เกิดมาไล่เลี่ยกันโตวันโตคืน จนกระทั่งตอนที่ซึงจูพลิกตัวได้เป็นครั้งแรก ซึงฮีกับซึงแทก็พากันปรบมืออย่างตื่นเต้นด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะทุกคนพากันโอ๋ซึงจูกันเกินไปหรือเปล่า ซึงจูถึงได้เติบโตมากลายเป็นเด็กที่กลัวคนสุดๆ แค่โดนแตะตัวนิดหน่อยก็จะร้องไห้จ้า ยิ่งคนแปลกหน้ายิ่งไม่ยอมให้อุ้มโดยเด็ดขาด มิหนำซ้ำยังอารมณ์แปรปรวนง่าย เวลาใครอุ้มก็จะร้องให้ปล่อยลงทันที
‘ซึงจู มาหาพี่จ๋าหน่อยสิ’
ทว่ามูฮึนกลับเป็นคนเดียวที่อยู่นอกเหนือสิ่งเหล่านั้น ด้วยมูฮึนเป็นเพียงคนเดียวที่อุ้มซึงจูได้ทุกเมื่อโดยที่ซึงจูไม่ร้องไห้งอแง คุณลุงกับคุณป้าจึงมักจะทำหน้าน้อยใจอยู่บ่อยครั้งเพราะซึงจูติดมูฮึนมากกว่าตัวเองที่เป็นพ่อแม่แท้ๆ เสียอีก
‘ถ้านายจะติดหมอนี่ขนาดนี้ก็เปลี่ยนชื่อเป็นคิมซึงจูเลยเถอะ’
แม้ซึงฮีจะแกล้งพูดแบบนั้น แต่ซึงจูที่นั่งนิ่งอยู่บนตักของมูฮึนก็ไม่ได้สนใจ เพราะเขายังเด็กเกินกว่าจะรู้ประสา พอเห็นซึงจูเอียงคอไปมาแล้วผงกศีรษะรับคำอย่างว่าง่าย ซึงฮีก็ขยำแก้มของซึงจูพร้อมกับทำหน้าเอ็นดู
‘มูฮึน ลุงฝากหน่อยนะ’
หน้าที่เปลี่ยนผ้าอ้อมและป้อนนมจึงตกมาเป็นของมูฮึนไปโดยปริยาย ครั้งหนึ่งเขาเคยถูกซึงจูปัสสาวะใส่หน้า แต่เขากลับเอ็นดูซึงจูตัวน้อยและไม่ได้รู้สึกขุ่นเคืองกับประสบการณ์นั้นเลยสักนิด เขาไม่รู้ว่ามันดูเป็นการทุ่มสุดตัวเกินไปหรือเปล่า แต่ซึงฮีก็ยังถึงกับต้องยอมยกธงขาวให้กับความรักและความเอ็นดูที่เหมือนกับความหน้ามืดตามัวนั้น
‘คิมซึงจูที่ไหนเล่า ต้องเป็นซอมูฮึนต่างหาก’
เนื่องจากสถานการณ์มีความจำเป็น มูฮึนจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องคอยหวงแหนและดูแลซึงจู เขาไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นฝ่ายเอ็นดูซึงจูก่อนหรือซึงจูเป็นฝ่ายตามติดเขาแจก่อนกันแน่ เช่นเดียวกับคำถามที่ว่าไข่กับไก่อะไรเกิดก่อนกัน แต่ในสายตาของคนอื่นแล้ว ทุกคนล้วนมองว่าความรักใคร่เอ็นดูที่มูฮึนมีต่อซึงจูนั้นมีมากเป็นพิเศษ
ครั้งหนึ่งตอนซึงจูเริ่มหัดเดิน พอเห็นว่าซึงจูเดินโซเซไปมา มูฮึนก็กังวลใจจนต้องคอยตามอุ้ม หลังจากนั้นก็ดูเหมือนว่าซึงจูจะติดจนเป็นนิสัย ทุกครั้งที่อยากไปไหนก็ไม่คิดจะเดินด้วยเท้าตัวเอง แต่กลับยื่นแขนป้อมๆ ไปหามูฮึนแทน แม้จะเป็นท่าทีที่ดูเอาแต่ใจ แต่มูฮึนก็ไม่ได้มองว่าท่าทางน่ารักแบบนั้นเป็นปัญหาเลยสักนิด
‘ไม่ได้นะ มูฮึนอา ถ้าคอยอุ้มอยู่ตลอดแบบนี้น้องจะเสียนิสัยเอานะ’
ตอนที่คุณป้าเตือนเพราะทนดูไม่ไหว มูฮึนก็คิดในใจ
ต่อให้เสียนิสัยก็ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่ ให้เราอุ้มน้องไปตลอดชีวิตเลยก็ยังได้
แม้จะไม่รู้ว่าซึงจูจะโตไปได้ถึงแค่ไหน แต่เขาก็มั่นใจว่าต่อให้น้องตัวโตกว่า เขาก็สามารถอุ้มน้องจนตัวลอยได้สบายๆ แน่นอนว่ามูฮึนก็อยากให้น้องเดินได้ด้วยตัวเอง เพราะถ้าน้องมีปัญหาด้านการเจริญเติบโต เขาก็คงจะเสียใจมาก หลังจากนั้นมามูฮึนจึงยอมให้น้องจับแค่มือเท่านั้นเพื่อให้น้องได้ฝึกเดินด้วยตัวเอง และเขาก็เพิ่งจะมาตระหนักได้ในตอนนั้นว่าต่อให้หวงแหนแค่ไหน แต่ก็จะยอมตามใจทุกอย่างไม่ได้
‘ซึงจูยา ทางนี้’
‘ไม่ๆ มาหาพี่นี่มา!’
‘ไหนดูซิ นี่ใช่ของเล่นที่ซึงจูชอบหรือเปล่า’
ตอนที่ซึงจูเริ่มเดินคล่อง บรรดาพี่ๆ สี่คนก็จะมานั่งเรียงกันแล้วพนันไร้สาระ มันเป็นการเล่นแบบเดียวกับที่พวกพี่ๆ มักเล่นกับมูรยอง นั่นคือการถือสิ่งต่างๆ อย่างเช่นลูกอมหรือของเล่นไว้ในมือพลางตะโกนเรียกหลอกล่อซึงจูให้เดินมาหา แต่น่าเสียดายที่ซึงจูเดินเตาะแตะมาหามูฮึนและขอให้อุ้มทุกครั้ง ต่างจากมูรยองที่เลือกเดินไปหาคนที่ถือของกิน
‘โอ๊ย พี่มูฮึนขี้เหนียว!’
‘พี่ฉันไม่ได้ขี้เหนียวสักหน่อย’
‘หมั่นไส้คิมมูฮึนชะมัด’
‘ทั้งที่ฉันยังไม่ทันได้พูดอะไรเลยสักคำเนี่ยนะ…’
ทุกคนโวยวายกับชัยชนะที่เหมือนถูกกำหนดไว้แล้ว แต่มูฮึนก็ทำเพียงแค่อุ้มซึงจูที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยกลิ่นนมผงมากอดพลางหัวเราะคิกคัก ด้วยเหตุนี้ของเล่นที่ซึงฮีถืออยู่จึงตกไปเป็นของมูรยอง แต่แล้วจู่ๆ ซึงจูก็ยื่นมือไปหาของเล่นชิ้นนั้นอย่างเงอะงะ พอมูรยองเห็นแบบนั้นก็ยื่นของเล่นชิ้นนั้นให้ซึงจูอย่างใจดี และในท้ายที่สุดมันจึงตกไปเป็นของซึงจู
จากที่ไม่เดิน เด็กน้อยก็เริ่มเดินจนคล่อง ก่อนจะเริ่มวิ่งด้วยสองขาของตัวเอง กระทั่งเริ่มรู้ความ หลังจากกาลเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ซึงจูก็ออกเสียงคำว่า ‘แม่’ ‘พ่อ’ และ ‘พี่ชาย’ ได้ในที่สุด แล้วพอซึงแทที่ไม่ได้มีส่วนช่วยอะไรพูดจาโอ้อวดใหญ่โต ซึงฮีกับมูยอนก็รู้สึกช้ำใจเป็นอย่างมากกับการที่น้องพูดคำว่า ‘พี่ชาย’ ได้ก่อนคำว่า ‘พี่สาว’
‘แต่มูรยองของพี่พูดคำว่าพี่สาวได้ก่อน…’
มูฮึนไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรกับคำพูดของมูยอนที่พึมพำขึ้นเบาๆ ด้วยสีหน้าที่ดูเหมือนกับว่ากำลังรู้สึกเสียศักดิ์ศรี ไม่สิ…ถ้าจะว่ากันตามตรงแล้วต้องบอกว่าตอนนั้นเขามัวแต่ฝึกเขียนยันต์ให้ซึงจูจนไม่มีสติจะมาคิดเรื่องอื่นต่างหาก เพราะพอได้เห็นท่าทีแสนน่ารักของซึงจูยามที่ร้องเรียกเขาว่า ‘พี่จ๋า’ แล้วเขาก็รู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจว่าถ้าไม่เขียนยันต์ปกป้องซึงจูไว้ก็อาจมีใครมาพรากน้องที่แสนน่ารักคนนี้ไปจากเขา
แม้ยันต์ที่เขาเขียนขึ้นมาจะไม่ได้มีประสิทธิภาพในเชิงผลลัพธ์ขนาดนั้น แต่ซึงจูก็เติบโตขึ้นมาอย่างแข็งแรงไร้อุบัติเหตุและโรคภัย แม้ว่าตอนเด็กอาจจะขี้แยไปสักนิด แต่พอโตขึ้นหน่อยก็แทบจะไม่ร้องไห้อีกเลย แต่ถึงจะไม่ร้องไห้ ทว่าซึงจูก็ยังชอบทำหน้าบูดบึ้ง ซึงฮีจึงชอบแลบลิ้นแกล้งหยอกซึงจูอยู่เป็นประจำ
‘โห ไหนดูซิ น้องใครเนี่ย หน้าตาขี้เหร่จัง’
มันเป็นการแกล้งเพราะความเอ็นดู ซึงจูจึงไม่ได้ใส่ใจ เนื่องจากรู้ดีอยู่แล้วว่ามันเป็นเรื่องโกหก เพราะมูฮึนมักคอยพูดกรอกหูอยู่ทุกวันว่าตนน่ารักน่าเอ็นดู ดังนั้นแล้วหากจะบอกว่าความมั่นใจในตัวเองที่สูงลิบลิ่วของซึงจูกว่าแปดในสิบส่วนมีมูฮึนเป็นคนสร้างขึ้นมาก็คงจะไม่ผิดนัก
แน่นอนว่าไม่ได้มีแค่ซึงฮีเท่านั้นที่ชอบแกล้งซึงจู เพราะช่วงที่มูฮึนเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลายเขาก็ชอบหยอกซึงจูเป็นประจำ และความอยากแกล้งก็มีแต่จะเพิ่มขึ้นทุกวัน เช่นการแอบดักรออยู่หลังประตูแล้วออกไปจ๊ะเอ๋ หรือการแอบย่องเข้าหาจากด้านหลัง บางทีถ้าหยอกเล่นแรงเกินไปก็อาจถึงขั้นที่ทำให้ซึงจูร้องไห้ แต่สุดท้ายแล้วคนที่ทำหน้าที่ปลอบซึงจูที่กำลังร้องไห้ก็คือมูฮึนอยู่ดี
‘โธ่ ซึงจูของพี่เสียใจแย่เลย’
แม้จะกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ แต่ซึงจูก็ยอมรับจุ๊บจากมูฮึนอย่างว่าง่าย จากที่น้ำตาไหลพรากเป็นสายน้ำ จู่ๆ ซึงจูก็เม้มริมฝีปากแน่นแล้วจ้องมองมูฮึนนิ่ง ก่อนจะสะบัดหน้าหนีอย่างไวเพราะความขุ่นเคือง
‘พี่จ๋าขอโทษ พี่จ๋าผิดไปแล้ว’
ว่ากันตามตรง มูฮึนรู้สึกเสียดายที่ซึงจูโตขึ้น เพราะพอโตขึ้นซึงจูก็ไม่กลัวคนแปลกหน้าอีกต่อไปและเริ่มเดินตามคนอื่นที่ไม่ใช่เขาไปไหนมาไหนต้อยๆ ซึ่งเขาไม่ชอบใจที่ได้เห็นภาพนั้นเลยสักนิด ถึงเขาจะสนุกเมื่อได้เห็นซึงจูแสดงปฏิกิริยาตอบรับเวลามีใครมาแกล้งเล่นก็ตามที
‘พอซอซึงจูโตขึ้นก็คงไม่มาเล่นกับนายแล้วล่ะ’
มูฮึนรู้สึกหวั่นใจเล็กน้อยกับคำพูดหยอกเล่นของซึงฮี แม้จะเคยได้ยินคำพูดทำนองนี้จากแม่มาบ้าง แต่พอคนอย่างซึงฮีพูด เขาก็รู้สึกว่ามันทิ่มแทงใจไม่น้อย
ซึงจูจะตีตัวออกหากจากเราเนี่ยนะ
แค่จินตนาการเขาก็รู้สึกเศร้าใจเกินทน
‘ซึงจูจะอยู่กับพี่ไปตลอดชีวิตใช่ไหม’
มูฮึนอุ้มซึงจูพลางเอ่ยถาม แต่ซึงจูก็ไม่ได้ตอบกลับในทันที เด็กน้อยเพียงแต่โอบกอดคอของมูฮึนแน่นโดยที่ในดวงตายังมีหยาดน้ำตาเอ่อคลอ มูฮึนคลี่ยิ้มให้กับไออุ่นที่ถูกส่งผ่านมาครู่หนึ่ง ระหว่างนั้นซึงจูตัวน้อยก็ถามกลับราวกับสัมผัสถึงความรู้สึกของเขาได้
‘ถ้าจะอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิตต้องทำยังไงเหรอ’
สีหน้าของมูฮึนพลันผ่อนคลายลงเมื่อได้ยินคำถามที่ใสซื่อนั้น ทั้งที่ร้องห่มร้องไห้เพราะพี่ชายแย่ๆ คนนี้มาตลอด แต่ซึงจูก็ดูเหมือนอยากอยู่กับพี่ชายคนนี้ไปตลอดชีวิต ขณะที่ซึงฮีส่งสายตาหมั่นไส้มาให้ มูฮึนก็ฝืนยกมุมปากขึ้นยิ้มก่อนจะทำหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิดอย่างจริงจัง
‘ไม่รู้สิ คงต้องแต่งงานกันล่ะมั้ง’
‘เหมือนพ่อกับแม่น่ะเหรอ’
‘อื้ม เหมือนพ่อกับแม่นั่นแหละ’
‘อืม…’
พอซึงจูทำหน้าเหมือนครุ่นคิด มูฮึนก็ขมวดคิ้วมุ่นพลางคิดว่าตัวแค่นี้คงไม่รู้อะไรหรอก กระทั่งเวลาผ่านไปพักหนึ่งซึงจูก็เปิดปากพูดพร้อมกับทำหน้าเหมือนตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้ว
‘ถ้างั้นผมจะแต่งงานกับพี่…’
‘ไอ้บ้านี่ สอนอะไรไม่เข้าเรื่อง’
ซึงฮีโวยวายก่อนจะแย่งตัวซึงจูมาจากอ้อมกอดของมูฮึน ในขณะที่มูฮึนอุ้มซึงจูได้สบายๆ แต่ซึงฮีกลับต้องคอยจัดท่าอุ้มให้ดี เธอจึงหลุดปากบ่นว่า ‘โอ๊ย ตัวหนักชะมัด’ โดยหลังจากที่ใช้แขนช้อนก้นของซึงจูประคองกอดไว้ได้อย่างมั่นคงแล้ว ซึงฮีก็ปรายตามองมูฮึนอย่างคาดโทษกับความไร้ยางอายที่สอนเด็กแบบนั้น ก่อนจะเอ่ยปากพูดกับซึงจู
‘นี่ อย่าโดนหลอกเชียวนะ นายน่ะแต่งงานกับพี่ชายไม่ได้หรอก’
ซึงฮีกำชับซึงจูอยู่หลายครั้งว่ามันเป็นไปไม่ได้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว อีกทั้งยังพูดเสริมอีกยาวเหยียดซึ่งไม่รู้ว่าพูดเพราะเป็นห่วงซึงจูหรืออยากประณามมูฮึนกันแน่ เช่นว่า ‘นายใสซื่อขนาดนี้ แล้วชีวิตนี้จะอยู่ยังไง’ แต่แล้วซึงจูที่รับฟังอย่างว่าง่ายก็พูดขึ้นมาอย่างมั่นใจราวกับหาทางออกเจอแล้ว
‘ถ้างั้นพี่ซึงฮีแต่งงานกับพี่มูฮึนสิ’
‘พี่เคยทำอะไรให้นายไม่พอใจหรือไงยะ’
ซึงฮีทำหน้าเหมือนกำลังถามว่าซึงจูพูดแบบนั้นออกมาได้อย่างไร แม้จะถูกสองพี่น้องพูดจาหยามใส่อย่างเข้าขา ทว่ามูฮึนกลับเอาแต่ยิ้มโดยไม่มีทีท่าว่าจะอารมณ์เสียเลยสักนิด แต่แน่นอนว่าอะไรที่ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องพูดให้ชัดเจน
‘ซึงจูยา พี่เองก็เลือกนะ…’
แม้จะเหมือนเป็นการพูดติดตลก แต่มูฮึนกับซึงฮีก็พูดจากใจจริง ต่อให้จะเป็นซึงแทหรือมูยอนเอง ถ้าได้ยินแบบนี้เข้าก็คงจะแสดงท่าทีออกมาไม่ต่างกัน เพราะพวกเขาอยู่บ้านข้างกันมาตั้งแต่เกิด ถ้าวันดีคืนดีเกิดรู้สึกชอบพอกันขึ้นมาก็คงจะรู้สึกแปลกน่าดู
คงเพราะเอ็นดูซึงจูที่บอกว่าจะแต่งงานด้วย หลังจากวันนั้นมูฮึนก็พูดหยอกซึงจูด้วยคำพูดทำนองเดิมเป็นประจำ ครั้งหนึ่งมูฮึนเคยใช้มือถือถ่ายวิดีโอเก็บไว้ด้วย มันเป็นวิดีโอตอนที่ซึงจูกำลังทำหน้ามุ่ยพร้อมทั้งงอแงว่า ‘ผมจะแต่งงานกับพี่จ๋าให้ได้เลย’ ซึ่งคนที่เห็นแบบนั้นแล้วยิ้มร่าออกมาคือมูฮึน และคนที่โวยใส่มูฮึนก็ยังคงเป็นซึงฮีอีกเช่นเคย
หลังจากนั้นไม่นานนัก พ่อของมูฮึนก็เก็บเจ้าซอลกีมาจากข้างถนน เนื่องจากได้เห็นลูกสุนัขเป็นครั้งแรกในชีวิต ช่วงแรกซึงจูจึงกลัวสิ่งมีชีวิตที่ไม่คุ้นเคยตัวนี้เอามากๆ จนไม่กล้าแม้แต่จะแตะต้อง (อันที่จริงเจ้าตัวพยายามไม่แสดงอาการออกมา แต่สุดท้ายก็แสดงอาการออกมาจนได้) ตรงข้ามกับมูฮึนที่เอ็นดูเจ้าซอลกีและปฏิบัติกับมันเหมือนเป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในโลกไม่ต่างจากซึงจู
ท่ามกลางวันคืนที่ผ่านพ้นไปโดยที่ไม่มีอะไรพิเศษ คนที่เติบโตขึ้นไม่ได้มีแต่ซึงจูที่เคยเป็นเด็กน้อยเท่านั้น มูรยองที่อายุเท่ากัน ซึงแท มูยอน หรือแม้แต่ซึงฮีและมูฮึนที่เป็นพี่ใหญ่ของทั้งสองตระกูล ทุกคนต่างก็เติบโตขึ้นตามกาลเวลาที่ผ่านพ้นไปจนถึงช่วงเวลาที่ได้รู้จักกับความรัก
‘เธอคบกับหมอนั่นอยู่เหรอ’
พอขึ้นมัธยมปลายปีสอง ซึงฮีก็เริ่มมีแฟน เขาเรียนที่โรงเรียนมัธยมปลายแฮยอนเหมือนเธอ และตกหลุมรักเธอที่เรียนอยู่ห้องข้างๆ จึงมาสารภาพรักกับเธอ
‘อืม เขาบอกด้วยนะว่าตอนแรกไม่กล้าเข้ามาทักเพราะนึกว่าฉันคบกับนายอยู่’
‘ยังมีคนเข้าใจผิดแบบนั้นอยู่อีกเหรอ’
‘มีสิยะ…มูฮึนอา นายนี่มันน่าเบื่อชะมัด’
ความจริงแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจอะไร เพราะซึงฮีเป็นคนที่ฮอตมากในโรงเรียน แถมยังมีเพื่อนสนิทเป็นมูฮึน ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกที่บรรดานักเรียนชายหลายคนไม่ค่อยกล้าเข้ามาสารภาพรัก ถึงมูฮึนจะไม่ได้แสดงท่าทีมีไมตรีกับซึงฮีสักเท่าไหร่ แต่ลำพังแค่การที่ทั้งสองคนอยู่บ้านข้างกัน พวกนักเรียนชายก็ใจฝ่อกันหมดแล้ว
‘ว่าจะไปเดตกันสุดสัปดาห์นี้’
‘อืม ฉันไม่ได้อยากรู้สักหน่อย’
มูฮึนไม่ได้ใส่ใจเลยสักนิด ถ้าจะพูดให้ถูกก็ต้องบอกว่าไม่ใช่ว่าเขาไม่ใส่ใจ แต่เขาไม่เคยคิดจะสนใจและไม่อยากรับรู้เรื่องรักใคร่ของเพื่อนที่เป็นเหมือนครอบครัวคนนี้เลย
ทว่าในช่วงสุดสัปดาห์นั้นซึงฮีก็พาซึงจูออกไปเดตด้วยโดยบอกว่าแฟนหนุ่มอยากรู้จักน้องชายวัยสิบขวบ แต่ปัญหาคือมันทำให้มูฮึนที่เหลืออยู่คนเดียวรู้สึกหงอยเหงาสุดๆ เพราะปกติแล้วในช่วงสุดสัปดาห์มูฮึนมักจะมาเล่นกับซึงจูทั้งวันโดยที่ไม่ได้ถามความสมัครใจจากซึงจูเลยสักนิด จนการพาเจ้าซอลกีออกไปเดินเล่นกับมูรยองกลายเป็นสิ่งที่เด็กชายวัยแปดขวบต้องทำเป็นประจำไปแล้ว เพราะแบบนั้นมูฮึนจึงเฝ้ารอสุดสัปดาห์เพื่อที่จะได้ขโมยตัวซึงจูมาเล่นที่บ้าน
ปกติแล้วมูฮึนจะพาเจ้าซอลกีที่ตื่นเต้นดีใจไปเดินเล่นประมาณสองรอบ หลังช่วยสอนการบ้านให้มูรยองเสร็จ ทั้งสามก็จะอาบน้ำด้วยกัน บางวันก็อาบน้ำล้างตัวให้เจ้าซอลกีจนเนื้อตัวเปียกปอนกันไปหมด และหลังจากที่อาบน้ำเสร็จ มูรยองก็จะผล็อยหลับไปในท่าที่กอดเจ้าซอลกีเอาไว้ในอ้อมแขน วันไหนที่มูยอนและซึงแทมีนัดข้างนอก วันนั้นห้องนั่งเล่นที่กว้างขวางก็จะยิ่งเงียบสงบเป็นพิเศษมากกว่าทุกวัน
เพราะแบบนั้นในช่วงที่ดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า มูฮึนจึงยืนรอทั้งสองคนอยู่ตรงประตูหน้าบ้าน เพราะซึงฮีจะไม่ไปไหนมาไหนในเวลาดึกดื่น ไม่นานนักมูฮึนก็เห็นเธอเดินจูงมือซึงจูมาตามถนน แม้ข้างกันจะมีคนที่สันนิษฐานว่าเป็นแฟนหนุ่มของซึงฮีเดินมาอยู่ด้วย แต่มูฮึนก็ไม่ได้ใส่ใจและแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
‘ซึงจูยา’
‘โอ๊ะ พี่นี่นา’
ทันทีที่เห็นมูฮึน ซึงจูก็วิ่งเข้าไปหาอย่างว่องไว ภาพยามที่ซึงจูตั้งหน้าตั้งตาวิ่งมาหาช่างเหมือนภาพเวลาที่เจ้าซอลกีวิ่งลัดสนามหญ้ามาหากันมาก มูฮึนอ้าสองแขนรอกอดซึงจู ทว่าน่าเสียดายที่ซึงจูกลับหยุดวิ่งแล้วเงยหน้าขึ้นมองมูฮึน
‘พี่มาทำอะไรตรงนี้’
‘พี่ก็มารอซึงจูของพี่ไง’
มูฮึนคลี่ยิ้มก่อนจะอุ้มซึงจูขึ้นโดยไม่ทันได้สังเกตท่าทีของซึงจู หลังดิ้นขยุกขยิกไปมาอยู่ครู่หนึ่ง ซึงจูก็กอดคอมูฮึนด้วยสีหน้าบูดบึ้ง เขามักร้องไห้งอแงเวลาถูกมูฮึนแกล้ง ดูเหมือนเขาจะไม่ชอบใจกับการที่มูฮึนทำเหมือนเขาเป็นเด็กเท่าไหร่นัก
‘ไปเที่ยวมาสนุกไหม’
‘อืม…ไม่รู้สิ ว่าแต่พี่เพิ่งอาบน้ำมาเหรอ’
‘อื้ม ทำไมเหรอ’
‘ผมได้กลิ่นหอมๆ จากพี่’
ไม่ตลกสักนิด
มูฮึนคิดแบบนั้นพลางกระชับกอดซึงจูครั้งหนึ่ง แม้ซึงจูจะโตกว่าเมื่อก่อนมาก แต่สำหรับมูฮึนแล้ว เขาก็ยังรู้สึกว่าซึงจูตัวเล็กและเบามากอยู่ดี
‘แพ็กซอลกีทำอะไรอยู่เหรอครับ’
‘นอนกับมูรยองอยู่น่ะ’
‘แล้วเดินเล่นล่ะ’
‘พี่พามันไปเดินเล่นมาเรียบร้อยแล้ว’
‘จริงเหรอ ทั้งที่สัญญาว่าจะไปด้วยกันแท้ๆ…’
ระหว่างที่พวกเขาพูดคุยกันอยู่ซึงฮีก็กำลังล่ำลาแฟนหนุ่ม แม้แฟนของเธอจะปรายตามองมูฮึนเป็นระยะๆ แต่มูฮึนก็ไม่แม้แต่จะหันไปส่งสายตาให้ฝ่ายนั้นเลยสักนิด เดิมทีเขาก็ไม่คิดจะพูดคุยด้วยอยู่แล้ว เพราะคนที่เขากำลังเฝ้ารอแต่แรกไม่ใช่ซึงฮีแต่เป็นซึงจู
‘ทีตอนอยู่กับพี่นี่ไม่พูดไม่จาสักคำเลยนะ…’
ซึงฮีเดินมาสมทบทีหลังแล้วพูดขึ้น จังหวะนั้นมูฮึนกำลังขอจุ๊บจากซึงจูอยู่ พอเห็นซึงจูส่ายศีรษะปฏิเสธเป็นการใหญ่ มูฮึนก็ยิ้มกริ่มออกมาอย่างน่าหมั่นไส้ ก่อนจะกดจูบลงบนแก้มป่อง ด้านซึงจูเองก็ไม่ได้ผลักมูฮึนออกไป เพราะถึงแม้ว่าซึงจูดูเหมือนจะไม่ชอบใจสักเท่าไหร่ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้รังเกียจ
‘แล้วเธอพาเด็กที่กลัวคนแปลกหน้าออกไปข้างนอกทำไม’
‘นายคิดว่าฉันบังคับให้ไปหรือไง ซอซึงจูเป็นคนบอกว่าอยากไปเองต่างหาก’
‘ยังจะกล้าพูดอีกนะ’
ถ้าจะไปเดตก็ไปคนเดียวสิ ทำไมต้องพาน้องของคนอื่นออกไปตามใจชอบด้วยล่ะ
ถึงซึงจูจะเป็นน้องของซึงฮี ไม่ใช่น้องของเขา แต่เขาก็รู้สึกเหมือนโดนแย่งน้องแท้ๆ ไป
‘คราวหน้าไม่ต้องออกไป อยู่เล่นกับพี่ดีกว่า พอซึงจูไม่อยู่แล้วพี่จ๋าคนนี้เบื่อมากเลย’
มูฮึนพูดกับซึงจูก่อนจะถูไถจมูกลงบนแก้มเนียน กลิ่นหอมอ่อนๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของเด็กทำให้อารมณ์ของเขาผ่อนคลายลงในพริบตา ทันทีที่เขาจรดริมฝีปากลงบนกลุ่มผมนุ่ม ซึงฮีก็แค่นหัวเราะพลางแกล้งบอกว่าคราวหน้าจะไม่พาซึงจูไปแล้ว แต่จะพามูรยองไปแทน
แต่หลังจากนั้นซึงฮีก็ยังพาซึงจูออกไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนอีกหลายครั้ง โดยทุกครั้งมูฮึนก็จะมาดักรอรับซึงจูอยู่ตรงประตูหน้าบ้านเช่นเคย แต่ผ่านไปไม่นานนักซึงฮีก็เลิกกับแฟน เมื่อมูฮึนถามอย่างไม่ได้ใส่ใจว่า ‘เลิกอีกแล้วเหรอ’ เธอก็ตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
‘เพราะนายนั่นแหละ’
‘ฉันเหรอ’
‘อืม นายนั่นแหละ’
มูฮึนกะพริบตาปริบๆ พร้อมทำหน้างุนงงเมื่อจู่ๆ ก็ถูกปรักปรำ ซอซึงฮีเลิกกับแฟนแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเขาล่ะ ดูท่าคราวนี้การที่ซึงฮีมีมูฮึนเป็นเพื่อนจะสร้างเรื่องอีกแล้ว
ซึงฮีถอนหายใจก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่ายเต็มทน
‘นายเล่นมาดักรออยู่หน้าบ้านฉันเป็นประจำ พวกผู้ชายก็คิดว่านายชอบฉันน่ะสิ’
‘คิดว่าฉันชอบเธอเนี่ยนะ’
‘อืม ก็อย่างที่ว่าไปนั่นแหละ…’
ไม่รู้ว่าที่ผ่านมาต้องลำบากกับเรื่องนี้มากแค่ไหน ซึงฮีถึงได้พูดแบบนั้นด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่ายสุดๆ เธอทำหน้ามุ่ยพลางไหวไหล่ราวกับไม่อยากแม้แต่จะจินตนาการถึงเรื่องนี้
‘ฉันบอกว่านายไม่ได้มารอฉัน แต่มารอน้องฉันก็ไม่มีใครเชื่อสักคน นายรู้ไหมพวกนั้นบอกว่ายังไง พวกเขาบอกว่าเด็กมัธยมปลายจะเล่นกับเด็กน้อยแบบนั้นได้ยังไง’
‘ทั้งที่พวกเขาบอกเองว่าอยากเจอซึงจูเนี่ยนะ’
‘ก็นั่นไง ดูเหมือนพวกเขาจะแกล้งสนใจเพราะเห็นว่าเป็นน้องของฉันก็เท่านั้นแหละ’
‘เฮอะ…’
ถ้านับแค่เรื่องหึงหวงมูฮึนก็คงจะรู้สึกผิดอยู่เล็กน้อย แต่พอมีเรื่องที่ใช้ซึงจูเป็นสะพานเข้าหาซึงฮีมาเกี่ยวข้องด้วยแล้ว มูฮึนก็ไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที เขาไม่ชอบใจที่คนพวกนั้นแสร้งเล่นกับซึงจูอย่างใจดี ถ้าซึงฮีเป็นฝ่ายเอ่ยปากเสนอขึ้นก่อนก็ว่าไปอย่าง
‘แล้วทำไมเธอถึงพาซึงจูไปเจอคนใจแคบพวกนั้น’
‘โอ๊ย เพราะงั้นฉันถึงได้เลิกกับพวกเขาไง มิน่าล่ะซึงจูถึงได้ไม่ชอบใจใครเลยสักคน’
เด็กมักจะไวต่ออารมณ์และความรู้สึกของผู้คนเสมอ ซึงจูเองก็คงจะดูออกว่าบรรดาแฟนของซึงฮีไม่มีใครสนใจตัวเองจริงๆ เลยสักคน เขาเติบโตมาโดยได้รับความรักจากคนรอบข้างอย่างเปี่ยมล้น จึงไม่มีทางยินดีกับช่วงเวลาจอมปลอมของคนพวกนั้น
‘เธอเองก็หัดอยู่เป็นโสดแบบฉันบ้างเถอะ’
‘นายนั่นแหละย่ะ เลิกเล่นกับซึงจูแล้วหัดมีแฟนเหมือนคนอื่นบ้าง ถ้าวันหนึ่งซึงจูมีแฟนขึ้นมานายจะทำยังไง’
พอมูฮึนพูดเล่นซึงฮีก็ตอบกลับอย่างติดเล่นเช่นกัน มูฮึนตั้งใจว่าจะตอบอย่างไม่ใส่ใจว่ามีก็มีไปสิ แต่จู่ๆ เขาก็กัดริมฝีปากแน่นขณะที่ความรู้สึกราวกับภาพเบื้องหน้ามืดสนิทไปชั่วขณะ เสี้ยววินาทีที่นัยน์ตาสีดำสนิทพร่ามัว ภาพหนึ่งก็ปรากฏขึ้นอย่างเลือนรางตรงหน้าราวกับภาพลวงตา
‘…’
มันคือภาพของซึงจูในชุดนักเรียนที่กำลังยืนสบตากับใครบางคน ในภาพนั้นซึงจูมีรูปร่างสมชายและตัวสูงใหญ่กว่าตอนนี้ ซึงจูกำลังมองอีกฝ่ายอย่างเขินอาย มูฮึนรู้สึกแปลกกับภาพนั้นจนใบหูแดงระเรื่อ แต่แล้วจู่ๆ เขาก็พลันไม่สบอารมณ์
‘คิมมูฮึน?’
‘ฮะ?…’
มูฮึนกะพริบตาปริบๆ หลังได้สติกลับมา ในขณะที่ซึงฮีกำลังจ้องมองเขาด้วยสายตาเหมือนกับว่าพอจะรู้
‘อะไรยะ เห็นอะไรแปลกๆ อีกแล้วหรือไง’
มันคืออนาคตที่มูฮึนมักนิมิตเห็นเป็นครั้งคราว มันคือพลังในการเห็นอนาคตล่วงหน้าที่จู่ๆ ก็แสดงออกมาในชีวิตประจำวันตามปกติ มันไม่มีวันเวลาที่สามารถกำหนดได้ล่วงหน้ารวมทั้งไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ และมันก็ไม่ใช่อนาคตที่จะต้องเกิดขึ้นแน่ๆ อย่างแม่นยำ กลับกันมันเป็นเพียงหนึ่งในความเป็นไปได้มากมายที่อาจจะเกิดขึ้น
‘เอ่อ…จะว่ายังไงดีล่ะ…’
มูฮึนขมวดคิ้วมุ่นแล้วเงียบไปพักหนึ่ง ทั้งที่หมู่นี้ไม่ค่อยนิมิตเห็นอะไร แต่ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ถึงได้นิมิตเห็นภาพไร้สาระขึ้นมาในจังหวะนี้ ทว่าสิ่งที่มูฮึนรู้สึกสับสนยิ่งกว่านั้นกลับเป็นความรู้สึกด้านลบที่ก่อตัวขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง
‘ถ้าจะมีแฟนก็มีไปสิ’
แม้เขาจะเอ็นดูซึงจูมากแค่ไหน แต่มันก็เป็นแค่ความเอ็นดูในฐานะน้องชาย ต่อให้ซึงจูจะโตขึ้นแค่ไหน ความรู้สึกที่เขามีให้ซึงจูก็ยังคงเหมือนเดิม ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจเรื่องที่ซึงจูจะมีแฟนเลยสักนิด
แต่ก็นะ…พอคิดว่าน้องจะไม่เล่นกับพี่ชายคนนี้แล้วก็แอบรู้สึกน้อยใจนิดๆ
‘ฉันไม่ใช่พี่ชายขี้หวงอะไรแบบนั้นสักหน่อย’
‘กล้าพูดนะ นายน่ะขี้หวงที่หนึ่งเลยย่ะ’
ซึงฮีโต้กลับทันควันพร้อมแค่นหัวเราะใส่มูฮึน เธอไม่คิดจะซักไซ้เรื่องอนาคตที่มูฮึนมองเห็นเหมือนครั้งก่อนๆ เพราะเธอรู้ดีว่าไม่ว่าสิ่งที่มูฮึนเห็นจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหน แต่ถ้ามูฮึนพูดออกมาจากปากก็อาจจะเกิดเรื่องร้ายขึ้นได้
‘ใครมองเขาก็คงนึกว่านายคลอดซึงจูออกมา’
‘งั้นเหรอ ฉันคงจะคลอดซึงจูออกมานั่นแหละ’
มูฮึนยักไหล่เบาๆ พร้อมตอบกลับอย่างติดตลก แม้ครึ่งหนึ่งจะเป็นเพียงแค่การล้อเล่น ทว่าอีกครึ่งหนึ่งก็มาจากใจจริง แน่นอนว่าถ้าคุณป้ามาได้ยินเข้าคงได้หัวเราะออกมาเป็นการใหญ่
‘จะว่าไปแล้ว…ซึงฮียา’
‘อะไร…ทำไม’
ซึงฮีขมวดคิ้วกับคำพูดหยั่งเชิงนั้น ดูเหมือนว่าเธอจะสัมผัสได้ถึงลางสังหรณ์อะไรบางอย่าง มูฮึนจึงยกมุมปากเล็กน้อยพร้อมกับส่งยิ้มให้ทางสายตา
‘นี่ไม่ใช่เวลาที่พวกเราจะมีแฟนนะ’
อีกเดี๋ยวพวกเขาก็จะขึ้นมัธยมปลายปีสามกันแล้ว และแน่นอนว่าพวกเขาจะต้องสอบซูนึงเหมือนนักเรียนคนอื่นๆ แม้พวกเขาจะอยู่ในครอบครัวที่ไม่ได้มองว่าการเข้ามหาวิทยาลัยเป็นสิ่งสำคัญ แต่ในเมื่อตั้งเป้าหมายเอาไว้แล้ว นี่จึงไม่ใช่เวลาที่จะมามีแฟน
‘ไหนบอกว่าจะเข้ามหา’ลัยฮันกุกกับฉันไง’
ตอนเข้าเรียนมัธยมปลายทั้งสองเคยสัญญากันไว้ว่าจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยฮันกุกด้วยกัน เหตุผลนั้นก็ไม่ได้มีอะไรมาก พวกเขาแค่อยากใช้ชีวิตเหมือนคนธรรมดาให้ได้มากที่สุดก่อนที่ชีวิตจะไม่ธรรมดาอีกต่อไป ความจริงแล้วมูฮึนไม่ได้คิดจริงจังสักเท่าไหร่ แต่ซึงฮีที่มีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้ากลับบอกว่า ‘ไหนๆ ก็เลือกที่จะเรียนมหา’ลัยแล้วก็ต้องสอบเข้ามหา’ลัยที่ดีที่สุดให้ได้สิ’ ดังนั้นเธอจึงตั้งเป้าหมายเป็นมหาวิทยาลัยฮันกุก
‘เธอต้องตั้งใจเรียนให้ได้เกรดดีกว่านี้สิ’
‘แหม บ่นเก่งจังนะ…นายมันเก่งอยู่แล้วนี่’
ซึงฮียู่หน้าพลางตอบกลับอย่างหมั่นไส้ เพราะมูฮึนเรียนเก่งติดอันดับหนึ่งในสามของโรงเรียน ต่างจากเธอที่ไม่ติดอันดับห้าด้วยซ้ำ แม้เกรดของเธอจะไม่ได้แย่ แต่เธอก็ไม่ได้อยู่ในจุดที่จะสบายใจได้แบบมูฮึน
‘ขี้โกงชะมัด ทั้งที่ยังไงนายก็จะไปเป็นมือปราบวิญญาณอยู่แล้ว นายจะตั้งใจเรียนขนาดนี้ไปเพื่ออะไร’
‘คนอย่างเธอมีสิทธิ์พูดแบบนี้ด้วยเหรอ’
พวกเขาสองคนพากันพูดไปเรื่อยทั้งที่ต่างฝ่ายต่างก็พยายามกันอย่างเต็มที่โดยไม่ได้สนใจอนาคต อย่างซึงฮีที่มีหน้าที่รับช่วงต่อธุรกิจของตระกูลซอตามธรรมเนียมของตระกูล เรื่องเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเลยไม่จำเป็นต่อการบริหารธุรกิจของตระกูลเลยสักนิด เพราะแบบนั้นเธอจึงไม่ต่างจากมูฮึน
ซึงฮีส่งเสียงฮึมฮัมในคอก่อนจะเปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่มีความมั่นใจ
‘นี่…นายเคยคิดจะลดเป้าหมายของตัวเองลงบ้างไหม’
‘คิดว่าคนอย่างฉันจะเคยคิดเหรอ’
แม้จะเคยคิดแบบนั้นจริงๆ แต่มูฮึนก็เลือกที่จะตอบไปแบบนั้น เพราะคนที่ไม่คิดจะลดเป้าหมายของตัวเองน่าจะไม่ใช่เขา แต่เป็นซึงฮี ดังนั้นแล้วมูฮึนจึงตั้งใจเรียนเพื่อที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกันกับเธอได้อย่างสบายๆ
ซึงฮีเหมือนกำลังครุ่นคิดเรื่องอะไรบางอย่าง สีหน้าที่ดูเคร่งเครียดของเธอมองเผินๆ แล้วเหมือนซึงจูไม่มีผิด เพราะตาชั้นเดียวและโครงหน้าที่คมชัดคือเอกลักษณ์ของทุกคนในตระกูลซอ หลังจากมูฮึนจ้องมองเธออยู่พักใหญ่ เธอก็พยักหน้าตอบด้วยสีหน้ามุ่งมั่น
‘นั่นสิเนอะ คอยดูนะ ฉันจะเพิ่มเกรดตัวเองให้ได้เลย’
‘ฉันจะรอดูนะ’
เธอเป็นคนที่ถ้าได้ตัดสินใจไปแล้วครั้งหนึ่งก็จะพยายามทำมันจนสำเร็จ มูฮึนจึงจงใจท้าทายเธอเพราะรู้ความจริงข้อนั้นดี แม้เขาจะไม่ได้สนใจเรื่องเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยเลยแม้แต่น้อย แต่เขาก็อยากสร้างความทรงจำอีกนิดก่อนที่จะเข้าสังกัดกับทางสมาพันธ์
คำพูดที่บอกว่าจะเพิ่มเกรดของตัวเองให้ได้ไม่ใช่แค่คำพูดโอ้อวดไปเรื่อย นับจากวันนั้นซึงฮีก็ตั้งหน้าตั้งตาทุ่มเทให้กับการเรียน หลังสิ้นสุดภาคเรียนที่สองของมัธยมปลายปีสอง อันดับของเธอก็ดีขึ้นมาก พวกเขาจึงปรึกษาหารือกันอย่างจริงจังล่วงหน้าว่าจะเลือกเรียนคณะไหน พอซึงฮีที่กำลังอิ่มอกอิ่มใจแกล้งบอกว่า ‘ทีนี้ก็คงไม่ต้องพูดว่าคอยดูนะแล้วมั้ง’ มูฮึนก็หัวเราะแล้วชมเธอว่า ‘ซอซึงฮี เธอนี่เทพจริงๆ’
หลังจากนั้นพวกเขาก็ขึ้นมัธยมปลายปีที่สาม…
* มูฮึน มาจากคำว่าคำว่ามู (霧) หมายถึงหมอกหรือความมืด ส่วนคำว่าฮึน (昕) หมายถึงช่วงเวลาเช้ามืดหรือช่วงเวลาที่เริ่มมีแสงสว่าง เมื่อรวมกันจะมีความหมายว่าช่วงเวลาเช้ามืดที่มีหมอกทึบปกคลุม
** ซน หมายถึงวิญญาณที่คอยติดตามและรบกวนการทำกิจวัตรของคน
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
