everY
ทดลองอ่าน คุณชายแซ่กู้กับเจ้าสุนัขลู่จอมดุ เล่ม 1 บทที่ 1-2 #นิยายวาย
บทที่ 2
ในร้านน้ำชาลู่เหมี่ยวจิบน้ำชาหนึ่งคำด้วยท่าทางนุ่มนวลอ่อนโยน “ซูฟางคะ เพราะคุณแท้ๆ เลยช่วงนี้ฉันถึงได้ลองของอร่อยของเมือง A ไปเกินครึ่งแล้ว”
หลี่ซูฟางยิ้ม ริมฝีปากที่ทาลิปสติกสีแดงแย้มยิ้มอย่างเปิดเผย “เมือง A ใหญ่ขนาดนี้ต้องมีของอร่อยเยอะอยู่แล้ว พรุ่งนี้เราค่อยไปเดินเล่นที่ถนนซินเป่ยกัน ฉันได้ยินมาว่าที่นั่นมีร้านอาหารญี่ปุ่นร้านหนึ่ง ว่ากันว่าวัตถุดิบสดใหม่มาก”
ลู่เหมี่ยวรับคำเสียงนุ่ม
ลู่เหมี่ยวเป็นผู้บริหารระดับสูงในบริษัทของสามีของหลี่ซูฟาง ในด้านการงานเธอมีภาพลักษณ์ของหญิงแกร่ง ทว่าโดยส่วนตัวแล้วเธอเป็นคนนุ่มนวลคนหนึ่ง
ทั้งสองรู้จักกันในงานเลี้ยงบริษัทเมื่อหนึ่งเดือนก่อน พอเจอกันก็รู้สึกแค้นใจว่าได้พบกันช้าเกินไป ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ขอแค่ลู่เหมี่ยวมีเวลาว่าง ทั้งคู่ก็จะนัดกันไปช็อปปิ้งหรือกินอาหารด้วยกัน
ในจังหวะที่กำลังคุยกันอย่างสนุกสนานอยู่นั้นเสียงโทรศัพท์ของหลี่ซูฟางก็ดังขึ้น เธอปรายตามองเบอร์ที่โทรเข้ามาก่อนรับสาย “รู้ตัวว่ายังมีแม่อยู่ด้วยเหรอ”
ไม่รู้ว่าคนในสายพูดอะไรแต่หลี่ซูฟางก็ขำออกมา “ปลายเดือนนี้ต้องกลับมาอยู่บ้านสักสามวันห้าวันนะ ห้ามต่อรอง” พูดจบก็ตัดสายทิ้งทันที
หลี่ซูฟางพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยใจ “ไปได้นิสัยไม่อนาทรร้อนใจกับอะไรเลยแบบนี้มาจากใครกันนะ”
ลู่เหมี่ยวเอ่ยถามขึ้น “กู้ซวีเหรอคะ”
“ใช่ ไม่รู้ว่าชาติก่อนฉันไปติดค้างใครไว้ สองพ่อลูกถึงได้มาทวงหนี้พร้อมกัน”
ลู่เหมี่ยวหัวเราะ “ขนาดนั้นที่ไหนกันคะ กู้ซวีแค่ไปตั้งบริษัทของตัวเองไม่ใช่เหรอ”
ไม่ใช่ว่าลู่เหมี่ยวช่างเม้าท์ แต่ทุกคนในบริษัทต่างรู้เรื่องที่กู้ซวีไปตั้งบริษัทของตัวเอง หนึ่งเป็นเพราะกู้ซวีทะเลาะกับกู้กั๋วจงในห้องทำงานยกใหญ่หนึ่งครั้ง ทำลายข้าวของไปไม่น้อย โดยมีสาเหตุมาจากเรื่องบริษัทของกู้ซวี สองคือบริษัทที่กู้ซวีก่อตั้งเติบโตขึ้นอย่างไม่เลวจริงๆ ด้วยระยะเวลาสั้นๆ เพียงสองสามปีบริษัทก็ยืดมือออกไปนอกประเทศได้แล้ว
หลี่ซูฟางกล่าว “สองพ่อลูกนิสัยรุนแรงกันทั้งคู่ แค่เรื่องเล็กเรื่องเดียว…พวกเขาก็ทำสงครามเย็นกันเหมือนเด็กๆ ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนี้กู้ซวีคงไม่ย้ายออกจากบ้านไปสองปี และถ้าไม่ใช่เพราะฉันคอยจับตาดูเขาทุกวัน คอยกำหนดเวลาให้เขากลับบ้าน สองพ่อลูกอาจแยกทางกันเดินแล้วก็ได้”
ลู่เหมี่ยวปลอบ “ไม่หรอกค่ะ พ่อลูกที่ไหนจะโกรธกันข้ามคืน เดี๋ยวพวกเขาก็คืนดีกัน”
“ข้ามคืน? พวกเขาโกรธกันข้ามปีเลยต่างหาก” หลี่ซูฟางถอนหายใจ “แล้วเธอล่ะ เธอนิสัยแบบนี้ ลูกที่เธอเลี้ยงจะต้องไม่เลวแน่นอน”
เมื่อพูดถึงลูกชายตัวเอง รอยยิ้มของลู่เหมี่ยวก็อ่อนโยนขึ้นอีกเล็กน้อย “เขาน่ะเหรอคะ เขากตัญญู เป็นเด็กดี แต่งานยุ่ง เหมือนกู้ซวีตรงที่ออกไปอยู่เองข้างนอก สิบวันถึงครึ่งเดือนฉันถึงจะได้เจอเขาสักครั้ง”
หลี่ซูฟางเอ่ย “คนหนุ่มสาวสมัยนี้ทำงานหนักกันขนาดนี้เชียว ฉันคิดว่าจะมีแต่เจ้าลูกกระต่ายของฉันที่เป็นแบบนี้เสียอีก เขาทำงานอะไรเหรอ”
ลู่เหมี่ยวตอบ “เป็นนักแสดงค่ะ”
หลี่ซูฟางประหลาดใจอยู่บ้าง “นักแสดงเหรอ ชื่ออะไรน่ะ”
“เขาไม่ค่อยมีชื่อเสียงเท่าไหร่” ลู่เหมี่ยวยิ้มอย่างขออภัย “ชื่อลู่เยี่ยนค่ะ”
“ลู่เยี่ยน? แซ่เดียวกับเธอ เยี่ยนที่ประกอบด้วยพระอาทิตย์กับความสงบใช่ไหม*”
“ใช่ค่ะ พอฉันหย่ากับพ่อเขา เขาก็ใช้แซ่ตามฉัน”
“ลู่เยี่ยนจริงๆ เหรอ แบบนี้ยังจะเรียกว่าไม่ดังอีก แม้แต่ยัยป้าที่ไม่ดูโทรทัศน์อย่างฉันยังเคยได้ยินชื่อเขาเลย” หลี่ซูฟางบอก “หน้าตาหล่อเหลาจริง โอ้โห นี่ถ้าเธอไม่บอกฉันก็คงไม่สังเกตว่าพวกเธอหน้าคล้ายกันมาก”
“พูดเกินไปแล้วค่ะ” ลู่เหมี่ยวหลุดขำ “ความจริงฉันไม่อยากให้เขาดังมาก เพราะถ้าเป็นแบบนั้นก็ต้องไปโปรโมตทุกวัน ทุกครั้งที่เจอเขา ฉันจะรู้สึกว่าเขาผอมลง แล้วช่วงนี้เขาก็กำลังยุ่งเรื่องยกเลิกสัญญา เดือนนี้จะมีเวลากลับบ้านหรือเปล่าก็ไม่รู้”
หลี่ซูฟางจับประเด็นสำคัญ “ยกเลิกสัญญาเหรอ”
“ใช่ค่ะ ได้ยินว่าหมดสัญญาแล้ว”
“ตัดสินใจหรือยังว่าจะไปที่ไหน”
ลู่เหมี่ยวคิด “น่าจะยังนะคะ เพราะเขาเพิ่งบอกเรื่องยกเลิกสัญญาให้ฉันรู้เมื่อวันก่อนนี่เอง”
สมองของหลี่ซูฟางทำงานทันที เธอตบโต๊ะเบาๆ “ลู่เหมี่ยว ไม่งั้นเธอให้ลูกชายเธอไปอยู่ที่บริษัทของลูกชายฉันสิ”
ลู่เหมี่ยวอึ้ง “บริษัทของกู้ซวีหรือคะ แต่บริษัทของกู้ซวีโฟกัสที่อสังหาริมทรัพย์กับการเงินไม่ใช่เหรอ”
“เขามีบริษัทโมเดลลิ่งเอเจนซี่” หลี่ซูฟางยิ้ม “เพิ่งตัดสินใจทำนี่เอง แล้วก็ดูเหมือนว่าจะยังไม่ได้เซ็นสัญญากับศิลปินคนไหนเลย”
ลู่เหมี่ยวลำบากใจ “เรื่องนี้…เราสองคนคงไปช่วยพวกเขาตัดสินใจไม่ได้มั้งคะ”
หลี่ซูฟางจึงเอ่ยว่า “ลู่เยี่ยนดังขนาดนี้จะต้องมีบริษัทมากมายอยากเซ็นสัญญาด้วย ทางกู้ซวีต้องไม่มีปัญหาอยู่แล้ว อีกอย่างเธอสบายใจได้เลย กู้ซวีจะต้องดูแลลู่เยี่ยนเป็นอย่างดีแน่นอน หรือไม่เอาแบบนี้ดีไหม เธอกลับไปเกริ่นกับลูกชายของเธอก่อน ถ้าเขาโอเคคือดีที่สุด แต่ถ้าไม่สำเร็จก็ไม่เป็นไร”
ลู่เหมี่ยวลังเลอยู่พักหนึ่ง “ได้ค่ะ ฉันจะกลับไปถามเขาดู”
สวี่เจ๋อเหวี่ยงประตูจากไปได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง สายจากลู่เหมี่ยวก็โทรเข้ามา
ลู่เยี่ยนลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปรับสาย “ครับแม่”
“เสี่ยวเยี่ยน ลูกยุ่งอยู่หรือเปล่า” ลู่เหมี่ยวพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ลู่เยี่ยนเอ่ยตอบ “พอได้ครับ ผมอยู่ที่สตูดิโอ”
“แม่คงไม่ได้รบกวนลูกใช่ไหม สุดสัปดาห์นี้มีเวลากลับบ้านหรือเปล่าจ๊ะ”
ลู่เยี่ยนคิด “น่าจะไม่ได้ครับ สุดสัปดาห์ผมมีนัดคุยธุระกับบริษัทโมเดลลิ่งเอเจนซี่สองสามแห่ง”
ลู่เหมี่ยวเงียบไปสองสามวินาทีก่อนเอ่ยถาม “ลูกตัดสินใจเรื่องบริษัทโมเดลลิ่งเอเจนซี่แห่งใหม่แล้วหรือยังจ๊ะ”
ลู่เยี่ยนทำเสียงอืม กำลังจะบอกแผนเรื่องที่ตัวเองจะเปิดสตูดิโอแต่กลับถูกลู่เหมี่ยวตัดบทเสียก่อน
“มีลูกชายของเพื่อนแม่เปิดบริษัทโมเดลลิ่งเอเจนซี่อยู่ เธอให้แม่มาถามว่าลูกอยากไปอยู่กับเขาไหม”
ลู่เยี่ยนฟังแล้วก็ชะงักไปเล็กน้อย เพราะเขาไม่ได้ยินคำว่าเพื่อนจากปากของแม่มานานมาก นับตั้งแต่ลู่เหมี่ยวหย่ากับสามี เธอก็เกือบจะฝังตัวเองอยู่ในกองงาน ใช้ชีวิตโดดเดี่ยวลำพัง ทำให้ลู่เยี่ยนเป็นห่วงมานานมาก
ชายหนุ่มโค้งริมฝีปากเล็กน้อย “แบบนี้นี่เอง บริษัทไหนเหรอครับ”
“ดูเหมือนจะชื่อ…หมิงเซิ่งนะ” ลู่เหมี่ยวบอก “เป็นบริษัทใหม่ แต่แม่คิดว่าภาพลักษณ์ดีมาก”
ลู่เหมี่ยวกลัวว่าลูกชายจะรังเกียจบริษัทใหม่เลยบอกความคิดเห็นของตัวเองเพิ่มไปอีกเล็กน้อย เธอไม่ชอบเข้าไปยุ่มย่ามกับชีวิตของลูกชาย แต่เธอพอใจบริษัทหมิงเซิ่งจริงๆ เนื่องจากทางนั้นไม่ขาดเงินทุนและกู้ซวีก็มีเส้นสาย หากลู่เยี่ยนได้เข้าไปอยู่ในบริษัทแห่งนี้ย่อมไม่มีทางขาดทุน
ลู่เยี่ยนรับคำ “ได้ครับ เดี๋ยวผมจะให้คนติดต่อไปที่บริษัทหมิงเซิ่ง นี่แม่กินข้าวหรือยังครับ”
“เมื่อกี้แม่ออกไปกินข้าวกับเพื่อนข้างนอกมาแล้วจ้ะ งั้นแม่ไม่กวนลูกทำงานแล้ว อาทิตย์หน้าอย่าลืมกลับบ้านหน่อย แม่ไม่ได้เจอลูกมาครึ่งเดือนแล้ว”
ลู่เยี่ยนยิ้ม “ครับ”
พอกลับถึงห้องแต่งตัวลู่เยี่ยนก็โยนมือถือลงบนโต๊ะก่อนถามหลินอันว่า “มีบริษัทโมเดลลิ่งเอเจนซี่ที่ชื่อหมิงเซิ่งติดต่อนายมาหรือเปล่า”
หลินอันทวนคำ “หมิงเซิ่ง? ดูเหมือนจะมีนะ ฉันลืมไปแล้ว น่าจะไม่ใช่บริษัทใหญ่อะไร”
ลู่เยี่ยนวางศีรษะลงบนพนักเก้าอี้แล้วหลับตาลง “ติดต่อพวกเขา บอกว่าฉันจะเซ็นสัญญาด้วย”
หลินอันฟังจบก็คิดทบทวนความทรงจำเรื่องบริษัทแห่งนี้ทันที จากนั้นก็เบิกตากว้าง “ฮะ?! เซ็นสัญญา? อ๋า ไม่ดีมั้ง ชื่อเสียงของบริษัทหมิงเซิ่งยังสู้บริษัทซิงอวี๋ไม่ได้เลยนะ! ทำไมนายถึงจะเซ็นกับเขาล่ะ”
ลู่เยี่ยนขี้เกียจอธิบาย “ฉันชอบชื่อบริษัทเขา”
“…” หลินอันเคยชินกับความคิดอ่านของศิลปินในความดูแลของตัวเองแล้ว “เราไม่เปิดสตูดิโอกันแล้วหรือไง”
“ไม่เปิดแล้ว ถึงยังไงฉันก็ไม่ได้อยากเปิดอะไรมากมาย มันยุ่งยาก”
หลินอันยังไม่ยอมถอดใจ เขาถามอีกว่า “ไม่ลองคิดดูอีกครั้งเหรอ”
ลู่เยี่ยน “ไม่คิด ไปติดต่อทางนั้น”
หลินอัน “…”
ภายในผับที่แสงไฟสว่างวูบวาบ บรรยากาศคึกคักสนุกสนาน
สวี่เจ๋อกรอกเหล้าใส่ปากคำแล้วคำเล่าพลางเอ่ยกับเพื่อนสนิทที่อยู่ข้างๆ “นายคิดดูสิ มันก็แค่วันไนต์สแตนด์เองไม่ใช่เหรอ ใจฉันไม่เคยมีคนอื่น แล้วนายว่าลู่เยี่ยนจะโกรธขนาดนั้นไปทำไม”
วันนี้เป็นงานรวมตัวของพวกเพื่อนๆ แต่ถึงจะบอกว่าเป็นเพื่อน ทว่าความจริงแล้วกลับเป็นงานรวมตัวของพวกเจ้าของบริษัทโมเดลลิ่งเอเจนซี่ที่ต่างใส่หน้ากากเข้าหากันเพื่อหาเส้นสาย ตอนแรกสวี่เจ๋อตั้งใจดื่มเหล้าดับทุกข์ แต่ผลคือพอดื่มเยอะก็เริ่มพูดจาเพ้อเจ้อเหลวไหล ทำเอาคนรอบตัวมีสีหน้าแปลกๆ เล็กน้อย
เพื่อนสนิทมองสวี่เจ๋อด้วยสีหน้าพูดไม่ออก “นายพูดเสียงดังอีกหน่อยสิ พรุ่งนี้คนทั้งโลกจะได้รู้เรื่องที่นายเคยเป็นแฟนกับลู่เยี่ยน ถึงตอนนั้นนายก็คอยดูได้เลยว่าลู่เยี่ยนจะฟาดขวดเหล้าใส่ตำแหน่งไหน”
คำพูดประโยคนี้ทำให้สวี่เจ๋อตกใจ เขาเลยลดเสียงให้เบาลง “แม่ง เขายังยกเลิกสัญญากับฉันด้วย ไม่ว่าฉันจะพูดยังไงเขาก็ไม่ฟัง!”
เพื่อนสนิทหยิบแก้วของสวี่เจ๋อไป “พอแล้ว เลิกดื่มแล้วก็พูดให้มันน้อยๆ หน่อย เกิดใครได้ยินเข้าจะไม่ดี”
พูดไม่ทันขาดคำชายร่างสูงใหญ่คนหนึ่งก็เดินผ่านหลังพวกเขาไป เขาหัวเราะเสียงหยันเป็นการบอกว่าตนได้ยินเนื้อหาที่พวกเขาสองคนคุยกันเมื่อครู่
ชายหนุ่มไม่ได้หยุดเท้าและไม่ได้เงยหน้า เพียงเดินเข้ามานั่งประจันหน้ากับคนทั้งคู่ ดูแล้วคงเป็นคนที่ได้รับเชิญให้มาร่วมงานพบปะนี้เหมือนกัน
สวี่เจ๋อได้ยินเสียงหัวเราะเยาะนี้ถนัดหู จึงหรี่ตาลงอย่างไม่พอใจ “ใครวะ”
“กู้ซวี นายเบาเสียงลงหน่อย”
สวี่เจ๋อเอ่ย “กู้ซวี? ใครกัน”
“ลูกชายของกู้กั๋วจงแห่งสกุลกู้ไง! ได้ยินว่าไม่นานมานี้เขาเปิดบริษัทโมเดลลิ่งเอเจนซี่ขึ้นมาแห่งหนึ่ง”
สวี่เจ๋อ “พ่อเขาทำกำไรในวงการอสังหาริมทรัพย์ได้ดีขนาดนั้น เขาว่างมากเหรอถึงได้เปิดบริษัทโมเดลลิ่งเอเจนซี่อีก”
เพื่อนสนิทตอบกลับ “ก็จริง แต่นี่เป็นข่าววงใน รับรองว่าไม่ผิดแน่!”
“ชิ โลกของคนรวย” สวี่เจ๋อแค่นเสียง
สวี่เจ๋อเพิ่งพูดจบ จังหวะนั้นกู้ซวีก็รับรู้ได้ถึงสายตาของเขา จึงช้อนตาขึ้นมามองสวี่เจ๋อแวบหนึ่ง
เพื่อนสนิทรีบปั้นหน้ายิ้ม “ประธานกู้ครับ ขายหน้าแล้ว สวี่เจ๋ออกหักเลยดื่มเยอะนิดหนึ่งน่ะครับ”
กู้ซวีทำเสียงเยาะเบาๆ อย่างมีนัยแต่ไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไร ภายในระยะเวลาไม่ถึงห้านาทีสวี่เจ๋อถูกคนคนเดียวกันเย้ยหยันถึงสองครั้ง เขาย่อมไม่ชอบใจอย่างมากเลยดื่มเหล้าอย่างดุเดือดอีกหน
ชายคนหนึ่งลุกขึ้นพูดด้วยรอยยิ้ม “ดื่มกันพอสมควรแล้ว ไปหาเรื่องสนุกอย่างอื่นทำกันดีกว่าไหม”
ดึกดื่นค่ำคืน เรื่องสนุกที่ว่านั้นคืออะไรทุกคนรู้อยู่แก่ใจแต่ไม่พูดออกมา
ฝั่งกู้ซวีเพิ่งรับโทรศัพท์สายหนึ่งเสร็จก็ลุกขึ้นติดกระดุมสูททีละเม็ด “ผมยังมีธุระ”
สวี่เจ๋อที่เมาแล้วอ้าปากถาม “ดึกดื่นค่อนคืนแบบนี้จะไปมีธุระอะไร นี่ไม่ได้เป็นการทำให้งานกร่อยหรอกเหรอ”
พอคำพูดนี้หลุดออกไปทั้งโต๊ะก็เงียบกริบทันที เดิมทีคืนนี้พวกเขาตั้งใจจะมาประจบ ‘หน้าใหม่ในวงการ’ คนนี้ แต่ผลคืออีกฝ่ายไม่ได้สนใจพวกเขา ซ้ำสวี่เจ๋อยังทำงามหน้า แค่อ้าปากก็ล่วงเกินอีกฝ่ายไปเรียบร้อยแล้ว
ทั้งกลุ่มเตรียมชมเรื่องสนุก แต่คิดไม่ถึงว่ากู้ซวีจะไม่โมโห เขาเดินมาหาสวี่เจ๋ออย่างใจเย็น เมื่อได้มองดูใกล้ๆ สวี่เจ๋อถึงได้รู้ว่าใบหน้ารูปไข่ของกู้ซวีนั้นหล่อเหลาเหมือนนายแบบและจมูกโด่งมาก
กู้ซวีมองสวี่เจ๋อ “อ๋อ ผมจะไปเซ็นสัญญากับลู่เยี่ยนน่ะ”
“…”
กู้ซวีเดินจากไปได้ครึ่งนาทีสวี่เจ๋อถึงเพิ่งได้สติ เขาถามเพื่อนสนิทด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ “เขาบอกว่าจะไปเซ็นสัญญากับใครนะ ลู่เยี่ยนเหรอ นี่เขาจะเกทับใคร! ใครแม่งจะเลือกเซ็นสัญญาตอนดึกดื่นค่อนคืนกัน”
สวี่เจ๋อทำใจให้เย็นลงแล้วขอยืมมือถือจากเพื่อนเพื่อโทรหาลู่เยี่ยน ผลคือแค่พูดคำว่า “ฮัลโหล” คำเดียวก็ถูกลู่เยี่ยนตัดสายทิ้งอย่างรวดเร็ว
* ตัวอักษรจีนของคำว่า ‘เยี่ยน’ ในชื่อลู่เยี่ยนคือ 晏 ซึ่งประกอบด้วยตัวอักษร 日 ที่หมายความถึงพระอาทิตย์ และตัวอักษร 安 ที่หมายถึงความสงบ
โปรดติดตามตอนต่อไป…