ทดลองอ่าน คุณชายแซ่กู้กับเจ้าสุนัขลู่จอมดุ เล่ม 1 บทที่ 3-4 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน คุณชายแซ่กู้กับเจ้าสุนัขลู่จอมดุ เล่ม 1 บทที่ 3-4 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่านเรื่อง คุณชายแซ่กู้กับเจ้าสุนัขลู่จอมดุ เล่ม 1

ผู้เขียน : เจี้ยงจื่อเป้ย

แปลโดย : ปราณหยก

  

ผลงานเรื่องคุณชายแซ่กู้กับเจ้าสุนัขลู่จอมดุ 

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

 

  

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 3

 

กู้ซวีเดินออกจากผับแล้วขึ้นไปนั่งตรงที่นั่งคนขับเพื่อขับรถไปที่ร้านโซเบอร์บาร์* แห่งหนึ่ง

ร้านโซเบอร์บาร์คนไม่เยอะ มีโต๊ะเพียงไม่กี่โต๊ะ ซึ่งโต๊ะหนึ่งในจำนวนนั้นมีเด็กหนุ่มนั่งอยู่สี่คน อายุประมาณยี่สิบต้นๆ แต่ละคนใส่เสื้อยืดสีขาวกับกางเกงขาสั้น ดูอ่อนเยาว์และสดใสแบบนักศึกษา

คนหนึ่งตาไว เมื่อมองเห็นกู้ซวีก็ผิวปากดังวี้ดวิ่วกับคนข้างตัวก่อนกล่าวว่า “หลินชิง ผู้ปกครองของนายมารับกลับบ้านแล้ว”

หลินชิงที่เด็กหนุ่มคนนั้นเรียกวางเครื่องดื่มในมือลง ใบหน้ารูปไข่แดงเล็กน้อย คิ้วหนาตาโต ดูหล่อเหลาและสดใส

เขาลุกจากเก้าอี้ตัวสูง ก่อนจะเดินไปหากู้ซวีแล้วพูดยิ้มๆ “พี่ซวีครับ!”

กู้ซวีทำเสียงอืมเบาๆ

“ผมโทรหาดึกแบบนี้คงไม่รบกวนใช่ไหมครับ” หลินชิงพูดจบก็หันไปโบกมือลาพวกเพื่อนๆ ก่อนเดินออกจากร้านไปกับกู้ซวี

“อยู่แถวนี้พอดีน่ะ”

พอขึ้นรถเรียบร้อยกู้ซวีก็บอกว่า “ต่อไปเรื่องแบบนี้ให้โทรหาสวีเฟย”

หลินชิงที่นั่งอยู่ด้านข้างตอบว่า “ครับ” อย่างไม่ใส่ใจ แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้เก็บคำพูดประโยคนี้มาใส่ใจ

เมื่อส่งหลินชิงเรียบร้อยแล้วกู้ซวีก็กลับบ้าน เขานั่งลงบนโซฟาพลางขยี้ตา แต่จังหวะที่เตรียมจะเปิดคอมพิวเตอร์ก็พบว่าบนโต๊ะในห้องรับแขกมีแฟ้มเอกสารแฟ้มหนึ่งวางอยู่

บนแฟ้มมีอักษรตัวบรรจงเขียนว่า ‘ลู่เยี่ยน’

พอเห็นชื่อนี้แล้วกู้ซวีก็นึกขึ้นได้ว่านี่น่าจะเป็นข้อมูลของลู่เยี่ยนที่ผู้ช่วยเตรียมไว้ให้เขา กู้ซวีเปิดแฟ้ม แผ่นแรกเป็นภาพนิ่งหนึ่งใบ ลู่เยี่ยนที่อยู่ในรูปสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสแล็กส์และใส่นาฬิกาข้อมือ ดูเหมือนจะเป็นภาพโฆษณานาฬิกาข้อมือสักแบรนด์หนึ่ง

เครื่องหน้าของลู่เยี่ยนใกล้เคียงกับคำว่าเพอร์เฟ็กต์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งมีตัวช่วยเรื่องแสงและเงาใบหน้าด้านข้างของเขาก็ยิ่งมีมิติและละเอียดอ่อนงดงาม

เสื้อเชิ้ตสีขาวห่อหุ้มเรือนร่างแข็งแรงของชายหนุ่มเอาไว้ เอวถูกรัดด้วยเข็มขัดหนังให้ดูผอมบางแต่ทรงพลัง

อายุยี่สิบเจ็ดปี เข้าวงการมาได้ห้าปี จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย B…เป็นนักศึกษาเรียนดีด้วย

ในห้าปีนี้เขาไม่เคยจับงานภาพยนตร์เลย มีแต่ซีรี่ส์แนวรักใสๆ แต่ขอเพียงเขาได้เป็นนักแสดงหลัก ทุกตอนจะมีเรตติ้งสูงมาก

โฆษณาที่ลู่เยี่ยนรับมีไม่เยอะ เขามีงานพรีเซ็นเตอร์สองตัว และสองตัวนั้นล้วนเป็นแบรนด์หรูที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงทั้งคู่

ข่าวคาวก็ไม่เยอะเช่นกัน ส่วนใหญ่พอเปิดตัวแล้วก็จะประกาศจบความสัมพันธ์อย่างรวดเร็ว

นี่คือผู้ชายที่มีแผนการในทุกย่างก้าวของชีวิตตัวเองอย่างชัดเจนเป็นพิเศษคนหนึ่ง

นิ้วเรียวยาวของกู้ซวีแตะภาพนิ่งใบนั้นเบาๆ เขาเพ่งมองรูปอยู่สองสามวินาทีแล้วจึงโทรหาผู้ช่วย

ผู้ช่วยรับสายอย่างรวดเร็ว “ประธานกู้”

“นัดเซ็นสัญญากับลู่เยี่ยนพรุ่งนี้ ฉันจะไปเอง”

 

ลู่เยี่ยนอ่านบทละครจบแล้วถึงเพิ่งพบว่ามือถือของตัวเองอัดแน่นไปด้วยข้อความ

 

[คุณจะเซ็นสัญญากับหมิงเซิ่งเหรอ]

[ต่อให้ไม่ต่อสัญญากับผมก็ไม่จำเป็นต้องวิ่งไปที่หมิงเซิ่งเลยนี่นา บริษัทที่เพิ่งก่อตั้งไม่ถึงครึ่งปีช่วยอะไรคุณไม่ได้หรอก เสี่ยวเยี่ยน คุณอย่าใช้อารมณ์ทำงานสิ]

[หัวใจในการทำงานของเจ้าของบริษัทนั้นไม่ได้อยู่ในวงการบันเทิงด้วยซ้ำ แบบนี้ไม่เท่ากับคุณสร้างปัญหาให้ตัวเองหรือไง]

[หรือต่อให้คุณจะเซ็นสัญญากับหมิงเซิ่งแน่ๆ ก็ไม่เห็นต้องหนีไปเซ็นกันตอนดึกดื่นค่อนคืนเลย!]

 

ลู่เยี่ยนพูดไม่ออกจริงๆ สองสามวันมานี้เขาบล็อกเบอร์โทรศัพท์ไปไม่ต่ำกว่าสิบเบอร์ แต่กลับยังหนีไม่พ้นการโจมตีด้วยข้อความจากสวี่เจ๋อ

คราวนี้เขายังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าสวี่เจ๋อกำลังพูดเรื่องอะไร หลินอันคุยเรื่องเงื่อนไขสัญญากับหมิงเซิ่งเสร็จแล้วก็จริง แต่นัดเซ็นสัญญาคือบ่ายวันพรุ่งนี้

ลู่เยี่ยนหยิบบทภาพยนตร์ขึ้นมาอ่านได้สักพัก เรื่อง ‘บทเพลงแห่งสงคราม’ เป็นบทที่ผู้กำกับเฉินจิงซึ่งค่อนข้างสนิทกับเขาตั้งใจส่งมาให้ เฉินจิงขึ้นชื่อเรื่องความเข้มงวดต่อผลงานของตัวเอง ช่วงที่ลู่เยี่ยนเข้าวงการใหม่ๆ ก็เคยต้องทนลำบากอยู่ภายใต้การกำกับของเฉินจิงไม่น้อย ดังนั้นบทภาพยนตร์ที่เฉินจิงส่งมาให้ด้วยตัวเองจะต้องไม่ธรรมดาแน่นอน ลู่เยี่ยนอ่านอย่างละเอียดหนึ่งคืนก็พบว่าบทนี้ไม่เลวจริงๆ พล็อตเรื่องแน่น อุปนิสัยของตัวละครมีความโดดเด่น

ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ภาพยนตร์เรื่องนี้จะเป็นการเปิดฉากการต่อสู้ในวงการภาพยนตร์ครั้งแรกของลู่เยี่ยน เขาจึงจำเป็นต้องเปิดตัวให้สวยสักหน่อย

การเจอบทที่ดีทำให้ลู่เยี่ยนอารมณ์ดี เขาเลยขยับนิ้วตอบข้อความอย่างหาได้ยาก

 

[ทำไมคุณถึงยังไม่ไสหัวไปอีก]

 

วันต่อมาลู่เยี่ยนกับหลินอันเดินทางไปบริษัทหมิงเซิ่งด้วยกัน

หลินอันมองตึกสูงตรงหน้าแล้วมุมปากกระตุก “แม่เจ้า บริษัทหมิงเซิ่งเว่อร์ไปไหม บริษัทที่เพิ่งก่อตั้งได้สองสามเดือนกลับมีอาคารสูงกว่าบริษัทซิงอวี๋ตั้งหลายชั้น!”

ลู่เยี่ยนถอดหน้ากากอนามัย

หลินอันเอ่ยต่อ “ตึกใหญ่ขนาดนี้แต่ไม่รู้ว่าพนักงานข้างในมีถึงห้าสิบคนหรือเปล่า”

ผลคือหลินอันถูกตบหน้าทันที

เพราะยังไม่ต้องพูดถึงการมีพนักงานครบถ้วนเกินจำนวนที่ต้องการ ทว่าตั้งแต่ชั้นหนึ่งถึงชั้นเจ็ดพวกเขาที่ใช้วิธีขึ้นลิฟต์ยังได้เจอดาราเบอร์เล็กอีกหกคน

คำนิยามของดาราเบอร์เล็กไม่ได้หมายถึงดังน้อย แต่หมายถึงคนหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้าวงการ แต่ถึงอย่างนั้นคนหน้าใหม่กลุ่มนี้ก็ได้เปิดตัวด้วยการแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในวงการบันเทิง ดังนั้นแม้แต่ลู่เยี่ยนเองก็ยังจำพวกเขาได้สองสามคน

หลินอันอุทานมาตลอดทาง “เขา…เธอ…อยู่ที่หมิงเซิ่งกันเหรอ!”

“น้องสาวคนนี้มีเซ้นส์ด้านวาไรตี้โดดเด่น คราวก่อนตอนที่ดูรายการ ‘สนามเด็กเล่น’ ตอนพิเศษของเธอ ฉันขำจนเกือบขาดใจตาย”

“คนนี้ร้องเพลงเพราะมาก ได้ยินว่ากำลังจะออกอัลบั้มที่สองแล้ว”

“คนนี้มีบทอยู่ในซีรี่ส์เรื่องที่แล้วของนาย! ถึงจะเป็นตัวประกอบเล็กๆ ฝั่งตัวร้าย แต่ก็แสดงได้น่ารังเกียจดีทีเดียว”

ต่อมาถึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วก่อนที่พวกเขาจะมาเซ็นสัญญาทางหมิงเซิ่งเพิ่งประชุมย่อยเสร็จ ถึงได้มีดาราในสังกัดจำนวนมากมารวมตัวกันอย่างพร้อมหน้า

ลู่เยี่ยนที่คิดว่าจะเซ็นสัญญาแล้วกลับเลยเปลี่ยนแปลงความคิดเล็กน้อย

พอพวกเขามาถึงห้องประชุม ผู้รับผิดชอบเรื่องสัญญาของบริษัทหมิงเซิ่งก็มาถึงเช่นกัน แต่เขายืนอยู่ด้านหลัง เพราะคนที่เดินนำเข้ามาในห้องประชุมเป็นผู้ชายสวมสูทสีกรมท่าคนหนึ่ง

ชายหนุ่มมีเครื่องหน้าหล่อเหลา รูปร่างสูงใหญ่ บนตัวมีออร่าบางอย่างจางๆ ทันทีที่เข้ามาก็ทำให้บรรยากาศภายในห้องประชุมมีความกดดัน

เขาโค้งมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะยื่นมือมาให้ลู่เยี่ยนแล้วแนะนำตัวเองว่า “กู้ซวีครับ”

แค่แนะนำชื่อสั้นๆ ง่ายๆ ไม่มีการบรรยายฟุ้งเฟ้อเกินความจำเป็น ถึงขั้นไม่มีคำว่า ‘ผมชื่อ’ นำหน้าด้วยซ้ำ

ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาและค่อนข้างเย่อหยิ่งคือความประทับใจแรกที่ลู่เยี่ยนมีต่อกู้ซวี

ลู่เยี่ยนลุกขึ้นยืนอย่างมีมารยาทเพื่อจับมือกับชายหนุ่ม “สวัสดีครับ ผมชื่อลู่เยี่ยน”

เมื่อทักทายเสร็จสิ้นทั้งสี่คนก็นั่งประจำที่ หลินอันกับพนักงานผู้รับผิดชอบเรื่องการเซ็นสัญญาคนนั้นก็เริ่มพูดคุยเรื่องสัญญากัน

หลินอันเอ่ย “พวกเราอ่านสัญญาแล้ว หลักๆ ไม่มีปัญหาอะไรครับ เพียงแต่…เรื่องทรัพยากรในบริษัทของคุณ…”

เมื่อวานหลินอันกลับไปใช้เวลาศึกษาสัญญาพักหนึ่ง เรื่องการแบ่งเปอร์เซ็นต์หรือสิ่งที่พวกเขาจะได้รับนั้นเป็นกิ่งมะกอก* ที่สูงที่สุดในบรรดากิ่งมะกอกทั้งหมดที่พวกเขาได้รับในเวลานี้ นี่เป็นสิ่งที่น่าพอใจมาก ส่วนเรื่องทรัพยากรทางหมิงเซิ่งไม่ได้เสนอเงื่อนไขอย่าง ‘การแบ่งทรัพยากร’ อะไรทำนองนี้

สินค้าขายดีอย่างลู่เยี่ยน หากบริษัทอื่นได้เซ็นสัญญากับเขาจะต้องกระหน่ำทรัพยากรมาที่ตัวเขากันแทบไม่ทันแน่นอน เนื่องจากตอนนี้ความนิยมในตัวลู่เยี่ยนสูงมาก และอีกหนึ่งหรือสองปีต่อจากนี้พอเขาได้ถ้วยรางวัลราชาภาพยนตร์มา ชายหนุ่มก็จะสามารถก้าวขึ้นไปอยู่บนแท่นบูชาประจำสายอาชีพในใจมหาชน เทียบชั้นคนดังระดับที่เหนือกว่าแนวหน้าจำนวนมาก

พนักงานผู้รับผิดชอบเรื่องการเซ็นสัญญาคนนี้มีประสบการณ์สูงและเพิ่งขุดทองจากบริษัทอื่นมาหมาดๆ เขายิ้มน้อยๆ อย่างเป็นมืออาชีพขณะพูดว่า “ตอนนี้มีทรัพยากรอะไรที่ลู่เยี่ยนอยากได้แล้วไม่ได้ด้วยหรือครับ แน่นอนว่าทรัพยากรจะต้องเป็นฝ่ายเสิร์ฟมาถึงหน้าประตูอยู่แล้ว เรายังต้องเขียนเจาะเป็นข้อๆ ด้วยหรือ”

หลินอันยิ้มน้อยๆ “เมฆฝนบนฟ้าไม่อาจคาดเดา* คุณว่าจริงหรือเปล่าครับ ความเปลี่ยนแปลงบนโลกมีอยู่มากมาย เราต้องคิดหาทางป้องกันความเสี่ยงเอาไว้สักสองชั้น”

พนักงานคนนั้นเอ่ย “พูดจาถ่อมตัวเกินไปแล้วครับ ความจริงแล้วที่เราไม่ได้เขียนเงื่อนไขเรื่องนี้เพราะไม่อยากผูกมัดความเจริญก้าวหน้าของลู่เยี่ยน บริษัทเราเพิ่งเริ่มออกเดิน ไหนเลยจะมีทรัพยากรดีเด่นมากมายขนาดนั้น แต่อะไรที่ควรเอามาเราจะช่วยลู่เยี่ยนเอามาทั้งหมด”

หลินอันถูกการพูดจาเป็นคุ้งเป็นแควพาอ้อมไปพักหนึ่ง แต่ลู่เยี่ยนกลับฟังจนเข้าใจความหมายของอีกฝ่ายที่ว่าบริษัทจะไม่ลำเอียงมอบทรัพยากรให้แก่เขา

ในช่วงที่หลินอันกำลังสับสนอยู่นี้ กู้ซวีก็เอ่ยปากขึ้น

“ผมมีทรัพยากรดีๆ อยู่ไม่น้อย” เขาข้ามคนสองคนที่กำลังคุยเรื่องสัญญามามองลู่เยี่ยนที่นั่งเงียบเหมือนเขาอยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วพูดเสียงเรียบ “แต่จะไม่ให้อภิสิทธิ์กับคุณ”

หลินอัน “…”

พนักงานที่อุตส่าห์ปั้นแต่งถ้อยคำเป็นนานสองนาน “…???”

จากนั้นพนักงานก็รีบเสริมว่า “แต่สิ่งที่บริษัทของเราสามารถให้คุณได้จะต้องเยอะกว่าบริษัทซิงอวี๋แน่นอนครับ”

ลู่เยี่ยนหัวเราะเบาๆ ไม่ได้พูดอะไรมาก “ดีครับ สัญญาไม่มีปัญหา เซ็นตอนนี้ได้เลย ประธานกู้ครับ เราเซ็นสัญญาให้เสร็จเร็วที่สุดดีกว่าไหม เดี๋ยวผมยังต้องไปโปรโมตต่ออีก”

หลินอัน “…???”

ลู่เสี่ยวเยี่ยน นี่มันอารมณ์ไหนของนายกัน!

กู้ซวีเลิกคิ้วแต่ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจมาก

เซ็นสัญญาเสร็จลู่เยี่ยนก็ลุกขึ้นกล่าวลา ขณะที่กู้ซวีมองแผ่นหลังของลู่เยี่ยนแล้วหัวเราะเบาๆ ในดวงตาแอบซ่อนความสนใจอย่างจริงจังเอาไว้

เมื่อทั้งคู่เดินเข้าไปในลิฟต์ หลินอันก็อดรนทนไม่ไหว

“พี่ใหญ่ครับ คนเขาพูดชัดเจนว่าจะไม่ให้อภิสิทธิ์นาย นายก็ช่างแสนดี เซ็นสัญญาโดยไม่แม้แต่จะกะพริบตาเลย นายรู้ไหมว่าบริษัทอื่นเขียนสัญญาให้ดีกว่าเยอะ อย่างกับวาดขนมเปี๊ยะชิ้นโต** แน่ะ” หลินอันถลึงตา “นายๆๆๆ…นายคงไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่บอกใครไม่ได้กับนายจ้างใหม่ใช่ไหม”

หลินอันใช้เวลาคิดอยู่นานแต่ก็คิดได้แค่ความเป็นไปได้หนึ่งเดียวข้อนี้ เขายิ่งพูดยิ่งผวา “ถ้าเป็นความจริงนายก็น่าจะบอกฉันหน่อย อย่าให้เหมือนคราวสวี่เจ๋อที่ต้องรอให้พวกนายเลิกกันแล้วฉันถึงรู้ ฉันจะได้มีเวลาป้องกันไม่ให้พวกนายถูกแอบถ่ายอะไรต่อมิอะไร”

การที่ลู่เยี่ยนตอบรับอย่างสบายๆ แบบนี้แสดงว่าเขาต้องมีไอเดียของตัวเอง แต่มันเป็นความคิดที่ยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ชายหนุ่มจึงยังไม่อยากพูดมาก

“นายก็รู้นี่ว่าสัญญาของบริษัทอื่นคือการวาดขนมเปี๊ยะชิ้นโต” ลู่เยี่ยนกลอกตา “นายมีพลังแห่งการจินตนาการขนาดนี้แต่มาเป็นผู้จัดการของฉัน ช่างเป็นการไม่ให้ความเป็นธรรมกับนายจริงๆ นายไปเขียนบทเถอะ รับรองว่าฉันจะรับเล่นซีรี่ส์ที่นายเขียนบทแน่นอน”

หลินอันเอ่ยต่อ “เอิ่ม…จะว่าไป พูดถึงสวี่เจ๋อ เขามีคนหนุนหลังเลยแตะไม่ได้ แต่หลิวซิงอันคนนั้นยังพอไหว นายจะให้ฉันโทรหากองถ่ายเรื่อง ‘เมืองมายา’ เพื่อให้พวกเขาลดซีนของหลิวซิงอันลงไหม”

หลังจากหลินอันได้ฟังสาเหตุที่ลู่เยี่ยนยกเลิกสัญญาก็โกรธจัด แต่หาที่ระบายไม่ได้ เหมือนลูกชายของตัวเองถูกคนอื่นรังแก เอาแต่บ่นว่าจะแก้แค้นให้ลู่เยี่ยนทุกวัน

‘เมืองมายา’ เป็นซีรี่ส์ที่ลู่เยี่ยนเพิ่งถ่ายจบไปก่อนหน้านี้ หลิวซิงอันแสดงเป็นพระรองเบอร์สี่ คำนวณวันดูแล้วช่วงนี้ก็น่าจะเป็นช่วงที่ทีมงานตัดต่อซีรี่ส์พอดี

ลู่เยี่ยนเล่นมือถือ เนื่องจากยังสวมหน้ากากอนามัยปิดปากอยู่เขาจึงพูดเสียงอู้อี้ “อย่าเลย ซีนเขาไม่เยอะอยู่แล้ว นายยังจะไปตัดเขาออกอีก น่าสงสาร”

หลินอันจุปาก “ตอนนี้ฉันว่านายเหมือนนางเอกผู้แสนดีราวกับดอกบัวขาวในซีรี่ส์ ขนาดถูกคนอื่นแย่งผู้ชายไปก็ยังยิ้มและให้อภัยเขาได้”

“การที่เขาแย่งสำเร็จก็เป็นความสามารถแบบหนึ่ง” ลู่เยี่ยนบอก “ฉันชอบคนมีความสามารถไม่ว่าจะในด้านไหน หรือไม่นายก็โทรไปบอกให้ทางกองเพิ่มซีนให้เขาหน่อยสิ”

หลินอันทำหน้าไร้อารมณ์ “ทำไมน้ำถึงกลายเป็นสีเขียว* นะ ที่แท้ก็เพราะลู่เยี่ยนไปสระผมที่ต้นน้ำนี่เอง”

ลู่เยี่ยน “หุบปากไปเลย”

 

ระหว่างทางไปสตูดิโอลู่เยี่ยนเปิดเวยป๋ออย่างเซ็งๆ แล้วก็พบว่ากำลังเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นในเวยป๋อ

เมื่อดาราสาวคนหนึ่งถูกนักข่าวบันเทิงเปิดโปงว่ามีชู้ระหว่างการแต่งงาน ในภาพถ่ายมีคนสองคนกำลังจูบกันอย่างไม่ยอมพรากจาก แถมนักข่าวบันเทิงยังวาดวงกลมขนาดใหญ่ไว้บนศีรษะของฝ่ายหญิง ทำลูกศรชี้ และแนบภาพนิ่งของดาราสาวหนึ่งภาพ

ภาพสุดท้ายของข่าวเป็นอีโมจิตัวหนึ่ง บนศีรษะมีหมวกสีเขียวที่ได้จากการโฟโต้ช็อป ด้านข้างมีตัวอักษรหนึ่งแถวเขียนไว้ว่า ‘แน่นอนว่าผมเลือกที่จะให้อภัยเธออยู่แล้ว’

ลู่เยี่ยน “…”

ชายหนุ่มกดปุ่มล็อกหน้าจออย่างแรงแล้วหลับตาลงอย่างไม่สบอารมณ์

ลู่เยี่ยนไม่ได้รู้สึกอะไรกับสวี่เจ๋อจริงๆ ถึงขนาดที่ถ้าวันนี้หลินอันไม่พูดถึง ลู่เยี่ยนคงลืมไอ้งั่งที่กระหน่ำส่งข้อความให้เขาเมื่อวานไปแล้ว

แต่เขาก็ไม่ได้ยินดีสวมหมวกเขียวที่หล่นลงมาจากฟ้านี่เหมือนกัน

 

* โซเบอร์บาร์ (Sober Bar) เป็นบาร์ที่มีบรรยากาศสงบกว่าบาร์ปกติ เหมาะสำหรับการพักผ่อนหรือพูดคุยระหว่างกลุ่มเพื่อน และเสิร์ฟเฉพาะเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์

* กิ่งมะกอก เป็นสัญลักษณ์ของสันติภาพ มักใช้ในสำนวน ‘โยนกิ่งมะกอก’ ซึ่งเป็นการเปรียบเปรยถึงการแสดงความต้องการที่จะเจรจาอย่างสันติเพื่อประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย

* เมฆฝนบนฟ้าไม่อาจคาดเดา มาจากสำนวน ‘เมฆฝนบนฟ้าไม่อาจคาดเดา ทุกข์สุขในมนุษย์มิได้คงอยู่ชั่วกาล’ โดยประโยคดังกล่าวมีความหมายว่าภัยพิบัติหรือความหายนะไม่ใช่สิ่งที่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้

** วาดขนมเปี๊ยะชิ้นโต เป็นสำนวน หมายถึงสร้างความหวังลมๆ แล้งๆ แก่ตนเองหรือผู้อื่นเพื่อปลอบใจ

* สีเขียว มาจากสำนวน ‘สวมหมวกเขียว’ หมายถึงการถูกคนรักสวมเขา

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

ซ่อนกลิ่น

ทดลองอ่าน ซ่อนกลิ่น บทที่ 25.3-25.5

บทที่ 25-3 คาดคั้นเอาผิด ในขณะที่เขากำลังสอบสวนอยู่นั้น เฉิงเผยเหนียนก็ไล่ตามมาถึงอย่างกระหืดกระหอบ ทีแรกเฉิงเผยเหนียนเข...

ซ่อนกลิ่น

ทดลองอ่าน ซ่อนกลิ่น บทที่ 25.1-25.2

บทที่ 25-1 คาดคั้นเอาผิด หลิ่วจือหว่านซึ่งอยู่อีกด้านมองดูเฉิงเผยเหนียน จู่ๆ ก็เปิดปากขึ้นด้วยท่าทีเย็นชา ตัดบทคำพูดของเ...

ซ่อนกลิ่น

ทดลองอ่าน ซ่อนกลิ่น บทที่ 26.1-26.2

บทที่ 26-1 น้ำแกงบำรุง เซิ่งเซียงหลันกลัวเกรงพี่สาวอยู่บ้าง ซ้ำตนเองก็เป็นฝ่ายผิด พอถูกนางตำหนิต่อว่าก็อัดอั้นโทสะเอาไว้...

ซ่อนกลิ่น

ทดลองอ่าน ซ่อนกลิ่น บทที่ 26.3

บทที่ 26-3 น้ำแกงบำรุง ในวันนี้หลิ่วจือหว่านกำลังเตรียมจะออกจากจวนไปดูเรือขนสินค้าส่งมอบของที่ท่าเรือ เมื่อเดินมาถึงหน้า...

community.jamsai.com