ทดลองอ่าน คุณชายแซ่กู้กับเจ้าสุนัขลู่จอมดุ เล่ม 1 บทที่ 5-6 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน คุณชายแซ่กู้กับเจ้าสุนัขลู่จอมดุ เล่ม 1 บทที่ 5-6 #นิยายวาย

2 of 2หน้าถัดไป

บทที่ 6

 

ซือฉิง นางเอกเบอร์ต้นของช่องใหญ่

ตั้งแต่เข้าวงการมาก็เล่นแต่ภาพยนตร์ ไม่เคยแสดงซีรี่ส์ เป็นคู่แข่งที่แข็งแกร่งของราชินีภาพยนตร์ทุกเรื่อง แต่…ไม่เคยได้ครองตำแหน่งราชินีภาพยนตร์อย่างจริงๆ จังๆ ทว่าเรื่องนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อตำแหน่งของเธอ หญิงสาวยังคงเป็นผู้ทรงอิทธิพลในวงการภาพยนตร์ผู้มีศักยภาพ พูดได้ว่าเป็นตัวการันตียอดขายชั้นเยี่ยม ภาพยนตร์เรื่องแรกของเฉินจิงต้องน่าสนใจจริงๆ ถึงเชิญเธอมาได้

หญิงสาวนั่งลงข้างลู่เยี่ยน น้ำหอมบนตัวลอยมาปะทะจมูก

ซือฉิงนั่งไขว่ห้าง ก่อนพูดเสียงหวาน “ติดธุระนิดหน่อยเลยมาช้าค่ะ”

เมื่อคนมาครบแล้วเฉินจิงก็กระแอมสองครั้งเป็นการส่งสัญญาณให้เริ่มประชุม

แม้จะบอกว่าเป็นการประชุม แต่ความจริงคือการที่นักแสดงกับโปรดิวเซอร์จะมาพูดคุยกันเรื่องคิวและงานโปรโมต

เมื่อนักแสดงกับทีมงานแนะนำตัวกันเรียบร้อยแล้ว เฉินจิงก็บอกว่า “กำหนดการถ่ายทำที่ฉันวางแผนไว้คือสองถึงสามเดือน เข้ากองวันอาทิตย์นี้ พวกเธอมีความคิดเห็นเรื่องระยะเวลาไหม”

ลู่เยี่ยนไม่พูด ซือฉิงก็ไม่พูด เมื่อตัวละครหลักทั้งสองคนไม่มีความเห็น ตัวประกอบคนอื่นๆ ยิ่งไม่กล้ามีความเห็น

ห้องประชุมเงียบไปพักหนึ่ง เฉินจิงผงกศีรษะอย่างพอใจ “อ่านบทแล้วหรือยัง มีความเห็นจะเสนอไหม”

ซือฉิงยกสองมือขึ้นกอดอกขณะพูดยิ้มๆ “มีค่ะ”

เฉินจิงคิดในใจ ต่อให้เธอมีความเห็น ฉันก็อาจจะไม่ยอมรับนะ

“ลองว่ามาซิ”

คิดไม่ถึงว่าซือฉิงจะพูดสิ่งที่ทำให้คนฟังสะดุ้ง “เพิ่มฉากบนเตียงสักสองสามฉากเถอะค่ะ”

ลู่เยี่ยน “…”

เขามองซือฉิงอย่างค่อนข้างแปลกใจ เนื่องจากเขาเข้าวงการมาก็หลายปี แต่ซือฉิงกลับเป็นนักแสดงหญิงคนแรกที่เขาพบว่าขอให้เพิ่มฉากบนเตียง

ใบหน้าของซือฉิงยังคงมีรอยยิ้มน้อยๆ เธอมองเฉินจิงอย่างเปิดเผย ไม่รู้สึกประดักประเดิดเลยสักนิด

เฉินจิงดื่มน้ำชาเพื่อระงับความตกใจ “เพิ่มฉากบนเตียงของใครกับใคร”

“ยังมีใครได้อีกล่ะคะ ก็ต้องเป็นฉันกับลู่เยี่ยนน่ะสิ” ซือฉิงปัดผมลอนใหญ่ของตัวเองเล็กน้อย “เลิฟซีนในบทไม่เลวก็จริง แต่จุดขายแค่นี้ยังไม่พอ หนังสงครามย้อนยุคที่ออกไปทางการชิงอำนาจแบบนี้ไม่ค่อยเป็นที่ชื่นชอบของสาวๆ อยู่แล้ว ถ้ากระตุ้นสักหน่อยยอดขายก็น่าจะดีหรือเปล่าคะ”

เฉินจิงยิ้ม “เธอคิดว่าฉันให้เจ้าหนูหน้าเหม็นนี่มาทำอะไร เรียกความนิยมจากพวกสาวๆ เหรอ” พูดจบเขาก็เชิดหน้าใส่ลู่เยี่ยน

ซือฉิงเองก็ยิ้ม “เชื่อฉันเถอะค่ะ ลู่เยี่ยนตอนโป๊เรียกความนิยมจากสาวๆ ได้มากกว่า”

ลู่เยี่ยน “…???”

“ผมว่า…”

ลู่เยี่ยนพูดยังไม่ทันจบ เฉินจิงก็ปรบมือ “เฮ้ จริงด้วย ทำไมฉันคิดไม่ถึงนะ เราเพิ่มฉากเลิฟซีนหนึ่งนาทีได้ ไม่มีปัญหา”

ลู่เยี่ยนกุมขมับ “ไม่กลัวว่าจะไม่ผ่านเซ็นเซอร์หรือครับ”

ซือฉิงเอ่ย “คนอื่นเขาขี่ม้ากันปั๊บๆ ยังผ่านเซ็นเซอร์ได้ นายแค่เปลือยท่อนบนแล้วจะถูกตัดเหรอ”

ลู่เยี่ยนหมดคำจะเถียง เรื่องฉากบนเตียงไม่ว่าจะมองอย่างไรเขาก็เป็นฝ่ายได้กำไรจากซือฉิง แต่ทำไมคนที่เหมือนจะถูกเอาเปรียบกลับเป็นตัวเขาเสียได้

ชายหนุ่มเลิกอิดออด แล้วบอกเฉินจิงว่า “ผมยังไงก็ได้ครับ ถ้าคุณคิดว่าแบบไหนดีก็ถ่ายกันแบบนั้น”

เขามีประสบการณ์ด้านการแสดง แต่เรื่องยอดขายกับจุดขายเขาไม่ฉลาดเท่าเฉินจิงกับซือฉิง

พอประชุมเสร็จเรื่องทุกอย่างก็มีการตัดสินใจกันเรียบร้อย กำหนดให้เข้ากองวันอาทิตย์ วันนี้เป็นวันจันทร์ และเนื่องจากความไม่แน่นอนก่อนเข้ากองหลินอันเลยไม่กล้ารับงานให้ลู่เยี่ยนเพราะกลัวคิวจะชนกัน ทำให้ลู่เยี่ยนมีวันหยุดสี่วันเต็มๆ

ลู่เยี่ยนผ่อนลมหายใจยาวตอนเดินออกจากห้องประชุม สองปีนี้เป็นช่วงขาขึ้นของเขา นานมากแล้วที่เขาไม่เคยมีวันหยุดยาวแบบนี้

เสี่ยวหลิวที่เดินตามหลังชายหนุ่มมาเอ่ยถามว่า “พี่เยี่ยนครับ ยังมีงานอะไรอีกหรือเปล่าครับ ให้ผมส่งพี่กลับคอนโดฯ เลยดีไหม”

ลู่เยี่ยนดูนาฬิกา ตอนแรกเขาเข้าใจว่าการประชุมครั้งนี้จะเหมือนการประชุมที่เคยเข้าร่วม นั่นคือประชุมกันไม่นานแล้วรีบจบ คิดไม่ถึงว่าจะกินเวลาถึงสามชั่วโมงจนตอนนี้ใกล้จะหกโมงแล้ว

“ยังไม่กลับ ไปกินข้าวกันก่อนเถอะ” ลู่เยี่ยนเพิ่งย้ายเข้าคอนโดฯ ใหม่ได้ไม่ถึงหนึ่งปี แต่เขากินอาหารดีลิเวอรี่ในละแวกนั้นจนเบื่อแล้ว

พอเสี่ยวหลิวได้ยินก็ก้มหน้า “พี่เยี่ยนครับ วันนี้วันเกิดแฟนผม ผมคงไปกินข้าวกับพี่ไม่ได้”

ลู่เยี่ยนชะงัก “วันเกิดแฟนแล้วนายยังจะมาประชุมกับฉันอีกเหรอ”

เสี่ยวหลิวยิ้มอย่างวางหน้าไม่ถูก “พี่อันเขาไม่ว่างไม่ใช่เหรอครับ ผมไม่สบายใจถ้าพี่จะมาคนเดียว”

“ผู้ชายตัวเบ้อเริ่มแบบฉันมีอะไรน่าห่วงกัน” ลู่เยี่ยนยิ้ม “เอาล่ะ นี่หกโมงแล้ว รีบไปหาแฟนนายเถอะ”

พูดจบลู่เยี่ยนก็เหมือนนึกอะไรได้ เขาพลันล้วงมือถือออกมากดๆ

ทันใดนั้นมือถือของเสี่ยวหลิวก็ดังขึ้น เมื่อเขาเอามือถือออกมาดูก็เห็นว่าลู่เยี่ยนโอนเงินมาให้สองพันไคว่*

“พี่เยี่ยนครับ เงินนี่ ผมรับไว้ไม่ได้”

“ฉันไม่ได้ให้นาย” ลู่เยี่ยนยกเท้าเดินจากไป เขาพูดระหว่างที่เดินอยู่ว่า “ไปหาซื้อของขวัญให้แฟนนายด้วย จำไว้ บอกเขาว่าฉันให้ ห้ามยืมดอกไม้ถวายพระ* เด็ดขาด”

เสี่ยวหลิวมองเงาแผ่นหลังของลู่เยี่ยนอย่างซาบซึ้งใจ เมื่อก่อนเขาเป็นแค่คนทำงานจิปาถะในสตูดิโอ ได้เงินแค่วันละไม่กี่สิบไคว่ ต่อมามีครั้งหนึ่งที่เขาได้ตามมากองถ่ายที่ลู่เยี่ยนอยู่ ลู่เยี่ยนเห็นว่าเสี่ยวหลิวชงกาแฟอร่อยและขยันขันแข็ง จึงถามเสี่ยวหลิวว่าสนใจมาทำงานเป็นผู้ช่วยของเขาไหม

เมื่อลู่เยี่ยนเป็นคนออกปากชวนเขาเอง เจ้าตัวจึงเป็นคนจ่ายเงินเดือนของเสี่ยวหลิว สามปีที่ผ่านมานี้เงินเดือนของเขาขึ้นตามรายได้ของลู่เยี่ยน แถมยังมีซองแดงให้ในวันส่งท้ายปีเก่าด้วย

ถ้าให้เสี่ยวหลิวพูด ลู่เยี่ยนก็คือผู้สูงส่งในชีวิตของเขา

เสี่ยวหลิวเลิกอิดออด พอทำซึ้งเสร็จก็วิ่งเหยาะๆ ตามหลังลู่เยี่ยนไป “พี่เยี่ยนครับ ผมไม่รีบ ผมจะส่งพี่กลับบ้านก่อนนะครับ”

เสี่ยวหลิวส่งลู่เยี่ยนกลับคอนโดฯ อย่างปลอดภัยแล้วถึงค่อยจากไป

ลู่เยี่ยนสั่งอาหารดีลิเวอรี่ไว้ตั้งแต่อยู่บนรถ กะว่าพอถึงบ้านจะได้กินตอนร้อนๆ

ถือว่าเขากะเวลาได้แม่นทีเดียว เพราะตอนที่ดีลิเวอรี่เอาอาหารมาส่งนั้นลู่เยี่ยนเพิ่งกลับถึงคอนโดฯ ชายหนุ่มหิ้วอาหารเดินเข้าลิฟต์ไปช้าๆ

ระหว่างเล่นมือถือ ลิฟต์ก็ส่งเสียงติ๊งดังกังวานบอกว่ามาถึงชั้นที่พักของเขาแล้ว

ชายหนุ่มยกเท้าเดินอย่างไม่ได้คิดอะไร แต่พอก้าวออกจากลิฟต์ลู่เยี่ยนก็เห็นคนยืนอยู่หน้าประตู ทำให้เขาชะงักเท้า

ชายวัยกลางคนคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น เขาแต่งกายอย่างประณีต จอนผมเป็นสีขาวเล็กน้อย สีหน้าท่าทางไม่สบอารมณ์ คาดว่าคงมารอนานมากแล้ว ความหงุดหงิดจึงฉายอยู่บนใบหน้า

ครั้นสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวที่ลิฟต์ชายคนนั้นจึงเบือนหน้ามามองลู่เยี่ยน แล้วหัวคิ้วก็ขมวดแน่นขึ้น

ลู่เยี่ยนก้าวเท้าด้วยสีหน้าเฉยเมยเหมือนเมื่อกี้ไม่ได้มีอาการชะงักใดๆ ชายหนุ่มเดินตรงไปที่ประตู เตรียมใส่รหัสโดยใช้มืออีกข้างหนึ่งบังกุญแจแบบใส่รหัสไว้ ท่าทางระแวดระวังสุดขีด

โจวหมิงกล่าวเสียงหนัก “ทำไมไม่รับสาย”

แต่ลู่เยี่ยนไม่สนใจเขา

น้ำเสียงของโจวหมิงจึงหนักขึ้น เขาถึงขั้นยื่นมือไปขัดจังหวะการใส่รหัสของลู่เยี่ยน “แกทำกับพ่อของแกแบบนี้เหรอ”

มือของตนถูกปัดออกเช่นนี้ ลู่เยี่ยนจึงหัวเราะเสียงเย็นแล้วถาม “คุณมาทำอะไรที่นี่”

โจวหมิงสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ สองสามครั้งเหมือนกำลังควบคุมโทสะของตัวเอง หลังทำซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้งเขาก็หยิบบัตรเชิญหนึ่งใบออกมาจากสูทแล้วยัดใส่มือลู่เยี่ยน “เดือนหน้าฉันกับหมิงอีจะจัดงานแต่ง จำไว้ว่าต้องมา ห้ามเลต เข้าใจไหม”

ทีแรกลู่เยี่ยนเข้าใจว่าตัวเองหูฝาด แต่พอเห็นชื่อของคนสองคนบนบัตรเชิญเขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงหยันออกมา

เมื่อหัวเราะเสร็จชายหนุ่มก็ถามขึ้น “โจวหมิง คุณหน้าไม่อายก็ไม่เป็นไร แต่อย่าลากผมเข้าไปเอี่ยวด้วย”

โจวหมิงถลึงตา ก่อนจะด่าเสียงดัง “ตุ๊กตาหมา* อย่างแกพูดว่าอะไรนะ…”

ลู่เยี่ยนพูดประโยคนั้นจบก็กดรหัสอย่างรวดเร็วและเข้าห้องทันที ทำให้ถ้อยคำระคายหูของโจวหมิงที่อยู่ด้านหลังถูกกันไว้นอกประตู

ชายหนุ่มเข้าห้องมาก็นั่งกุมหน้าผากอยู่ที่บันไดบริเวณสำหรับเปลี่ยนรองเท้าโดยไม่พูดไม่จา

เสียงก่นด่าจากด้านนอกดังมาระลอกแล้วระลอกเล่า ทุกคำล้วนเป็นถ้อยคำเถื่อนถ่อย โจวหมิงด่าอยู่สิบนาทีเต็มๆ กว่าเสียงจะเงียบไป เวลานี้เขาน่าจะไปแล้ว

ลู่เยี่ยนมองบัตรเชิญที่ตกอยู่ด้านข้างด้วยความรู้สึกเหนื่อยล้า

บนโลกใบนี้มีคนที่ใช้ชีวิตอย่างสับสนและน่าขำจำนวนไม่น้อย แต่โจวหมิงซึ่งเป็นพ่อผู้ให้กำเนิดของเขากลับเป็นคนที่ไปสุดที่สุดเท่าที่ลู่เยี่ยนเคยเห็น

โจวหมิงเป็นคนบ้านนอก เขาพากเพียรเรียนหนังสือมาตั้งแต่เล็กจนสอบเข้ามหาวิทยาลัยในเมือง B ได้ และเจอกับลู่เหมี่ยวในมหาวิทยาลัย

โจวหมิงพบลู่เหมี่ยวได้ไม่นานก็ยอมศิโรราบอยู่แทบชายกระโปรงลายดอกทับทิม** ของลู่เหมี่ยวทันที และกลายเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ตามจีบลู่เหมี่ยวอย่างเอิกเกริก

ในยุคนั้นไม่ได้มีช่องทางอะไรมากมาย โจวหมิงรูปร่างหน้าตาดูคงแก่เรียน เขียนจดหมายรักเก่ง แถมยังแวะเวียนไปช่วยยกน้ำตักข้าวให้ลู่เหมี่ยวทุกวัน ไม่รู้ว่าเขาทำท่าไหนถึงเข้าตาลู่เหมี่ยวได้

ลู่เหมี่ยวไม่มีพ่อแม่มาตั้งแต่เล็กเลยประทับใจในความเอาใจใส่ของโจวหมิงมาก หลังจากนั้นไม่นานทั้งคู่ก็คบหาและแต่งงานกันหลังเรียนจบ ต่อมาก็ให้กำเนิดลู่เยี่ยน

ลู่เหมี่ยวมีมรดกก้อนโต โจวหมิงจึงเปิดบริษัทแห่งหนึ่งโดยได้รับการสนับสนุนจากลู่เหมี่ยว ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่น

ผลคือวันหนึ่งก็มีผู้หญิงคนหนึ่งมาหา เธอชี้หน้าลู่เหมี่ยวพร้อมด่าว่าเป็นเมียน้อย เป็นนางปีศาจจิ้งจอกแย่งสามีของคนอื่น ตอนนั้นลู่เหมี่ยวกำลังอุ้มลู่เยี่ยนด้วยสีหน้างุนงง ก่อนจะถูกผู้หญิงคนนั้นผลักอย่างแรง

ต่อมาถึงเพิ่งรู้ว่าโจวหมิงมีคู่หมั้นที่หมั้นหมายกันมาตั้งแต่เล็กอยู่ที่บ้านนอก แถมยังจัดพิธีแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นแล้ว แม้ไม่ได้จดทะเบียนสมรสแต่คนในหมู่บ้านก็รู้กันทั่ว

แต่ครอบครัวของโจวหมิงกลับไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ลู่เหมี่ยวฟังเลยสักครึ่งคำ

การก่อกวนของผู้หญิงคนนั้นทวีความรุนแรงขึ้นถึงขั้นลามมาถึงบริษัท ในที่สุดลู่เหมี่ยวก็ทนไม่ไหว จะยกหูโทรศัพท์แจ้งตำรวจ แต่กลับถูกโจวหมิงห้าม บอกว่ามันจะทำให้เขาเสียหน้า

ลู่เหมี่ยวเป็นคนใจเด็ด เมื่อหาทางออกไม่ได้เธอก็หย่าขาดจากโจวหมิงทันทีและพาลู่เยี่ยนจากมาอย่างสิ้นเยื่อใยโดยไม่แม้แต่จะสิ้นเปลืองความคิดไปแย่งชิงทรัพย์สิน

ทว่าผลลัพธ์ในท้ายที่สุดกลับน่าขำยิ่งกว่า เมื่อโจวหมิงหย่าขาดจากลู่เหมี่ยวแล้วเขาก็ไม่ได้คบหากับคู่หมั้นวัยเด็กคนนั้น กระทั่งเวลาต่อมาก็มีข่าวคาวกับดาราสาวหลิวหมิงอี

ซึ่งข่าวคาวที่ว่าลู่เยี่ยนก็มีส่วนร่วมอยู่ด้วย แน่นอนว่าเขารู้ถึงความไม่แน่นอนและการปั้นเสริมเติมแต่งในเรื่องนี้ แต่ตราบใดที่ยังไม่มีการยืนยันเขาก็จะตระกองกอดความหวังและความรู้สึกโชคดีอันบางเบาเอาไว้ตลอด

แต่บัตรเชิญใบนี้เหมือนระเบิดที่ทำลายความหวังสุดท้ายที่เขามีต่อโจวหมิงให้กลายเป็นผุยผง

โจวหมิงอายุห้าสิบเอ็ดปี ในขณะที่หลิวหมิงอีอายุน้อยกว่าลู่เยี่ยน

ลู่เยี่ยนยิ่งคิดก็ยิ่งขำ เขาโทรหาโจวหมิงโดยที่อีกฝ่ายก็รับสายอย่างรวดเร็ว

“สำนึกผิดแล้วใช่ไหม แก…”

“อย่าเอาเรื่องบ้าๆ พวกนี้ไปกวนใจแม่ผม ไม่งั้นผมจะให้คนไปพังงานแต่ง”

ลู่เยี่ยนพูดจบก็ตัดสายทันที โจวหมิงโทรกลับมาทันควัน แต่ลู่เยี่ยนบันทึกเบอร์ไว้ในแบล็กลิสต์อย่างชำนาญ

อาหารดีลิเวอรี่วางอยู่ที่ข้างมือเขา กลิ่นหอมตลบอบอวลอยู่ในห้อง แต่ลู่เยี่ยนที่เคยรู้สึกหิวจนท้องร้องตอนนี้กลับหมดความอยากอาหารแล้ว

เขาหิ้วกล่องอาหารไปหย่อนใส่ถังขยะ ก่อนจะเปลี่ยนเสื้อผ้าออกไปข้างนอก

ปกติลู่เยี่ยนมักนั่งรถตู้ไปไหนมาไหนเสมอ แต่ความจริงแล้วตัวเขาเองก็มีรถยนต์

แม้จะมีดาราที่ขับรถเองเยอะ แต่โดยทั่วไปแล้วหลินอันจะไม่ปล่อยให้ลู่เยี่ยนขับรถเอง และตัวลู่เยี่ยนเองก็เหนื่อยจากการทำงานมาพักใหญ่ เขาเลยไม่ค่อยได้แตะรถยนต์นัก

รถของลู่เยี่ยนคือจากัวร์ XJ ราคาไม่แพง เพียงไม่กี่แสนไคว่ บอดี้ยาวแบบเรียบหรู คันนี้เป็นรถที่เขาซื้อมาเมื่อสองปีก่อน

เจ้าของไม่ได้ขับนาน ต่อให้มีผ้าคลุมรถคลุมไว้ตัวรถก็ยังมีฝุ่นจับ

ตอนลู่เยี่ยนเข้าเกียร์ มือบังเอิญแตะถูกซองบุหรี่ที่นิ่มไปแล้ว ไม่รู้ว่ามันถูกวางอยู่บนรถมานานแค่ไหน เพราะคำตักเตือนของลู่เหมี่ยวทำให้ลู่เยี่ยนเลิกบุหรี่ได้สำเร็จ ต่อให้เขาหงุดหงิดแค่ไหนก็ไม่เคยแตะต้องมัน

ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากเล็กน้อยแล้วสตาร์ตรถขับออกจากลานจอดรถใต้ดิน

 

* ไคว่ เป็นภาษาพูดที่คนจีนทั่วไปใช้กัน หมายถึงหยวนซึ่งเป็นค่าเงินของจีน

* ยืมดอกไม้ถวายพระ เป็นสำนวน หมายถึงใช้สิ่งของของผู้อื่นมาแสดงน้ำใจหรือประจบเอาใจคนอื่น

* ตุ๊กตาหมา เป็นคำที่ผู้ใหญ่ใช้ดุด่าเด็กๆ หมายถึงเด็กเหลือขอ

** ยอมศิโรราบอยู่แทบชายกระโปรงลายดอกทับทิม มีที่มาจากกระโปรงลายดอกทับทิมที่หยางกุ้ยเฟยผู้เป็นอัครชายาคนโปรดของฮ่องเต้ถังเสวียนจงชอบสวมใส่ ฮ่องเต้ทรงลุ่มหลงนางจนละเลยราชกิจ เหล่าขุนนางต่างไม่พอใจจึงแสดงความไม่เคารพต่อนาง เมื่อความทราบถึงฮ่องเต้ถังเสวียนจง พระองค์จึงทรงมีรับสั่งให้ขุนนางทุกคนเมื่อได้พบหยางกุ้ยเฟยต้องคุกเข่าคำนับ ผู้ใดขัดขืนจะมีโทษสถานหนัก ต่อมาสำนวนนี้มีความหมายถึงการที่ชายยอมศิโรราบต่อหญิง

 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

2 of 2หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com