everY
ทดลองอ่าน คุณชายแซ่กู้กับเจ้าสุนัขลู่จอมดุ เล่ม 1 บทที่ 5-6 #นิยายวาย
บทที่ 6
ซือฉิง นางเอกเบอร์ต้นของช่องใหญ่
ตั้งแต่เข้าวงการมาก็เล่นแต่ภาพยนตร์ ไม่เคยแสดงซีรี่ส์ เป็นคู่แข่งที่แข็งแกร่งของราชินีภาพยนตร์ทุกเรื่อง แต่…ไม่เคยได้ครองตำแหน่งราชินีภาพยนตร์อย่างจริงๆ จังๆ ทว่าเรื่องนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อตำแหน่งของเธอ หญิงสาวยังคงเป็นผู้ทรงอิทธิพลในวงการภาพยนตร์ผู้มีศักยภาพ พูดได้ว่าเป็นตัวการันตียอดขายชั้นเยี่ยม ภาพยนตร์เรื่องแรกของเฉินจิงต้องน่าสนใจจริงๆ ถึงเชิญเธอมาได้
หญิงสาวนั่งลงข้างลู่เยี่ยน น้ำหอมบนตัวลอยมาปะทะจมูก
ซือฉิงนั่งไขว่ห้าง ก่อนพูดเสียงหวาน “ติดธุระนิดหน่อยเลยมาช้าค่ะ”
เมื่อคนมาครบแล้วเฉินจิงก็กระแอมสองครั้งเป็นการส่งสัญญาณให้เริ่มประชุม
แม้จะบอกว่าเป็นการประชุม แต่ความจริงคือการที่นักแสดงกับโปรดิวเซอร์จะมาพูดคุยกันเรื่องคิวและงานโปรโมต
เมื่อนักแสดงกับทีมงานแนะนำตัวกันเรียบร้อยแล้ว เฉินจิงก็บอกว่า “กำหนดการถ่ายทำที่ฉันวางแผนไว้คือสองถึงสามเดือน เข้ากองวันอาทิตย์นี้ พวกเธอมีความคิดเห็นเรื่องระยะเวลาไหม”
ลู่เยี่ยนไม่พูด ซือฉิงก็ไม่พูด เมื่อตัวละครหลักทั้งสองคนไม่มีความเห็น ตัวประกอบคนอื่นๆ ยิ่งไม่กล้ามีความเห็น
ห้องประชุมเงียบไปพักหนึ่ง เฉินจิงผงกศีรษะอย่างพอใจ “อ่านบทแล้วหรือยัง มีความเห็นจะเสนอไหม”
ซือฉิงยกสองมือขึ้นกอดอกขณะพูดยิ้มๆ “มีค่ะ”
เฉินจิงคิดในใจ ต่อให้เธอมีความเห็น ฉันก็อาจจะไม่ยอมรับนะ
“ลองว่ามาซิ”
คิดไม่ถึงว่าซือฉิงจะพูดสิ่งที่ทำให้คนฟังสะดุ้ง “เพิ่มฉากบนเตียงสักสองสามฉากเถอะค่ะ”
ลู่เยี่ยน “…”
เขามองซือฉิงอย่างค่อนข้างแปลกใจ เนื่องจากเขาเข้าวงการมาก็หลายปี แต่ซือฉิงกลับเป็นนักแสดงหญิงคนแรกที่เขาพบว่าขอให้เพิ่มฉากบนเตียง
ใบหน้าของซือฉิงยังคงมีรอยยิ้มน้อยๆ เธอมองเฉินจิงอย่างเปิดเผย ไม่รู้สึกประดักประเดิดเลยสักนิด
เฉินจิงดื่มน้ำชาเพื่อระงับความตกใจ “เพิ่มฉากบนเตียงของใครกับใคร”
“ยังมีใครได้อีกล่ะคะ ก็ต้องเป็นฉันกับลู่เยี่ยนน่ะสิ” ซือฉิงปัดผมลอนใหญ่ของตัวเองเล็กน้อย “เลิฟซีนในบทไม่เลวก็จริง แต่จุดขายแค่นี้ยังไม่พอ หนังสงครามย้อนยุคที่ออกไปทางการชิงอำนาจแบบนี้ไม่ค่อยเป็นที่ชื่นชอบของสาวๆ อยู่แล้ว ถ้ากระตุ้นสักหน่อยยอดขายก็น่าจะดีหรือเปล่าคะ”
เฉินจิงยิ้ม “เธอคิดว่าฉันให้เจ้าหนูหน้าเหม็นนี่มาทำอะไร เรียกความนิยมจากพวกสาวๆ เหรอ” พูดจบเขาก็เชิดหน้าใส่ลู่เยี่ยน
ซือฉิงเองก็ยิ้ม “เชื่อฉันเถอะค่ะ ลู่เยี่ยนตอนโป๊เรียกความนิยมจากสาวๆ ได้มากกว่า”
ลู่เยี่ยน “…???”
“ผมว่า…”
ลู่เยี่ยนพูดยังไม่ทันจบ เฉินจิงก็ปรบมือ “เฮ้ จริงด้วย ทำไมฉันคิดไม่ถึงนะ เราเพิ่มฉากเลิฟซีนหนึ่งนาทีได้ ไม่มีปัญหา”
ลู่เยี่ยนกุมขมับ “ไม่กลัวว่าจะไม่ผ่านเซ็นเซอร์หรือครับ”
ซือฉิงเอ่ย “คนอื่นเขาขี่ม้ากันปั๊บๆ ยังผ่านเซ็นเซอร์ได้ นายแค่เปลือยท่อนบนแล้วจะถูกตัดเหรอ”
ลู่เยี่ยนหมดคำจะเถียง เรื่องฉากบนเตียงไม่ว่าจะมองอย่างไรเขาก็เป็นฝ่ายได้กำไรจากซือฉิง แต่ทำไมคนที่เหมือนจะถูกเอาเปรียบกลับเป็นตัวเขาเสียได้
ชายหนุ่มเลิกอิดออด แล้วบอกเฉินจิงว่า “ผมยังไงก็ได้ครับ ถ้าคุณคิดว่าแบบไหนดีก็ถ่ายกันแบบนั้น”
เขามีประสบการณ์ด้านการแสดง แต่เรื่องยอดขายกับจุดขายเขาไม่ฉลาดเท่าเฉินจิงกับซือฉิง
พอประชุมเสร็จเรื่องทุกอย่างก็มีการตัดสินใจกันเรียบร้อย กำหนดให้เข้ากองวันอาทิตย์ วันนี้เป็นวันจันทร์ และเนื่องจากความไม่แน่นอนก่อนเข้ากองหลินอันเลยไม่กล้ารับงานให้ลู่เยี่ยนเพราะกลัวคิวจะชนกัน ทำให้ลู่เยี่ยนมีวันหยุดสี่วันเต็มๆ
ลู่เยี่ยนผ่อนลมหายใจยาวตอนเดินออกจากห้องประชุม สองปีนี้เป็นช่วงขาขึ้นของเขา นานมากแล้วที่เขาไม่เคยมีวันหยุดยาวแบบนี้
เสี่ยวหลิวที่เดินตามหลังชายหนุ่มมาเอ่ยถามว่า “พี่เยี่ยนครับ ยังมีงานอะไรอีกหรือเปล่าครับ ให้ผมส่งพี่กลับคอนโดฯ เลยดีไหม”
ลู่เยี่ยนดูนาฬิกา ตอนแรกเขาเข้าใจว่าการประชุมครั้งนี้จะเหมือนการประชุมที่เคยเข้าร่วม นั่นคือประชุมกันไม่นานแล้วรีบจบ คิดไม่ถึงว่าจะกินเวลาถึงสามชั่วโมงจนตอนนี้ใกล้จะหกโมงแล้ว
“ยังไม่กลับ ไปกินข้าวกันก่อนเถอะ” ลู่เยี่ยนเพิ่งย้ายเข้าคอนโดฯ ใหม่ได้ไม่ถึงหนึ่งปี แต่เขากินอาหารดีลิเวอรี่ในละแวกนั้นจนเบื่อแล้ว
พอเสี่ยวหลิวได้ยินก็ก้มหน้า “พี่เยี่ยนครับ วันนี้วันเกิดแฟนผม ผมคงไปกินข้าวกับพี่ไม่ได้”
ลู่เยี่ยนชะงัก “วันเกิดแฟนแล้วนายยังจะมาประชุมกับฉันอีกเหรอ”
เสี่ยวหลิวยิ้มอย่างวางหน้าไม่ถูก “พี่อันเขาไม่ว่างไม่ใช่เหรอครับ ผมไม่สบายใจถ้าพี่จะมาคนเดียว”
“ผู้ชายตัวเบ้อเริ่มแบบฉันมีอะไรน่าห่วงกัน” ลู่เยี่ยนยิ้ม “เอาล่ะ นี่หกโมงแล้ว รีบไปหาแฟนนายเถอะ”
พูดจบลู่เยี่ยนก็เหมือนนึกอะไรได้ เขาพลันล้วงมือถือออกมากดๆ
ทันใดนั้นมือถือของเสี่ยวหลิวก็ดังขึ้น เมื่อเขาเอามือถือออกมาดูก็เห็นว่าลู่เยี่ยนโอนเงินมาให้สองพันไคว่*
“พี่เยี่ยนครับ เงินนี่ ผมรับไว้ไม่ได้”
“ฉันไม่ได้ให้นาย” ลู่เยี่ยนยกเท้าเดินจากไป เขาพูดระหว่างที่เดินอยู่ว่า “ไปหาซื้อของขวัญให้แฟนนายด้วย จำไว้ บอกเขาว่าฉันให้ ห้ามยืมดอกไม้ถวายพระ* เด็ดขาด”
เสี่ยวหลิวมองเงาแผ่นหลังของลู่เยี่ยนอย่างซาบซึ้งใจ เมื่อก่อนเขาเป็นแค่คนทำงานจิปาถะในสตูดิโอ ได้เงินแค่วันละไม่กี่สิบไคว่ ต่อมามีครั้งหนึ่งที่เขาได้ตามมากองถ่ายที่ลู่เยี่ยนอยู่ ลู่เยี่ยนเห็นว่าเสี่ยวหลิวชงกาแฟอร่อยและขยันขันแข็ง จึงถามเสี่ยวหลิวว่าสนใจมาทำงานเป็นผู้ช่วยของเขาไหม
เมื่อลู่เยี่ยนเป็นคนออกปากชวนเขาเอง เจ้าตัวจึงเป็นคนจ่ายเงินเดือนของเสี่ยวหลิว สามปีที่ผ่านมานี้เงินเดือนของเขาขึ้นตามรายได้ของลู่เยี่ยน แถมยังมีซองแดงให้ในวันส่งท้ายปีเก่าด้วย
ถ้าให้เสี่ยวหลิวพูด ลู่เยี่ยนก็คือผู้สูงส่งในชีวิตของเขา
เสี่ยวหลิวเลิกอิดออด พอทำซึ้งเสร็จก็วิ่งเหยาะๆ ตามหลังลู่เยี่ยนไป “พี่เยี่ยนครับ ผมไม่รีบ ผมจะส่งพี่กลับบ้านก่อนนะครับ”
เสี่ยวหลิวส่งลู่เยี่ยนกลับคอนโดฯ อย่างปลอดภัยแล้วถึงค่อยจากไป
ลู่เยี่ยนสั่งอาหารดีลิเวอรี่ไว้ตั้งแต่อยู่บนรถ กะว่าพอถึงบ้านจะได้กินตอนร้อนๆ
ถือว่าเขากะเวลาได้แม่นทีเดียว เพราะตอนที่ดีลิเวอรี่เอาอาหารมาส่งนั้นลู่เยี่ยนเพิ่งกลับถึงคอนโดฯ ชายหนุ่มหิ้วอาหารเดินเข้าลิฟต์ไปช้าๆ
ระหว่างเล่นมือถือ ลิฟต์ก็ส่งเสียงติ๊งดังกังวานบอกว่ามาถึงชั้นที่พักของเขาแล้ว
ชายหนุ่มยกเท้าเดินอย่างไม่ได้คิดอะไร แต่พอก้าวออกจากลิฟต์ลู่เยี่ยนก็เห็นคนยืนอยู่หน้าประตู ทำให้เขาชะงักเท้า
ชายวัยกลางคนคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น เขาแต่งกายอย่างประณีต จอนผมเป็นสีขาวเล็กน้อย สีหน้าท่าทางไม่สบอารมณ์ คาดว่าคงมารอนานมากแล้ว ความหงุดหงิดจึงฉายอยู่บนใบหน้า
ครั้นสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวที่ลิฟต์ชายคนนั้นจึงเบือนหน้ามามองลู่เยี่ยน แล้วหัวคิ้วก็ขมวดแน่นขึ้น
ลู่เยี่ยนก้าวเท้าด้วยสีหน้าเฉยเมยเหมือนเมื่อกี้ไม่ได้มีอาการชะงักใดๆ ชายหนุ่มเดินตรงไปที่ประตู เตรียมใส่รหัสโดยใช้มืออีกข้างหนึ่งบังกุญแจแบบใส่รหัสไว้ ท่าทางระแวดระวังสุดขีด
โจวหมิงกล่าวเสียงหนัก “ทำไมไม่รับสาย”
แต่ลู่เยี่ยนไม่สนใจเขา
น้ำเสียงของโจวหมิงจึงหนักขึ้น เขาถึงขั้นยื่นมือไปขัดจังหวะการใส่รหัสของลู่เยี่ยน “แกทำกับพ่อของแกแบบนี้เหรอ”
มือของตนถูกปัดออกเช่นนี้ ลู่เยี่ยนจึงหัวเราะเสียงเย็นแล้วถาม “คุณมาทำอะไรที่นี่”
โจวหมิงสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ สองสามครั้งเหมือนกำลังควบคุมโทสะของตัวเอง หลังทำซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้งเขาก็หยิบบัตรเชิญหนึ่งใบออกมาจากสูทแล้วยัดใส่มือลู่เยี่ยน “เดือนหน้าฉันกับหมิงอีจะจัดงานแต่ง จำไว้ว่าต้องมา ห้ามเลต เข้าใจไหม”
ทีแรกลู่เยี่ยนเข้าใจว่าตัวเองหูฝาด แต่พอเห็นชื่อของคนสองคนบนบัตรเชิญเขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงหยันออกมา
เมื่อหัวเราะเสร็จชายหนุ่มก็ถามขึ้น “โจวหมิง คุณหน้าไม่อายก็ไม่เป็นไร แต่อย่าลากผมเข้าไปเอี่ยวด้วย”
โจวหมิงถลึงตา ก่อนจะด่าเสียงดัง “ตุ๊กตาหมา* อย่างแกพูดว่าอะไรนะ…”
ลู่เยี่ยนพูดประโยคนั้นจบก็กดรหัสอย่างรวดเร็วและเข้าห้องทันที ทำให้ถ้อยคำระคายหูของโจวหมิงที่อยู่ด้านหลังถูกกันไว้นอกประตู
ชายหนุ่มเข้าห้องมาก็นั่งกุมหน้าผากอยู่ที่บันไดบริเวณสำหรับเปลี่ยนรองเท้าโดยไม่พูดไม่จา
เสียงก่นด่าจากด้านนอกดังมาระลอกแล้วระลอกเล่า ทุกคำล้วนเป็นถ้อยคำเถื่อนถ่อย โจวหมิงด่าอยู่สิบนาทีเต็มๆ กว่าเสียงจะเงียบไป เวลานี้เขาน่าจะไปแล้ว
ลู่เยี่ยนมองบัตรเชิญที่ตกอยู่ด้านข้างด้วยความรู้สึกเหนื่อยล้า
บนโลกใบนี้มีคนที่ใช้ชีวิตอย่างสับสนและน่าขำจำนวนไม่น้อย แต่โจวหมิงซึ่งเป็นพ่อผู้ให้กำเนิดของเขากลับเป็นคนที่ไปสุดที่สุดเท่าที่ลู่เยี่ยนเคยเห็น
โจวหมิงเป็นคนบ้านนอก เขาพากเพียรเรียนหนังสือมาตั้งแต่เล็กจนสอบเข้ามหาวิทยาลัยในเมือง B ได้ และเจอกับลู่เหมี่ยวในมหาวิทยาลัย
โจวหมิงพบลู่เหมี่ยวได้ไม่นานก็ยอมศิโรราบอยู่แทบชายกระโปรงลายดอกทับทิม** ของลู่เหมี่ยวทันที และกลายเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ตามจีบลู่เหมี่ยวอย่างเอิกเกริก
ในยุคนั้นไม่ได้มีช่องทางอะไรมากมาย โจวหมิงรูปร่างหน้าตาดูคงแก่เรียน เขียนจดหมายรักเก่ง แถมยังแวะเวียนไปช่วยยกน้ำตักข้าวให้ลู่เหมี่ยวทุกวัน ไม่รู้ว่าเขาทำท่าไหนถึงเข้าตาลู่เหมี่ยวได้
ลู่เหมี่ยวไม่มีพ่อแม่มาตั้งแต่เล็กเลยประทับใจในความเอาใจใส่ของโจวหมิงมาก หลังจากนั้นไม่นานทั้งคู่ก็คบหาและแต่งงานกันหลังเรียนจบ ต่อมาก็ให้กำเนิดลู่เยี่ยน
ลู่เหมี่ยวมีมรดกก้อนโต โจวหมิงจึงเปิดบริษัทแห่งหนึ่งโดยได้รับการสนับสนุนจากลู่เหมี่ยว ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่น
ผลคือวันหนึ่งก็มีผู้หญิงคนหนึ่งมาหา เธอชี้หน้าลู่เหมี่ยวพร้อมด่าว่าเป็นเมียน้อย เป็นนางปีศาจจิ้งจอกแย่งสามีของคนอื่น ตอนนั้นลู่เหมี่ยวกำลังอุ้มลู่เยี่ยนด้วยสีหน้างุนงง ก่อนจะถูกผู้หญิงคนนั้นผลักอย่างแรง
ต่อมาถึงเพิ่งรู้ว่าโจวหมิงมีคู่หมั้นที่หมั้นหมายกันมาตั้งแต่เล็กอยู่ที่บ้านนอก แถมยังจัดพิธีแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นแล้ว แม้ไม่ได้จดทะเบียนสมรสแต่คนในหมู่บ้านก็รู้กันทั่ว
แต่ครอบครัวของโจวหมิงกลับไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ลู่เหมี่ยวฟังเลยสักครึ่งคำ
การก่อกวนของผู้หญิงคนนั้นทวีความรุนแรงขึ้นถึงขั้นลามมาถึงบริษัท ในที่สุดลู่เหมี่ยวก็ทนไม่ไหว จะยกหูโทรศัพท์แจ้งตำรวจ แต่กลับถูกโจวหมิงห้าม บอกว่ามันจะทำให้เขาเสียหน้า
ลู่เหมี่ยวเป็นคนใจเด็ด เมื่อหาทางออกไม่ได้เธอก็หย่าขาดจากโจวหมิงทันทีและพาลู่เยี่ยนจากมาอย่างสิ้นเยื่อใยโดยไม่แม้แต่จะสิ้นเปลืองความคิดไปแย่งชิงทรัพย์สิน
ทว่าผลลัพธ์ในท้ายที่สุดกลับน่าขำยิ่งกว่า เมื่อโจวหมิงหย่าขาดจากลู่เหมี่ยวแล้วเขาก็ไม่ได้คบหากับคู่หมั้นวัยเด็กคนนั้น กระทั่งเวลาต่อมาก็มีข่าวคาวกับดาราสาวหลิวหมิงอี
ซึ่งข่าวคาวที่ว่าลู่เยี่ยนก็มีส่วนร่วมอยู่ด้วย แน่นอนว่าเขารู้ถึงความไม่แน่นอนและการปั้นเสริมเติมแต่งในเรื่องนี้ แต่ตราบใดที่ยังไม่มีการยืนยันเขาก็จะตระกองกอดความหวังและความรู้สึกโชคดีอันบางเบาเอาไว้ตลอด
แต่บัตรเชิญใบนี้เหมือนระเบิดที่ทำลายความหวังสุดท้ายที่เขามีต่อโจวหมิงให้กลายเป็นผุยผง
โจวหมิงอายุห้าสิบเอ็ดปี ในขณะที่หลิวหมิงอีอายุน้อยกว่าลู่เยี่ยน
ลู่เยี่ยนยิ่งคิดก็ยิ่งขำ เขาโทรหาโจวหมิงโดยที่อีกฝ่ายก็รับสายอย่างรวดเร็ว
“สำนึกผิดแล้วใช่ไหม แก…”
“อย่าเอาเรื่องบ้าๆ พวกนี้ไปกวนใจแม่ผม ไม่งั้นผมจะให้คนไปพังงานแต่ง”
ลู่เยี่ยนพูดจบก็ตัดสายทันที โจวหมิงโทรกลับมาทันควัน แต่ลู่เยี่ยนบันทึกเบอร์ไว้ในแบล็กลิสต์อย่างชำนาญ
อาหารดีลิเวอรี่วางอยู่ที่ข้างมือเขา กลิ่นหอมตลบอบอวลอยู่ในห้อง แต่ลู่เยี่ยนที่เคยรู้สึกหิวจนท้องร้องตอนนี้กลับหมดความอยากอาหารแล้ว
เขาหิ้วกล่องอาหารไปหย่อนใส่ถังขยะ ก่อนจะเปลี่ยนเสื้อผ้าออกไปข้างนอก
ปกติลู่เยี่ยนมักนั่งรถตู้ไปไหนมาไหนเสมอ แต่ความจริงแล้วตัวเขาเองก็มีรถยนต์
แม้จะมีดาราที่ขับรถเองเยอะ แต่โดยทั่วไปแล้วหลินอันจะไม่ปล่อยให้ลู่เยี่ยนขับรถเอง และตัวลู่เยี่ยนเองก็เหนื่อยจากการทำงานมาพักใหญ่ เขาเลยไม่ค่อยได้แตะรถยนต์นัก
รถของลู่เยี่ยนคือจากัวร์ XJ ราคาไม่แพง เพียงไม่กี่แสนไคว่ บอดี้ยาวแบบเรียบหรู คันนี้เป็นรถที่เขาซื้อมาเมื่อสองปีก่อน
เจ้าของไม่ได้ขับนาน ต่อให้มีผ้าคลุมรถคลุมไว้ตัวรถก็ยังมีฝุ่นจับ
ตอนลู่เยี่ยนเข้าเกียร์ มือบังเอิญแตะถูกซองบุหรี่ที่นิ่มไปแล้ว ไม่รู้ว่ามันถูกวางอยู่บนรถมานานแค่ไหน เพราะคำตักเตือนของลู่เหมี่ยวทำให้ลู่เยี่ยนเลิกบุหรี่ได้สำเร็จ ต่อให้เขาหงุดหงิดแค่ไหนก็ไม่เคยแตะต้องมัน
ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากเล็กน้อยแล้วสตาร์ตรถขับออกจากลานจอดรถใต้ดิน
* ไคว่ เป็นภาษาพูดที่คนจีนทั่วไปใช้กัน หมายถึงหยวนซึ่งเป็นค่าเงินของจีน
* ยืมดอกไม้ถวายพระ เป็นสำนวน หมายถึงใช้สิ่งของของผู้อื่นมาแสดงน้ำใจหรือประจบเอาใจคนอื่น
* ตุ๊กตาหมา เป็นคำที่ผู้ใหญ่ใช้ดุด่าเด็กๆ หมายถึงเด็กเหลือขอ
** ยอมศิโรราบอยู่แทบชายกระโปรงลายดอกทับทิม มีที่มาจากกระโปรงลายดอกทับทิมที่หยางกุ้ยเฟยผู้เป็นอัครชายาคนโปรดของฮ่องเต้ถังเสวียนจงชอบสวมใส่ ฮ่องเต้ทรงลุ่มหลงนางจนละเลยราชกิจ เหล่าขุนนางต่างไม่พอใจจึงแสดงความไม่เคารพต่อนาง เมื่อความทราบถึงฮ่องเต้ถังเสวียนจง พระองค์จึงทรงมีรับสั่งให้ขุนนางทุกคนเมื่อได้พบหยางกุ้ยเฟยต้องคุกเข่าคำนับ ผู้ใดขัดขืนจะมีโทษสถานหนัก ต่อมาสำนวนนี้มีความหมายถึงการที่ชายยอมศิโรราบต่อหญิง
โปรดติดตามตอนต่อไป…