everY
ทดลองอ่าน คุณชายแซ่กู้กับเจ้าสุนัขลู่จอมดุ เล่ม 1 บทที่ 9-10 #นิยายวาย
ทดลองอ่านเรื่อง คุณชายแซ่กู้กับเจ้าสุนัขลู่จอมดุ เล่ม 1
ผู้เขียน : เจี้ยงจื่อเป้ย
แปลโดย : ปราณหยก
ผลงานเรื่องคุณชายแซ่กู้กับเจ้าสุนัขลู่จอมดุ
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 9
“…”
มือที่กำลังเป่าผมของลู่เยี่ยนหยุดชะงัก
ถ้าเขาเข้าใจไม่ผิด นี่คือตั้งใจจะขอนอนกับเขาใช่ไหม
ลู่เยี่ยนจึงตอบกลับสั้นๆ อย่างตรงไปตรงมาทันทีแบบไม่ต้องหยุดคิด
ลู่เยี่ยน ผมชอบผู้ชายครับ ^_^
ความจริงแล้วคนที่รู้ว่าลู่เยี่ยนไม่ได้ชอบผู้หญิงมีไม่เยอะ มีแค่หลินอันหนึ่งคน เสี่ยวหลิวหนึ่งคน แม้แต่ลู่เหมี่ยวก็ไม่รู้ แน่นอนว่านั่นเป็นเพราะคนที่เขาอยากพาไปเจอผู้ใหญ่ยังไม่ปรากฏตัว และบังเอิญว่าในด้านนี้ลู่เหมี่ยวเองก็เลี้ยงลูกแบบให้อิสระเต็มที่ ไม่เคยเร่งให้ลู่เยี่ยนมีแฟน แต่งงาน มีลูก ลู่เยี่ยนเลยไม่เคยหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด
สาเหตุที่เขาสารภาพเรื่องนี้ให้ซือฉิงรู้…เพราะต่อไปพวกเขายังต้องอยู่ด้วยกันถึงสองสามเดือน ลู่เยี่ยนเลยไม่อยากเพิ่มเรื่องยุ่งยาก นอกจากนี้เขายังไม่เคยเจอคนแบบซือฉิง หากคว้าคนในวงการมาสิบคนจะมีคนแบบเขาห้าคน และในคนเหล่านี้จะมีคู่ไปแล้วสี่คน ลู่เยี่ยนเลยไม่ห่วงว่าอีกฝ่ายจะเอาเขาไปแฉ
มือถือตกอยู่ในความเงียบราวห้านาที
ต่อจากนั้นข้อความในวีแชตก็เด้งขึ้นมาบนหน้าจอมือถืออย่างบ้าคลั่ง
ซือฉิง นายยังจะมา ^_^ อีกเหรอ
ซือฉิง แม่เจ้า ผู้ชายแท้ๆ ตายกันไปหมดแล้วเหรอ
ซือฉิง ดาราชายที่เจ๊ร่วมงานด้วยสองเรื่องแม่งเป็นเกย์กันหมด???? จะไม่เหลือทางรอดให้กันเลยหรือไง
ซือฉิง ถือว่าฉันขอร้องพวกนาย แบ่งเศษเหลือๆ มาให้หน่อยได้ไหม
การตัดพ้อของซือฉิงทำให้ลู่เยี่ยนอดหัวเราะออกมาไม่ได้
ลู่เยี่ยน ผมเห็นคุณเป็นเพื่อน แต่คุณกลับอยากนอนกับผม.jpg
เขาเพิ่งจะส่งอีโมติคอนออกไป ระบบก็แสดงตัวอักษรขนาดเล็กหนึ่งแถวขึ้นมาทันที
[อีกฝ่ายปฏิเสธข้อความจากคุณ]
เป็นดาราที่มีเสน่ห์แบบไม่เสแสร้งจริงๆ ลู่เยี่ยนหลุดขำขณะเสียบสายชาร์จมือถือ จังหวะที่กำลังเตรียมนอนพักผ่อนนั้นลู่เหมี่ยวก็โทรเข้ามาพอดี
ลู่เยี่ยนรับสาย “แม่ครับ”
“เสี่ยวเยี่ยน ยังไม่นอนอีกเหรอลูก”
ลู่เยี่ยนดูเวลา สี่ทุ่ม
ชายหนุ่มยิ้ม “ยังครับ แม่กินมื้อเช้าแล้วหรือยังครับ”
เดิมทีเขาตั้งใจว่าจะกลับบ้านไปอยู่เป็นเพื่อนลู่เหมี่ยวในช่วงวันหยุดสี่วันนี้ แต่ลู่เหมี่ยวมีงานต้องบินไปสหรัฐอเมริกา เธอบอกว่าต้องอยู่ที่นั่นครึ่งเดือนกว่าถึงจะกลับมาได้
“กำลังกินจ้ะ” น้ำเสียงของลู่เหมี่ยวฟังดูง่วงงุน ดูแล้วน่าจะยังปรับตัวเรื่องเวลาไม่ได้ “แม่ไม่ได้เจอลูกเกือบหนึ่งเดือนแล้ว ไว้แม่กลับไปจะไปหาลูกที่กองถ่ายนะ”
“อย่าเลยครับ” ลู่เยี่ยนรีบบอก “ถ้าแม่กลับมาแล้วบอกผมหน่อยนะครับ ผมจะบินกลับไปหาแม่”
“ทำแบบนั้นได้ที่ไหนกัน ลูกถ่ายงานเหนื่อยขนาดนี้ ถ้าขอลาทีมงานเขาก็เสียเวลาน่ะสิ เอาแบบนี้แหละ ถึงตอนนั้นแม่จะไปหาลูกที่กองนะจ๊ะ”
อย่ามองแต่ว่าลู่เหมี่ยวพูดจาอ่อนหวาน เพราะความจริงแล้วเธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งและหัวรั้นมากคนหนึ่ง ส่วนใหญ่เรื่องที่เธอตัดสินใจลงไปแล้วไม่ว่าใครก็พูดให้เธอหวั่นไหวไม่ได้ เมื่อลู่เยี่ยนได้ยินเธอพูดแบบนี้ก็เลิกพูดมาก “งานไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหมครับ”
“มีปัญหานิดหน่อยนะ เรื่องรายละเอียดที่ตัดสินใจไม่ได้มาตลอด แต่อีกสองสามวันก็แก้ไขได้ จริงสิ…” ลู่เหมี่ยวยิ้ม “เพื่อนแม่บอกว่าไม่ได้มาอเมริกานานมากแล้วเลยจะให้แม่อยู่เที่ยวเป็นเพื่อนด้วยสักพักนะ”
ลู่เหมี่ยวเพิ่งพูดจบ ลู่เยี่ยนก็ได้ยินเสียงผู้หญิงอยู่ในสาย เหมือนเธอนั่งอยู่ข้างลู่เหมี่ยว
“ลูกชายเธอเหรอ” ผู้หญิงคนนั้นถาม พอได้รับคำตอบก็พูดต่อว่า “ลู่เยี่ยน วางใจได้ เราช็อปปิ้งเสร็จแล้วจะกลับนะ! เธอกับกู้ซวีก็ตั้งใจทำงานเหมือนกันล่ะ!” ประโยคหลังตั้งใจพูดให้ลู่เยี่ยนที่อยู่ในสายได้ยิน
เมื่ออีกฝ่ายพูดแบบนี้ก็ทำให้ลู่เยี่ยนรู้ฐานะของเธอได้ทันทีว่าเธอคือแม่ของกู้ซวี ในคำพูดประโยคหลังถึงได้มีการกำชับกันแบบติดตลก
ลู่เยี่ยนตอบรับยิ้มๆ “ครับคุณป้า”
ลู่เยี่ยนไปแล้ว แต่กู้ซวียังคงอยู่ในท่าเดิมและมีอาการเหม่อลอย
เขาให้ความสำคัญกับเรื่องพื้นที่ส่วนตัวมากถึงขั้นที่ว่าแม้แต่สวีเฟยยังเคยเข้ามาบ้านของเขาแค่ครั้งเดียว แถมยังเป็นการมาเอาเอกสารสำคัญด้วย
แต่เมื่อครู่นี้ตอนลู่เยี่ยนมายืนอย่างมึนงงอยู่ที่หน้าประตูบ้านของเขาพร้อมฟองเต็มศีรษะและมองจ้องเขาด้วยดวงตาดำขลับ ปฏิกิริยาตอบรับตามสัญชาตญาณของเขากลับเป็นการเบี่ยงตัว เปิดทางให้ลู่เยี่ยนเดินเข้ามา
ความหมายที่ลู่เยี่ยนพูดก่อนไปคืออีกฝ่ายเคยมาหากู้ซวีหลายรอบแล้วหรือ
ทันใดนั้นกู้ซวีก็คิดถึงภาพของลู่เยี่ยนที่กินข้าวจนสองแก้มป่อง ริมฝีปากปิดสนิทไม่ส่งเสียง แต่กลับกระตุ้นความหิวของคนอื่นได้อย่างมาก
ส่วนเรื่องที่ว่าหิวอะไรนั้นกู้ซวียังไม่แน่ใจ
เขาหยิบมือถือขึ้นมาโทรหาสวีเฟย
สวีเฟยรับสายอย่างรวดเร็ว “ประธานกู้”
“ช่วงนี้ยังมีวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ช่วงค่ำอีกกี่ครั้ง”
“มีทั้งสองวันคือพรุ่งนี้กับมะรืนนี้ครับ”
“อืม” กู้ซวีลุกขึ้น ก่อนจะปิดแฟ้มและพูดตัดบทอีกฝ่าย “ไม่ประชุมที่บริษัทนะ”
จนกู้ซวีวางสายไปแล้ว สวีเฟยถึงค่อยมารู้ตัวทีหลัง
การวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ประเภทนี้ค่อนข้างมีข้อจำกัดด้านสถานที่ เพราะต้องเป็นที่ที่เงียบสงบและเก็บความลับได้ดีถึงจะเปิดประชุมได้ ที่บอกว่าจะไม่ประชุมที่บริษัท…ประธานกู้จะประชุมที่บ้านเหรอ
เป็นไปไม่ได้ คนที่ให้ความสำคัญเรื่องความเป็นส่วนตัวอย่างประธานกู้จะใช้บ้านของตัวเองเป็นพื้นหลังในการประชุมได้ยังไง สวีเฟยสะบัดศีรษะ ก็เรื่องของเขาสิ ไม่ประชุมที่บริษัทสิยิ่งดี สองสามวันนี้เขาจะได้ไม่ต้องแสร้งทำโอทีอยู่ที่บริษัทถึงห้าทุ่มเที่ยงคืน
ในช่วงสองสามวันที่ประธานกู้มีประชุมทางไกล อารมณ์เคียดแค้นในบริษัทได้บังเกิดความรุนแรงเป็นพิเศษ เพราะทุกคนต่างพยายามสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้เบื้องบนเห็นเลยเลือกที่จะฝืนทนจนถึงนาทีที่ประธานกู้เดินออกจากตึกของบริษัทไป
ถึงประธานกู้จะดูแลเรื่องมื้อค่ำ แต่พวกเขาก็ไม่อยากได้อาหารมื้อนี้เลยจริงๆ นะ หงิงๆๆ
‘บทเพลงแห่งสงคราม’ เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของลู่เยี่ยนกับเฉินจิง ในการประชุมก่อนหน้านี้พวกเขาตัดสินใจแล้วว่าจะทำทุกอย่างแบบเงียบๆ ไม่มีการออกประกาศช่วงเวลาถ่ายทำ ไม่กระตุ้นกระแส สงบอกสงบใจจนกว่าจะถ่ายทำเสร็จ
พูดง่ายๆ คือพวกเขาตั้งใจจะสร้างข่าวใหญ่
ซือฉิงกับลู่เยี่ยนต้องเก็บตัวเป็นเวลาสามเดือน จากนั้นค่อยพาภาพยนตร์เข้าไปสู่สายตาของประชาชน บุกเข้าไปในรายชื่อเข้าชิงรางวัลภาพยนตร์ ถึงขั้นชิงตำแหน่งราชาและราชินีภาพยนตร์คนต่อไป
ด้วยเหตุนี้เรื่องที่ลู่เยี่ยนออกจากเมืองหลวงจึงถูกเก็บเป็นความลับ เมื่อเขาลงจากเครื่องบินและเช็กอินเข้าโรงแรมก็ตั้งใจโพสต์เวยป๋อโดยแนบภาพกระบองเพชรหนึ่งกระถางที่เขาเลี้ยงไว้ที่บ้าน
ความรู้สึกของการได้พักผ่อนนี่มันดีจริงๆ [ภาพประกอบ]
ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมถึงเลี้ยงต้นกระบองเพชรนั้น สำหรับคนที่กลับบ้านสองสามเดือนครั้งอย่างเขา ดูเหมือนจะมีแต่ต้นไม้พันธุ์นี้ที่ค่อนข้างเหมาะสม
ลู่เยี่ยนพักผ่อนครึ่งวัน ตอนบ่ายก็ไปที่สตูดิโอ
เฉินจิงมาถึงล่วงหน้าก่อนหนึ่งวัน ตอนนี้กำลังจับผิดเรื่องฉาก “เธอหาฉากบังลมที่ดีกว่านี้ให้ฉันไม่ได้หรือไง ไม่เห็นรูนี่เลยเหรอ หรือจะเก็บไว้ให้ซือฉิงโชว์หัวแม่เท้า!”
ซือฉิงกำลังนั่งว่างๆ อยู่ด้านข้างแถมยังไขว่ห้าง เธอพูดอย่างไม่ใส่ใจ “คุณไม่ต้องพูดแล้ว แม่หนูเขาตกใจจะแย่ อย่างมากฉันก็เอาหัวแม่เท้าซ่อนไว้ในตะเข็บ จะเป็นเรื่องใหญ่อะไรนักหนา”
เด็กสาวที่ดูแลเรื่องฉากยืนตัวสั่นอยู่ด้านข้าง เตรียมย้ายฉากบังลมออกไปอย่างว่าง่าย แต่จนใจที่ฉากบังลมใหญ่เกินไป เธอยกมันได้แค่สองวินาทีก็ต้องปล่อยมือ
ลู่เยี่ยนเลยก้าวออกไปช่วยยก พูดยิ้มๆ “ฉันช่วยนะ”
เด็กสาวหน้าแดงแปร๊ด พูดเสียงเบา “ขอบคุณค่ะพี่เยี่ยน”
พอลู่เยี่ยนกลับมา ซือฉิงก็กลอกตามองเขาหนึ่งครั้ง ท่าทางเป็นเดือดเป็นแค้นมาก “ไม่ชอบผู้หญิงแต่หว่านเสน่ห์ใส่เด็กผู้หญิง ไก่เผ็ด*!”
ลู่เยี่ยนหลุดขำและรับคำตามน้ำไปว่า “ต่อไปผมจะปรับปรุงแน่นอนครับ”
หลังพิธีเปิดกล้องอย่างเรียบง่ายเฉินจิงก็ตะโกนว่าถ่ายทำทันที
บทของลู่เยี่ยนเป็นแม่ทัพใหญ่คนหนึ่งชื่อเสิ่นจง มีผลงานการทำศึกโดดเด่น ไม่เคยรบแพ้ จึงกลายเป็นเทพแห่งสงครามที่อยู่ในใจของราษฎรในสมัยนั้น ส่วนบทที่ซือฉิงแสดงคือยอดพธูแห่งหอคณิกาที่มีชื่อว่าขุยจี**
ตอนที่เสิ่นจงนำชัยชนะกลับมา เขาเห็นยอดพธูขุยจีที่แอบอิงอยู่ข้างเสาไม้ของหอคณิกาแล้วบังเกิดรักแรกพบ เสิ่นจงจึงปฏิเสธขุนนางผู้ทรงอำนาจทุกคนที่ตั้งใจจะยกบุตรสาวของตนให้แต่งเข้าจวนแม่ทัพ เขาไม่สนใจว่าจะผิดประเพณี ใช้เกี้ยวแปดคนหามไปสู่ขอขุยจี ทำให้พวกขุนนางกังฉิน* ที่ชื่นชอบทักษะการวางแผนชิงอำนาจรู้สึกว่านี่เป็นการดูหมิ่นพวกเขา จึงร่วมมือกันทูลเกล้าถวายหนังสือร้องเรียนเสิ่นจง ทางด้านฮ่องเต้เองก็ไม่พอใจเรื่องนี้เช่นกัน ประกอบกับพระชนมายุยังน้อย ไม่มีความสามารถในการแยกแยะขุนนางดีชั่ว จึงลงโทษให้เสิ่นจงไปเฝ้าประตูเมืองเป็นเวลาสามปีทันที
เพราะความโฉดเขลาของฮ่องเต้ ไม่ถึงหนึ่งปีบ้านเมืองก็ถูกแคว้นข้าศึกตีเอาเมืองไปจำนวนไม่น้อย ฮ่องเต้น้อยร้อนใจจึงรีบเรียกเสิ่นจงให้กลับมานำทัพออกศึก
แต่เสิ่นจงกลับพ่ายแพ้เพราะฮ่องเต้ให้ทหารเขาเพียงสี่พัน แล้วจะไปต่อกรกับยอดทหารจำนวนหกหมื่นของผู้อื่นได้อย่างไร เสิ่นจงจึงทำศึกจนตัวตายในสมรภูมิ บ้านเมืองถูกตีแตก ฮ่องเต้นำเหล่าขุนนางไปคุกเข่าต้อนรับทัพข้าศึกเข้าเมือง วันนั้นขุยจีได้กระโดดลงมาจากด้านบนของประตูเมืองที่เสิ่นจงประจำการเป็นเวลาหนึ่งปี
ถึงในเรื่องย่อจะมีฉากดราม่าเยอะ แต่พอถ่ายทำขึ้นมาจริงๆ กลับมีรายละเอียดเรื่องการสู้รบของเสิ่นจงเยอะกว่า
เมื่อมีรายละเอียดเรื่องการสู้รบเยอะก็แปลว่าลู่เยี่ยนต้องลำบากกว่านักแสดงคนอื่นๆ แค่หนึ่งสัปดาห์สั้นๆ น้ำหนักของเขาก็หายไปไม่น้อย
หลังถ่ายฉากการต่อสู้ของวันนี้เสร็จลู่เยี่ยนก็เตรียมตัวกลับโรงแรม แต่เฉินจิงขวางเขาไว้แล้วถามว่า “ข้าวกล่องของกองถ่ายไม่อร่อยเหรอ”
ยังไม่ทันได้คำตอบจากลู่เยี่ยน ซือฉิงก็พูดขึ้นมาก่อนว่า “เรื่องนี้ยังต้องถามด้วยเหรอคะ แค่หน้าก็เล็กลงไปเป็นกองแล้ว ชิ เลี้ยงยากกว่าฉันอีก”
พอได้อยู่ด้วยกันสองสามวันลู่เยี่ยนก็เริ่มเข้าใจซือฉิงมากขึ้น แม้เธอจะพูดจาไม่น่าฟังแต่นิสัยไม่ได้เลวร้าย ในช่วงสองวันนี้หญิงสาวให้ผู้ช่วยส่งผลไม้มาให้เขาหลายรอบ เป็นคนประเภทปากคมเหมือนมีด แต่ใจอ่อนเหมือนเต้าหู้ของแท้
ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ “เปล่าครับ อร่อยมาก”
เฉินจิงโบกมืออย่างไม่แยแส “เอาเถอะ พรุ่งนี้ฉันจะให้คนเปลี่ยนร้าน อย่าให้พอถ่ายเสร็จนักแสดงก็ผอมซูบจนพวกแฟนคลับโพ** เมียของนายเข้าใจไปว่ากองฉันทารุณนาย”
“ไม่มีอะไรจริงๆ ครับ แต่ถ้าคุณสงสารผมก็ช่วยควักกระเป๋าจ่ายเงินหาสแตนด์อินให้ผมสักคนสิ” ลู่เยี่ยนล้อเล่น เพราะความจริงแล้วเขาแค่พูดไปอย่างนั้น เรื่องสแตนด์อินนั่นอย่าว่าแต่เฉินจิงจะไม่ยอมเลย ตัวเขาเองก็ไม่ยอมเหมือนกัน
ซึ่งก็เป็นดังคาดเพราะเฉินจิงถลึงตาใส่ลู่เยี่ยนอย่างโมโห “พอไว้หน้าหน่อยนายก็ได้คืบจะเอาศอกเลยเรอะ ไสหัวไปเลย กลับไปนอนไป๊”
ระหว่างทางกลับโรงแรมเสี่ยวหลิวก็มีสีหน้าเป็นห่วงเหมือนกัน “พี่เยี่ยนครับ ไม่งั้นพี่อย่ากินข้าวกล่องกองเลย พรุ่งนี้ผมจะหาของอร่อยไปให้พี่กินเองดีไหมครับ”
ลู่เยี่ยนส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก ที่นี่มีของอร่อยที่ไหน อาหารข้างนอกอาจสู้ข้าวกล่องกองไม่ได้ด้วยซ้ำ”
นี่เป็นเรื่องจริง เพราะสตูดิโอที่ใช้ถ่ายทำภาพยนตร์ในช่วงแรกนี้เป็นพื้นที่ที่อยู่ห่างไกล กว่าจะขับรถเข้าเมืองได้ต้องใช้เวลายี่สิบนาที อีกทั้งในแถบนี้นอกจากกองถ่ายแล้วก็ไม่มีใครมาเลย ห้องพักหรูที่เขาพักอยู่ตอนนี้ถึงจะบอกว่าเป็นห้องหรูแล้วแต่ก็ยังสู้ห้องมาตรฐานในเมือง B ไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าในละแวกนี้มีของอร่อยอะไรไหม เพราะตลอดเส้นทางมีขายแต่ข้าวกล่อง
เสี่ยวหลิวไม่สบายใจ “ไม่ได้ครับ กว่าจะถ่ายจบ กลับไปพี่อันเห็นพี่ผอมลงเป็นกอง ผมคงอธิบายให้เขาฟังไม่ได้ ผมจะไปเดินดูแถวนี้ว่ามีของที่พี่ชอบกินหรือเปล่า”
เพื่อความสะดวกแล้วโรงแรมที่เฉินจิงจองเอาไว้จึงตั้งอยู่ในพื้นที่ติดกับสตูดิโอ เดินแค่ไม่กี่ก้าวก็ถึง พอเสี่ยวหลิวพูดจบก็หันหน้าเดินไปหาร้านอาหารด้วยตัวเอง
ลู่เยี่ยนหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เพราะเขาแค่ผอมลงสองสามจิน* ไม่ได้ลดลงเยอะขนาดนั้นเสียหน่อย ไว้ถ่ายเสร็จกินเยอะๆ สักสองมื้อก็กลับมาอ้วนแล้ว
ชายหนุ่มเพิ่งกลับมาถึงห้องพักในโรงแรม มือถือก็ดังติ๊ง เขาเหลือบไปมองอย่างไม่ได้คิดอะไร
[ไม่อยู่บ้าน]
ผู้ส่ง : กู้ซวี
ไม่มีเครื่องหมายวรรคตอน เหมือนเป็นประโยคบอกเล่า
* ไก่เผ็ด ในภาษาจีนคือคำว่า ‘ล่าจี’ (辣鸡) ซึ่งออกเสียงคล้ายกับคำว่า ‘ลาจี’ (垃圾) หมายถึงขยะ คำว่าไก่เผ็ดจึงกลายเป็นคำด่า หมายถึงคนสารเลว ไม่มีดี
** จี เป็นคำที่มีความหมายถึงหญิงงามในสมัยโบราณ มักใช้เป็นคำเรียกต่อท้ายชื่อแซ่ของสตรี และยังมีความหมายถึงนางรำ นางสนม รวมถึงนางบำเรอด้วย
* ขุนนางกังฉิน หมายถึงขุนนางที่คิดคด ไม่ซื่อสัตย์
** โพ มาจากคำว่า Position หรือตำแหน่ง โดยแฟนคลับส่วนมากมักแบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ ได้แก่ โพแม่ คือกลุ่มแฟนคลับที่มองศิลปินเป็นลูก จึงให้การดูแลเหมือนลูก และโพแฟนหรือโพเมีย คือกลุ่มแฟนคลับที่มองศิลปินเป็นแฟน อยากเป็นแฟนหรือภรรยาของเขา
* จิน เป็นหน่วยชั่งของจีน มีน้ำหนักประมาณครึ่งกิโลกรัม