everY
ทดลองอ่าน คุณชายแซ่กู้กับเจ้าสุนัขลู่จอมดุ เล่ม 1 บทที่ 11-12 #นิยายวาย
ทดลองอ่านเรื่อง คุณชายแซ่กู้กับเจ้าสุนัขลู่จอมดุ เล่ม 1
ผู้เขียน : เจี้ยงจื่อเป้ย
แปลโดย : ปราณหยก
ผลงานเรื่องคุณชายแซ่กู้กับเจ้าสุนัขลู่จอมดุ
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 11
“คุณมาได้ยังไง”
สีหน้าของกู้ซวีเป็นปกติ “ผมบอกคุณไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วไม่ใช่เหรอ”
ลู่เยี่ยนส่ายหน้า บนตัวเขาพันผ้าขนหนูที่สตาฟฟ์เพิ่งส่งมาให้เมื่อกี้แค่ผืนเดียว เขามองกู้ซวีตาปริบๆ
“พอดีผมมาทำงานแถวนี้เลยแวะมาดูคุณทำงาน”
“อ๋อ…” สรุปคือเจ้านายมาดูการทำงานของพนักงานใหม่?
ลู่เยี่ยนเข้าไปเปลี่ยนชุดในห้องแต่งตัว ความจริงคือเขาต้องสวมชุดเกราะที่เพิ่งถอดออกไปอีกครั้ง ในหนึ่งอาทิตย์นี้เขามีประสบการณ์การสวมชุดหนักๆ นี่แล้ว ครั้งแรกที่ใส่ต้องใช้เวลาร่วมครึ่งชั่วโมง แต่ตอนนี้แค่สิบนาทีก็ใส่เสร็จเรียบร้อย
ตอนเดินออกมาเฉินจิงกำลังคุยเล่นกับกู้ซวี
“ประธานกู้ครับ เจ้าหนูลู่เยี่ยนเป็นคนดี อึดถึกทน มีความมานะพยายาม การที่คุณเซ็นสัญญากับเขาไม่มีทางขาดทุนแน่นอน”
กู้ซวีโค้งมุมปากเล็กน้อย “คนข้างนอกบอกว่าลู่เยี่ยนเซ็นสัญญากับผมแล้วเสียเปรียบ”
เฉินจิงถือได้ว่าเป็นผู้กำกับที่โดดเด่น หน้าใหม่แต่มีชื่อเสียงไม่น้อย การที่เขาสามารถก้าวมาถึงจุดนี้ย่อมไม่ได้มีดีแค่ฝีมือ แต่ต้องมองอะไรได้ขาดยิ่งกว่า เขายิ้มน้อยๆ แล้วบอก “ประธานกู้ครับ ผมพอจะรู้…เรื่องทรัพยากรของคุณในตอนนี้นะครับ”
กู้ซวีไม่ถ่อมตัว หัวเราะเบาๆ แต่ไม่พูด อีกทั้งไม่มีท่าทีว่าจะจากไป
เฉินจิงไม่กล้าไล่เขาเลยบอกให้คนยกเก้าอี้มาเพิ่มข้างๆ ตนเองเพื่อให้กู้ซวีได้นั่งพัก จากนั้นก็โบกมือเป็นการประกาศให้ถ่ายทำฉากต่อไป
ฉากต่อสู้ยังถ่ายไม่ได้ เพราะในฉากต่อสู้ก่อนหน้านี้มีถังหมิง คนตัดต่อไม่สามารถเปลี่ยนใบหน้าใหญ่ๆ ที่อยู่ข้างกันออกไป ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นภาพโบ๋ พวกเขาเลยอาจต้องถ่ายซ่อมฉากที่ถ่ายไปในสัปดาห์นี้อีกครั้ง
ฉากที่กำลังจะถ่ายนี้เป็นซีนที่ลู่เยี่ยนถูกร้องเรียน
ขุนนางฝ่ายบุ๋นประสานมือพลางก้าวเท้าออกไป “ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องจะกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ!”
คนที่แสดงเป็นฮ่องเต้น้อยคือเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดปี แต่อย่ามองเพียงว่าเขาอายุน้อย เพราะเขาเป็นมือเก๋าตัวจริงที่เข้าวงการมาในฐานะดาราเด็กตอนอายุหกขวบ มีอายุงานแสดงมากกว่าลู่เยี่ยนเสียอีก
ฮ่องเต้น้อยพูดด้วยน้ำเสียงวางอำนาจ “ว่ามา”
“กระหม่อมขอร้องเรียนแม่ทัพใหญ่ผิงหนาน…เสิ่นจง!” ขุนนางฝ่ายบุ๋นแสดงสีหน้าเต็มที่ ท่าทางปวดร้าวใจอย่างรุนแรง “ฝ่าบาทคงจะทรงได้ยินแล้วใช่หรือไม่ว่าช่วงนี้แม่ทัพใหญ่ผิงหนานเข้าออกหอคณิกาบ่อยครั้งและพบปะส่วนตัวกับหญิงคณิกา อีกทั้งสองสามวันก่อนเขายกสินสอดสิบหีบเต็มๆ ไปสู่ขอกับแม่เล้าประจำหอคณิกา ถือเป็นการกระทำที่เลอะเลือนอย่างที่สุด! สินสอดสิบหีบนั้นเต็มไปด้วยแก้วแหวนเงินทอง หากพวกขุนศึกที่ตรากตรำอยู่ชายแดนอันแสนไกลรู้ว่าแม่ทัพของพวกเขาฟุ่มเฟือยถึงเพียงนี้เพื่อตบแต่งหญิงคณิกาหนึ่งคนไม่รู้ว่าจะรู้สึกอย่างไร!”
ฮ่องเต้น้อยตบโต๊ะ “เสิ่นจง มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ!”
เสิ่นจงเดินออกจากแถวมาประสานมือตอบ “ทูลฝ่าบาท มีเรื่องเช่นนี้จริงพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมกับขุยจีรักกันด้วยความจริงใจ กระหม่อมจึงไม่รู้สึกว่าเรื่องนี้มีสิ่งใดไม่เหมาะสม แก้วแหวนเงินทองที่กระหม่อมนำไปเป็นสินสอดพวกนั้นส่วนใหญ่ล้วนได้มาจากการทำศึกชนะในอดีต เป็นของพระราชทานจากฝ่าบาท ไม่มีสิ่งใดที่เป็นสิ่งผิดกฎหมาย”
ฮ่องเต้น้อยกริ้วแล้วตวาดลั่น “เจ้าเอาสิ่งของพระราชทานไปเป็นสินสอดให้แก่หญิงคณิกานางหนึ่งเชียวหรือ!”
จากนั้นฮ่องเต้น้อยก็แสร้งทำเป็นถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “ช่างเถอะ เจ้าทำคุณให้แก่แผ่นดินของเราไม่น้อย เราสัญญาว่าขอเพียงเจ้ายกเลิกสัญญาแต่งงานครั้งนี้ เจ้าจะยังคงเป็นแม่ทัพใหญ่ผิงหนานผู้ทรงเกียรติของราชวงศ์เราต่อไป เราเห็นว่าบุตรสาวสุดที่รักของรองเสนาบดีกรมอากรยังมิได้ออกเรือน…”
เสิ่นจงตอบอย่างเยือกเย็น ไม่หวาดกลัวว่าจะถูกกริ้วอีกครั้ง “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ชาตินี้กระหม่อมจะครองคู่กับขุยจีเพียงคนเดียว”
ทักษะทางการแสดงตามบทของลู่เยี่ยนดีมาก ในการพูดปกติเขาจะมีสำเนียงเมืองหลวง แต่พอท่องบทขึ้นมาสำเนียงเมืองหลวงกลับไม่ชัดแล้ว
“คัต!” เฉินจิงเช็กภาพอย่างพอใจแล้วบอกการตัดสินใจในช่วงสองสามวันนี้ว่า “พอถ่ายเสร็จนายมาลงเสียง* ด้วย ไม่ต้องหาคนมาลงเสียงให้ซีนของนาย”
“ได้ครับ” ลู่เยี่ยนเดินเข้ามาถามว่า “ฉากต่อไปจะถ่ายที่ไหนหรือครับ”
การที่ถังหมิงจากไปในลักษณะนี้ทำให้หลายแผนต้องรวน ตารางเวลาที่ควรจัดให้เขาจึงมีการเปลี่ยนแปลงเกินครึ่ง
“ช่วงเช้าไม่มีซีนของนายแล้ว ในเมื่อประธานกู้มาเยี่ยมนายที่กอง ฉันจะกล้ารั้งนายไว้เหรอ ถ่ายซีนของซือฉิงก่อนแล้วกัน” เฉินจิงว่า
“ทำไมหนังเรื่องนี้มีซีนของฉันเยอะจัง เมื่อวานถ่ายไปทั้งวันแล้ว วันนี้ยังจะถ่ายฉันอีก ยังไงคะ อยากให้ฉันหมดคิวก่อนสามเดือนหรือไง” ซือฉิงไม่พอใจ
เฉินจิงแค่นเสียงเย็น “เอาน่า ถ่ายอีกฉาก ตอนบ่ายมีเทสต์หน้ากล้องบทชิวหรง พวกเธอสองคนก็มาช่วยคัดตัวด้วย”
ซือฉิงวางท่าไม่ใส่ใจ “ไม่ไปค่ะ สองสามวันนี้เหนื่อยมาก ตอนบ่ายฉันจะนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ”
เฉินจิงทำเสียงหึๆ “บ่ายสอง ห้ามสาย” เขาบอกทั้งซือฉิงและลู่เยี่ยน
ลู่เยี่ยนผงกศีรษะแล้วไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องแต่งตัว พอเขาเดินออกมากู้ซวีก็ลุกขึ้นสบตากับลู่เยี่ยนพลางถามว่า “ไปกินข้าวกันไหม”
ลู่เยี่ยนเอ่ย “เมื่อวานผู้ช่วยผมเดินดูแถวนี้แล้ว ไม่มีร้านอาหารอร่อยๆ เลยนะครับ”
เขาพูดจบกู้ซวีก็ก้าวเท้า “ไปเถอะ”
ทั้งสองคนขึ้นรถซึ่งมีสวีเฟยนั่งอยู่ที่เบาะคนขับ สายตาไม่มีล่อกแล่ก “ประธานกู้ เราจะไปที่ไหนหรือครับ”
กู้ซวีเปิดแฟ้มก่อนพูดเสียงเรียบ “บริษัท”
มาทำงานจริงๆ แต่พวกเขาจะไปกินข้าวกันไม่ใช่หรือ
ลู่เยี่ยนหยิบมือถือออกมาระหว่างคิดว่าจะให้เสี่ยวหลิวเอาข้าวกล่องมาให้ที่สตูดิโอตอนบ่ายดีหรือไม่
กู้ซวีพลิกเอกสารหน้าหนึ่งแล้วจู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า “คุณไม่ได้จบการแสดง?”
ลู่เยี่ยน “ไม่ได้จบครับ”
กู้ซวีถามอีก “แล้วทำไมถึงอยากมาแสดง”
ลู่เยี่ยนยิ้มน้อยๆ ก่อนตอบตามความจริง “ไม่มีเงินครับ การถ่ายซีรี่ส์มันหาเงินได้เร็ว”
ตอนลู่เหมี่ยวหย่าขาดจากโจวหมิง นอกจากลู่เยี่ยนแล้วเธอก็ไม่ได้เอาอะไรมาอีกเลย ตอนนั้นลู่เยี่ยนเพิ่งขึ้นมัธยมปลาย ทุกอย่างล้วนต้องใช้เงิน ถึงลู่เหมี่ยวจะทำงานในบริษัทใหญ่ แต่ตำแหน่งในตอนนั้นก็ไม่ได้สูง เงินเดือนแต่ละเดือนแค่เจ็ดพันกว่า แม้ลู่เยี่ยนจะสอบได้คะแนนดี ทางโรงเรียนเลยงดเว้นค่าเทอมของเขา แต่ค่าเช่าบ้านในแต่ละเดือนก็ยังเป็นเงินสองสามพันอยู่ดี
ลู่เหมี่ยวเป็นคนแข็งแกร่งและค่อนข้างดื้อ เธอยอมขายเครื่องประดับของตัวเองทิ้ง แต่ไม่ยอมไปขอค่าเลี้ยงดูจากโจวหมิง
หลังขึ้นชั้นมัธยมปลายก็เป็นช่วงต่อต้าน ประกอบกับขาดการอบรมสั่งสอนจากพ่อ ลู่เยี่ยนเลยก้าวร้าวมาก เขาใช้เวลาเกินครึ่งเทอมไปกับการสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า และทะเลาะวิวาทจนเกือบถูกทางโรงเรียนไล่ออก
ความจริงเรื่องนั้นฝ่ายตรงข้ามลงมือก่อน แต่คนอื่นเขามีเงินเลยบริจาคโต๊ะเก้าอี้ล็อตใหญ่ให้ทางโรงเรียนได้อย่างสบายๆ
ลู่เหมี่ยวเลยต้องมาขอความเมตตาจากครูใหญ่ที่โรงเรียนของเขา และกล่าวขออภัยคนอื่นอย่างเจียมตัว
นั่นเป็นครั้งแรกที่ลู่เยี่ยนเห็นลู่เหมี่ยวก้มศีรษะให้คนอื่น
หลังจากนั้นลู่เยี่ยนก็เลิกเหล้าและเข้าเรียนอีกครั้งจนสอบเข้ามหาวิทยาลัยชั้นดีแห่งหนึ่งได้สำเร็จ แถมยังได้รับการทาบทามให้เข้าทำงานจากบริษัทจำนวนไม่น้อย และในเวลาเดียวกันก็มีบริษัทโมเดลลิ่งเอเจนซี่อีกสองสามแห่งติดต่อมา ลู่เยี่ยนจึงเซ็นสัญญาเข้าวงการบันเทิงอย่างไม่ลังเล
ไม่ได้มีเหตุผลอะไรนอกจากบทตัวประกอบชายอันแรกที่ทางบริษัทซิงอวี๋มอบให้ในตอนนั้นได้ค่าตอบแทนสูงกว่านักศึกษาฝึกงาน
หลังได้ยินคำตอบดังกล่าวกู้ซวีก็หัวเราะเบาๆ
“อยากกินอะไร”
ประเด็นถูกเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ลู่เยี่ยนดึงตัวเองออกจากความทรงจำแล้วตอบรับตามสัญชาตญาณ “เนื้อครับ”
ความโค้งของรอยยิ้มกู้ซวีเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย แต่เขาไม่ได้พูดอะไรอีก
ขับรถกันไปครึ่งชั่วโมงก็ถึงเขตเมือง
เมื่อถึงบริษัทกู้ซวีก็ปิดแฟ้ม “หยุดรถ”
สวีเฟยหยุดรถตามคำสั่งอย่างงงๆ “ประธานกู้จะไม่ขับเข้าไปในลานจอดรถหรือครับ”
ถ้าลงจากรถตรงนี้ก็ต้องเดินข้ามถนน
“นายขับเข้าไปในลานจอดรถ” กู้ซวีก้าวนำลงจากรถ “แล้วตอนบ่ายโมงครึ่งมารับลู่เยี่ยนกลับไปที่สตูดิโอ”
ลู่เยี่ยนเลยก้าวลงจากรถ เขาบอกสวีเฟยว่า “รบกวนด้วยนะครับ”
“ไม่รบกวนเลยครับ!”
สวีเฟยขับรถออกไปทันที ลู่เยี่ยนเดินตามหลังกู้ซวีไปได้สองสามก้าว ก่อนที่จู่ๆ กู้ซวีจะหันหน้ากลับมาถามเขาว่า “มีหมวกไหม”
“มีครับ” ในกระเป๋าเป้ใบเล็กที่เขาสะพายมีแว่นตาดำ หน้ากากอนามัย และหมวกพร้อมสรรพเพื่อป้องกันเหตุฉุกเฉิน
“ใส่ซะ”
ลู่เยี่ยนแปลกใจว่าการจะเข้าบริษัทต้องใส่หมวกด้วยหรือ
ทว่าเขายังคงหยิบหมวกของตัวเองออกมา แต่จังหวะที่เตรียมจะใส่หางตาของกู้ซวีก็สังเกตเห็นหน้ากากอนามัยที่อยู่ใต้หมวก
เขาจึงยื่นมือไปหยิบหน้ากากอนามัยออกมาใส่ให้ลู่เยี่ยนแล้วติงว่าใส่ได้ไม่ตรง เลยใช้มือขยับหน้ากากอนามัยขึ้นทั้งสองข้าง
สุดท้ายเขาพาลู่เยี่ยนเข้าไปในซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง
กู้ซวีเดินมาเลือกของที่โซนเนื้อสดและหันหน้าไปถามลู่เยี่ยนว่า “ชอบกินเนื้ออะไร”
ลู่เยี่ยนเหมือนจะตั้งตัวได้แล้ว “เนื้อหมู เนื้อวัว ชอบหมดครับ”
“ผักล่ะ”
“กินหมดครับ” ลู่เยี่ยนครางเสียงหนักแล้วพูดเบาๆ “ยกเว้นแครอต มะเขือเทศ มะระ ผักชี ขึ้นฉ่าย”
กู้ซวีฟังเขาสาธยายด้วยหัวคิ้วที่ขมวดแน่น แล้วเลือกแครอตกับมะเขือเทศหอบใหญ่มาใส่รถเข็น เขาสรุปว่า “เลือกกิน”
“…”
คนในซูเปอร์มาร์เก็ตมีไม่มาก ตอนพวกเขาคิดเงินข้างหน้ามีคนแค่คนเดียว ลู่เยี่ยนหยิบหมากฝรั่งที่วางอยู่บนชั้นข้างเคาน์เตอร์คิดเงินติดมือมาหนึ่งกล่องและถามว่า “คุณมาเดินซูเปอร์ฯ บ่อยหรือครับ”
“น้อยมาก” ความจริงแล้วกู้ซวีไม่เคยมาเดินเลย ปกติจะเป็นสวีเฟยที่มาซื้อวัตถุดิบแล้วเอาไปส่งให้เขาที่หน้าประตูบ้าน
ลู่เยี่ยนมองรถเข็นแวบหนึ่งแล้วคิดในใจว่ากู้ซวีเลือกของไม่กี่นาทีในรถเข็นก็มีของกองเป็นภูเขาลูกย่อมๆ ลูกหนึ่งแล้ว ลำพังเครื่องปรุงก็มีถึงห้าขวด แถมยังซื้อน้ำมันถั่วลิสงขวดเล็กหนึ่งขวดด้วย
เมื่อถึงคิวพวกเขาคิดเงิน พนักงานก็ช่วยพวกเขาสแกนสินค้าอย่างชำนาญและยิ้มอย่างมีมารยาท “สวัสดีค่ะ ทั้งหมดสี่ร้อยยี่สิบเจ็ด ไม่ทราบว่าจะรูดบัตรหรือจ่ายสดคะ”
กู้ซวีหยิบกระเป๋าเงินออกมาจากเสื้อสูท “รูดบัตรครับ”
แล้วหยิบแบล็กการ์ดที่มองปราดเดียวก็เห็นแต่เลขแปดออกมาหนึ่งใบ
พนักงานเคาน์เตอร์คิดเงิน “…” เธอเตรียมรับบัตรด้วยอาการตัวสั่น
ลู่เยี่ยนกดมือกู้ซวี “จ่ายสดครับ ขอบคุณ” จากนั้นก็นับแบงก์ใหญ่ห้าใบแล้วหยิบออกมาจากกระเป๋าเป้
สัมผัสอันอบอุ่นแค่แตะแล้วจากไป แต่ทำให้กู้ซวีนิ่งงันอย่างหาได้ยาก
พอคิดเงินเสร็จทั้งสองคนก็เดินออกมาจากซูเปอร์มาร์เก็ตพร้อมถุงคนละใบ
กู้ซวีหิ้วถุงที่ข้างในมีฝาขวดน้ำมันถั่วลิสงโผล่ออกมา ดูไม่เข้ากับสูทสั่งตัดพิเศษที่เขาใส่อยู่เลยสักนิด “ไม่มีบอสคนไหนให้ลูกจ้างจ่ายเงินให้หรอกนะ”
“ก่อนหน้านี้ผมบอกแล้วว่าจะเลี้ยงข้าวคุณ” ปากของลู่เยี่ยนมีหน้ากากอนามัยปิดไว้ เสียงที่ออกมาเลยทุ้มต่ำ “แถมเรายังเป็นเพื่อนบ้านกันด้วยไม่ใช่เหรอครับ”
กู้ซวีมองท่าทางของลู่เยี่ยนที่สวมหน้ากากอนามัยแล้วหลุดขำ “ก็จริง”
เมื่อเดินเข้าไปในตึกของบริษัทลูกพนักงานต้อนรับก็แสดงออกว่าจำกู้ซวีได้ จึงเรียกประธานกู้ด้วยน้ำเสียงนอบน้อมแล้ววิ่งเหยาะๆ ไปกดลิฟต์ให้เขาด้วยท่าทางตามองจมูก จมูกมองใจ* โดยไม่ได้มองถุงช็อปปิ้งในมือของพวกเขาสองคนเลยแม้แต่แว็บเดียว
เมื่อมาถึงชั้นสูงสุดลู่เยี่ยนถึงเพิ่งรู้ว่าพนักงานต้อนรับน่าจะคุ้นชินกับไลฟ์สไตล์ของท่านประธานของพวกเธอแล้ว
และนั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นว่ามีคนทำห้องครัวไว้ในห้องทำงาน…
* ลงเสียง คือการบันทึกเสียงทับเสียงของนักแสดงแทนการบันทึกเสียงในระหว่างถ่ายทำ โดยเหตุผลหลักเนื่องมาจากนักแสดงชาวจีนมาจากพื้นที่ต่างๆ ในประเทศซึ่งมีภาษาถิ่นและสำเนียงที่แตกต่างกัน ในขณะที่รัฐบาลจีนสนับสนุนให้มีการใช้ภาษาจีนกลาง จึงต้องมีการพากย์เสียงให้เป็นภาษาจีนกลางที่ได้มาตรฐาน นอกจากนี้ยังมีเหตุผลอื่นๆ เช่นการตัดปัญหาเสียงแทรกที่ไม่สามารถควบคุมได้ระหว่างการถ่ายทำ การพากย์ทับเสียงในภายหลังจะเพิ่มความสะดวกและรวดเร็วมากกว่า
* ตามองจมูก จมูกมองใจ เป็นคำเปรียบเปรย หมายถึงท่าทางก้มหน้างุดเพราะเขินอายหรือละอายใจ