ทดลองอ่าน คุณชายแซ่กู้กับเจ้าสุนัขลู่จอมดุ เล่ม 1 บทที่ 11-12 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน คุณชายแซ่กู้กับเจ้าสุนัขลู่จอมดุ เล่ม 1 บทที่ 11-12 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่านเรื่อง คุณชายแซ่กู้กับเจ้าสุนัขลู่จอมดุ เล่ม 1

ผู้เขียน : เจี้ยงจื่อเป้ย

แปลโดย : ปราณหยก

  

ผลงานเรื่องคุณชายแซ่กู้กับเจ้าสุนัขลู่จอมดุ 

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

 

  

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 11

 

“คุณมาได้ยังไง”

สีหน้าของกู้ซวีเป็นปกติ “ผมบอกคุณไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วไม่ใช่เหรอ”

ลู่เยี่ยนส่ายหน้า บนตัวเขาพันผ้าขนหนูที่สตาฟฟ์เพิ่งส่งมาให้เมื่อกี้แค่ผืนเดียว เขามองกู้ซวีตาปริบๆ

“พอดีผมมาทำงานแถวนี้เลยแวะมาดูคุณทำงาน”

“อ๋อ…” สรุปคือเจ้านายมาดูการทำงานของพนักงานใหม่?

ลู่เยี่ยนเข้าไปเปลี่ยนชุดในห้องแต่งตัว ความจริงคือเขาต้องสวมชุดเกราะที่เพิ่งถอดออกไปอีกครั้ง ในหนึ่งอาทิตย์นี้เขามีประสบการณ์การสวมชุดหนักๆ นี่แล้ว ครั้งแรกที่ใส่ต้องใช้เวลาร่วมครึ่งชั่วโมง แต่ตอนนี้แค่สิบนาทีก็ใส่เสร็จเรียบร้อย

ตอนเดินออกมาเฉินจิงกำลังคุยเล่นกับกู้ซวี

“ประธานกู้ครับ เจ้าหนูลู่เยี่ยนเป็นคนดี อึดถึกทน มีความมานะพยายาม การที่คุณเซ็นสัญญากับเขาไม่มีทางขาดทุนแน่นอน”

กู้ซวีโค้งมุมปากเล็กน้อย “คนข้างนอกบอกว่าลู่เยี่ยนเซ็นสัญญากับผมแล้วเสียเปรียบ”

เฉินจิงถือได้ว่าเป็นผู้กำกับที่โดดเด่น หน้าใหม่แต่มีชื่อเสียงไม่น้อย การที่เขาสามารถก้าวมาถึงจุดนี้ย่อมไม่ได้มีดีแค่ฝีมือ แต่ต้องมองอะไรได้ขาดยิ่งกว่า เขายิ้มน้อยๆ แล้วบอก “ประธานกู้ครับ ผมพอจะรู้…เรื่องทรัพยากรของคุณในตอนนี้นะครับ”

กู้ซวีไม่ถ่อมตัว หัวเราะเบาๆ แต่ไม่พูด อีกทั้งไม่มีท่าทีว่าจะจากไป

เฉินจิงไม่กล้าไล่เขาเลยบอกให้คนยกเก้าอี้มาเพิ่มข้างๆ ตนเองเพื่อให้กู้ซวีได้นั่งพัก จากนั้นก็โบกมือเป็นการประกาศให้ถ่ายทำฉากต่อไป

ฉากต่อสู้ยังถ่ายไม่ได้ เพราะในฉากต่อสู้ก่อนหน้านี้มีถังหมิง คนตัดต่อไม่สามารถเปลี่ยนใบหน้าใหญ่ๆ ที่อยู่ข้างกันออกไป ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นภาพโบ๋ พวกเขาเลยอาจต้องถ่ายซ่อมฉากที่ถ่ายไปในสัปดาห์นี้อีกครั้ง

ฉากที่กำลังจะถ่ายนี้เป็นซีนที่ลู่เยี่ยนถูกร้องเรียน

ขุนนางฝ่ายบุ๋นประสานมือพลางก้าวเท้าออกไป “ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องจะกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ!”

คนที่แสดงเป็นฮ่องเต้น้อยคือเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดปี แต่อย่ามองเพียงว่าเขาอายุน้อย เพราะเขาเป็นมือเก๋าตัวจริงที่เข้าวงการมาในฐานะดาราเด็กตอนอายุหกขวบ มีอายุงานแสดงมากกว่าลู่เยี่ยนเสียอีก

ฮ่องเต้น้อยพูดด้วยน้ำเสียงวางอำนาจ “ว่ามา”

“กระหม่อมขอร้องเรียนแม่ทัพใหญ่ผิงหนาน…เสิ่นจง!” ขุนนางฝ่ายบุ๋นแสดงสีหน้าเต็มที่ ท่าทางปวดร้าวใจอย่างรุนแรง “ฝ่าบาทคงจะทรงได้ยินแล้วใช่หรือไม่ว่าช่วงนี้แม่ทัพใหญ่ผิงหนานเข้าออกหอคณิกาบ่อยครั้งและพบปะส่วนตัวกับหญิงคณิกา อีกทั้งสองสามวันก่อนเขายกสินสอดสิบหีบเต็มๆ ไปสู่ขอกับแม่เล้าประจำหอคณิกา ถือเป็นการกระทำที่เลอะเลือนอย่างที่สุด! สินสอดสิบหีบนั้นเต็มไปด้วยแก้วแหวนเงินทอง หากพวกขุนศึกที่ตรากตรำอยู่ชายแดนอันแสนไกลรู้ว่าแม่ทัพของพวกเขาฟุ่มเฟือยถึงเพียงนี้เพื่อตบแต่งหญิงคณิกาหนึ่งคนไม่รู้ว่าจะรู้สึกอย่างไร!”

ฮ่องเต้น้อยตบโต๊ะ “เสิ่นจง มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ!”

เสิ่นจงเดินออกจากแถวมาประสานมือตอบ “ทูลฝ่าบาท มีเรื่องเช่นนี้จริงพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมกับขุยจีรักกันด้วยความจริงใจ กระหม่อมจึงไม่รู้สึกว่าเรื่องนี้มีสิ่งใดไม่เหมาะสม แก้วแหวนเงินทองที่กระหม่อมนำไปเป็นสินสอดพวกนั้นส่วนใหญ่ล้วนได้มาจากการทำศึกชนะในอดีต เป็นของพระราชทานจากฝ่าบาท ไม่มีสิ่งใดที่เป็นสิ่งผิดกฎหมาย”

ฮ่องเต้น้อยกริ้วแล้วตวาดลั่น “เจ้าเอาสิ่งของพระราชทานไปเป็นสินสอดให้แก่หญิงคณิกานางหนึ่งเชียวหรือ!”

จากนั้นฮ่องเต้น้อยก็แสร้งทำเป็นถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “ช่างเถอะ เจ้าทำคุณให้แก่แผ่นดินของเราไม่น้อย เราสัญญาว่าขอเพียงเจ้ายกเลิกสัญญาแต่งงานครั้งนี้ เจ้าจะยังคงเป็นแม่ทัพใหญ่ผิงหนานผู้ทรงเกียรติของราชวงศ์เราต่อไป เราเห็นว่าบุตรสาวสุดที่รักของรองเสนาบดีกรมอากรยังมิได้ออกเรือน…”

เสิ่นจงตอบอย่างเยือกเย็น ไม่หวาดกลัวว่าจะถูกกริ้วอีกครั้ง “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ชาตินี้กระหม่อมจะครองคู่กับขุยจีเพียงคนเดียว”

ทักษะทางการแสดงตามบทของลู่เยี่ยนดีมาก ในการพูดปกติเขาจะมีสำเนียงเมืองหลวง แต่พอท่องบทขึ้นมาสำเนียงเมืองหลวงกลับไม่ชัดแล้ว

“คัต!” เฉินจิงเช็กภาพอย่างพอใจแล้วบอกการตัดสินใจในช่วงสองสามวันนี้ว่า “พอถ่ายเสร็จนายมาลงเสียง* ด้วย ไม่ต้องหาคนมาลงเสียงให้ซีนของนาย”

“ได้ครับ” ลู่เยี่ยนเดินเข้ามาถามว่า “ฉากต่อไปจะถ่ายที่ไหนหรือครับ”

การที่ถังหมิงจากไปในลักษณะนี้ทำให้หลายแผนต้องรวน ตารางเวลาที่ควรจัดให้เขาจึงมีการเปลี่ยนแปลงเกินครึ่ง

“ช่วงเช้าไม่มีซีนของนายแล้ว ในเมื่อประธานกู้มาเยี่ยมนายที่กอง ฉันจะกล้ารั้งนายไว้เหรอ ถ่ายซีนของซือฉิงก่อนแล้วกัน” เฉินจิงว่า

“ทำไมหนังเรื่องนี้มีซีนของฉันเยอะจัง เมื่อวานถ่ายไปทั้งวันแล้ว วันนี้ยังจะถ่ายฉันอีก ยังไงคะ อยากให้ฉันหมดคิวก่อนสามเดือนหรือไง” ซือฉิงไม่พอใจ

เฉินจิงแค่นเสียงเย็น “เอาน่า ถ่ายอีกฉาก ตอนบ่ายมีเทสต์หน้ากล้องบทชิวหรง พวกเธอสองคนก็มาช่วยคัดตัวด้วย”

ซือฉิงวางท่าไม่ใส่ใจ “ไม่ไปค่ะ สองสามวันนี้เหนื่อยมาก ตอนบ่ายฉันจะนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ”

เฉินจิงทำเสียงหึๆ “บ่ายสอง ห้ามสาย” เขาบอกทั้งซือฉิงและลู่เยี่ยน

ลู่เยี่ยนผงกศีรษะแล้วไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องแต่งตัว พอเขาเดินออกมากู้ซวีก็ลุกขึ้นสบตากับลู่เยี่ยนพลางถามว่า “ไปกินข้าวกันไหม”

ลู่เยี่ยนเอ่ย “เมื่อวานผู้ช่วยผมเดินดูแถวนี้แล้ว ไม่มีร้านอาหารอร่อยๆ เลยนะครับ”

เขาพูดจบกู้ซวีก็ก้าวเท้า “ไปเถอะ”

ทั้งสองคนขึ้นรถซึ่งมีสวีเฟยนั่งอยู่ที่เบาะคนขับ สายตาไม่มีล่อกแล่ก “ประธานกู้ เราจะไปที่ไหนหรือครับ”

กู้ซวีเปิดแฟ้มก่อนพูดเสียงเรียบ “บริษัท”

มาทำงานจริงๆ แต่พวกเขาจะไปกินข้าวกันไม่ใช่หรือ

ลู่เยี่ยนหยิบมือถือออกมาระหว่างคิดว่าจะให้เสี่ยวหลิวเอาข้าวกล่องมาให้ที่สตูดิโอตอนบ่ายดีหรือไม่

กู้ซวีพลิกเอกสารหน้าหนึ่งแล้วจู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า “คุณไม่ได้จบการแสดง?”

ลู่เยี่ยน “ไม่ได้จบครับ”

กู้ซวีถามอีก “แล้วทำไมถึงอยากมาแสดง”

ลู่เยี่ยนยิ้มน้อยๆ ก่อนตอบตามความจริง “ไม่มีเงินครับ การถ่ายซีรี่ส์มันหาเงินได้เร็ว”

ตอนลู่เหมี่ยวหย่าขาดจากโจวหมิง นอกจากลู่เยี่ยนแล้วเธอก็ไม่ได้เอาอะไรมาอีกเลย ตอนนั้นลู่เยี่ยนเพิ่งขึ้นมัธยมปลาย ทุกอย่างล้วนต้องใช้เงิน ถึงลู่เหมี่ยวจะทำงานในบริษัทใหญ่ แต่ตำแหน่งในตอนนั้นก็ไม่ได้สูง เงินเดือนแต่ละเดือนแค่เจ็ดพันกว่า แม้ลู่เยี่ยนจะสอบได้คะแนนดี ทางโรงเรียนเลยงดเว้นค่าเทอมของเขา แต่ค่าเช่าบ้านในแต่ละเดือนก็ยังเป็นเงินสองสามพันอยู่ดี

ลู่เหมี่ยวเป็นคนแข็งแกร่งและค่อนข้างดื้อ เธอยอมขายเครื่องประดับของตัวเองทิ้ง แต่ไม่ยอมไปขอค่าเลี้ยงดูจากโจวหมิง

หลังขึ้นชั้นมัธยมปลายก็เป็นช่วงต่อต้าน ประกอบกับขาดการอบรมสั่งสอนจากพ่อ ลู่เยี่ยนเลยก้าวร้าวมาก เขาใช้เวลาเกินครึ่งเทอมไปกับการสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า และทะเลาะวิวาทจนเกือบถูกทางโรงเรียนไล่ออก

ความจริงเรื่องนั้นฝ่ายตรงข้ามลงมือก่อน แต่คนอื่นเขามีเงินเลยบริจาคโต๊ะเก้าอี้ล็อตใหญ่ให้ทางโรงเรียนได้อย่างสบายๆ

ลู่เหมี่ยวเลยต้องมาขอความเมตตาจากครูใหญ่ที่โรงเรียนของเขา และกล่าวขออภัยคนอื่นอย่างเจียมตัว

นั่นเป็นครั้งแรกที่ลู่เยี่ยนเห็นลู่เหมี่ยวก้มศีรษะให้คนอื่น

หลังจากนั้นลู่เยี่ยนก็เลิกเหล้าและเข้าเรียนอีกครั้งจนสอบเข้ามหาวิทยาลัยชั้นดีแห่งหนึ่งได้สำเร็จ แถมยังได้รับการทาบทามให้เข้าทำงานจากบริษัทจำนวนไม่น้อย และในเวลาเดียวกันก็มีบริษัทโมเดลลิ่งเอเจนซี่อีกสองสามแห่งติดต่อมา ลู่เยี่ยนจึงเซ็นสัญญาเข้าวงการบันเทิงอย่างไม่ลังเล

ไม่ได้มีเหตุผลอะไรนอกจากบทตัวประกอบชายอันแรกที่ทางบริษัทซิงอวี๋มอบให้ในตอนนั้นได้ค่าตอบแทนสูงกว่านักศึกษาฝึกงาน

หลังได้ยินคำตอบดังกล่าวกู้ซวีก็หัวเราะเบาๆ

“อยากกินอะไร”

ประเด็นถูกเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ลู่เยี่ยนดึงตัวเองออกจากความทรงจำแล้วตอบรับตามสัญชาตญาณ “เนื้อครับ”

ความโค้งของรอยยิ้มกู้ซวีเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย แต่เขาไม่ได้พูดอะไรอีก

ขับรถกันไปครึ่งชั่วโมงก็ถึงเขตเมือง

เมื่อถึงบริษัทกู้ซวีก็ปิดแฟ้ม “หยุดรถ”

สวีเฟยหยุดรถตามคำสั่งอย่างงงๆ “ประธานกู้จะไม่ขับเข้าไปในลานจอดรถหรือครับ”

ถ้าลงจากรถตรงนี้ก็ต้องเดินข้ามถนน

“นายขับเข้าไปในลานจอดรถ” กู้ซวีก้าวนำลงจากรถ “แล้วตอนบ่ายโมงครึ่งมารับลู่เยี่ยนกลับไปที่สตูดิโอ”

ลู่เยี่ยนเลยก้าวลงจากรถ เขาบอกสวีเฟยว่า “รบกวนด้วยนะครับ”

“ไม่รบกวนเลยครับ!”

สวีเฟยขับรถออกไปทันที ลู่เยี่ยนเดินตามหลังกู้ซวีไปได้สองสามก้าว ก่อนที่จู่ๆ กู้ซวีจะหันหน้ากลับมาถามเขาว่า “มีหมวกไหม”

“มีครับ” ในกระเป๋าเป้ใบเล็กที่เขาสะพายมีแว่นตาดำ หน้ากากอนามัย และหมวกพร้อมสรรพเพื่อป้องกันเหตุฉุกเฉิน

“ใส่ซะ”

ลู่เยี่ยนแปลกใจว่าการจะเข้าบริษัทต้องใส่หมวกด้วยหรือ

ทว่าเขายังคงหยิบหมวกของตัวเองออกมา แต่จังหวะที่เตรียมจะใส่หางตาของกู้ซวีก็สังเกตเห็นหน้ากากอนามัยที่อยู่ใต้หมวก

เขาจึงยื่นมือไปหยิบหน้ากากอนามัยออกมาใส่ให้ลู่เยี่ยนแล้วติงว่าใส่ได้ไม่ตรง เลยใช้มือขยับหน้ากากอนามัยขึ้นทั้งสองข้าง

สุดท้ายเขาพาลู่เยี่ยนเข้าไปในซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง

กู้ซวีเดินมาเลือกของที่โซนเนื้อสดและหันหน้าไปถามลู่เยี่ยนว่า “ชอบกินเนื้ออะไร”

ลู่เยี่ยนเหมือนจะตั้งตัวได้แล้ว “เนื้อหมู เนื้อวัว ชอบหมดครับ”

“ผักล่ะ”

“กินหมดครับ” ลู่เยี่ยนครางเสียงหนักแล้วพูดเบาๆ “ยกเว้นแครอต มะเขือเทศ มะระ ผักชี ขึ้นฉ่าย”

กู้ซวีฟังเขาสาธยายด้วยหัวคิ้วที่ขมวดแน่น แล้วเลือกแครอตกับมะเขือเทศหอบใหญ่มาใส่รถเข็น เขาสรุปว่า “เลือกกิน”

“…”

คนในซูเปอร์มาร์เก็ตมีไม่มาก ตอนพวกเขาคิดเงินข้างหน้ามีคนแค่คนเดียว ลู่เยี่ยนหยิบหมากฝรั่งที่วางอยู่บนชั้นข้างเคาน์เตอร์คิดเงินติดมือมาหนึ่งกล่องและถามว่า “คุณมาเดินซูเปอร์ฯ บ่อยหรือครับ”

“น้อยมาก” ความจริงแล้วกู้ซวีไม่เคยมาเดินเลย ปกติจะเป็นสวีเฟยที่มาซื้อวัตถุดิบแล้วเอาไปส่งให้เขาที่หน้าประตูบ้าน

ลู่เยี่ยนมองรถเข็นแวบหนึ่งแล้วคิดในใจว่ากู้ซวีเลือกของไม่กี่นาทีในรถเข็นก็มีของกองเป็นภูเขาลูกย่อมๆ ลูกหนึ่งแล้ว ลำพังเครื่องปรุงก็มีถึงห้าขวด แถมยังซื้อน้ำมันถั่วลิสงขวดเล็กหนึ่งขวดด้วย

เมื่อถึงคิวพวกเขาคิดเงิน พนักงานก็ช่วยพวกเขาสแกนสินค้าอย่างชำนาญและยิ้มอย่างมีมารยาท “สวัสดีค่ะ ทั้งหมดสี่ร้อยยี่สิบเจ็ด ไม่ทราบว่าจะรูดบัตรหรือจ่ายสดคะ”

กู้ซวีหยิบกระเป๋าเงินออกมาจากเสื้อสูท “รูดบัตรครับ”

แล้วหยิบแบล็กการ์ดที่มองปราดเดียวก็เห็นแต่เลขแปดออกมาหนึ่งใบ

พนักงานเคาน์เตอร์คิดเงิน “…” เธอเตรียมรับบัตรด้วยอาการตัวสั่น

ลู่เยี่ยนกดมือกู้ซวี “จ่ายสดครับ ขอบคุณ” จากนั้นก็นับแบงก์ใหญ่ห้าใบแล้วหยิบออกมาจากกระเป๋าเป้

สัมผัสอันอบอุ่นแค่แตะแล้วจากไป แต่ทำให้กู้ซวีนิ่งงันอย่างหาได้ยาก

พอคิดเงินเสร็จทั้งสองคนก็เดินออกมาจากซูเปอร์มาร์เก็ตพร้อมถุงคนละใบ

กู้ซวีหิ้วถุงที่ข้างในมีฝาขวดน้ำมันถั่วลิสงโผล่ออกมา ดูไม่เข้ากับสูทสั่งตัดพิเศษที่เขาใส่อยู่เลยสักนิด “ไม่มีบอสคนไหนให้ลูกจ้างจ่ายเงินให้หรอกนะ”

“ก่อนหน้านี้ผมบอกแล้วว่าจะเลี้ยงข้าวคุณ” ปากของลู่เยี่ยนมีหน้ากากอนามัยปิดไว้ เสียงที่ออกมาเลยทุ้มต่ำ “แถมเรายังเป็นเพื่อนบ้านกันด้วยไม่ใช่เหรอครับ”

กู้ซวีมองท่าทางของลู่เยี่ยนที่สวมหน้ากากอนามัยแล้วหลุดขำ “ก็จริง”

เมื่อเดินเข้าไปในตึกของบริษัทลูกพนักงานต้อนรับก็แสดงออกว่าจำกู้ซวีได้ จึงเรียกประธานกู้ด้วยน้ำเสียงนอบน้อมแล้ววิ่งเหยาะๆ ไปกดลิฟต์ให้เขาด้วยท่าทางตามองจมูก จมูกมองใจ* โดยไม่ได้มองถุงช็อปปิ้งในมือของพวกเขาสองคนเลยแม้แต่แว็บเดียว

เมื่อมาถึงชั้นสูงสุดลู่เยี่ยนถึงเพิ่งรู้ว่าพนักงานต้อนรับน่าจะคุ้นชินกับไลฟ์สไตล์ของท่านประธานของพวกเธอแล้ว

และนั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นว่ามีคนทำห้องครัวไว้ในห้องทำงาน…

 

* ลงเสียง คือการบันทึกเสียงทับเสียงของนักแสดงแทนการบันทึกเสียงในระหว่างถ่ายทำ โดยเหตุผลหลักเนื่องมาจากนักแสดงชาวจีนมาจากพื้นที่ต่างๆ ในประเทศซึ่งมีภาษาถิ่นและสำเนียงที่แตกต่างกัน ในขณะที่รัฐบาลจีนสนับสนุนให้มีการใช้ภาษาจีนกลาง จึงต้องมีการพากย์เสียงให้เป็นภาษาจีนกลางที่ได้มาตรฐาน นอกจากนี้ยังมีเหตุผลอื่นๆ เช่นการตัดปัญหาเสียงแทรกที่ไม่สามารถควบคุมได้ระหว่างการถ่ายทำ การพากย์ทับเสียงในภายหลังจะเพิ่มความสะดวกและรวดเร็วมากกว่า

* ตามองจมูก จมูกมองใจ เป็นคำเปรียบเปรย หมายถึงท่าทางก้มหน้างุดเพราะเขินอายหรือละอายใจ

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน แม่ทัพฉางหนิง ขุนศึกหญิงพิทักษ์นครา บทที่ 66-67

บทที่ 66 ผืนฟ้าเหนือฉางอันมืดลง ม่านราตรีคลี่คลุมอีกครั้ง เสียงย่ำกลองแจ้งเวลาวิกาลลอยมาจากหอกลอง หลังกำแพงสูงตระหง่านขอ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน แม่ทัพฉางหนิง ขุนศึกหญิงพิทักษ์นครา บทที่ 62-63

บทที่ 62 เพียงตวัดตามอง สีหน้าของซู่เซิ่นฮุยก็เคร่งเครียดขึ้นทันที เขาหมุนตัวเดินกลับเข้ามาข้างในแล้วแกะตราครั่งภายใต้แส...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน หอมเกศา บทที่ 1-2

บทที่ 1 อาจเป็นเพราะสภาพอากาศขมุกขมัวหนาวเย็นยาวนานถึงครึ่งปี ทำให้เครื่องหอมเป็นที่โปรดปรานของชาวต้าเว่ย ได้เติมเครื่อง...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน แม่ทัพฉางหนิง ขุนศึกหญิงพิทักษ์นครา บทที่ 64-65

บทที่ 64 จวงไท่เฟยหลบร้อนมาพักอยู่บนเขาเซิ่งซานทางตอนเหนือของเมือง วันนี้ซู่เซิ่นฮุยขี่ม้าออกจากที่พักตั้งแต่ฟ้ายังไม่สา...

community.jamsai.com