ทดลองอ่าน คุณชายแซ่กู้กับเจ้าสุนัขลู่จอมดุ เล่ม 1 บทที่ 11-12 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน คุณชายแซ่กู้กับเจ้าสุนัขลู่จอมดุ เล่ม 1 บทที่ 11-12 #นิยายวาย

2 of 2หน้าถัดไป

บทที่ 12

 

กู้ซวีถอดโค้ตสูทออกและดึงแขนเสื้อขึ้นอย่างคล่องแคล่ว “ปกติผมกินข้าวคนเดียวเลยไม่ได้มีโต๊ะเยอะ คุณนั่งตรงนั้นก่อนนะ” เขาชี้ไปที่โต๊ะทำงาน

“ไม่ต้องหรอกครับ” ลู่เยี่ยนมองโต๊ะทำงานแล้วพบว่าข้างๆ มีเก้าอี้ตัวใหญ่แค่ตัวเดียว “มีเก้าอี้ตัวเดียว คุณนั่งดีกว่า”

กินของผู้อื่นปากต้องหวาน รับของผู้อื่นมือต้องสั้น** แล้วเขาจะยึดโต๊ะอาหารของคนอื่นได้อย่างไร

กู้ซวีหลุบตาลง แล้วเดินไปโทรศัพท์ที่โต๊ะทำงาน “เอาเก้าอี้เข้ามาหนึ่งตัว”

“ไม่ต้องจริงๆ ครับ ผมนั่งโซฟาได้”

กู้ซวีมองโต๊ะกระจกที่ตั้งอยู่หน้าโซฟา “โต๊ะเตี้ยไป คุณต้องงอตัว มันไม่สะดวก”

ไม่ถึงสองนาทีสวีเฟยก็ยกเก้าอี้ตัวใหญ่ของตัวเองเข้ามาเสียงดังปึงปัง เมื่อวางเก้าอี้เสร็จก็รีบถอยออกไป

กู้ซวีหิ้วถุงช็อปปิ้งใบใหญ่สองใบเดินเข้าไปในห้องครัว

ลู่เยี่ยนเดินตามไป “ผมช่วยคุณล้างผักนะครับ”

กู้ซวีไม่ได้หันหน้ามามอง เขายัดมะเขือเทศกับแครอตใส่มือของลู่เยี่ยนแล้วเบี่ยงตัวเปิดทางให้อีกฝ่ายเดินผ่านไป เนื่องจากห้องครัวตั้งอยู่ในห้องทำงานพื้นที่จึงไม่ใหญ่นัก พอผู้ชายตัวโตที่มีความสูงหนึ่งร้อยแปดสิบกว่าเซนติเมตรมายืนอยู่ข้างในด้วยกันแขนย่อมชนกันเป็นระยะ

ลู่เยี่ยนล้างแครอตอย่างหมดจด แครอตหนึ่งหัวถูกเขาขัดถูอยู่ในมือหลายนาที

กู้ซวีเห็นแล้วก็หลุดขำออกมา “ถ้าคุณล้างแบบนี้ก็ไม่ต้องลอกเปลือกแล้ว แค่ล้างน้ำหน่อยก็พอ”

“…”

“หั่นผักเป็นไหม”

ลู่เยี่ยน “ได้…นิดหน่อยครับ”

กู้ซวีรู้ได้ทันทีว่ามันแปลว่าอะไร

แครอตหัวใหญ่หนึ่งหัวถูกลู่เยี่ยนหั่นออกเป็นห้าท่อน แต่ละท่อนหนาจนเอาไปรองมุมโต๊ะได้

กู้ซวีทนดูต่อไปไม่ไหวต้องยื่นมือมาแย่งมีดไป

“ต้องหั่นแบบนี้” เขาเอาแครอตวางบนเขียงแล้วยกมือ ใช้มีดหั่น ในห้องครัวได้ยินแต่เสียงเขียงดังตึกๆๆ พอหั่นแครอตครึ่งหัวเสร็จ ผลงานอยู่ในสภาพเรียบร้อย ขนาดเท่ากันเป๊ะ นอนนิ่งอยู่บนเขียง

“สุดยอด” ลู่เยี่ยนมองตาค้าง ในที่สุดก็ถามปัญหาที่อยากถามมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้อย่างอดใจไม่ไหว “ทำไมคุณทำอาหารเก่งขนาดนี้”

กู้ซวีหันไปหมักเนื้อต่อ “เมื่อก่อนมีคนใส่ยาเบื่อหนูลงในอาหารของแม่ผม ผมเลยหัดทำอาหารเอง”

น้ำเสียงของเขาเรียบสนิทเหมือนกำลังบอกว่าวันนี้อากาศดีมาก

ลู่เยี่ยนคิดไม่ถึงว่าจะได้รับคำตอบแบบนี้ เขาจึงหันหน้าไปมองกู้ซวีตามจิตใต้สำนึก “แล้วปลอดภัยหรือเปล่าครับ”

“ปลอดภัย แค่ตกใจเฉยๆ”

“…งั้นก็ดี”

แล้วประเด็นนั้นก็ผ่านไป ลู่เยี่ยนหั่นแครอตอย่างตะกุกตะกักเสร็จก็ไปจัดชามกับตะเกียบอย่างรู้ตัว แต่เขากลัวทำโต๊ะสกปรกเลยไปขอผ้าขนหนูผืนใหญ่จากสวีเฟยมาปูโต๊ะทำงานก่อน

ถึงพวกเขาจะซื้อวัตถุดิบมาด้วยเงินสี่ร้อยกว่า แต่ของส่วนใหญ่เป็นเครื่องปรุง สุดท้ายอาหารที่ทำออกมาก็มีทั้งหมดสี่อย่าง

คราวก่อนเป็นแค่โจ๊กธรรมดา แต่ครั้งนี้เป็นเมนูเนื้อแสนอร่อยประจำบ้าน กับข้าวสี่อย่างหน้าตาน่ากินมาก พอเอามาวางบนโต๊ะทำงานที่เป็นไม้จริงเรียบร้อยแล้วก็ทำให้นิ้วชี้ของลู่เยี่ยนขยับอย่างแรง

เขาหยิบมือถือมาถ่ายรูปหนึ่งรูป กะว่าต่อไปถ้าหิวจะได้มองบ๊วยดับกระหาย*

โต๊ะทำงานของกู้ซวีตัวใหญ่มากจนเหมือนโต๊ะอาหารขนาดเล็ก ลู่เยี่ยนนั่งฝั่งตรงข้ามกับกู้ซวี เขามองอีกฝ่ายเช็ดมืออย่างสง่างามแล้วคิดในใจว่าตอนตั้งโต๊ะทำงานตัวนี้เจ้าของจะต้องเลือกมันมาเป็นโต๊ะอาหารแน่นอน

มื้อเช้าลู่เยี่ยนกินบะหมี่ไปครึ่งชาม ตอนนี้เลยหิวนิดๆ เขาคีบหมูสองไฟ** หนึ่งชิ้นมาวางในชาม เตรียมเปิดฉากกิน แต่ทันใดนั้นก็พลันนึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ สมองเลยว่างเปล่าไปสามวินาทีก่อนช้อนตาขึ้นมอง

จริงดังคาด กู้ซวีเองก็มีสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม

กู้ซวี “…ลืมซื้อข้าว”

ด้วยเวลาที่กระชั้นทั้งคู่เลยทำได้เพียงกินกับข้าวพวกนี้ให้หมด

ดีที่รสชาติอาหารกำลังพอดี ไม่เค็มไม่จืด ลู่เยี่ยนเลยกินอย่างเอร็ดอร่อย แม้แต่มะเขือเทศกับแครอตที่ปกติเป็นของที่เขาไม่ชอบกิน ชายหนุ่มก็ยังกินได้ไม่น้อย

พอกินข้าวเสร็จลู่เยี่ยนก็เอาชามกับตะเกียบไปล้าง เมื่อเดินออกมาอีกทีกู้ซวีก็แต่งตัวเสร็จแล้ว กำลังยืนรอเขาอยู่ที่หน้าโซฟา

“ผมมีประชุม” กู้ซวีหยิบเสื้อโค้ตจากราวพร้อมหยิบหมวกที่ลู่เยี่ยนแขวนไว้เมื่อกี้มาให้เขาด้วย “สวีเฟยจะส่งคุณกลับ”

ลู่เยี่ยนใส่หมวกแล้วใช้มือขยับปีกหมวก “ครับ”

 

ระหว่างทางกลับเฉินจิงโทรหาลู่เยี่ยน

“นายจะกลับมาเมื่อไหร่” เฉินจิงถาม “คนที่มาเทสต์หน้ากล้องช่วงบ่ายมีเพิ่มมาอีกหนึ่งคน นายน่าจะรู้จัก”

บทพระรองเบอร์สามเป็นบทที่ชวนให้ชื่นชอบมาก สามารถเรียกคนเข้ามาเป็นแฟนคลับได้ง่าย เลยมีคนอยากแย่งหลายคน ส่วนใหญ่เป็นเด็กใหม่ที่อยากแจ้งเกิด

ลู่เยี่ยนคลุกคลีอยู่ในวงการมาหลายปี มีคนรู้จักไม่น้อย แต่เขารู้จักเด็กใหม่อยู่ไม่กี่คน

“ใครหรือครับ”

“ชื่อ…ชื่ออะไรน้า” เฉินจิงนึกชื่อไม่ออกอยู่ชั่วขณะเลยหันไปถามสตาฟฟ์ที่อยู่ด้านหลัง พอได้คำตอบก็บอกว่า “ชื่อหลินชิง”

“ไม่รู้จักครับ”

“เหรอ” เฉินจิงถือโอกาสเล่า “ได้ยินว่าเป็นคนที่อยู่บริษัทเดียวกับนาย ฉันเข้าใจไปว่านายน่าจะรู้จัก สถานที่เทสต์หน้ากล้องคือห้องประชุมของโรงแรม ชั้นสามนะ นายตรงมาได้เลย”

 

เมื่อไปถึงสตูดิโอลู่เยี่ยนก้าวลงจากรถแล้วหันไปกล่าวคำขอบคุณสวีเฟย

สวีเฟยก้าวลงจากที่นั่งคนขับมาส่งนามบัตรให้ลู่เยี่ยน “ไม่ต้องเกรงใจครับคุณลู่ นี่เป็นนามบัตรของผม ถ้าคุณมีธุระอะไรติดต่อผมได้ตลอดเวลาเลยนะครับ”

ลู่เยี่ยนรับนามบัตรมาแล้ว กำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรสักอย่าง

“ผู้ช่วยสวี?”

ทั้งสองคนหันหน้าไปพร้อมกัน มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งยืนมองพวกเขาอยู่ไม่ไกลด้วยสีหน้าแปลกใจ

พอเห็นคนมาใหม่สวีเฟยก็ทำหน้าเหนือคาด “คุณชายหลิน”

เด็กหนุ่มยิ้มแล้วเดินก้าวยาวๆ มาหา “เป็นคุณจริงๆ ด้วย ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะครับ”

วันนี้หลินชิงมาเทสต์หน้ากล้อง ตอนแรกเขาไม่ค่อยอยากมา…เพราะที่นี่ห่างไกลความเจริญมากเกินไป ขืนให้อยู่ที่นี่เขาไม่บ้าตายหรือ! นอกจากนี้เขาไม่ได้รู้สึกว่าบทที่จะมาเทสต์หน้ากล้องนี้ดีเด่อะไร แค่พระรองเบอร์สาม ต่อให้แสดงดีแค่ไหนมันจะดังได้สักเท่าไหร่กันเชียว

คิดไม่ถึงว่าเขาจะมาเจอสวีเฟยที่นี่ เนื่องจากสวีเฟยเป็นผู้ช่วยมือดีของกู้ซวี ต้องคอยติดตามอยู่ข้างกายกู้ซวีเกือบทุกวัน การที่อีกฝ่ายอยู่เมือง J แบบนี้แปลว่ากู้ซวีก็อยู่ที่นี่เหมือนกันหรือ

“พี่ซวีก็อยู่ที่เมือง J เหมือนกันหรือครับ” ดวงตาของหลินชิงเปล่งประกาย น้ำเสียงเต็มไปด้วยอารมณ์ตื่นเต้น

“คุณชายหลินครับ ผมมาทำงาน” สวีเฟยไม่ได้ตอบคำถามหลังเพราะเขาไม่กล้าเปิดเผยเส้นทางของเจ้านายมั่วซั่ว

แต่พอไม่เห็นสวีเฟยปฏิเสธ หลินชิงก็พอจะเข้าใจอะไรมากขึ้น เขาหยิบมือถือออกมาอย่างเบิกบานใจ เตรียมจะโทรหากู้ซวี แต่ผู้จัดการที่อยู่ด้านหลังใช้ข้อศอกกระทุ้งเขาเบาๆ ทันควันเป็นการบอกว่าข้างๆ ยังมีคนอื่นอีก

“สวัสดีครับพี่เยี่ยน!” ผู้จัดการเป็นคนหัวไว เขาเดินยิ้มจนตาหยีมาหา “พี่เยี่ยนครับ เขาชื่อหลินชิง เป็นเด็กใหม่อยู่บริษัทเดียวกับพี่ ต่อไปคงต้องขอให้พี่ช่วยดูแลด้วยนะครับ!”

หลินชิงรีบยิ้มและทักทายลู่เยี่ยนทันที “สวัสดีครับ พี่เยี่ยน”

ลู่เยี่ยนคุ้นหน้าผู้จัดการคนนี้ เพราะอีกฝ่ายเป็นคนเก่งและมีชื่อเสียงในวงการไม่น้อย เพียงแต่อีกฝ่ายมาดูแลศิลปินของบริษัทหมิงเซิ่งตั้งแต่เมื่อไหร่

ชายหนุ่มจับคู่หลินชิงกับ ‘คนที่เขาน่าจะรู้จัก’ ที่เฉินจิงบอกในสายแล้วทำเสียงอืม “มาเทสต์บทชิวหรงเหรอ”

หลินชิงไม่ได้ใส่ใจการเทสต์หน้ากล้องครั้งนี้มาก แม้แต่บทก็ไม่เคยอ่าน พอได้ยินลู่เยี่ยนพูดแบบนี้เขาเลยไม่รู้ว่าชิวหรงคือใครและนิ่งอยู่นานมากเพราะตอบไม่ได้

ความเงียบอันน่ากระอักกระอ่วนเข้าปกคลุมอยู่พักหนึ่ง ผู้จัดการของหลินชิงรีบยิ้มแห้งๆ แล้วบอกว่า “ใช่ครับใช่”

การได้เห็นสีหน้าของหลินชิงทำให้ลู่เยี่ยนพอจะเข้าใจมากขึ้น แต่เขาไม่ได้เปิดโปงและทำเพียงพูดเสียงเรียบ “งั้นก็ตั้งใจเทสต์หน้ากล้องนะ”

พอลู่เยี่ยนเดินจากไปแล้ว สวีเฟยกลัวว่าหลินชิงจะซักถามเรื่องของกู้ซวีเลยรีบหาข้ออ้างเผ่นหนีไป

เมื่อรู้ว่ามีโอกาสถึงแปดส่วนที่กู้ซวีจะอยู่ที่เมือง J อารมณ์ของหลินชิงก็ไม่ได้ย่ำแย่เหมือนเดิมอีก เขาถึงขั้นฮัมเพลงพลางกระโดดหย็องแหย็งไปที่โรงแรมซึ่งเป็นสถานที่เทสต์หน้ากล้อง

เฉินลี่เดินตามหลังหลินชิง ถามยิ้มๆ ว่า “เสี่ยวชิง อีกเดี๋ยวจะเทสต์หน้ากล้องแล้ว จะอ่านบทหน่อยไหม”

“ทำไมต้องให้ผมถ่อมาเทสต์บทพระรองเบอร์สามไกลขนาดนี้ด้วย” หลินชิงไม่เข้าใจเลย “พี่ซวีช่วยหาบทพระเอกให้ผมได้แล้วไม่ใช่เหรอ แถมยังได้เป็นทีมหลักประจำในรายการเรียลลิตี้ยอดฮิตด้วย”

“พ่อคุณเอ๊ย นายอย่าดูแคลนบทพระรองเบอร์สามบทนี้เชียวนะ คาแร็กเตอร์ชวนให้คนชื่นชอบมาก แถมโปรดักชั่นก็ใหญ่ ในเรื่องมีทั้งลู่เยี่ยนและซือฉิง ไม่รู้ว่ามีเด็กใหม่กี่คนอยากแย่งบทนี้กันจนหัวร้างข้างแตก บทพระเอกที่ประธานกู้ให้ไม่เลวหรอก แต่เรื่องนั้นยังมีเวลาอีกตั้งสองเดือนกว่ากว่าจะเปิดกล้อง ส่วนรายการเรียลลิตี้ใช้เวลาถ่ายไม่นาน ถึงตอนนั้นค่อยขอลากองมาก็ได้” พูดมาถึงตรงนี้เฉินลี่ก็ลดเสียงให้เบาลง “คนที่มาเทสต์หน้ากล้องต้องเยอะแน่ๆ ถ้าไม่สำเร็จนายก็ลองไปขอประธานกู้เป็นไง”

“ก็ได้ครับ งั้นผมจะอ่านบท”

หลินชิงรับบทมากวาดตาอ่านแป๊บๆ แบบไม่ได้ใส่ใจแล้ววางลง จากนั้นก็โทรหากู้ซวีด้วยอารมณ์เบิกบานใจ

 

ลู่เยี่ยนกลับห้องไปรอบหนึ่ง จากนั้นถึงได้เจอเสี่ยวหลิวที่จุดรวมพลตรงลิฟต์ชั้นสาม

เสี่ยวหลิวรับเป้ของลู่เยี่ยนมา “พี่เยี่ยนครับ กินข้าวเที่ยงแล้วหรือยัง ผมเก็บข้าวกล่องไว้ให้พี่แล้ว”

“กินแล้ว” ลู่เยี่ยนยิ้ม “หรือต่อให้ยังไม่กินฉันก็ไม่กินข้าวกล่องของนายหรอก ถ้าให้เฉินจิงเห็นฉันก้มหน้าก้มตาพุ้ยข้าวเข้าปากตอนประเมิน นายว่าเขาจะด่านายหรือด่าฉัน”

พอสมองนึกภาพนั้นแล้วเสี่ยวหลิวก็หดคอ “…” เพราะเขารู้สึกว่าน่าจะโดนด่าทั้งคู่

 

บทชิวหรงมีเสน่ห์มาก แต่คนที่มาเทสต์หน้ากล้องจริงๆ มีไม่เยอะ น่าจะเป็นเพราะเฉินจิงรีบคัดคนเป็นการส่วนตัว…แต่ขนาดรีบๆ แบบนี้ก็ยังคัดทิ้งไปไม่ต่ำกว่ายี่สิบคน

ด้านนอกห้องประชุมมีคนนั่งกระจายๆ กันอยู่สิบกว่าคน เกินครึ่งเป็นคนที่มาเป็นเพื่อนศิลปินของบริษัทตัวเองเทสต์หน้ากล้อง พอเห็นลู่เยี่ยนเดินมาพวกเขาก็ก้มศีรษะทักทาย

ชายหนุ่มยิ้มพลางทักทายกลับก่อนเดินเข้าไปในห้องประชุม

ห้องประชุมไม่ใหญ่ แม้แต่เวทียังถูกเอาออกมาใช้ชั่วคราว ส่วนโพเดียมก็ถูกย้ายออกไปไว้ที่ด้านข้างอย่างเร่งรีบเพื่อเว้นที่ว่างตรงหน้าไว้ เฉินจิงกับซือฉิงนั่งประจำที่นั่งตรงกลาง ทั้งห้องประชุมรวมลู่เยี่ยนแล้วมีคนแค่สี่คน…ได้แก่ พวกเขาสามคนกับสตาฟฟ์ที่ทำหน้าที่ขานชื่ออีกหนึ่งคน แม้แต่รองผู้กำกับก็ยังไม่ได้อยู่ด้วย

ลู่เยี่ยนนั่งลงข้างเฉินจิงและถามเขาว่า “แค่พวกเราสามคนเหรอ”

เฉินจิงทำเสียงอืมอยู่ในจมูก “เราคุยกันตอนก่อนเปิดกล้องแล้วไงว่าฉันเป็นคนฟันธงเรื่องตัวละคร ต่อให้พวกเขามาก็ไม่มีประโยชน์”

ซือฉิงเอ่ยขึ้น “งั้นเรียกเราสองคนมาทำอะไรคะ”

เฉินจิงกลอกตามองเธอ “พวกเธอว่างอยู่ไม่ใช่เหรอ”

“ฉันไม่ว่างนะคะ ผู้กำกับเฉิน คุณไม่รู้อะไร ฉันโพสต์เวยป๋อทีได้เงินค่าโฆษณาเยอะมาก แล้วเวลาทั้งบ่ายแบบนี้ฉันโพสต์ได้ตั้งกี่อัน…”

แต่คำพูดช่วงหลังเป็นต้องกลืนกลับลงท้องไปเพราะถูกเฉินจิงถลึงตาใส่อย่างดุดัน

เฉินจิงส่งสัญญาณว่าเริ่มได้ สตาฟฟ์เลยวิ่งเหยาะๆ ไปที่ประตูห้องประชุมก่อนเรียก “หมายเลขหนึ่ง หลินชิง!”

หลินชิงเข้ามาทันที เขาเดินขึ้นไปบนเวทีชั่วคราวและโค้งตัวมาทางฝั่งนี้

หลินชิงหล่อแบบสดใสเหมือนแสงอาทิตย์ เต็มไปด้วยกลิ่นอายแบบวัยรุ่น เรื่องภาพลักษณ์เขาไม่เลวจริงๆ แต่ไม่เข้ากับบทชิวหรง

เพราะชิวหรงเป็นขุนศึกของเสิ่นจงและเป็นนักรบที่บุกตะลุยสมรภูมิ มีความองอาจกล้าหาญ เชี่ยวชาญการทำศึก ก่อนหน้านี้เฉินจิงต้องตาถังหมิงเป็นเพราะรูปร่างกำยำของเขากับใบหน้าที่ทำให้คนมองแล้วรู้สึกว่าเขามีความซื่อสัตย์อย่างยิ่งและมากความสามารถ

แต่หลินชิงดูแล้วยังสูงไม่ถึงหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร รูปร่างผอมบาง แขนขาวๆ เล็กๆ คาดว่าในภาพยนตร์เรื่องนี้คงมีแต่บทฮ่องเต้น้อยที่ผิวบางเนื้ออ่อนเท่านั้นที่เหมาะสมกับเขา

ด้วยเหตุนี้สายตาของเฉินจิงที่มองไปทางเขาจึงมีความหมดอารมณ์อย่างเห็นได้ชัด เฉินจิงหมุนปากกาในมือแล้วตะโกนบอกว่า “เริ่มได้ แสดง…องก์ที่สี่”

 

** กินของผู้อื่นปากต้องหวาน รับของผู้อื่นมือต้องสั้น หมายถึงรับผลประโยชน์จากคนอื่นแล้วย่อมต้องประจบเอาใจอีกฝ่าย แม้อีกฝ่ายจะทำผิดก็ไม่อาจยื่นมือเข้าไปก้าวก่ายหรือต่อว่า

* มองบ๊วยดับกระหาย หมายถึงความปรารถนายังไม่อาจสมหวังเป็นจริง จึงสร้างมโนภาพขึ้นปลอบใจตัวเองไปก่อน

** หมูสองไฟ เป็นอาหารต้นตำรับเสฉวน สาเหตุที่เรียกว่าหมูสองไฟเป็นเพราะต้องผ่านการปรุงสุกสองครั้ง โดยครั้งแรกนำไปต้มให้สุกและครั้งที่สองนำไปผัดใส่เครื่องปรุงรส

 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

2 of 2หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน แม่ทัพฉางหนิง ขุนศึกหญิงพิทักษ์นครา บทที่ 66-67

บทที่ 66 ผืนฟ้าเหนือฉางอันมืดลง ม่านราตรีคลี่คลุมอีกครั้ง เสียงย่ำกลองแจ้งเวลาวิกาลลอยมาจากหอกลอง หลังกำแพงสูงตระหง่านขอ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน หอมเกศา บทที่ 1-2

บทที่ 1 อาจเป็นเพราะสภาพอากาศขมุกขมัวหนาวเย็นยาวนานถึงครึ่งปี ทำให้เครื่องหอมเป็นที่โปรดปรานของชาวต้าเว่ย ได้เติมเครื่อง...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน แม่ทัพฉางหนิง ขุนศึกหญิงพิทักษ์นครา บทที่ 62-63

บทที่ 62 เพียงตวัดตามอง สีหน้าของซู่เซิ่นฮุยก็เคร่งเครียดขึ้นทันที เขาหมุนตัวเดินกลับเข้ามาข้างในแล้วแกะตราครั่งภายใต้แส...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน แม่ทัพฉางหนิง ขุนศึกหญิงพิทักษ์นครา บทที่ 64-65

บทที่ 64 จวงไท่เฟยหลบร้อนมาพักอยู่บนเขาเซิ่งซานทางตอนเหนือของเมือง วันนี้ซู่เซิ่นฮุยขี่ม้าออกจากที่พักตั้งแต่ฟ้ายังไม่สา...

community.jamsai.com