ทดลองอ่าน คุณชายแซ่กู้กับเจ้าสุนัขลู่จอมดุ เล่ม 1 บทที่ 13-14 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน คุณชายแซ่กู้กับเจ้าสุนัขลู่จอมดุ เล่ม 1 บทที่ 13-14 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่านเรื่อง คุณชายแซ่กู้กับเจ้าสุนัขลู่จอมดุ เล่ม 1

ผู้เขียน : เจี้ยงจื่อเป้ย

แปลโดย : ปราณหยก

  

ผลงานเรื่องคุณชายแซ่กู้กับเจ้าสุนัขลู่จอมดุ 

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

 

  

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 13

 

หลินชิงชะงักแล้วย้อนถามเฉินจิง “ผู้กำกับครับ องก์ที่หนึ่งได้ไหมครับ”

เฉินจิงยิ้มเยาะ “ฉันบอกให้นายแสดงองก์ไหนก็องก์นั้น นายนึกว่านี่เป็นการสอบเข้ามหาวิทยาลัยเหรอถึงจะเลือกสายศิลป์สายวิทย์ได้!”

ลู่เยี่ยนแก้ว่า “เดี๋ยวนี้เขาไม่แบ่งสายศิลป์สายวิทย์กันแล้วครับ”

เฉินจิง “…”

หลินชิงไม่มีอาการแตกตื่น เขาพูดอย่างซื่อตรงว่า “สองสามวันมานี้ผมค่อนข้างยุ่งเลยอ่านบททันแค่องก์หนึ่งครับ”

เฉินจิงปรับน้ำเสียงให้เรียบนิ่ง “เหรอ งั้นนายออกไปเถอะ”

 

พอหลินชิงเดินออกไปแล้ว ซือฉิงก็อ้าปากหาวอย่างอดไม่อยู่ “ผู้กำกับเฉินคะ คุณบอกว่าคัดมาแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงมีพวกที่ทำให้คนอื่นต้องเสียเวลาอีกล่ะ”

คิดไม่ถึงว่าเฉินจิงจะกลอกตาใส่ลู่เยี่ยน “ก็เพราะเจ้าหมอนี่น่ะสิ!”

พอลู่เยี่ยนถูกเรียกชื่อก็พูดอย่างงงๆ “เกี่ยวอะไรกับผม”

“ผู้จัดการของเขามาขอร้องฉันอยู่เป็นนานสองนาน บอกว่าหลินชิงกับนายเป็นพี่น้องกัน ขอให้ฉันให้โอกาสเขาอยู่นั่นแหละ” เฉินจิงมองลู่เยี่ยนเหมือนชายหนุ่มเป็นหมาป่าตาขาว* “ถ้าฉันไม่รับปาก ไม่เท่ากับไม่ไว้หน้านายหรือไง”

ถึงเฉินจิงจะพูดจาหยาบคาย แต่ลู่เยี่ยนฟังแล้วรู้สึกอบอุ่นหัวใจ ปากจึงบอกว่า “โอเคครับ งั้นต้องขอบคุณจริงๆ ที่คุณไว้หน้าผม”

ซือฉิง “ฉันนึกว่าเป็นคนที่สปอนเซอร์ยัดมาเสียอีก”

เฉินจิงพลิกข้อมูลของคนที่มาเทสต์หน้ากล้องชุดหนึ่งอย่างใจเย็น “เฮ้อ ที่จริงผู้จัดการคนนั้นยังบอกเป็นนัยๆ ว่าจะให้หลินชิงยัดเงินเข้ามาก็ได้”

ซือฉิง “…”

ลู่เยี่ยน “…”

หัวใจอุ่นๆ ของลู่เยี่ยนถูกยัดกลับเข้าไปในสายลมหนาวกลางทุ่งหญ้าเช่นนี้เอง

 

สุดท้ายคนที่ถูกเลือกเป็นเด็กใหม่คนหนึ่ง ทักษะทางการแสดงธรรมดา แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือรูปร่างดีเยี่ยม กล้ามแน่นกว่าถังหมิง ตอนเขาเดินเข้ามาในห้องประชุมลู่เยี่ยนก็รับรู้ได้ว่าดวงตาของเฉินจิงวาวโรจน์ขึ้นมาทันที

การเทสต์หน้ากล้องใช้เวลาไม่นาน แค่ชั่วโมงกว่าเท่านั้น พอเลือกคนได้เฉินจิงก็รีบไปคุยเรื่องบทกับเขาทันที

ห้องของซือฉิงกับลู่เยี่ยนอยู่ที่ชั้นสอง ห่างกันสองสามห้อง ซือฉิงลุกขึ้นแล้วกรีดนิ้วเอาแว่นตาดำที่แขวนอยู่ตรงหน้าอกขึ้นมาสวม “ไป เราขึ้นตึกกัน”

มือของซือฉิงมีแรงเยอะมาก ลู่เยี่ยนไม่กล้าถามเธอว่าทำไมถึงต้องใส่แว่นตาดำด้วย

ทั้งคู่เดินออกจากห้องประชุมพร้อมกัน แต่ยังไม่ถึงสองสามก้าวก็เห็นหลินชิงกับเฉินลี่ที่ยืนอยู่ข้างลิฟต์

เห็นได้อย่างชัดเจนมากว่าหลินชิงกำลังรอลู่เยี่ยน เพราะพอเห็นเขาก็เข้ามาหาทันที

ชายหนุ่มยิ้มอย่างกระตือรือร้น “พี่เยี่ยน พี่ฉิง!”

ถึงซือฉิงจะใส่แว่นตาดำ แต่ลู่เยี่ยนเหมือนจะสัมผัสได้ถึงการกลอกตานับครั้งไม่ถ้วนหลังแว่นนั้น

ชายหนุ่มยิ้ม “ยังไม่กลับอีกเหรอ”

หลินชิง “ผมว่าจะอยู่เที่ยวที่นี่สักสองสามวันแล้วค่อยกลับครับ พี่เยี่ยนจะกลับห้องเหรอครับ”

ลู่เยี่ยนผงกศีรษะ

หลินชิงยิ้ม “พี่เพิ่งเซ็นสัญญาเข้าบริษัทหมิงเซิ่ง แต่ผมไม่เคยมีเวลาว่างเจอพี่เลย ครั้งนี้ถือว่าเราได้เจอกันแล้ว ก่อนหน้านี้เวลามันเร่งเลยไม่ทันได้คุยกับพี่ยาวๆ ตอนนี้ผมมีเวลาแล้ว ขอเชิญพี่ไปดื่มกาแฟสักแก้วได้หรือเปล่าครับ”

ลู่เยี่ยนตั้งท่าจะปฏิเสธ แต่จู่ๆ ซือฉิงที่อยู่ด้านข้างก็ยื่นมือมากอดแขนของเขา จากนั้นยิ้มน้อยๆ “ฉันกับลู่เยี่ยนมีธุระนิดหน่อย ไม่ว่างไปดื่มกาแฟจ้ะ”

น้ำเสียงแฝงความนัย ทำให้หลินชิงกับเฉินลี่มีการตอบสนองทันที

หลินชิงพูดอย่างรู้กาลเทศะ “งั้นผมไม่รบกวนพวกพี่แล้วครับ ลาก่อนครับ พี่เยี่ยน พี่ฉิง”

พูดจบก็ลากเฉินลี่ไปที่บันได

เมื่อทั้งคู่หายไปในทางเดินของตึกแล้วซือฉิงก็ทำเสียงเยาะ ก่อนจะปล่อยแขนของลู่เยี่ยนแล้วกดลิฟต์

“พ่อคนแสนดี เรียกใครว่าพี่ยะ”

พอเข้ามาในลิฟต์เรียบร้อยแล้วลู่เยี่ยนก็ถามว่า “คุณรู้ได้ยังไงว่าผมไม่อยากไปกับเขา”

ซือฉิงหัวเราะเยาะ “หน้ามันฟ้อง และอีกอย่างฉันไม่ชอบคำพูดคำจาของเด็กนั่น”

ลู่เยี่ยนหลุดขำ “เพราะคำเรียกเหรอ”

“ไม่ใช่อยู่แล้ว” ซือฉิงใช้สองมือเท้าเอว “แต่มีปัจจัยเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำให้ฉันรู้สึกว่าคำพูดคำจาของเขาไม่น่าฟัง อะไรคือนายเพิ่งเซ็นสัญญาเข้าบริษัท แต่เขาไม่เคยมีเวลาว่างมาเจอนาย เขาคิดว่าเขาเป็นใครนายถึงต้องรอให้เขามีเวลาว่าง”

ยิ่งพูดซือฉิงก็ยิ่งขัดใจ “คนไม่รู้จะคิดว่าเขาเป็นเจ้าของหมิงเซิ่งของพวกนายหรือเปล่า”

“ใจเย็นก่อนครับ” ตอนแรกลู่เยี่ยนก็รู้สึกขัดหู แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าเขาต้องมาปลอบซือฉิงแทน “ผมเลี้ยงกุ้งมังกรเล็กดีไหม เดี๋ยวผมให้เสี่ยวหลิวซื้อกลับมาให้”

“ไสหัวไปเลย!” เมื่อลิฟต์มาถึงชั้นที่หมายซือฉิงก็ก้าวออกไปเหมือนหนีโรคระบาด เหลือแต่เงาด้านหลังไว้ให้ลู่เยี่ยน “เจ๊ลดความอ้วนอยู่ ใครอนุญาตให้นายพูดเรื่องของกินฮะ!”

 

เฉินลี่เดินตามหลินชิงลงจากตึก “ทำไมเราไม่ใช้ลิฟต์ล่ะ”

หลินชิงเอ่ย “ลู่เยี่ยนกับซือฉิงอาจทำอะไรกันในลิฟต์ แล้วเราจะไปรบกวนคนอื่นเขาทำไม”

เฉินลี่นิ่วหน้า “ไม่หรอกน่า แต่ก็แปลกฉันได้ยินมาว่าลู่เยี่ยนไม่ได้ชอบผู้หญิงนะ”

ก้าวย่างของหลินชิงหยุดชะงักทันที เขาเอ่ยถามอย่างไม่เป็นธรรมชาติว่า “เขาเป็นเกย์เหรอ”

“เรื่องนี้ฉันไม่ค่อยมั่นใจ แต่ก่อนหน้านี้เขาเคยคบกับสวี่เจ๋อที่เป็นเจ้าของซิงอวี๋ แต่รอบนี้ดูเหมือนพวกเขาสองคนจะเลิกกันแล้ว ลู่เยี่ยนถึงได้ไม่ต่อสัญญา”

จู่ๆ หลินชิงก็รู้สึกว้าวุ่นแต่ไม่ได้พูดอะไร เขาคิดหนักอยู่สองสามวินาทีแล้วหยิบมือถือออกมาโทรหากู้ซวี

สายก่อนไม่มีคนรับ และสายนี้โทรไม่ติด

หลินชิงพูดขึ้น “คุณว่าทำไมลู่เยี่ยนถึงเซ็นสัญญาเข้าหมิงเซิ่ง ทั้งที่ทรัพยากรชิ้นใหญ่ๆ ไม่มีทางวนไปถึงเขา”

เฉินลี่ตอบกลับ “ไม่รู้สิ แต่ไม่มีข่าวลือว่ามีนอกมีในอะไรนะ”

แต่วันนี้ลู่เยี่ยนลงมาจากรถของผู้ช่วยสวี

หลินชิงยิ่งคิดก็ยิ่งไม่สบายใจ เขานิ่วหน้าอยู่นาน แล้วสุดท้ายก็โทรหาสวีเฟย

สวีเฟยรับสายอย่างรวดเร็ว “สวัสดีครับ”

“ผู้ช่วยสวีเหรอครับ ผมมีเรื่องจะรบกวน”

“ทางบริษัทจะช่วยออกทุนให้ผมสักก้อนได้หรือเปล่า”

“ผมเพิ่งเทสต์หน้ากล้องบทชิวหรงในเรื่องบทเพลงแห่งสงครามเสร็จ แต่แสดงได้ไม่ค่อยดี”

หลังได้รับคำตอบหลินชิงก็วางสาย มุมปากยกสูงขึ้นอีกครั้ง จากนั้นเขาถึงเดินต่อไปที่บันได

เฉินลี่ตาโต “รับปากแล้ว?”

“แน่นอน” หลินชิงยิ้ม “มีเรื่องไหนบ้างที่พี่ซวีไม่รับปากผม ไปครับ เราไปเดินเล่นกัน เพราะพอเข้ากองคงไม่มีเวลาแล้ว”

 

ตอนที่หลินชิงมาทักทายลู่เยี่ยนที่สตูดิโอ ลู่เยี่ยนยังไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร

แต่พอลู่เยี่ยนทักทายกลับเรียบร้อย เขาก็เดินไปสอบถามเฉินจิง

“คนที่เลือกไว้เป็นอีกคนไม่ใช่เหรอครับ”

เฉินจิงนั่งอยู่บนเก้าอี้พับ เขาอ่านบทในมือด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยน “ฉันถูกเงินทำให้หวั่นไหว”

พูดจบเฉินจิงก็ช้อนตา ก่อนจะใช้มือทำท่า ‘ชูสองนิ้ว’ แล้วบอก “ก่อนหน้านี้เขาบอกว่าขอยัดเงินเข้ากอง และตอนนี้ก็หอบเงินเข้ากองมาแล้ว แถมเสนอให้สองเท่าด้วย”

ลู่เยี่ยน “…”

ซือฉิงได้ยินประโยคนี้เข้าพอดีเลยหัวเราะเยาะ “เงินมันทิ่มตาเหรอคะ นี่เป็นหนังเรื่องแรกของลู่เยี่ยนนะ ถ้าหนังพังเขาคือคนแรกที่จะเล่นงานคุณ”

“หรือนี่ไม่ใช่หนังเรื่องแรกของฉันเหมือนกัน!” เฉินจิงโอด “ฉันทำเพื่อพวกเธอไม่ใช่หรือไง เธอก็รู้ว่าพอได้เงินก้อนนี้มาฉันสามารถจัดหาคอสตูมที่ดีกว่านี้ ฉากที่ดีกว่านี้ และข้าวกล่องที่ดีกว่านี้ให้พวกเธอได้! หลินชิงจบการแสดงมาไม่ใช่เหรอ น่าจะพอไหวล่ะมั้ง ส่วนเรื่องกล้าม…ให้ช่างแต่งหน้าลงแป้งวาดเส้นให้เขาสักหน่อยก็ได้หรือเปล่า”

ซือฉิงเอ่ยอย่างมีคุณธรรม “การที่คุณทำแบบนี้คือการหลอกคนดู”

เฉินจิง “หุบปาก”

เขาหันไปมองลู่เยี่ยน “นายคงไม่มีความเห็นใช่ไหม เราลองกันก่อนได้หรือเปล่า ถ้าไม่ไหวค่อยว่ากัน”

ลู่เยี่ยนยักไหล่ เขาเดินกลับห้องแต่งหน้าไปสวมชุดเกราะโดยทิ้งคำพูดไว้เพียงว่า “โอเคครับ”

 

ผลคือลู่เยี่ยนยังไม่ทันได้พูดอะไร เฉินจิงก็ชิงระเบิดตูมก่อนแล้ว

“นายแม่งแสดงละครเป็นไหม! ทำหน้าไร้อารมณ์ไม่ได้หรือไง”

“ยิ้มอีกแล้ว! จะยิ้มอะไร ยิ้มให้ศัตรูในสนามรบเหรอ ไม่เคยโดนหอกแทงทะลุใช่ไหม!”

“นายจะมองซือฉิงด้วยสายตารักลึกซึ้งขนาดนั้นไปทำอะไร เธอเป็นพี่สะใภ้ของนายนะโว้ย!!”

พอตวาดจบคอของเฉินจิงก็รับไม่ไหวแล้ว เขาโบกมืออย่างอ่อนล้า “พัก พักครึ่งชั่วโมงแล้วค่อยถ่ายต่อ กินข้าวกล่องก่อนเถอะ”

หลินชิงยืนอยู่ข้างม้าสีขาวที่ถูกจูงมา เขาดึงแขนเสื้อลู่เยี่ยนแล้วพูดเสียงเบา “พี่เยี่ยนครับ ผมทำผู้กำกับเฉินโกรธหรือเปล่า”

เปล่าเลย นายเกือบจะทำให้เขาโมโหตายต่างหาก

ลู่เยี่ยน “กับเด็กใหม่เขาก็เป็นแบบนี้แหละ เมื่อก่อนฉันก็เคยโดนเขาด่าเหมือนกัน”

แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาด่าแรงขนาดนี้

หลินชิงฟังแล้วถอนหายใจ “งั้นก็ดีครับ ความจริงผมรู้สึกว่าการแสดงของตัวเองไม่ได้แย่ขนาดนั้น พี่ว่าไหมครับ มีหลายครั้งที่ผมรู้สึกว่าผ่านได้ แต่ความต้องการของผู้กำกับเฉินมันโหดอย่างที่คิดไว้เลย”

นี่ใกล้ถึงเวลากินอาหารเย็นแล้ว แต่พวกเขายังถ่ายงานได้ไม่ถึงครึ่งของเป้าการถ่ายทำในวันนี้เลย

ลู่เยี่ยนถูกหลินชิงทำให้โดนสั่งคัตมาทั้งวันจนรู้สึกเหนื่อย จึงบิดเอวซ้ายขวาอย่างอดไม่ได้

หลินชิง “พี่เยี่ยน เอวโอเคใช่ไหมครับ”

ลู่เยี่ยน “ไม่เป็นไร”

หลินชิง “อายุเยอะแล้วก็เป็นแบบนี้แหละครับ ผมรู้จักยาดองเหล้ายี่ห้อหนึ่ง ใช้ดีมาก พ่อผมใช้อยู่ ผมจะให้คนเอาไปให้พี่ลองสักสองสามขวดนะครับ”

เสี่ยวหลิวที่เดินเอาน้ำมาให้ลู่เยี่ยนได้ยินก็พูดอย่างไม่พอใจ “ว่าใครอายุเยอะนะ ปีนี้พี่เยี่ยนเพิ่งยี่สิบเจ็ด อายุกำลังดีต่างหาก! ถ้าวันนี้นายไม่เอาแต่ทำพลาดตลอดพี่เยี่ยนยังจะต้องอยู่ถ่ายกับนายทั้งวันเหรอ”

เสี่ยวหลิวไม่สนใจว่าหลินชิงมีเบื้องหลังแบบไหนเพราะเขาเป็นผู้ติดตามของลู่เยี่ยน ย่อมต้องปกป้องลู่เยี่ยน เสี่ยวหลิวเตรียมจะพูดต่อแต่จู่ๆ ลู่เยี่ยนก็ยื่นมือมาตบไหล่เขา

“เอาน่า ไปเอาข้าวกล่องมาให้ฉันหน่อย”

เสี่ยวหลิวรู้ว่าลู่เยี่ยนไม่อยากให้เขามีเรื่อง สุดท้ายก็บ่นพึมพำแต่ยังคงไปเอาของกินมาให้ลู่เยี่ยน

หลินชิงเหมือนถูกจี้จุดอะไรบางอย่างเลยพูดอย่างเก้อๆ “พี่เยี่ยนครับ ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น ผมแค่รู้สึกว่ายาดองเหล้ายี่ห้อนั้นใช้ดี ขอโทษครับ ผมทำให้พี่ต้องมาอยู่ด้วย”

ความตรากตรำในวันนี้บวกกับคำพูดพล่อยๆ เมื่อครู่ทำให้ลู่เยี่ยนไม่อยากวางท่าเป็นพี่ชายที่แสนดีอะไรอีก เขาทำเสียงอืมเรียบๆ แล้วหมุนตัวเดินจากไป

เฉินลี่มองเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง พอลู่เยี่ยนเดินออกไป เขาก็รีบเข้ามาบอกหลินชิงว่า “เสี่ยวชิง นายอย่าไปหาเรื่องลู่เยี่ยนนะ แค่เขาพูดประโยคเดียวซีนของนายก็ถูกตัดเป็นกระดาษติดหน้าต่างแล้ว!”

ใบหน้าของหลินชิงไม่เหลือความรู้สึกละอายใจและกระวนกระวายใจอย่างเมื่อครู่อีก เขาเล่นมือถือด้วยสีหน้าไม่สนใจอะไร “เขาเซ็นสัญญากับหมิงเซิ่งแล้วยังจะกล้าตัดซีนของผมเหรอ”

 

เงินหนึ่งก้อนที่ไหลเข้ามาทำให้ปัจจัยทุกด้านดีขึ้นมากจริงๆ

ดูได้จากข้าวกล่องของวันนี้

มื้อเย็นของลู่เยี่ยนวันนี้มีผักสามอย่าง เนื้อสี่อย่าง น้ำแกงหนึ่งอย่าง อู้ฟู่มาก

เขามองซือฉิงที่นั่งอยู่ด้านข้างแวบหนึ่ง ก่อนจะพบว่าข้าวกล่องของอีกฝ่ายก็ดีขึ้นไม่น้อย เพียงแต่มีผักกับเนื้อน้อยกว่าของเขาอย่างละหนึ่ง

ซือฉิงก็สังเกตเห็นทันทีเหมือนกันจึงพูดเสียงเย็น “ตอนนี้ในใจเฉินจิงน่าจะรู้สึกละอายใจต่อนายมากถึงได้แอบเพิ่มกับข้าวให้”

ลู่เยี่ยน “แต่ดูเหมือนจะเยอะไปนิดหนึ่ง คุณกินไหม”

“ไม่ล่ะ ฉันลดความอ้วน” ซือฉิงใช้ช้อนคลุกข้าวกล่องพลางถามเขา “ลู่เยี่ยน ทำไมนายไม่โมโหสักนิดเลยล่ะ เขาทำให้นายต้องอยู่ถ่ายกับดาราเบอร์เล็กเกรดสามทั้งวันเลยนะ นายไม่โกรธเหรอ”

ลู่เยี่ยนยิ้ม “โกรธสิ แต่โกรธแล้วทำอะไรไม่ได้ ยังไงก็ต้องถ่ายอยู่ดี”

ซือฉิง “ตัดซีนเขาทิ้ง กันทรัพยากรเขา หักค่าตัวเขาด้วย!”

ลู่เยี่ยน “…เขามาจากบริษัทเดียวกับผม แถมยังใช้เงินยัดเข้ามา”

ซือฉิงร้องอ๋อ “พูดกันจริงๆ คือไม่โกรธ”

ลู่เยี่ยนยิ้มแต่ไม่ตอบ ก้มหน้าเตรียมพุ้ยข้าวเข้าปาก แต่ทันใดนั้นเขาก็สัมผัสได้ว่าแสงรอบตัวมืดลงไปมาก

ชายหนุ่มจึงเงยหน้าขึ้นอย่างประหลาดใจ แล้วก็พบว่าหน้าโต๊ะกินข้าวที่ตั้งไว้แบบชั่วคราวมีสวีเฟยยืนอยู่

สวีเฟยวางกล่องเก็บอุณหภูมิในมือลงตรงหน้าเขาแล้วพูดยิ้มๆ “โชคดีที่มาทัน คุณลู่ครับ ประธานกู้ให้ผมเอาน้ำแกงมาส่ง”

กล่องเก็บอุณหภูมิใหญ่จนน่าตกใจ พอลู่เยี่ยนเปิดกล่องกลิ่นหอมของน้ำแกงก็ลอยออกมา

เครื่องในน้ำแกงมีเยอะมาก ทั้งข้าวโพด ซี่โครง แครอต เกาลัด รากบัว…น้ำมันสีเหลืองอร่ามเกาะอยู่ที่ขอบทั้งสองด้านของกล่องเก็บอุณหภูมิ ทำให้สีของน้ำแกงยิ่งดูอบอุ่น

พอสวีเฟยจากไป ซือฉิงก็ยื่นหน้าเข้ามาทันที “น้ำแกงนี่หอมเกินไปหรือเปล่า รีบแบ่งมาให้ฉันหน่อยสิ! ปล่อยให้เรื่องลดความอ้วนอะไรนั่นไปตายซะ!”

ลู่เยี่ยนได้สติ เขาเลื่อนกล่องเก็บอุณหภูมิไปตรงหน้าหญิงสาวเพื่อให้เธอตักได้สะดวก

ซือฉิงตักน้ำแกงไปหนึ่งชามเต็มๆ จนปริ่มถ้วยเก็บอุณหภูมิ เห็นได้ชัดว่าปริมาณเยอะมาก

ซือฉิงกินน้ำแกงพลางทำเสียงจิ๊จ๊ะ “ซี่โครงนี่คีบปุ๊บเนื้อก็หลุดออกมาเองเลย อร่อยจริงๆ ต้องใช้เวลาตุ๋นหลายชั่วโมงเลยล่ะมั้ง ใช้ได้เลยนะ ขนาดอยู่ในพื้นที่ห่างไกลแบบนี้ยังจำได้ว่าต้องส่งน้ำแกงมาให้นาย”

ลู่เยี่ยนตักน้ำแกงกินหนึ่งช้อน รสชาติเข้มข้นและมีกลิ่นหอม

 

* หมาป่าตาขาว เป็นคำที่ใช้เรียกคนประเภทอกตัญญู ไม่รู้บุญคุณคน

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com