ทดลองอ่าน คุณชายแซ่กู้กับเจ้าสุนัขลู่จอมดุ เล่ม 1 บทที่ 15-16 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน คุณชายแซ่กู้กับเจ้าสุนัขลู่จอมดุ เล่ม 1 บทที่ 15-16 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่านเรื่อง คุณชายแซ่กู้กับเจ้าสุนัขลู่จอมดุ เล่ม 1

ผู้เขียน : เจี้ยงจื่อเป้ย

แปลโดย : ปราณหยก

  

ผลงานเรื่องคุณชายแซ่กู้กับเจ้าสุนัขลู่จอมดุ 

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

 

  

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 15

 

หัวคิ้วของลู่เยี่ยนขมวดเข้าหากันเล็กน้อยแต่ยังคงไม่ได้เปิดปาก

หลินชิงมองเห็นความฉงนของกู้ซวีเลยกระตุกมุมปาก “ผมกำลังถ่ายหนังครับ เป็นทรัพยากรที่ผู้ช่วยสวีช่วยผมจัดการ พี่ลืมแล้วเหรอครับ”

“ไม่ได้ลืม” กู้ซวีดึงแขนของตัวเองออก “แต่ฉันไม่รู้เรื่องนี้”

พูดจบเขาก็เดินไปหาลู่เยี่ยน ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเบา “อยากกินอะไร”

ลู่เยี่ยนใส่หน้ากากอนามัยเอาไว้ “ได้หมดครับ”

“ทำไมหน้ากากอนามัยของคุณเอียงอยู่เรื่อย” กู้ซวียื่นมือมาดึงด้านขวาของหน้ากากอนามัยเพื่อจัดให้ตรง “ไปกันเถอะ”

“ครับ”

หลินชิงยืนอยู่ที่เดิม รอยยิ้มแข็งค้างอยู่บนใบหน้า “พี่ซวีครับ พวกพี่จะไปไหนกันเหรอครับ”

“กินข้าว”

“ขอผมไปด้วยคนได้หรือเปล่าครับ” หลินชิงได้สติ เขากระโดดมาหากู้ซวีแล้วพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “ถึงข้าวกล่องกองจะมีเงินทุนเพียงพอ แต่ผู้กำกับเฉินค่อนข้างเข้มงวดกับการถ่ายทำมาก กว่าจะถ่ายเสร็จข้าวกล่องก็เย็นหมดแล้ว ไม่อร่อยเลย!”

หลินอันเอาข้าวกล่องมาให้ลู่เยี่ยนแล้วได้ยินประโยคนี้เข้าพอดี เมื่อคืนเขาได้ยินเสี่ยวหลิวเล่าเรื่องนี้ให้ฟังไม่น้อย และวันนี้เขาได้เห็นความสามารถในการถ่ายทำฉาก NG ของหลินชิงแล้วเลยอดกระแอมไม่ได้ว่า “แค่เล่นให้โดนสั่งคัตน้อยลงสักสองสามรอบข้าวกล่องก็ไม่เย็นแล้ว เสี่ยวเยี่ยนเองต้องเหนื่อยเพราะนายจนต้องกินข้าวกล่องเย็นๆ เหมือนกัน เขาเคยพูดอะไรไหม”

หลินชิงหน้าแดงเพราะคิดไม่ถึงว่าหลินอันจะไม่ไว้หน้ากันแบบนี้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอายหรือโกรธ เขามองสีหน้าของกู้ซวีแต่กลับพูดกับลู่เยี่ยนว่า “พี่เยี่ยนครับ ผมต้องขอโทษด้วยจริงๆ นะครับ ผมเพิ่งเคยจับงานถ่ายหนังเลยทำให้พี่ต้องลำบาก”

“ไม่เป็นไร ใครๆ ก็เคยเป็นแบบนี้กันทั้งนั้น” ลู่เยี่ยนตอบเสียงไม่เบาไม่หนักและถามหลินอันว่า “เอาข้าวกล่องไปเก็บเถอะ ฉันจะออกไปกินข้าวกับกู้ซวี ว่าแต่ทำไมนายยังไม่ไปสนามบินล่ะ”

“ไฟลต์บินเก้าโมง” หลินอันบอก “ฉันจองตั๋ววันมะรืนไว้ให้นาย แล้วก็บอกกล่าวผู้กำกับเฉินไว้เรียบร้อย”

“รู้แล้ว”

“สวัสดีครับประธานกู้” พอหลินอันต่อว่าหลินชิงเสร็จถึงค่อยนึกได้ว่าข้างตัวยังมีบอสใหญ่ระดับหัวหน้าของเขายืนอยู่ด้วย หลินอันจึงทักทายกู้ซวีด้วยรอยยิ้มจนตาหยี และพูดกับลู่เยี่ยนแบบมีนัยว่า “งั้นพวกนายรีบไปกินข้าวเถอะ จำไว้ว่าอย่าทำตัวเด่นและอย่าถูกใครถ่ายรูปได้ล่ะ”

ลู่เยี่ยนผงกศีรษะ ทั้งสองเตรียมจะเดินออกจากสตูดิโอ แต่กู้ซวีถูกหลินชิงดึงไว้อีกครั้ง

“พี่ซวีครับ…”

ลู่เยี่ยนก้าวเท้ายาว ตอนนี้เลยเดินออกไปนอกสตูดิโอแล้ว กู้ซวีปัดมือของหลินชิงออกโดยไม่ได้หยุดฝีเท้า “ฉันจองไว้แค่สองที่”

 

ตอนที่กู้ซวีขึ้นนั่งบนเบาะฝั่งคนขับ ลู่เยี่ยนถึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าวันนี้สวีเฟยไม่ได้ตามมาด้วย

พูดอีกอย่างหนึ่งคือกู้ซวีขับรถราวครึ่งชั่วโมงเพื่อมาเยี่ยมกองของเขา

ลู่เยี่ยนเลยปลดเข็มขัดนิรภัย “ผมขับเองดีไหม”

“รัดเข็มขัดซะ” กู้ซวีมองรอยคล้ำใต้ตาของลู่เยี่ยนแวบหนึ่ง “ผมขับเอง คุณนอนพักสักหน่อย ถึงแล้วผมจะปลุก”

“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ง่วง” ลู่เยี่ยนขยี้ตา

เพลงในรถเป็นเพลงภาษาอังกฤษฟังสบาย

ลู่เยี่ยนสังเกตว่าตอนกู้ซวีขับรถอีกฝ่ายจะไม่ค่อยพูดคุย ชายหนุ่มขับรถนิ่งมาก สองมือจับพวงมาลัยตลอด ทำให้ลู่เยี่ยนแทบไม่รู้สึกถึงความโคลงเคลงเลย

เหมือนกับตัวเขาที่ทั้งหนักแน่นและทำให้คนอื่นรู้สึกสบายใจ

ระหว่างนั้นทัศนียภาพด้านนอกเป็นวิวทะเล ลู่เยี่ยนเท้าแขนไว้บนหน้าต่างรถและใช้มือยันศีรษะ ท่าทางดูเหม่อลอย

สำหรับเด็กใหม่แล้วบทชิวหรงถือเป็นก้าวแรกที่ยอดเยี่ยมจริงๆ

เฉินจิงบอกว่าหลินชิงยัดเงินเข้ามา แล้วลู่เยี่ยนลืมไปได้อย่างไรว่าหลินชิงมาจากบริษัทเดียวกันกับเขา เรื่องยัดเงิน ถ้าครอบครัวของหลินชิงไม่ร่ำรวย เช่นนั้นก็เท่ากับว่า…บริษัทต้องการดันหลินชิง

ลู่เยี่ยนพลันฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าตอนที่เขาเซ็นสัญญากู้ซวีบอกประมาณว่า ‘ทางเราไม่ขาดทรัพยากร แต่ไม่สามารถทุ่มทรัพยากรส่วนใหญ่ให้คุณ’ ประกอบกับเมื่อครู่การแสดงออกอย่างสนิทสนมที่หลินชิงมีต่อกู้ซวีก็ฟ้องชัดว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่ไม่ใช่แค่ผิวเผิน

คำตอบเหมือนจะเผยตัวออกมาแบบแดงโร่

เพราะหากพูดกันจริงๆ แล้วด้วยความสามารถเช่นนั้นของหลินชิง บริษัทไม่มีเหตุผลที่จะดันเขา

ถ้าอย่างนั้นหลินชิงกับกู้ซวีเป็นอะไรกัน

เจ้านายกับลูกน้อง เพื่อน ญาติ คนรัก?

ความคิดมากมายวนเวียนอยู่ในหัวของลู่เยี่ยน จู่ๆ เขาก็รู้สึกจุกจนพูดไม่ออก

พอลงจากทางด่วนก็เจอสัญญาณไฟจราจร กู้ซวีหันหน้ามาเห็นลู่เยี่ยนกำลังมองจ้องออกไปนอกหน้าต่าง ไม่รู้ว่าคิดเรื่องอะไรอยู่

เขาจึงทำลายความเงียบ “ผมจองร้านอาหารเอาไว้”

“ไม่ทำเองแล้วเหรอครับ” ลู่เยี่ยนหลุดปากออกไปแล้วถึงค่อยรู้ตัวว่าพลั้งปากไปหน่อย เขากระแอมเบาๆ “ก็จริง ทำอาหารเองค่อนข้างยุ่งยาก”

“ไม่ถือว่ายุ่งยากอะไรหรอก” กู้ซวียิ้ม “แต่ผมกลัวว่าคุณจะเบื่อเมนูประจำบ้านเลยจะเปลี่ยนรสชาติ”

ร้านอาหารที่กู้ซวีจองไว้เป็นร้านอาหารฝรั่งเศส

เมื่อส่งรถให้พนักงานรับรถเรียบร้อยแล้วทั้งคู่ก็เดินเคียงกันเข้าไปในร้านอาหาร การตกแต่งภายในร้านแห่งนี้หรูหรามาก เดินเข้าประตูใหญ่ไปก็มีพนักงานมาต้อนรับทันที

“สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าจองไว้หรือเปล่าครับ”

“แซ่กู้ครับ”

“รบกวนรอสักครู่นะครับ” พนักงานดูรายชื่อในมือแล้วพลันทำหน้าปั้นยาก “คุณกู้ครับ ที่นี่มีบันทึกการจองของคุณอยู่จริง แต่…”

“เฮ้ พี่น้อง”

น้ำเสียงร่าเริงของใครคนหนึ่งดังขึ้น ไม่รู้ว่าเฉินอีหมิงโผล่ออกมาจากไหน เขากอดไหล่กู้ซวีหมับ

กู้ซวีนิ่วหน้า “นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

“มาเที่ยวน่ะ ฉันส่งวีแชตไปบอกนายแล้วไม่ใช่เหรอ ฉันมาตั้งแต่เมื่อวานซืนแล้ว”

“ฉันไม่ได้ดูวีแชต” กู้ซวีดึงมือเขาออก

“โอเค งั้นตอนนี้นายก็รู้แล้ว” เฉินอีหมิงพูดจบถึงค่อยสังเกตเห็นว่าที่ด้านหลังของกู้ซวีมีคนเดินตามมาอีกคน ถึงชายหนุ่มคนนั้นจะสวมหน้ากากอนามัย แต่อย่างไรข้อมูลของอีกฝ่ายก็เคยวางอยู่บนโต๊ะทำงานของเฉินอีหมิงหลายวัน เขามองปราดเดียวก็จำลู่เยี่ยนได้ จึงพูดด้วยน้ำเสียงประหลาดใจแกมดีใจ “ลู่เยี่ยน คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

ลู่เยี่ยนคิดไม่ถึงว่าจะมีคนจำเขาได้เลยค่อนข้างแปลกใจ แต่จังหวะที่เขากำลังจะเอ่ยปากพูดกู้ซวีก็พลันเบี่ยงตัวมากันลู่เยี่ยนไปอยู่ด้านหลังของตน “เขามากินข้าว”

“อ้อเหรอ พี่น้อง แบบนี้นี่เอง” เฉินอีหมิงยิ้มแห้ง “ฉันมาที่นี่เพื่อเที่ยวก็จริง แต่หลักๆ ก็ยังต้องมาคุยเรื่องธุรกิจด้วย ได้ยินว่าคู่ค้าชอบมากินข้าวที่ร้านนี้เป็นพิเศษ แต่ผู้ช่วยไม่เอาไหนของฉันดันจองโต๊ะให้ไม่ได้”

เฉินอีหมิงกระแอมเบาๆ “ฉันเลยตั้งใจมาที่นี่โดยเฉพาะเพื่อดูว่าพอจะมีวิธีอื่นอีกไหม ผลคือ เฮ้ บังเอิญมาก ฉันเห็นชื่อของนายอยู่ในรายชื่อการจองทันที ตัวอักษรสองตัวนั้นเหมือนจะเปล่งรัศมีสีทองออกมา แถมด้านบนของตัวอักษรยังมีสายรุ้งพาดผ่าน ด้านล่างของตัวอักษรมีพื้นหญ้าเขียวขจี…”

ลู่เยี่ยนทนไม่ไหว ขำพรืดออกมาหนึ่งครั้ง

กู้ซวีเลิกคิ้ว “เข้าประเด็น”

เฉินอีหมิง “ฉันบอกพนักงานว่าเรามาด้วยกันและคอนเฟิร์มด้วยเบอร์โทรศัพท์ ทำให้ได้ที่นั่งมา…เป็นตอนจบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้งจริงๆ”

น้ำเสียงของกู้ซวียังคงไม่เปลี่ยน “งั้นตอนนี้นายก็พาคู่ค้าของนายไปได้แล้ว”

เฉินอีหมิงทำหน้าหงอยทันที “ไม่เอาน่ะ ฉันต้องทำนัดอยู่นานกว่าเขาจะยอมออกมากินข้าวด้วย”

เมื่อเห็นกู้ซวีไม่ยอมตกปากรับคำ เฉินอีหมิงก็เปลี่ยนเป้าหมายทันที เขาเดินอ้อมตัวกู้ซวีไปมองลู่เยี่ยนด้วยท่าทางน่าสงสาร “เสี่ยวเยี่ยนเยี่ยน ไว้กลับเมืองหลวงแล้วผมจะจัดวันแพ็กเกจเซอร์วิส* ให้คุณนะ แต่วันนี้คงต้องทำให้คุณกับกู้ซวีลำบากหน่อยได้ไหมครับ”

ในที่สุดลู่เยี่ยนก็จำชายตรงหน้าได้ว่าเขาคือประธานบริษัทอวี่เช่อ อีกฝ่ายเคยยื่นกิ่งมะกอกให้ลู่เยี่ยนในช่วงยกเลิกสัญญากับซิงอวี๋ อีกทั้งเงื่อนไขที่เสนอให้ก็ไม่เลวเลยทีเดียว

เฉินอีหมิงสวมชุดลำลอง ดูไม่เข้ากับบรรยากาศภายในร้านอาหารเลยสักนิด เวลานี้เขากำลังฉีกยิ้มมองลู่เยี่ยน

“แค่อาหารมื้อเดียวเองครับ ไม่เป็นไร” ลู่เยี่ยนยิ้ม

“พี่น้องที่แสนดี ไว้กลับไปแล้วติดต่อกันนะ!” เฉินอีหมิงพูดพลางโอบไหล่ลู่เยี่ยน

กู้ซวีปัดมือเขาออก “ไสหัวไปกินข้าวของนายเลยไป”

เฉินอีหมิงเอ่ย “ตัดหน้ากันดื้อๆ ยังพอว่า แต่นี่แค่แตะนิดแตะหน่อยก็ยังไม่ได้อีกเหรอ ขี้งกชะมัด”

“ฉันไม่ได้ตัดหน้า แต่นายเซ็นสัญญากับเขาไม่ได้เอง” กู้ซวีหัวเราะเสียงเย็น

พอเฉินอีหมิงเดินจากไป ทั้งคู่ก็เดินออกจากร้านอาหาร ขณะนั้นเป็นเวลาเกือบหนึ่งทุ่ม ฟ้ามืดแล้ว

กู้ซวีจึงถามว่า “กลับบริษัทไปให้ผมทำอาหารดีไหม”

ลู่เยี่ยนเดินออกจากร้านอาหารมาก็พลันได้กลิ่นหอมของเซาเข่า*

ในช่วงสิบนาทีสั้นๆ ตอนที่คุยกันเมื่อครู่นี้ฝั่งตรงข้ามร้านอาหารก็มีแผงเซาเข่าแผงหนึ่งมาตั้ง

เนื่องจากเพิ่งตั้งเลยมีลูกค้าแค่โต๊ะเดียว เจ้าของร้านพลิกปีกไก่บนตะแกรงอย่างชำนาญ ปากก็ร้องตะโกนว่า “เซาเข่าจ้า เจ้าเก่าอายุห้าปี ไม่อร่อยไม่เอาเงิน!”

ลูกกระเดือกของลู่เยี่ยนขยับเล็กน้อย จากนั้นเขาก็หันหน้าไปมองผู้ชายสวมสูทกับรองเท้าหนังที่อยู่ข้างๆ “กินเซาเข่าไหมครับ”

เวลานั้นไฟถนนยังไม่สว่าง แต่ดวงตาของลู่เยี่ยนทั้งดำขลับและสุกสว่างในความมืดสลัว

กู้ซวีมองอีกฝ่ายแล้วคำว่า ‘สกปรก’ ก็หยุดอยู่ที่ริมฝีปาก สิ่งที่เขาพูดออกมาเปลี่ยนเป็น…

“ไม่ต้องใส่พริกนะ”

 

ลู่เยี่ยนกลืนหอยนางรมย่างตัวโตในคำเดียวแล้วตะโกนบอกเจ้าของร้านว่า “อร่อยมาก!”

เจ้าของร้านกำลังย่างของกินเลยไม่ได้หันหน้ามา “เจ้าหนูนี่ตาแหลม! เดี๋ยวแถมกุยช่ายย่างให้ ผู้ชายกินกุยช่ายแล้วดี!”

ลู่เยี่ยนยิ้ม “ขอบคุณครับ!”

กู้ซวีเอ่ย “คุณกินอาหารตามแผงเซาเข่าบ่อยเหรอ”

“ไม่ได้กินนานมากแล้วครับ ตอนนี้เมือง B ไม่มีแผงลอยข้างทางแล้ว” ลู่เยี่ยนเห็นกู้ซวีไม่กินเลยสักคำจึงถามว่า “ทำไมไม่กินล่ะครับ”

“ผมไม่ชินกับการกินของเสียบไม้”

“เรื่องนี้จัดการง่ายมาก” ลู่เยี่ยนหยิบเซาเข่าสองสามไม้มา ก่อนจะใช้ตะเกียบรูดของที่เสียบอยู่บนไม้ลงมาในจานแล้วเลื่อนจานไปข้างหน้า “ชิมดูสิครับ เจ้าของร้านเขาทำได้เข้าเนื้อดีนะ”

พูดจบลู่เยี่ยนก็ส่งหอยนางรมตัวใหญ่ตัวหนึ่งเข้าปากตัวเองจนริมฝีปากเปื้อนคราบน้ำมัน ดูชุ่มฉ่ำเหมือนทาลิปบาล์ม

กู้ซวีโค้งมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะหยิบตะเกียบแล้วคีบอาหารขึ้นมาชิมหนึ่งคำ

ลู่เยี่ยนมองเขา “เป็นไงบ้างครับ”

“อืม” กู้ซวีผงกศีรษะ ดวงตามีความรักใคร่เอ็นดูที่สังเกตเห็นได้ยาก “อร่อยมาก”

ลู่เยี่ยนยิ้ม “รู้ไหมว่าของอร่อยที่สุดในแผงเซาเข่าคืออะไร”

“อะไร”

“กุยช่ายย่าง” ลู่เยี่ยนพูดพลางรูดกุยช่ายย่างออกจากไม้เสียบ

เจ้าของร้านเอากุยช่ายที่แถมฟรีมาให้แล้วได้ยินพอดีเลยตอบรับด้วยรอยยิ้ม “ถูกต้อง! กุยช่ายนี่เป็นของดี ทั้งอร่อย ทั้งมีประโยชน์! พวกเธอสองคนหล่อเหลากันทั้งคู่ ต้องกินให้เยอะหน่อย!”

ทั้งคู่กินเซาเข่ามื้อนั้นจนสาแก่ใจกันแล้วก็นั่งพักย่อยอาหาร

ลู่เยี่ยนหรี่ตาลงอย่างอิ่มเอม ขณะที่กู้ซวีมองเขาและพูดโพล่งออกมาว่า “ดูคุณกินแล้วท่าทางจะเป็นคนกินเก่งมาก”

ลู่เยี่ยนยิ้ม “คุณบอกว่าผมตะกละเลยก็ได้ครับ”

“ไม่หรอก” กู้ซวีว่า “แต่คุณกินคำใหญ่จริงๆ กินแบบนี้ไม่ดีต่อการย่อยนะ”

“มันชินน่ะครับ” ลู่เยี่ยนยิ้ม “สมัยเข้าวงการใหม่ๆ ผมได้รับบทเล็กๆ แล้วนักแสดงนำเขากินข้าวเร็วมาก มีหลายครั้งที่ผมยังกินข้าวไม่เสร็จก็ต้องเริ่มถ่ายงาน พอตกเย็นก็มักหิวโซ”

ลู่เยี่ยนเล่าด้วยสีหน้าสบายๆ แต่น้ำเสียงกลับมีกระแสเยาะตัวเอง

กู้ซวีบอกว่า “ต่อไปไม่ต้องแล้ว”

“อะไรนะครับ”

กู้ซวีมองเขา “ต่อไปคุณไม่ต้องรีบกินให้เสร็จก่อนคนอื่น คุณอยากกินนานแค่ไหนก็กินไป”

เสียงของกู้ซวีทุ้มต่ำ น้ำเสียงอ่อนโยน

ทั้งที่เป็นประโยคธรรมดา แต่ลู่เยี่ยนกลับรู้สึกแปลกๆ…

ใบหน้าร้อนนิดๆ และหัวใจอุ่นวาบ

พอกลับขึ้นรถทั้งคู่ก็ทำเหมือนตอนขามาคือไม่ได้คุยอะไรกันเหมือนเดิม แต่บรรยากาศกลับไม่กระอักกระอ่วนอีกต่อไป ลู่เยี่ยนเจอท่าทางที่สบายในการพิงแล้วก็เริ่มง่วง

แต่เสียงเรียกเข้าของมือถือก็ทำลายความเงียบลง เขามองชื่อบนหน้าจอ ลู่เหมี่ยว

“ครับแม่”

“กินข้าวแล้วหรือยัง”

“เพิ่งกินครับ แม่ล่ะ กินมื้อเช้าแล้วหรือยังครับ”

“กินแล้วจ้ะ” น้ำเสียงของลู่เหมี่ยวแปลกไปเล็กน้อย เธอลังเลอยู่นานก่อนจะพูดอย่างระมัดระวัง “ช่วงนี้…ลูกได้เจอใครหรือเปล่าจ๊ะ”

 

* วันแพ็กเกจเซอร์วิส (One Package Service) เป็นการให้บริการรอบด้านอย่างดีเลิศ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหาร ที่พัก การเดินทาง และความบันเทิง

* เซาเข่า เป็นเนื้อเสียบไม้ปิ้งย่างหรือบาร์บีคิวของจีน

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน แม่ทัพฉางหนิง ขุนศึกหญิงพิทักษ์นครา บทที่ 66-67

บทที่ 66 ผืนฟ้าเหนือฉางอันมืดลง ม่านราตรีคลี่คลุมอีกครั้ง เสียงย่ำกลองแจ้งเวลาวิกาลลอยมาจากหอกลอง หลังกำแพงสูงตระหง่านขอ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน แม่ทัพฉางหนิง ขุนศึกหญิงพิทักษ์นครา บทที่ 62-63

บทที่ 62 เพียงตวัดตามอง สีหน้าของซู่เซิ่นฮุยก็เคร่งเครียดขึ้นทันที เขาหมุนตัวเดินกลับเข้ามาข้างในแล้วแกะตราครั่งภายใต้แส...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน แม่ทัพฉางหนิง ขุนศึกหญิงพิทักษ์นครา บทที่ 64-65

บทที่ 64 จวงไท่เฟยหลบร้อนมาพักอยู่บนเขาเซิ่งซานทางตอนเหนือของเมือง วันนี้ซู่เซิ่นฮุยขี่ม้าออกจากที่พักตั้งแต่ฟ้ายังไม่สา...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน หอมเกศา บทที่ 1-2

บทที่ 1 อาจเป็นเพราะสภาพอากาศขมุกขมัวหนาวเย็นยาวนานถึงครึ่งปี ทำให้เครื่องหอมเป็นที่โปรดปรานของชาวต้าเว่ย ได้เติมเครื่อง...

community.jamsai.com