everY
ทดลองอ่าน ฉันชอบแฟนนายมานานแล้ว บทที่ 7-9 #นิยายวาย
บทที่ 08
เรื่องที่พวกเขาเลิกกันผ่านไปได้ระยะหนึ่งแล้วคนรอบข้างถึงรู้เรื่อง
เผยหรานไม่ได้เป็นคนพูดออกไป เขาไม่ชอบพูดเรื่องความสัมพันธ์ของตัวเองกับใครมาแต่ไหนแต่ไร
และยิ่งไม่ใช่หลัวชิงซาน เพราะในสายตาของเจ้าตัว นี่เป็นเพียงหลุมอุปสรรคหลุมหนึ่งในความสัมพันธ์ของพวกเขาเท่านั้น ไม่ใช่ว่าจะข้ามไปไม่ได้
วันนี้เผยหรานเจอหลินคังระหว่างเดินอยู่ในมหาวิทยาลัย
“ช่วงนี้กินข้าวกับหลัวชิงซานไม่เห็นพานายมาด้วย รู้เลยว่ามีปัญหาแหงๆ พวกเราดูออกกันตั้งนานแล้ว” หลินคังกล่าว “เมื่อคืนมีคนพูดล้อ แค่อยากจะหยอกเฉยๆ แต่หลัวชิงซานได้ยินแล้วเลือดขึ้นหน้าเลย ถ้าไม่ห้ามไว้ก็คงทะเลาะกันแล้วล่ะ”
เผยหรานไม่รู้ว่าควรจะทำหน้ายังไง จึงตอบเสียงอ้อมแอ้มไปประโยค “งั้นเหรอ…”
หลินคังมองเขาอย่างแปลกใจ “ว่าแต่ทำไมพวกนายสองคนถึงเลิกกันล่ะ”
เผยหรานคิดข้ออ้างไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว “เข้ากันไม่ได้”
“คบกันมาสามปีแล้ว ตอนนี้เพิ่งมาบอกว่าเข้ากันไม่ได้?” หลินคังหัวเราะ “ได้ ไม่อยากพูดฉันก็ไม่ถามแล้ว จริงสิ ตอนเย็นนายกลับบ้านยังไง ไปขึ้นรถด้วยกันมั้ย”
ตั้งแต่พรุ่งนี้มหาวิทยาลัยก็จะหยุดยาวเจ็ดวัน หลินคังและเผยหรานบ้านอยู่ใกล้กัน นั่งรถบัสไปลงที่เดียวกันได้
“คนที่บ้านมารับ” เผยหรานเอ่ย “ให้แวะไปส่งนายด้วยมั้ยล่ะ”
หลินคังได้รับสิ่งที่ต้องการโดยไม่คาดฝัน รถบัสขับส่ายเกินไป เขานั่งแต่ละทีก็อยากอ้วกทุกครั้ง “เราจะออกเดินทางกี่โมง ฉันจะออกมาตามเวลานัดแน่นอน…ฉันออกมาก่อนเวลาเลิกเรียนแล้วกัน เหมือนว่าฉันจะเลิกช้ากว่านายสิบนาที”
“ออกมาเวลาปกตินั่นแหละ ไม่เป็นไร ไม่ต้องรีบหรอก ฉันรอได้”
หลินคังเอ่ยขอบคุณแล้วก็รู้สึกเหมือนโทรศัพท์ในกระเป๋ากำลังสั่นครืดๆ เขาหยิบขึ้นมาดูทันที พบว่าในแชตกลุ่มกำลังเอะอะกันอยู่ เอาแต่แท็กหาเขาตลอด
“เจ้าบ้าพวกนี้ วันหยุดไม่กลับบ้านกลับช่องแล้วยังจับกลุ่มกันหานู่นนี่ทำอีก” หลินคังพึมพำ “วันๆ ไม่มีอะไรทำ ซูเนี่ยนบอกว่าจะไปเที่ยวอีก วันหยุดก็มีอยู่แค่เจ็ดวันจะไปพออะไร…นายจะไปหรือเปล่า”
เผยหรานมองเขาอย่างงุนงง “ไปไหน”
“ไปเที่ยวไง นายไม่ได้อ่านในกลุ่มเหรอ”
เผยหรานกล่าว “ฉันไม่ได้อยู่ในกลุ่ม”
หลินคังชะงักก่อนกดเข้าไปเช็กในรายชื่อสมาชิกให้แน่ใจ
เผยหรานไม่ได้อยู่ในกลุ่มจริงๆ
ซูเนี่ยนเป็นคนดึงเข้ากลุ่มเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เขาชอบทำเรื่องอะไรแบบนี้อยู่เสมอ ในกลุ่มมียี่สิบกว่าคน ตอนนั้นหลินคังยังไม่รู้ว่าสองคนนี้เลิกกันแล้วจึงเผลอนับเผยหรานรวมไปด้วย
เขากับเผยหรานอยู่กลุ่มแชตเดียวกันเยอะมาก เผยหรานพูดน้อย ปกติจะโผล่มาก็เมื่อมีคนเมนชั่นหาเขาเท่านั้น ดังนั้นหลายวันมานี้เขาจึงไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรแปลกตรงไหนที่ไม่เห็นเผยหรานในกลุ่มเลย
“ฉันนึกว่านายอยู่ด้วยก็เลย…ซูเนี่ยนบอกว่าจะไปเที่ยวต้าหลี่*” หลินคังเอ่ยอย่างกระอักกระอ่วน
ซูเนี่ยนไม่รอบคอบเอาซะเลย เผยหรานเป็นเพื่อนไปเที่ยวเล่นกับทุกคนมาตั้งนานขนาดนี้ กลุ่มแบบนี้ยังลืมดึงเขาเข้าไปได้
เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ หลินคังก็ไม่กล้าชวนเขาเข้ากลุ่ม เพราะตอนคุยกันในกลุ่มนี้หลัวชิงซานก็ดูร่าเริงดี
“ไม่เป็นไร” เผยหรานยิ้ม
หลินคังรีบหาเรื่องอื่นคุย หวังจะทำให้เรื่องนี้ผ่านไปเร็วๆ แต่ยังนึกไม่ออกว่าจะพูดอะไรก็บังเอิญเดินไปเจอคนคุ้นเคยอีกคนก่อน
เหยียนจุ่นสวมเสื้อยืดสีดำเรียบๆ ใช้แขนหนีบลูกบาสไว้ข้างเอว เรียวนิ้วปล่อยทิ้งอย่างเกียจคร้านขณะเดินคุยกับคนข้างๆ
หลินคังรีบเรียกเขา “เหยียนจุ่น!”
เหยียนจุ่นชำเลืองมองด้วยสายตาเรียบนิ่ง หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงเบาๆ เหงื่อยังเกาะอยู่ที่คาง
หลินคังแค่อยากทำลายความกระอักกระอ่วน เขาหัวเราะแหะๆ สองเสียง เอ่ยคำถามไร้สาระออกไป “เพิ่งเล่นบาสเสร็จเหรอ”
เหยียนจุ่นไม่ตอบ เพียงหันกลับไปคุยกับคนข้างๆ ต่อ หลินคังจึงกระอักกระอ่วนยิ่งกว่าเดิม
เขาหัวเราะแห้ง กำลังคิดจะด่าเหยียนจุ่นก็เห็นอีกฝ่ายพยักหน้าให้เพื่อนสนิท แล้วหมุนตัวเดินมาหาพวกเขา
“นาย” เหยียนจุ่นชะงัก “พวกนายทำไมมาอยู่ที่นี่”
“เพิ่งเรียนเสร็จไง” หลินคังกล่าว “หรือคิดว่าฉันมาเดินเล่นเหรอ”
เหยียนจุ่นมองไปที่เผยหราน หลินคังชะงักก่อนจะหันมองตามเช่นกัน
เผยหรานพูดด้วยน้ำเสียงปกติ “ฉันมาช่วยอาจารย์ขนอุปกรณ์วาดรูป”
หลินคังถอนหายใจโล่งอกที่เรื่องกลุ่มบ้านั่นผ่านไปได้สักที “เหยียนจุ่น เห็นในแชตกลุ่มหรือยัง พวกเขาจะจัดทริปเที่ยวต้าหลี่กัน นายไปเปล่า”
เหยียนจุ่นตอบว่า “ไม่ได้อ่านในกลุ่ม ไม่ไป”
หลินคังพยักหน้า เขาเดาไว้อยู่แล้ว “แล้วนายจะไปยืนไกลๆ ทำไม”
“เพิ่งเล่นบาสเสร็จ ตัวเหม็น”
หลินคังหัวเราะ “ขนาดนั้นเลยเหรอ”
เผยหรานไม่ได้สนใจฟังบทสนทนาของพวกเขา เขาหลุบตาลงและมองไปเห็นมือของเหยียนจุ่นพอดี
นิ้วของเหยียนจุ่นนั้นเรียวยาว ตัดเล็บสะอาดสะอ้าน เนื้อตัวเลอะคราบฝุ่นจากตอนเล่นบาส เขานึกถึงตอนที่เหยียนจุ่นกุมเม้าส์ ข้อนิ้วของเขาที่นูนออกมาสวยน่ามองมากๆ
“คืนนี้มามั้ย”
เผยหรานมองโดยไม่กะพริบตา คิดในใจว่ามือแบบเหยียนจุ่นไปเป็นนายแบบมือได้เลยด้วยซ้ำ
จากนั้นเขาก็เห็นเหยียนจุ่นงอนิ้วชี้เคาะที่ลูกบาสเบาๆ สองที
“คืนนี้จะมามั้ย” เหยียนจุ่นกล่าว “เผยหราน”
ได้ยินชื่อของตัวเองเผยหรานก็เงยหน้าขึ้นอย่างมึนงง ผ่านไปครู่ใหญ่กว่าจะมีปฏิกิริยากับความหมายในคำพูดของเหยียนจุ่น
อีกฝ่ายกำลังถามเขาว่าคืนนี้ตนจะได้เริ่ม ‘ทำงาน’ หรือยัง
เมื่อฉุกนึกได้ว่าเหยียนจุ่นเป็นพวกติดค้างแล้วจะไม่สบายใจ เผยหรานก็ไม่ลังเล “ได้”
เหยียนจุ่นพยักหน้า เส้นผมที่จับกันเป็นกลุ่มเพราะเหงื่อบนหน้าผากไหวไปด้วย “งั้นฉันจะรอ”
หลังจากเหยียนจุ่นแยกไปกับเพื่อนสนิท หลินคังก็จ้องแผ่นหลังเขาหลายวินาที แล้วหันหน้ามามองคนข้างๆ ตนเอง
?
คืนนี้จะมามั้ย
นี่มันคำพูดที่เขาพูดกับแฟนบ่อยๆ ไม่ใช่เหรอ
หลินคังตบหน้าตัวเองในใจหนึ่งที กลางวันแสกๆ สมองฉันคิดเรื่องอะไรอยู่เนี่ย…
“มองไม่ออกเลย” หลินคังเก็บความคิดเชื่อมโยงเละเทะพวกนั้นกลับมา “ว่านายจะสนิทกับเหยียนจุ่นขนาดนี้”
เผยหรานกล่าว “ก็ไม่ได้สนิทกันมาก”
“ไม่สนิทแล้วคืนนี้เขาจะมารอนายทำไม” หลินคังหัวเราะ “ว่าแต่พวกนายสองคนจะไปทำอะไรกัน”
“เล่นเกม”
“…” หลินคังหมดคำจะพูด “โอเค แค่มีโอกาสได้เล่นเกมกับเขาก็ฟินมากแล้ว ฉันรู้เรื่องหนึ่งมา นายอย่าเอาไปพูดที่ไหนล่ะ ตอน ม.ปลาย เขาเคยถูกสโมสร TZG ทุ่มเงินก้อนใหญ่ดึงเขามาร่วมทีมด้วย ทีมนั้นน่ะหลายปีมานี้ก็เหมาแชมป์มาทั้งประเทศเลยนะ ปีที่แล้วยังได้แชมป์ระดับประเทศด้วย แต่ตอนนั้นเขาไม่ไป”
“…”
“เพราะงี้นี่แหละ หลัวชิงซานอยู่หอกับเขามาตั้งนาน แต่กว่าจะได้เล่นเกมกับเขาสักตาน่ะยากสุดๆ ฮ่าๆ”
เผยหรานรู้สึกเหนือความคาดหมายเล็กน้อย “เขาเก่งขนาดนั้นเลยเหรอ”
งั้นเขา…ให้ค่าจ้างน้อยไปหรือเปล่า
หลังจากนั้นเขายังกลับมาค้นข้อมูล แล้วพบว่าราคายี่สิบไคว่ต่อชั่วโมงนั้นพวกเพื่อนเล่นเกมมือสมัครเล่นระดับกลางหรือระดับสูงตั้งราคาสูงกว่านี้
จู่ๆ เผยหรานก็รู้สึกเหมือนตนเอาเปรียบอีกฝ่ายนิดหน่อย
“ล้อเล่นๆ เก่งมากๆ แหละ แต่ก็ไม่ได้เว่อร์ขนาดนั้นหรอก” หลินคังตบไหล่เขาพลางเอ่ยแกมหัวเราะ “อาจจะเพราะเขารังเกียจที่หลัวชิงซานเอะอะเลยไม่ชอบเล่นกับเขาก็ได้”
ตกเย็น สุดท้ายหลินคังก็โดดออกมาก่อนเวลาเลิกแล้วมายืนรอรถอยู่หน้ามอด้วยกันกับเผยหราน
รถมายบัคสองสีคันหนึ่งจอดลงตรงหน้าพวกเขา ทำเอาหลินคังจ้องตาแทบถลน
เขาหันไปพึมพำพลางนับนิ้วเบาๆ “เชี่ย…เชี่ยยย รถนี่โคตรสุด ราคาอย่างน้อยเท่านี่!”
ประตูฝั่งคนขับเปิดออก ชายวัยกลางคนคนหนึ่งในเชิ้ตสีขาวกางเกงสีดำลงมาจากรถ “เสี่ยวหราน ลุงไม่ได้มาช้าไปใช่มั้ย สัมภาระอยู่ไหน ลุงเอาไปไว้ท้ายรถให้”
เผยหรานกล่าว “ไม่ต้องหรอก หยุดแค่ไม่กี่วัน ผมไม่ได้เอาสัมภาระอะไรมา”
“…” หลินคังสีหน้าซับซ้อนแต่ไม่กระอักกระอ่วนแล้ว “มิน่าล่ะฉันถึงโดนพ่อฟาดตอนบอกว่าจะเรียนวาดรูป เพราะไม่มีปัจจัยนี้นี่เอง”
เผยหรานฟังแล้วก็หัวเราะ “ไม่ได้เว่อร์ขนาดนั้น”
หลินคังกำลังขึ้นไปนั่งบนรถ จู่ๆ ก็มีคนกระชากเสื้อเขาอย่างแรงจนเกือบจะล้มลงพื้นอยู่แล้ว
หลินคังตกใจ หันไปอ้าปากด่า “แม่ง…”
หลัวชิงซานเม้มปาก มือยังคงกำเสื้อแจ็กเก็ตของหลินคังแน่น ตามองสลับไปมาระหว่างหลินคังกับเผยหราน
เมื่อเห็นว่าเป็นเขา หลินคังยิ่งรู้สึกพิลึกพิลั่นกว่าเดิม ก่อนจะปัดมืออีกฝ่ายออก “นายเป็นบ้าเหรอวะ เดี๋ยวนี้ทักทายกันแบบนี้เหรอ”
สุดท้ายสายตาของหลัวชิงซานก็หยุดลงที่เผยหราน
แววตาเผยหรานนิ่งสงบ สบตาเขาสองสามวินาทีโดยไร้ซึ่งระลอกคลื่นใดๆ จากนั้นตวัดสายตาออก
“บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า” เผยหรานถาม
“ไม่ แค่กระแทกนิดหน่อย” หลินคังมองตัวรถด้วยความตึงเครียด “ไม่ได้ทำรถนายถลอกใช่มั้ยเนี่ย”
“ถลอกก็ไม่เป็นไร” เผยหรานกล่าว “ขึ้นรถเถอะ ตรงนี้จอดนานไม่ได้”
สิ้นเสียงนี้เสื้อของหลินคังก็ถูกกระชากอีกครั้ง
หลินคังเอ่ยอย่างอัดอั้น “มีอะไรก็ว่ามา เอาแต่กระชากฉันเพื่อ?”
หลัวชิงซานกัดฟันกรอด กว่าจะข่มใจพูดออกมาได้หนึ่งประโยค “พวกนายจะไปทำอะไรกัน”
หลินคังกล่าว “กลับบ้านไง”
“กลับบ้านด้วยกัน?”
หลินคังกำลังจะตอบ แต่แล้วก็ได้กลิ่นทะแม่งๆ บางอย่าง
“เดี๋ยวนะ…” หลินคังขมวดคิ้ว “หลัวชิงซาน นายหมายความว่าไง”
หลัวชิงซานเอ่ย “งั้นเมื่อเช้าทำไมพวกนายถึงเดินด้วยกัน นายโอบไหล่เขาทำไม อ้อ กินข้าวด้วยกันมาใช่มั้ย”
หลินคังโมโหจนหลุดหัวเราะออกมา เขากดเสียงต่ำพูดว่า “หลัวชิงซาน นายเป็นบ้าเหรอ ฉันมีแฟนสาวอยู่แล้วโว้ย!”
“มีแฟนแล้วทำไมมาเดินชิดกับเขาขนาดนี้”
“ไอ้เวร ฉลาดล้ำจริงๆ นายคิดว่าทุกคนบนโลกนี้เป็นเกย์หรือไง แล้วฉันกับเผยหรานมีปัญหาอะไร เราแค่เดินด้วยกันกลับทางเดียวกัน กลับบ้านด้วยกัน” หลินคังไม่เข้าใจสถานการณ์เลยแม้แต่นิดจึงพูดออกไปโดยไม่คิดอะไร “ไม่ตัวติดกันเท่านายกับซูเนี่ยนด้วยซ้ำ มาเป็นบ้าอะไรแถวนี้”
หลัวชิงซานหน้าขาวซีดในพริบตา ท่าทางโอหังเมื่อครู่ก็หดหายไปกว่าครึ่ง
ตอนเที่ยงเขาเห็นทุกอย่างจากบนตึก เผยหรานไม่ตอบข้อความเขา ไม่รับสายเขา แต่กลับพูดคุยเฮฮาเดินไหล่ชิดกับหลินคังตลอดทาง ตอนท้ายหลินคังยังโอบไหล่เผยหรานด้วย
“หลัวชิงซาน” ในที่สุดเผยหรานก็เอ่ยปากขึ้น “ปล่อยมือ”
เผยหรานกลับถึงบ้านฟ้าก็มืดแล้ว วิลล่าหลังเล็กที่เรียงรายล้วนเปิดไฟสว่าง มีเพียงบ้านเขาที่มืดสนิท
เมื่อบอกลาคนขับรถแล้ว เขาก็หันหลังเดินเข้าบ้านไป ภายในบ้านสะอาดสะอ้าน มองออกว่ามีคนเข้ามาทำความสะอาดทุกวันโดยเฉพาะ น่าเสียดายที่ปกติไม่ค่อยจะมีคนมาพักอาศัย
เขาอาบน้ำ เปลี่ยนมาสวมชุดนอนผ้าแพร แสงทอดส่องลงบนร่างขับให้ทั้งตัวเขาดูนุ่มนวลมาก แต่เผยหรานในตอนนี้ไม่ใกล้เคียงกับคำว่านุ่มนวลเลยสักนิด
เขารู้สึกโกรธนิดๆ ด้วยซ้ำ
เผยหรานหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา หน้าจอเป็นข้อความจากหลัวชิงซานแทบจะทั้งหมด
หลัวชิงซาน ขอโทษ
หลัวชิงซาน ขอโทษนะที่รัก อย่าโกรธฉันเลย
หลัวชิงซาน ตอนนั้นฉันสมองเพี้ยน ไม่ได้จะสงสัยที่รักจริงๆ นะ
เผยหรานไม่อยากอ่านต่อ เขากดเคลียร์หน้าจอทันที
หลังจากเขาเป่าผมจนแห้งก็เดินตรงดิ่งไปที่ห้องเก็บเสื้อผ้า เริ่มตรวจเช็กสิ่งของที่หลัวชิงซานเคยให้เขา
รองเท้าและกระเป๋าส่วนใหญ่เขาเคยใช้ไปแล้ว หากส่งคืนก็คงไม่ดี เขาจึงเสิร์ชหาราคาบนอินเตอร์เน็ตเพื่อแปลงมูลค่าของทั้งหมดให้เป็นเงินสด มีรองเท้าบางรุ่นที่เลิกผลิตไปแล้ว อีกทั้งเวลาผ่านไปนานราคาจึงพุ่งสูงขึ้นไม่น้อย เพราะแบบนั้นเขาจึงค่อนข้างเหนื่อยกับการเสิร์ชข้อมูลนิดหน่อย
เมื่อจัดการออกมาเป็นตัวเลขจำนวนหนึ่งได้ เวลาก็ล่วงเลยไปจนเข้าวันใหม่แล้ว
เขาโอนเงินให้หลัวชิงซานผ่านอาลีเพย์* จากนั้นเปิดวีแชตส่งไปหนึ่งข้อความว่า ‘โอนเงินแล้ว’
ในตอนที่กดออกจากช่องแชต เขาเหลือบไปเห็นภาพโพรไฟล์ของใครบางคนโดยไม่ได้ตั้งใจ
ที่ภาพโพรไฟล์นี้ดึงดูดความสนใจของเขาได้เพราะว่าบนรูปนั้นเป็นกระต่ายตัวหนึ่ง
กระต่ายบนโลโก้ลูกอมกระต่ายขาว
ถัดจากกระต่ายน้อยมีอักษรตัวเบ้อเร่อสองตัวนอนอยู่เงียบๆ…เหยียนจุ่น
เผยหรานจ้องภาพนี้อยู่นานราวกับสมองหยุดทำงานแล้วถึงกลับมาตั้งสติได้
เผยหราน ขอโทษ!
เผยหราน มีธุระด่วนนิดหน่อย ลืมไปเลย…
เผยหราน ขอโทษนะ
เหยียนจุ่น ไม่เป็นไร
เผยหราน นายนอนเถอะ ไม่รบกวนแล้ว
เหยียนจุ่น ยังไม่นอน
เหยียนจุ่น รอนายอยู่
เผยหรานล็อกอินเข้าเกม คำเชิญของเหยียนจุ่นก็เด้งขึ้นมาทันที
เผยหรานรีบกดเข้าร่วมทีม จากนั้นเปิดไมค์ “เมื่อกี้ฉันกำลังเก็บกวาดของอยู่ ยุ่งจนลืมเลย ขอโทษนะ”
เหยียนจุ่นตอบว่า “ไม่เป็นไร ไม่ต้องขอโทษ”
เผยหรานเพิ่งถอนหายใจโล่งอกก็เห็นไอคอนไมค์ด้านหน้าไอดี ‘111GOD’ กะพริบขึ้นมาอีกครั้ง
ฝั่งนั้นเงียบไปสองวินาที เสียงของเหยียนจุ่นเบามาก เขาเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “นึกว่าจะไม่มาแล้ว”