everY
ทดลองอ่าน ตื่นมารับภารกิจพิชิตหัวใจคุณสามี เล่ม 2 บทที่ 46-49 #นิยายวาย
บทที่ 48
ปมเงื่อน
ไลฟ์รอบเช้าจบลงตรงนี้
ลู่อวี๋ถอดหมวกกันน็อก ยีผมที่โดนทับแบน ก่อนเห็นเลขาฯ เจียงถือแท็บเลตเดินเข้ามา
เพราะสมองอัจฉริยะเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ที่ฝังอยู่ในสมอง จึงทำให้ตัวเจ้าของมองเห็นเนื้อหาบนจอออพติคอลได้อย่างชัดเจน แต่หากให้คนอื่นดู พวกเขาจะเห็นเป็นแบบกึ่งโปร่งแสงแทน เว้นแต่ว่าจะฉายหน้าจอไปยังฉากหลัง มีประสิทธิภาพในการป้องกันการแอบมองในระดับหนึ่ง
ที่นี่คือห้องปฏิบัติการ และยังมีห้องไลฟ์สตรีมอยู่ด้านนอก ดังนั้นเลขาฯ เจียงจึงเลือกที่จะไม่ฉายหน้าจอออพติคอล แต่ให้ลู่อวี๋ดูหน้าจอจากเครื่องแท็บเลตจริงๆ
เลขาฯ เจียงพูดเสียงเบา “หนึ่งบทเพลงมิรู้กี่แพรแดงส่งของขวัญให้ถึงหนึ่งล้านแล้วครับ”
ลู่อวี๋เหลือบมองภาพย้อนหลังไลฟ์สตรีมบนหน้าจอ “ไวขนาดนี้เลย พี่ชายคนนี้รวยจังนะ เรียกเขามา…ช่างเถอะ เดี๋ยวฉันไปบอกเขาเอง”
ด้วยความเคารพในตัวพี่ใหญ่ท็อปโดเนตอันดับหนึ่ง เขาต้องไปแจ้งกับเจ้าตัวด้วยตัวเอง จะให้เลขาฯ ไปไม่ได้
เขาจ้องหน้าจอโดยละเอียดอีกที แล้วพบว่าพี่ใหญ่ไม่ได้พูดถึงชื่อของตัวละคร ‘โปร’ ในนิยายเลย ระหว่างส่งของขวัญก็ยังระมัดระวังไม่สปอยล์เนื้อเรื่องด้วย เป็นพี่ชายที่ดีจริงๆ เลยนะเนี่ย!
ลู่อวี๋กดเปิดสมองอัจฉริยะ ส่งข้อความหา ‘หนึ่งบทเพลงมิรู้กี่แพรแดง’ บนเบิร์ดบุ๊ก
[จับปลาบนดินแล้ง V : ขอบคุณพี่ใหญ่ที่ส่งของขวัญให้ สองวันนี้มีเวลาว่างหรือเปล่า มาเที่ยวที่เฉินอวี๋สิ เดี๋ยวให้คุณมาเล่นเป็น NPC ฉากนึง]
ฝั่งนั้นตอบกลับมาทันที
[หนึ่งบทเพลงมิรู้กี่แพรแดง : ฉันคิดไว้แล้วว่าถ้าส่งถึงล้านจะมีเซอร์ไพรส์! สุนัขลู่ นายเป็นคนดีจริงๆ พี่ใหญ่รักนาย! ฉันจะไปพรุ่งนี้เช้าเลย รอฉันนะ!]
หลังจากนัดแนะวิธีการติดต่อกับพี่ใหญ่เสร็จแล้ว เขาก็เรียกเสี่ยวเจียงให้ไปเตรียมตัวเพื่อรับรองพี่ใหญ่ในวันพรุ่งนี้
ลู่อวี๋ปิดสมองอัจฉริยะแล้วลุกขึ้นไปกินข้าวกับหมิงเยี่ยน
แต่เพิ่งจะนั่งลงบนโซฟาของห้องทำงาน หัวหน้าแผนกพีอาร์ก็มาเคาะประตูหาลู่อวี๋
“ประธานลู่ ช่วงนี้พวกเรามีแผนร่วมงานกับทางตระกูลลู่หรือเปล่าครับ” หัวหน้าแผนกพีอาร์ถามสีหน้าจริงจัง
“ร่วมงานกับผะ…” ลู่อวี๋อยากจะพูดว่าร่วมงานกับผีสิ แต่ในเมื่อหัวหน้าแผนกพีอาร์ถามมา แปลว่ามีเรื่องอะไรแน่ๆ จึงหันไปมองทางหมิงเยี่ยน
หมิงเยี่ยนตอบอย่างมั่นใจ “ไม่มี”
สีหน้าของหัวหน้าแผนกพีอาร์กลับไม่ผ่อนคลายลง เขาให้ทั้งสองดูข่าวหนึ่ง “มันเป็นข่าวของเช้าวันนี้ครับ”
พาดหัวข่าวเขียนได้อย่างสะดุดตา
‘ลูกเลี้ยงเศรษฐีจะตอบแทนบุญคุณ? เครือตระกูลลู่เผย อนาคตจะมีการร่วมงานกับเฉินอวี๋เทคโนโลยี’
ลู่อวี๋อ่านพาดหัวข่าวจบก็โมโหจนหลุดหัวเราะ ใช้คำพูดคำจาเป็นสื่อฮ่องกง* เชียว ตอนนี้ตระกูลลู่ไม่สนศักดิ์ศรีแล้วหรือไงถึงมาพูดเรื่องบุญคุณกับเขา
เขากดเล่นคลิปในข่าว ดูเหมือนจะเป็นงานแถลงข่าว เครือตระกูลลู่จะแข่งขันเสนอราคาเข้าซื้อโรงงานผลิตสมองอัจฉริยะแห่งหนึ่ง ผู้ออกมาแถลงข่าวนี้คือ CEO คนปัจจุบันของเครือตระกูลลู่ พ่อของลู่เจินนี หรือก็คืออารองแค่ในนามของลู่อวี๋
อารองลู่กำลังประกาศออกงานว่าอยู่ระหว่างเจรจาร่วมงานกับเฉินอวี๋เทคโนโลยี หากเจรจาสำเร็จจะติดตั้งสุดยอดผู้ช่วยแสนฉลาดของเฉินอวี๋เทคโนโลยีลงบนสมองอัจฉริยะ
“ทำไมถึงเกาะเก่งขนาดนี้นะ ก่อนจะพูดออกมาได้มาคุยกับฝั่งข้าบ้างหรือยังวะ”
คราวก่อนลู่เจินนีอยู่ๆ ก็ถ่อมาถึงที่นี่ บอกให้เขารับซื้อโรงงานผลิตโทรศัพท์มือถือของตระกูลลู่ จะได้ขยายขนาดองค์กรเพื่อช่วยให้เฉินอวี๋เข้าตลาดหลักทรัพย์ได้ ตอนนี้ก็มาประกาศว่าจะร่วมงานกับเฉินอวี๋ ร่วมงานในฝันพวกเขาหรือไง
ในคลิปนักข่าวถามขึ้นว่า “คุณมั่นใจไหมครับว่าจะได้ร่วมงานกับเฉินอวี๋”
อารองลู่ยกยิ้ม สายตาที่มองกล้องแฝงนัยลุ่มลึก “ลู่อวี๋ก็เป็นคนของตระกูลลู่เหมือนกัน”
ลู่อวี๋ดูจบก็อ้าปากด่ากราดทันที “หน้าหนาขนาดนี้ได้ไงวะ! ยังเอาเปรียบข้าไม่พออีกใช่ไหม!”
อารองคนนี้ไม่ชอบหน้าเขาตั้งแต่เด็ก ลู่อวี๋ในวัยเด็กไม่เคยเข้าใจ กระทั่งโตมาพอรู้ว่าตัวเองเป็นแค่ลูกเลี้ยงจึงเข้าใจทุกอย่าง อารองคิดว่าธุรกิจใหญ่โตของตระกูลนี้ไม่ควรยกให้เด็กนอกสายเลือดที่เก็บมาจากข้างนอกอย่างเขา
หมิงเยี่ยนจับมือลู่อวี๋ที่ระเบิดอารมณ์ประดุจฟ้าผ่า ก่อนหันไปเอ่ยกับหัวหน้าแผนกพีอาร์ “ไม่มีเรื่องแบบนั้น แต่ไม่ต้องไปตอบโต้อะไร คุณรู้ว่าต้องทำยังไง”
ตอนนี้เฉินอวี๋เทคโนโลยีกำลังรุ่งเรือง ใครๆ ก็อยากมาเกาะกิน ต้องพูดให้น้อยที่สุด
หัวหน้าแผนกพีอาร์พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจแล้วหมุนตัวเดินออกไป
“โอเค กินข้าวเถอะ” หมิงเยี่ยนเปิดกล่องข้าวบนโต๊ะ วางเรียงทีละอย่าง
อาหารวันนี้ลู่อวี๋บอกให้เสี่ยวเจียงเป็นคนสั่ง เป็นอาหารจากโรงแรมดัง ช่วงนี้มีงานเยอะเหนื่อยเกินไป เขากลัวว่าหมิงเยี่ยนจะได้กินไม่ดีเลยสั่งกุ้งผัดใบชาหลงจิ่งกับซุปไข่ม้วนผักรวมที่หมิงเยี่ยนชอบมาให้
มันไม่ใช่กุ้งผัดใบชาหลงจิ่งแบบดั้งเดิม แต่เป็นการเอาใบชาหลงจิ่งไปทอดกรอบแล้วโรยบนกุ้งที่ผ่านการปรุงรสอย่างซับซ้อนมาแล้วประหนึ่งโรยต้นหอม มีแค่โรงแรมนี้เท่านั้นที่ทำอร่อยที่สุด
หมิงเยี่ยนอึ้งเล็กน้อย “นายรู้ได้ไงว่าฉันชอบกินของพวกนี้” อาหารที่เขาชอบช่วงนี้มีเปลี่ยนไปบ้าง ไม่ได้ชอบเหมือนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว ตามหลักแล้วลู่เสี่ยวอวี๋น่าจะไม่รู้เรื่องนี้
ลู่อวี๋ตักซุปไข่ม้วนผักรวมใส่ถ้วยแล้ววางตรงหน้าหมิงเยี่ยน “ลู่ต้าอวี๋เขียนจดไว้ในเมโมน่ะครับ” เขาไม่คิดว่าจะมีอะไรแปลก อยากรู้ว่าหมิงเยี่ยนชอบกินอะไร ก็ต้องเข้าไปค้นเมโมในสมองอัจฉริยะของลู่ต้าอวี๋อยู่แล้ว
ทว่าหมิงเยี่ยนกลับชะงักกึก “เขาจดไว้ในเมโมงั้นเหรอ…มีจดอะไรอีกไหม”
ลู่อวี๋หักตะเกียบยื่นให้เขา ขยิบตาส่งวิงก์ “ไม่บอกพี่หรอก นี่มันหนังสือคู่มือการจีบพี่ของผมเลยนะ ถ้าหลุดสปอยล์ไปจะสร้างเซอร์ไพรส์ยังไงเล่า”
หมิงเยี่ยนมองซุปไข่ม้วนในมือด้วยความซับซ้อนในใจ ก่อนจะค่อยๆ ซดน้ำซุปจนหมดเกลี้ยง
กินมื้อเที่ยงเสร็จแล้วลู่อวี๋ก็กล่อมหมิงเยี่ยนนอนกลางวัน ก่อนที่ตนจะแจ้นไปคุ้ยหาเอกสารในห้องทำงานของลู่ต้าอวี๋ เขากังวลจริงๆ ว่าเจ้าเวรลู่ต้าอวี๋จะเคยตอบตกลงอะไรกับตระกูลลู่ไว้ ต้องรีบค้นให้เจอจะได้เตรียมรับมือทัน
เขาเจอไฟล์แผนธุรกิจที่ล้มเลิกไปกลางคันในคอมพิวเตอร์ออฟฟิศของเขาจากคำแนะนำของลู่ตงตง
ลู่อวี๋ขมวดคิ้วพลางกดเปิดไฟล์อ่านอย่างละเอียดตั้งแต่ต้นจนจบ
มันดูเหมือนเป็นแผนธุรกิจที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลลู่ เขียนถึงเรื่อง ‘ความเป็นไปได้ในการรวมหมิงรื่อวอตช์อินดัสทรีเข้ากับสมองอัจฉริยะสมัยใหม่’
ลู่ต้าอวี๋เคยคิดถึงการร่วมมือกับบริษัทผลิตสมองอัจฉริยะสักแห่งจริงๆ แต่ว่าแผนนี้ก็ถูกดองไปแล้ว
“เปลี่ยนนาฬิกาข้อมือเป็นกรอบสมองอัจฉริยะ?” ลู่อวี๋ลูบคาง เป็นวิธีที่ดี ถ้าเกิดสำเร็จขึ้นมาก็ช่วยทั้งห่วงโซ่ของอุตสาหกรรมได้เลย นาฬิกาพกเป็นไปได้มากสุดคงต้องเดินสายแบรนด์หรูเท่านั้น อยากให้หมิงรื่อวอตช์อินดัสทรีกลับมาดำเนินงานได้ ยังไงก็ต้องมียอดออเดอร์จำนวนมาก
บางทีลู่ต้าอวี๋อาจจะเคยเผยความคิดนี้กับตระกูลลู่? แต่เพราะอะไรทำไมแผนถึงถูกดองไว้แบบนี้ ในนี้ก็ไม่ได้เขียนอะไรไว้ด้วย
“ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับพ่อ” รอบๆ ไม่มีใครอยู่ ลู่ตงตงจึงเอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยตัวเอง “บางครั้งคุณจะถอดสมองอัจฉริยะแล้วทิ้งผมไว้ที่บ้าน ผมเลยไม่สามารถฟังข้อมูลตรงนั้นได้”
“มันเป็นเรื่องปกติมาก เพราะในบางสถานที่จะมีการขอให้ทุกคนถอดสมองอัจฉริยะวางไว้ข้างนอก นายมีมูลค่าสูงเกินไป ฉันไม่วางใจที่จะวางไว้ข้างนอกแน่ๆ” ลู่อวี๋ลูบๆ หน้าปัดสมองอัจฉริยะ ใคร่ครวญเรื่องนี้อย่างละเอียด
ไม่ว่าลู่ต้าอวี๋จะเคยติดต่อกับตระกูลลู่หรือไม่ ตอนนี้ตระกูลลู่จู่ๆ ก็พูดถึงเขา เขาก็ไม่อาจนั่งรอความตายได้ การปรับแก้ฮวาเหวินหย่วนของเขากำลังอยู่ในช่วงเวลาสำคัญ จะเกิดปัญหาไม่ได้เด็ดขาด เมื่อเผชิญหน้ากับคนตระกูลลู่เขาก็เสียเปรียบด้านกระแสสังคมไปโดยปริยายอยู่แล้ว ยังไงเขาต้องเป็นฝ่ายลงมือก่อน
ขึ้นไลฟ์ช่วงบ่ายต่อ
ฮวาเหวินหย่วนจัดระเบียบค่ายใหญ่เจียงโจวด้วยวิธีดุจฟ้าผ่า เขาพักฟื้นบ้านเมืองอยู่ครู่หนึ่งแล้วค่อยจัดระเบียบงาน ทำให้ชาวบ้านรู้สึกมั่นคง สุดท้ายก็ฝึกทหารที่พอใช้งานได้ขึ้นมาหนึ่งกอง
ลู่อวี๋ยืนอยู่ข้างลานฝึกซ้อม มองเหล่าทหารที่เหวี่ยงแทงหอกอย่างพร้อมเพรียง เขาทอดถอนใจ “ถ้าฮวาเหวินหย่วนอยู่ในสังคมยุคปัจจุบัน ให้เขาไปฝึกทหารให้เด็กๆ ในโรงเรียน ผลลัพธ์ต้องออกมาดีแน่”
หมิงเยี่ยนส่ายหน้าพลางหัวเราะเบาๆ “นายให้ท่านแม่ทัพไปเป็นครูฝึกทหาร เหมือนกับให้นายไปสอนเด็กประถมเขียนบทความนั่นแหละ”
“ผมไม่กล้าพูดอะไรแบบนี้หรอกน่า ผมไม่ใช่นักประพันธ์ผู้ยิ่งใหญ่อะไรสักหน่อย” ลู่อวี๋รีบห้ามไม่ให้หมิงเยี่ยนอวยเขาหน้ามืดตามัว “พี่อย่าว่าไป บทความเด็กประถมน่ะผมสอนไม่ได้จริงๆ ตอนอยู่ประถมคะแนนเขียนบทความผมไม่ดีเลยสักนิด”
ขณะกำลังคุย ฮวาเหวินหย่วนก็เดินผ่านพวกเขาสองคนจึงถูกลู่อวี๋ฉุดตัวไว้
“เสี่ยวหย่วนเอ๋ย เจ้ารู้ไหมว่าเด็กประถมคืออะไร” คลาสเรียนของอาจารย์ลู่กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว
“แค่ก ท่านอารอง ยามนี้ข้ายุ่งมาก ประเดี๋ยวเราค่อยกลับมาคุยกันอีกที” ฮวาเหวินหย่วนใช้เล่ห์กลจนหลุดพ้นออกจากกรงเล็บปีศาจของลู่อวี๋ไปได้ กระโดดขึ้นไปบนแท่นสูงเริ่มเรียกชื่อทหาร
เขาเตรียมจะนำกองทัพทหารสองพันนายนี้ไปกวาดล้างกบฏที่ฝั่งตะวันตก กบฏที่พูดถึงนั้นได้ยินว่าเป็นช่างตีเหล็กนามว่าเฮ่อต้าฉุย เพราะทนงานแรงงานเกณฑ์ของพวกช่างฝีมือไม่ไหว จึงฆ่าขุนนางที่คุมงานแล้วลุกขึ้นก่อกบฏ แม้ก่อความวุ่นวายเล็กๆ น้อยๆ มาหลายเดือน แต่ก็ยึดเมืองเล็กๆ มาได้เมืองเดียว สำหรับฮวาเหวินหย่วนแล้วทหารสองพันนายเพียงพอที่จะจับเป็นเฮ่อต้าฉุยมาตีเหล็กให้เขา
เพิ่งจะเตรียมพร้อมออกศึกเสร็จ จู่ๆ พระราชโองการจากเมืองหลวงก็ถูกส่งมา สั่งให้ฮวาเหวินหย่วนมิต้องสนใจกบฏน้อยผู้นั้น แต่ให้รีบไปด่านชายแดนเพื่อรับมือกับพวกต๋าจื่อ
ฮวาเหวินหย่วนขับไล่ขุนนางที่มาถ่ายทอดพระราชโองการออกไป ตนนั่งอยู่กลางกระโจมใคร่ครวญครู่ใหญ่ แล้วยกพู่กันเขียนจดหมาย กล่าวว่าเจียงโจวมีเสบียงไม่เพียงพอ เหล่าทหารสิบกองเหลือไม่ถึงหนึ่งในสิบ บัดนี้ไม่เหลือกำลังทหารใดๆ มีกำลังคนไม่ถึงสองพันนาย ทำได้เพียงปราบโจรในพื้นที่เล็กๆ ไร้ความสามารถที่จะไปด่านชายแดน
‘กระหม่อมบังอาจขอกราบทูลเสนอแม่ทัพเฉียน เฉียนพั่วตี๋ แม่ทัพเฉียนสั่งการทัพด้วยทักษะโดดเด่น ย่อมสามารถรักษาด่านเมืองหานเฉิงไว้ได้แน่นอน’
ชาติก่อนนั้นแม่ทัพเฉียนพยายามช่วงชิงอำนาจกองทัพผ่านขันทีแต่ก็ไม่สำเร็จ จนตายก็ยังไม่ได้มีโอกาสบัญชาการกองทัพแม้แต่วันเดียว ชาตินี้สมควรแล้วที่จะเติมเต็มปณิธานอันยิ่งใหญ่ของเขา
เมื่อจดหมายฉบับนี้ถูกส่งออกไป ฮ่องเต้คงทรงทราบแล้วว่าฮวาเหวินหย่วนได้รับอำนาจทหารเจียงโจวมาครอง ทว่าไม่ยอมรับพระราชโองการจากโอรสสวรรค์ นี่คือการก่อกบฏ
แต่ฮ่องเต้ก็ไม่อาจพูดได้ว่าฮวาเหวินหย่วนจะก่อกบฏ เพราะอีกฝ่ายส่งจดหมายเสร็จก็ไปปราบกบฏทันที
ฮ่องเต้ที่อยู่ในเมืองหลวงทรงกังขาอย่างยิ่ง ถามเสนาบดีกรมทหาร “ฮวาเหวินหย่วนมีนัยอันใดอย่างนั้นหรือ”
เสนาบดีกรมทหารรู้แจ้งแก่ใจ ทว่ามิบังอาจกราบทูลความจริง อย่างไรตอนนี้ต่อให้ยืนยันแล้วว่าฮวาเหวินหย่วนก่อกบฏจริงก็ไม่มีกำลังทหารเหลือไปปราบปรามเขาแล้ว ทำได้เพียงตอบอ้อมแอ้ม “เจียงโจวพบเจอภัยพิบัติต่อเนื่องเป็นเวลานาน บรรดาภาษีอากรจึงมิอาจเก็บได้ครบถ้วน อาจมีการขาดดุลงบประมาณอยู่โดยแท้ ขุนนางสกุลฮวาจงรักภักดีมาหลายชั่วอายุคน ซ้ำฮวาเหวินหย่วนยังอายุเพียงสิบหก คงยังมิกล้ากระทำการกบฏเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ฟังแล้วเห็นด้วย ฮวาเหวินหย่วนเพิ่งจะสิบหก อายุสิบหกใครเล่าจะตั้งตนเป็นกบฏได้
เพราะต่างฝ่ายต่างกลบเกลื่อนกัน สุดท้ายจึงสั่งให้แม่ทัพเฉียนไปคุ้มกันชายแดนหานเฉิงจริงๆ
ส่วนฮวาเหวินหย่วนกำลังควบม้าอย่างสง่างามดุจเทพสวรรค์ เรียกให้เฮ่อต้าฉุยเปิดประตูอยู่นอกเมือง “กบฏอวดดี จงรีบเปิดประตูเดี๋ยวนี้!”
“จุๆ แบบนี้มันไม่เข้าทำนองขโมยตะโกนจับโจรเหรอ เจ้าเป็นกบฏ ข้ารู้ว่าข้าเองก็เป็นกบฏ แต่ตราบใดที่ข้าไม่พูด ข้าก็สามารถอ้างความชอบธรรมกำจัดเจ้าได้อยู่ดี”
ลู่อวี๋นั่งมองความครึกครื้นอยู่ตรงศาลาบนเนินเขานอกเมือง พูดกับหมิงเยี่ยนที่ก้มหน้าวาดรูป “เหมือนกับพ่อแม่ผมเลย ผมรู้ว่าตัวเองไม่ใช่ลูกแท้ๆ พวกเขาก็ยังพูดออกมาว่า ‘ทำไมถึงคลอดเด็กไม่เอาไหนอย่างแกออกมาได้’ ”
ลู่อวี๋พูดจบก็แทะเมล็ดกวยจี๊แก๊บๆ ต่ออย่างแสนลำพองใจ คิดจะเอากระแสสังคมมากดดัน เดี๋ยวเจอข้าวางปมเงื่อนดักล่วงหน้า ตระกูลลู่อย่าคิดจะมาหาเรื่องกันเลยดีกว่า
เขาแค่พูดลอยๆ ออกไปเป็นการขุดหลุมวางปมเงื่อนไว้ หมิงเยี่ยนกลับฟังแล้วเก็บไปคิด เงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างปวดใจ “นายรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าตัวเองไม่ใช่ลูกแท้ๆ”
หมิงเยี่ยนคิดว่าลู่อวี๋น่าจะรู้ชาติกำเนิดของตัวเองช่วงมัธยมปลาย ตระกูลลู่ก็เพิ่งจะบอกเขาเรื่องนี้หลังจากที่เขาบรรลุนิติภาวะ แต่ตอนนี้ฟังจากที่พูดแล้วคงไม่เป็นอย่างนั้น
ลู่อวี๋สบสายตาที่เต็มไปด้วยความปวดใจสงสารของหมิงเยี่ยน เขาทำตัวไม่ถูกนิดหน่อย เลยหันหนีไปมองสนามรบที่อยู่ไม่ไกลออกไป ทำเป็นพูดด้วยท่าทีสบายๆ “รู้ตั้งแต่น้องชายเกิด”
หมิงเยี่ยนกำหมัดแน่น นั่นเป็นตอนเขาอายุสิบขวบเองนะ “ทำไมล่ะ”
ลู่อวี๋ที่อายุน้อยขนาดนั้น มีไหวพริบดีถึงขนาดมองออกได้ยังไง
ลู่อวี๋จุปาก “เพราะเขาตั้งชื่อให้น้องชายว่าลู่ถิงเจ๋อ* ไง ชื่อแบบนี้แค่ได้ยินก็รู้ว่าเป็นชื่อของประธานจอมเผด็จการที่สั่งให้ปิดถนนทางด่วนทั้งเมืองเพื่อตามหานางเอก ส่วนผมน่ะเรอะ ลู่อวี๋…คุณหนูคุณชายตระกูลเศรษฐีชื่อลู่อวี๋ที่หมายถึงปลาโต้งๆ มันใช่เหรอ”
* มาจากการที่สื่อฮ่องกงขึ้นชื่อด้านการเหน็บแนมและใช้คำรุนแรง เน้นดราม่า
* ถิงเจ๋อ หมายถึงสระน้ำแห่งสายฟ้า
Comments



