everY
ทดลองอ่าน ตื่นมารับภารกิจพิชิตหัวใจคุณสามี เล่ม 2 บทที่ 50-53 #นิยายวาย
ทดลองอ่านเรื่อง ตื่นมารับภารกิจพิชิตหัวใจคุณสามี เล่ม 2
ผู้เขียน : ลวี่เหยี่ยเชียนเฮ่อ (绿野千鹤)
แปลโดย : qMondae
ผลงานเรื่อง : 再少年 (Zai Shao Nian)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 50
โปร
ลู่อวี๋ค้นพบว่าคืนนี้หมิงเยี่ยนมีเค้าลางว่าจะเริ่มใจอ่อนแล้ว จึงถือโอกาสตามน้ำ เกาะหนึบเอาเปรียบอีกฝ่ายอยู่นาน จนถึงเตียงแล้วก็ยังไม่ปล่อยมือ ขนาดในฝันล้วนเป็นอ้อมกอดแสนอบอุ่นกับกลิ่นไม้หอมจางๆ
เช้าวันรุ่งขึ้นลู่อวี๋งัวเงียตื่นขึ้นมา รู้สึกว่าใต้มือข้างขาล้วนอุ่นไปหมด เขาเบิกตาโพลง แล้วเห็นว่าแขนของตัวเองกำลังโอบเอวคอดกิ่วนั่น ส่วนศีรษะก็ซุกอยู่กับซอกคอหมิงเยี่ยน!
เช้าตรู่เช่นนี้ช่างดีงามเหลือเกิน ลู่อวี๋ไม่อยากจะขยับไปไหน เขาซึมซาบอุณหภูมิอันน่าหลงใหลนี้อย่างตะกละตะกลาม แอบหัวเราะกับตัวเองจนส่งเสียงคิกคักๆ ออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
“อืม…” หมิงเยี่ยนตื่นขึ้นช้าๆ ส่งเสียงงึมงำในลำคอเบาๆ ลืมตาขึ้นมาก็เห็นลูกตาคู่โตประหนึ่งลูกกระดิ่งของลู่อวี๋จ้องเขาตาไม่กะพริบ เขาหัวเราะเบาๆ อย่างอับจนปัญญา “ทำอะไร เช้าๆ แบบนี้มันน่ากลัวนะ”
เสียงของคนเพิ่งตื่นติดจะแหบพร่าหลายส่วน หมิงเยี่ยนเหยียดกายเบาๆ จนเกิดการเสียดสีกับท่อนขายาวที่แนบสนิทกับตัวเขา
ลู่อวี๋เพียงรู้สึกราวกับมีกระแสไฟฟ้าแล่นปราดจากต้นขาขึ้นมายังกระดูกสันหลังแล้วพุ่งตรงขึ้นสมอง ก่อนจะตีลังกาวกกลับจากสมองลงไปที่กระดูกสันหลังกับตรงนั้น
จนหมิงเยี่ยนตื่นเต็มตา คนข้างๆ ก็ลุกพรวดจะเข้าห้องอาบน้ำแล้ว “ผมไปอาบน้ำเย็นหน่อยดีกว่า”
“อากาศหนาวๆ แบบนี้นายอาบน้ำเย็นทำไม”
“ความหนาวเหน็บทำให้ผมสดชื่น!”
หมิงเยี่ยนตะแคงตัวนอน ใช้แขนเท้าศีรษะ มองเงาร่างเลือนรางด้านหลังกระจกขัดฝ้าห้องอาบน้ำที่ดูท่าทางลนลาน จุดมุมปากยิ้ม
ทั้งคู่มาถึงบริษัทตอนแปดโมงกว่า เสี่ยวเจียงเชิญให้พวกเขาตรงไปที่ห้องรับรองแขกทันที เพราะพี่ชายท็อปโดเนตอันดับหนึ่ง ‘หนึ่งบทเพลงมิรู้กี่แพรแดง’ มาถึงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ห้องรับรองแขกชั้นบนสุด ชายหนุ่มวัยรุ่นสวมเสื้อผ้าลุคแคชวลสบายๆ กำลังนั่งกินอาหารเช้าที่เสี่ยวเจียงซื้อให้ช้าๆ บนโซฟา เมื่อเห็นลู่อวี๋กับหมิงเยี่ยนมาแล้วก็เงยหน้ายิ้มทักทาย “สุนัขลู่! ประธานหมิง!”
ลู่อวี๋พิจารณาพี่ใหญ่ท็อปโดเนตคนนี้ด้วยความสนใจใคร่รู้ คนคนนี้ดูวัยรุ่นกว่าที่คิด ดูๆ แล้วน่าจะยี่สิบต้นๆ หน้าตาเองก็หล่อเหลาไม่น้อย เวลายิ้มมีลักยิ้มตรงแก้มซ้าย นี่ยิ่งทำให้เขาดูน่ารัก ไร้พิษภัยคุกคาม แน่นอนว่าอาจจะเป็นเพราะใส่ฟิลเตอร์คนรวยด้วย เลยทำให้ทั้งตัวพี่ใหญ่ท่านนี้ดูเหมือนส่องแสงเรืองรองออกมา
แต่ว่าอายุน้อยขนาดนี้ เอาเงินมาจากไหนเยอะแยะ อย่าบอกนะว่าเป็นเด็กเปรตยังไม่บรรลุนิติภาวะที่ผลาญเงินที่บ้านเล่นน่ะ
ลู่อวี๋หัวใจบีบรัด รู้สึกสุ่มเสี่ยงเหมือนของขวัญที่ตัวเองได้มากำลังจะถูกผู้ปกครองของเจ้าเด็กนี่โทรมาฟ้องร้องขอเงินคืน
เสี่ยวเจียงโผล่ออกมาได้ทันเวลา ยื่นคลิปบอร์ดหนีบเอกสารให้หมิงเยี่ยน บนนั้นมีชิปการ์ดหนึ่งใบ “อันนี้คือการ์ดเกมมิ่งของคุณหงครับ ผมจัดการให้เรียบร้อยแล้ว”
ลู่อวี๋มองการ์ดใบนั้น สงสัยอยู่ในใจ เครื่องแคปซูลเกมมิ่งของพวกเขาไม่ต้องใช้การ์ด แล้วเสี่ยวเจียงทำการ์ดเกมมิ่งให้เขาทำไม
เขาเหลือบมองเอกสารในมือหมิงเยี่ยนอีกครั้ง
หงอู่หยาง เพศชาย อายุยี่สิบห้าปี มีบริษัทภายใต้ชื่อเขาสองแห่ง เลขบัตรประจำตัวประชาชน…
โอเค เสี่ยวเจียงผู้มีไหวพริบใช้ข้ออ้างนี้ในการซักประวัตินี่เอง ลู่อวี๋ไพล่แขนไว้ข้างหลังแล้วแอบชูนิ้วโป้งให้เสี่ยวเจียง
เสี่ยวเจียงดันแว่นอย่างถ่อมตัว เดินไปรินชาให้แขก
ดูจากเอกสารของพี่ชายท็อปโดเนตแล้ว เป็นไปได้สูงว่าเขาอาจจะเป็นคุณชายที่โปรยเงินประหนึ่งเป็นดินคนหนึ่ง ลู่อวี๋ถอนหายใจโล่งอก แบบนี้ก็ดี จะได้ลงมือแบบไม่ต้องรู้สึกผิด เขาสบตากับหมิงเยี่ยนหนึ่งที อีกฝ่ายส่ายหน้าเบาๆ เป็นเชิงบอกว่าไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของนายน้อยท่านนี้มาก่อน คิดว่าอาจจะเป็นลูกชายตระกูลเศรษฐีที่ปิดบังฐานะในวงสังคม
“พี่ใหญ่ พอใจกับมื้อเช้าไหม” ลู่อวี๋ส่งยิ้มอบอุ่นยิ่งกว่าเดิมออกมา ก่อนลงไปนั่งบนที่วางแขนโซฟาข้างๆ พี่ใหญ่
“ไม่เลว” คุณชายหงมองเสี่ยวเจียง ดวงตาเป็นประกาย “เลขาฯ คนนี้ของนายไม่เลวเลย ขายเปล่าอะ”
ลู่อวี๋หมดคำพูด “พี่ใหญ่ นี่คิดจะใช้เงินซื้อหมดทุกอย่างเลยหรือไงหา ไม่ขาย!”
คุณชายหงเบะปาก “นายเรียกฉันว่าพี่อู่ก็ได้ เพื่อนฉันเรียกงี้กันหมด”
“ได้ พี่อู่” ลู่อวี๋ไหลตามเป็นสายน้ำ ถึงแม้พี่ใหญ่ท่านนี้จะเด็กกว่าเขาก็เถอะ
คุณชายหงหันไปมองหมิงเยี่ยนที่ยืนเป็นสง่าราศี ยิ้มโชว์ลักยิ้ม “ประธานหมิง เรียกผมว่าเสี่ยวอู่ก็ได้นะครับ”
“ฮะ?” ลู่อวี๋ไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที เอียงตัวบังสายตาของหงอู่หยาง “ทำไมต้องสองมาตรฐานด้วยหา”
“นี่เป็นความเคารพที่มีต่อพี่สะใภ้” สหายเสี่ยวอู่พูดเสียงเบา แล้วเสริมต่อท้ายไปอีกประโยค ในขณะที่รอยยิ้มของลู่อวี๋ค่อยๆ เริ่มเป็นมิตร “ภรรยานายน่ามองจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะฉันเป็นผู้ชายแท้ๆ คงถามไปแล้วว่าจ้างให้นายยอมปล่อยมือต้องจ่ายเท่าไหร่”
ลู่อวี๋หมดคำพูด “โลกนี้มีอะไรที่นายไม่ใช้เงินซื้อบ้าง ถ้านายไม่มีที่ให้ละลายเงิน งั้นส่งของขวัญมาให้ฉันหมดเลยก็ได้ ฉันไม่ถือสา”
รอจนพี่ใหญ่กินมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อย ลู่อวี๋ก็พาเขาไปห้องไลฟ์สตรีมทันที เพื่อเลี่ยงไม่ให้เขาเกิดความอยากซื้อที่ไม่จำเป็นต่อทรัพย์สินอื่นๆ ของบริษัท เมื่อเข้ามาในห้องปฏิบัติการแล้วลู่อวี๋ก็กำชับซ้ำๆ กับเจ้าหนุ่มที่พิจารณาแคปซูลเกมมิ่งด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า “นายเล่นได้แค่บททหารตำแหน่งเล็กๆ นะ จะมีบทพูดเยอะเกินไปไม่ได้ พยายามเลี่ยงการพูดคุยกับฮวาเหวินหย่วน จะได้ไม่กระทบต่อกระบวนการปรับแก้ของเขา”
“วางใจได้” คุณชายหงว่าง่ายเหมือนสายน้ำ ลงไปนั่งในแคปซูลอย่างเชื่อฟัง ให้หยางเฉินรัดเข็มขัดนิรภัยให้ “เร็วเข้า รีบเริ่มเร็ว เทพธิดาจื่อสยา* ของฉัน โอ๊ยๆๆ ฉันจะต้องได้เห็นเทพธิดาออกโรงกับตาตัวเอง!”
เทพธิดาจื่อสยาอะไร
ลู่อวี๋มุมปากกระตุก สวมหมวกกันน็อก เริ่มการไลฟ์
ในล็อบบี้เตรียมตัว เหล่าผู้ชมพบว่าข้างๆ ลู่อวี๋กับหมิงเยี่ยนมีคนเพิ่มขึ้นมาอีกคน
ลู่อวี๋มองไปยังมุมมองหลัก เอ่ยแนะนำทุกคน “ท่านผู้นี้คือพี่ใหญ่ท็อปโดเนต ‘หนึ่งบทเพลงมิรู้กี่แพรแดง’ วันนี้มาให้คำชี้แนะเกี่ยวกับงานที่เฉินอวี๋เทคโนโลยี รับบทพลทหาร ก ตัวประกอบ”
คุณชายหงแต่งชุดผ้าเนื้อหยาบซอมซ่อ โบกมือให้ผู้ชมที่มองไม่เห็นอย่างดีอกดีใจ
ซับกระสุน
[เชี่ยเอ๊ย ไม่นึกว่าท็อปโดเนตจะได้อภิสิทธิ์แบบนี้ด้วย!]
[อ๊ากกก น้ำตาแห่งความอิจฉามันไหลออกมาจากปาก!]
[ฉันก็อยากไปเล่นบ้าง ฮือออ เสียดายที่ฉันจน พวกคนรวยน่ารังเกียจเอ๊ย!]
ท่ามกลางเสียงร้องโหยหวนของทุกคน เนื้อเรื่องได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
ฮวาเหวินหย่วนยึดเมืองของเฮ่อต้าฉุยได้แล้ว บัดนี้กำลังเก็บกวาดสนามรบ
หมิงเยี่ยนรีบวาดชุดพลทหารให้กับพี่ใหญ่ท็อปโดเนต ให้เขาปะปนเข้าไปในกลุ่มทหารด้านหลัง
ลูกน้องของเฮ่อต้าฉุยล้วนเป็นพวกไร้กำลังความสามารถ อ่อนแอเปราะบาง คุ้มกันเมืองไม่เป็นเลยสักนิด เพียงบุกตีสองสามทีก็หนีหัวซุกหัวซุนไปคนละทิศละทาง เฮ่อต้าฉุยยอมให้จับแต่โดยดี รวมถึงค้อนดาวตกยาวสามฉื่อของเขาก็ถูกมัดลากไปที่กระโจมทหารด้วยกัน
เขาเป็นชายฉกรรจ์ที่สองแขนอัดแน่นด้วยกล้ามเนื้อ แม่ทัพใหญ่ใต้บังคับบัญชาหลายคนก็ล้วนเป็นช่างตีเหล็ก มีอาวุธมีพละกำลัง แต่ไม่มีสมองเท่าไหร่
ฮวาเหวินหย่วนออกคำสั่ง ประหารผู้ฆ่าฟันผู้บริสุทธิ์โดยไม่เลือกหน้า ประหารผู้ฉุดคร่าข่มขืน ประหารผู้กรรโชกทรัพย์สินชาวบ้าน ส่วนคนที่เหลือสามารถกลับบ้านตัวเองได้และจะไม่ไปไต่สวนอีก แน่นอนว่าทหารที่ปะปนมาในกลุ่มกบฏที่ไม่อยากกลับบ้านก็สามารถเข้าร่วมกองทัพ กลายเป็นทหารของฮวาเหวินหย่วนได้ ส่วนหัวหน้ากบฏทั้งหลาย ผู้ที่ยอมจำนนให้อยู่ทำงานตีเหล็ก ผู้ที่ไม่ยอมจำนนให้ประหารเสีย
เฮ่อต้าฉุยคุกเข่าอยู่กลางกระโจม มองฮวาเหวินหย่วนจัดการสั่งงาน แล้วค่อยๆ รู้สึกถึงความไม่ถูกต้อง “ท่านแม่ทัพ วิถีเช่นนี้ของท่านดูไม่เหมือนวิถีของทหารทางการเลยขอรับ”
หากเป็นทหารทางการ หัวหน้ากบฏเช่นพวกเขาย่อมถูกลากไปตัดหัวเป็นแน่ แล้วยังต้องประหารทั้งตระกูลเก้าชั่วโคตร แม่ทัพของราชสำนักไหนเลยจะเก็บหัวหน้ากบฏไว้ตีเหล็กหลอมอาวุธให้ตัวเอง นี่มัน…มิใช่การรวมหัวก่อกบฏหรอกหรือ
อย่างอื่นเฮ่อต้าฉุยไม่แน่ชัด แต่ในฐานะช่างตีเหล็กที่มีชื่อในทะเบียนช่างคนหนึ่งแล้ว เขาย่อมรู้กฎเกณฑ์ในการตีเหล็กหลอมอาวุธเป็นอย่างดี
ฮวาเหวินหย่วนยิ้มพลางถามกลับอย่างแฝงนัยลึกซึ้ง “เช่นนั้นเหมือนสิ่งใดเล่า”
เฮ่อต้าฉุยไม่กล้าเอ่ยคำว่า ‘กบฏ’ ออกไป เขาอ้ำๆ อึ้งๆ เป็นครู่ค่อนใหญ่
“นี่ดูแล้ว…เป็นวิถีทางเช่นเดียวกับข้า ทว่าท่านแม่ทัพเก่งกาจกว่าข้ามากนัก” ช่างตีเหล็กที่ขึ้นมาเป็นกบฏได้ อย่างไรก็ต้องมีสมองอยู่บ้าง เขารีบเสริมอีกหนึ่งประโยค “ข้าอยู่ต่อไปไม่ไหวจริงๆ ราชสำนักต้องการกำราบพวกต๋าจื่อจึงเร่งให้พวกข้าตีเหล็กหลอมอาวุธทั้งวันทั้งคืน เจ็บไข้ได้ป่วยจนกระอักเลือดก็ไม่อนุญาตให้หยุดพัก ทุกวันล้วนมีคนตายด้วยความอ่อนแรงไปหลายคน”
ช่างตีเหล็กอีกคนด้านหลังเขาพอได้ยิน ความโศกเศร้าก็พรั่งพรูออกมาจากอก ร้องไห้ฟูมฟาย “พ่อข้า ลูกชายข้าล้วนตายตกกันหมด ฮือออ ข้ายังมีลูกชายที่ยังเล็กอีกหนึ่งคน พวกเขาก็ให้ลงทะเบียนช่าง เขาเพิ่งจะอายุได้สิบสาม ข้าจะเสียลูกชายไปอีกไม่ได้!”
พลทหาร ก ลอบใช้หัวไหล่ตัวเองปาดน้ำตาทั้งที่ยังยืนถือหอกจ่อหลังของช่างตีเหล็ก
ฮวาเหวินหย่วนตบไหล่เฮ่อต้าฉุย “เจ้ากับสหายช่างตีเหล็กของเจ้า ต่อจากนี้มาติดตามข้าเถิด ข้าจะจัดกำลังคนที่เพียงพอให้เจ้า จะมิให้พวกเจ้าเหน็ดเหนื่อยจนตายตก จากนั้นพวกเจ้าก็จะไม่ใช่ช่างในทะเบียนช่างอีก หากเจ้าทำอาวุธดีๆ ให้ข้า ข้าจะเลื่อนตำแหน่งให้พวกเจ้า”
เฮ่อต้าฉุยโขกศีรษะด้วยความฮึกเหิมทันใด “ข้าขอสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อท่านแม่ทัพจนตัวตาย!”
นายอำเภอในเมืองเล็กๆ นี้ถูกเหล่ากบฏฆ่าตาย ที่ว่าการอำเภอก็ถูกคนมุทะลุกลุ่มนี้จุดไฟเผาเหี้ยน เดิมฮวาเหวินหย่วนคิดจะจัดการงานต่างๆ ในที่ว่าการอำเภอ บัดนี้เมื่อเห็นซากระเกะระกะแล้วเขาทำได้เพียงกลับไปที่กระโจม พักอาศัยอยู่ที่ค่ายใหญ่นอกเมืองเหมือนเคย
บัณฑิตที่รับสมัครมาก่อนหน้านี้จำนวนหนึ่งตามทหารไปจดบันทึกสภาพคร่าวๆ ตระกูลร่ำรวยในเมืองนี้มอบเงินและเสบียงกรังให้ช่างตีเหล็กจึงถูกฆ่าไปไม่มาก ทว่าพวกกบฏยึดเมืองไว้เกินเดือนแล้ว เหล่าเจ้าหน้าที่ในที่ว่าการอำเภอล้วนถูกฆ่าหมด นอกเมืองไร้ผู้ใดดูแล ตระกูลใหญ่ในชนบทสองตระกูลก็ถูกพวกโจรปล้นหมดเกลี้ยง
โจรพวกนั้นลงมือค่อนข้างเหี้ยมโหด ปล้นเอาเงินทองเสบียงอาหารไปไม่พอ ยังสังหารคนแก่ไปยันเด็กเล็กยกบ้าน โหดร้ายจนไม่อาจทนมอง
เซี่ยฉงอวิ๋นออกปากเอ่ยอาสาไปกวาดล้างพวกโจรบนเขาบริเวณนี้ แล้วได้รับการอนุญาตจากฮวาเหวินหย่วน ในความตื่นเต้นก็เกิดความรู้สึกกังวลอย่างเลี่ยงไม่ได้ “ท่านพี่ เป็นอันว่าบัดนี้พวกเราแปรเป็นกบฏแล้วถูกหรือไม่”
ฮวาเหวินหย่วนเหลือบสายตามองเขา “ถูกแล้ว เจ้ามานึกเสียใจตอนนี้ก็สายไปแล้ว”
“นึกเสียใจอันใดกันเล่า สิ่งนี้ล่ะงานอันใหญ่หลวงที่ข้านึกฝันถึง!” เซี่ยฉงอวิ๋นชูกำปั้นขึ้นฟ้า
ฮวาเหวินหย่วนถอนหายใจ “เจ้าตั้งนามใหม่ให้ตัวเองเถอะ อย่าให้เกี่ยวพันไปถึงตระกูล”
ยามนี้องค์ฮ่องเต้ยังทำอะไรกับสกุลฮวาไม่ได้ แต่ว่าสกุลเซี่ยนั้นล้วนเป็นบัณฑิตอ่อนแอ หากข่าวแพร่ออกไปว่าลูกหลานสกุลเซี่ยเป็นพวกกบฏก็เป็นอันตรายแล้ว
เซี่ยฉงอวิ๋นครุ่นคิด “เช่นนั้นก็เรียกข้าว่าจ้าวจื่ออวิ๋นแล้วกัน!” จ้าวอวิ๋น* ต้นแบบในดวงใจของเขา มีนามรองว่าจื่อหลง จับมารวมกันก็กลายเป็นชื่อเล่นของเขา
ฮวาเหวินหย่วนหมดคำพูดไปครู่ใหญ่ “…เอาเถอะ ตามใจเจ้า”
เซี่ยฉงอวิ๋นไปเรียกตัวทหารอย่างเริงร่า ครั้นเห็นพลทหาร ก ถือหอกผู้นั้นดูท่าทางไม่ธรรมดาก็ชี้ตัวเขา “เจ้า ตามข้ามา”
“ข้าไม่ไป” พลทหาร ก หงอู่หยางปฏิเสธเด็ดขาด
เซี่ยฉงอวิ๋นถลึงตากว้าง
ลู่อวี๋รีบเข้าไปแก้สถานการณ์ “พลทหารนายนี้เป็นทหารทำงานจิปาถะให้อาสะใภ้รองของเจ้า ข้าเพิ่งจะสั่งให้เขาไปซื้อพู่กันและหมึกในเมือง เขาไปกับเจ้าไม่ได้”
“ไม่ได้เรื่องจริงๆ” เซี่ยฉงอวิ๋นเบ้ปาก มองท่านอาสะใภ้ชายซึ่งท่าทางประดุจเซียนแวบหนึ่งแล้วพูดคำต่อว่าใดๆ ไม่ออก ทำได้เพียงจากไปด้วยความคับแค้นใจ
“สุนัขลู่ ใช้ได้เลย” พลทหาร ก ถองศอกใส่ลู่อวี๋หนึ่งที เขาจะไม่ไปจากตรงนี้เด็ดขาด เพราะฉากที่เขารอคอยกำลังจะมาถึงแล้ว
ที่นาของตระกูลใหญ่ที่อยู่นอกเมืองมีเยอะมาก บัดนี้ได้กลายเป็นพื้นที่ไร้เจ้าของ สามารถแบ่งให้กับลูกน้องได้ ผู้รับผิดชอบงานธุรการในเมืองก็ต้องจัดการเรื่องนี้ ทว่าขุนนางในที่ว่าการอำเภอล้วนถูกสังหารหมดสิ้น บัณฑิตที่รับสมัครเข้ามาชั่วคราวก็แค่รู้หนังสืออ่านบัญชีเป็นแต่มิอาจทำหน้าที่ขุนนาง ตอนนี้จึงไม่มีใครที่ใช้งานได้เลย
ท่านอารองใจดำของเขาไม่ยอมให้อาสะใภ้รองช่วยเหลือเขาอีก
ฮวาเหวินหย่วนมองงานที่กองเป็นภูเขาอยู่ตรงหน้า พลันรู้สึกปวดหัวตุบๆ
เวลานี้ทหารใต้บังคับบัญชาเข้ามารายงาน “เรียนท่านแม่ทัพ มีบัณฑิตผู้หนึ่งมาขอเข้าร่วมกับเราขอรับ”
“หืม?” ฮวาเหวินหย่วนเงยหน้าด้วยความฉงน เขายังไม่ทันประกาศก่อกบฏชัดเจนเลย เหตุใดถึงได้มีคนมาขอเข้าร่วมแล้วเล่า
พลทหาร ก ยืนข้างหลังลู่อวี๋ ดึงแขนเสื้อกว้างๆ ของหมิงเยี่ยนอย่างตื่นเต้น แต่ถูกลู่อวี๋ปัดออก จึงเปลี่ยนไปดึงแขนเสื้อลู่อวี๋แทน “มาแล้วๆ จะมาแล้ว!”
ลู่อวี๋อุดปากเขา ลากไปที่มุมหนึ่ง “เบาเสียงหน่อย”
ฮวาเหวินหย่วนเชิญบัณฑิตคนนั้นเข้ามา
ผ้าม่านของกระโจมพลันถูกเลิกขึ้น เห็นชายหนุ่มหน้าตางดงามวัยสิบหกสิบเจ็ดปี สะพายกล่องตำราทำจากไม้ไผ่ เดินเข้ามาด้วยดวงตาเปื้อนยิ้ม รอจนเขายืนนิ่งและได้มองอย่างละเอียดอีกคราถึงพบว่าความจริงแล้วอีกฝ่ายไม่ได้ยิ้ม เพียงแต่มีดวงตาดอกท้อ คิ้วตาแต้มรอยยิ้มมีมาแต่กำเนิด ดูแล้วเป็นคนรู้จักเอาตัวรอด เข้ากับคนได้ทุกทาง เป็นที่ชื่นชอบของผู้คนอย่างยิ่ง
ชายหนุ่มคนนั้นยกมือคารวะ เอ่ยเสียงกังวาน “ข้าน้อยเสิ่นอิง เป็นจวี่เหริน* ที่เดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อสอบจ้วงหยวน”
เสิ่นอิง…
ฮวาเหวินหย่วนได้ยินนามนี้แล้วพลันผุดลุกขึ้นอย่างอดไม่ได้ ชื่อนี้เขาเคยได้ยินมาก่อน เพราะว่าจวี่เหรินน้อยแซ่เสิ่น นามอิง นามรองจื่อสยาผู้นี้จะได้เป็นจ้วงหยวนในการสอบช่วงฤดูใบไม้ผลิ** ของปีหน้า!
บัณฑิตจ้วงหยวนอัจฉริยะวัยสิบเจ็ดปี
ในปีที่ฮวาเหวินหย่วนตาย คนผู้นี้ก็เลื่อนขั้นกลายเป็นขุนนางใหญ่อย่างรวดเร็ว
ฮวาเหวินหย่วนย่างเท้าเข้าไปประคองบัณฑิตน้อยผู้นั้นด้วยมือเดียว “เสิ่นจวี่เหรินมาที่นี่ด้วยเหตุอันใด หากมีความลำบากในการเดินทางเข้าเมืองหลวง เช่นนั้นต้องให้ผู้แซ่ฮวาส่งคนไปคุ้มกันหรือไม่”
เสิ่นอิงเงยหน้าขึ้น หยีตายิ้มมองฮวาเหวินหย่วน “ข้าน้อยยังอ่อนหัด ตั้งใจมาเข้าร่วมก่อกบฏ”
* เทพธิดาจื่อสยา เป็นตัวละครจากภาพยนตร์เรื่องไซอิ๋ว เดี๋ยวลิงเดี๋ยวคน 2 เป็นเทพธิดาจากสรวงสวรรค์ที่ลงมาตามหารักแท้ชั่วนิรันดร์บนโลกมนุษย์
* จ้าวอวิ๋น นามรองจื่อหลง (จูล่ง) เป็นตัวละครจากวรรณกรรมจีนเรื่องสามก๊ก มีชื่อเสียงด้านความกล้าหาญ ซื่อสัตย์ และภักดีต่อเล่าปี่
* จวี่เหริน เป็นคำเรียกผู้ที่ผ่านการสอบขุนนางในระดับเซียงซื่อ และมีสิทธิ์เข้าสอบในระดับฮุ่ยซื่อ
** การสอบช่วงฤดูใบไม้ผลิ หรือการสอบฮุ่ยซื่อ เป็นการสอบขุนนางในระดับเมืองหลวงที่จัดขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ผลิ โดยผู้ที่สามารถเข้าสอบได้คือจวี่เหรินซึ่งเป็นบัณฑิตที่สอบผ่านในระดับมณฑล
Comments



