everY
ทดลองอ่าน ตื่นมารับภารกิจพิชิตหัวใจคุณสามี เล่ม 2 บทที่ 54-57 #นิยายวาย
บทที่ 55
โรแมนติก
“ลู่อวี๋?” ลู่เจินนีตกใจตัวโยน เธอหวาดผวากลัวว่าวินาทีต่อมาเล็บจะถูกดีดกระเด็นมีเลือดสาดกระจาย จึงรีบเก็บนิ้วทันที
ช่วงนี้ลู่อวี๋ดูแปลกๆ มักจะทำให้เธอนึกถึงลู่อวี๋วัยสิบหกสิบเจ็ดที่บ้าคลั่ง หัวขบถคนนั้น ที่วันๆ เอาแต่จะจัดการเธอ เธอไม่กล้าพนันแม้แต่นิดเดียว
ผู้ชายข้างๆ เดินขึ้นมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ชำเลืองมองลู่อวี๋ที่แต่งกายแฟชั่นจัดเต็ม ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “พี่เจินนี คนนี้ใครเหรอ” เขาได้ยินชื่อลู่อวี๋ อย่าบอกนะว่าเป็นเถ้าแก่ของเฉินอวี๋เทคโนโลยีที่กำลังดังอยู่ในช่วงนี้น่ะ
ชายหนุ่มนับว่าหน้าตาหล่อเหลาแต่ดูขลาดกลัว อยากออกมาเข้าสังคมแต่ก็ดูลังเล สุดท้ายเลยถอยกลับไปเซฟโซนให้ลู่เจินนีเป็นคนเอ่ยแนะนำ
หมิงเยี่ยนเข้าใจแล้ว ผู้ชายคนนี้ต่างหากคือหนุ่มหน้ามนที่ลู่เจินนีอุปถัมภ์อยู่ ลู่เจินนีชอบเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐาน เลยคิดว่าเขาก็กำลังอุปถัมภ์หนุ่มมหาวิทยาลัยเหมือนตัวเอง จะว่ายังไงดี ลู่เจินนีคนนี้บางทีก็ตลกดีเหมือนกัน
ลู่อวี๋ประหนึ่งได้ยินความคิดของหมิงเยี่ยน เขายอมไม่ได้อย่างยิ่ง เขาจะต้องเป็นคนตลกกว่าลู่เจินนีให้ได้ เชิดคางเอ่ย “ฉันเป็นปู่ลำดับที่เก้าของยัยลู่เจินนี คนต่ำๆ อย่างนายน่ะ ฉันไม่อนุญาตให้เหยียบเข้าประตูตระกูลลู่เด็ดขาด ขอแนะนำให้นายรีบยอมแพ้ซะตั้งแต่เนิ่นๆ”
หมิงเยี่ยนหวิดจะพ่นเครื่องดื่มออกมา เบี่ยงหน้าแอบหัวเราะ
ชายคนนั้นคอหด ไม่กล้าพูดจา
ลู่อวี๋ยังสะใจไม่พอ พูดด้วยความหวังดี “ปู่คนนี้จะแนะนำอะไรนายให้นะ หางานมั่นคงทำ อย่าคิดแต่จะเกาะสาวสวยหมวยรวยกิน จะว่าไปลู่เจินนีของพวกเราไม่ได้สวยหมวยรวยสักเท่าไหร่นี่นา ขนาดผ่านไปสิบปีแล้วยังใช้รถคันเดิมอยู่เลย”
ลู่เจินนีโมโหสุดขีด กระแทกส้นสูงสิบสามเซนติเมตร “พูดเพ้อเจ้ออะไรของนาย นายเป็นปู่ของใครกันยะ นาย…”
ที่จริงเธอไม่ได้เสียงดังนัก แต่เสียงแหลมปรี๊ด เสียงแหลมๆ นี้สามารถดังไปได้ไกล ไม่ช้าก็ดึงดูดความสนใจของผู้คนรอบๆ มาให้มามุงดู
คนที่ตีตัวตุ่นได้ครึ่งหนึ่งก็ตีไม่โดนอีกเลยสักตัวเพราะมัวแต่หันมาดูความครึกครื้น ในเมื่อเสียเหรียญเกมไปโดยเปล่าประโยชน์แล้วเลยวิ่งมาดูซะเลย คนที่มาถึงช้าถามคนรอบๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น นักรบปราบตัวตุ่นผู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดไล่อธิบายให้ทุกคนฟังอย่างมีน้ำใจ “หลานสาวใช้เงินเลี้ยงต้อยหนุ่มหน้ามนแล้วปู่มาเจอเข้า กำลังโดนสั่งสอนอยู่เลย”
“ไหนปู่”
“คนนั้นน่ะ ที่สวมฮู้ดใหญ่ๆ น่าจะเป็นแบบลำดับญาติสูงกว่าแต่อายุน้อย เห็นว่าเป็นปู่ลำดับสิบเก้าอะไรสักอย่าง”
หนุ่มหน้ามนคนนั้นเห็นสายตาลู่เจินนีค่อยๆ แปลกไป เขาเป็นแค่นักแสดงตัวเล็กๆ สองปีนี้หางานไม่ได้ เลยอยากจะอาศัยเส้นสายจากเมียรวยๆ ลู่เจินนีบอกว่าจะช่วยดันเขา ใช้เส้นสายแนะนำงานให้เขา ที่บ้านเธอร้ายกาจอย่างนู้นอย่างนี้ เขาเลยติดตามเธอต้อยๆ
ตอนนี้คิดดูแล้วลู่เจินนีดูเหมือนจะมีแต่เปลือก ข้างนอกสุกใส ข้างในเป็นโพรง จนถึงตอนนี้ไม่เห็นเธอจะใช้เส้นสายแนะนำงานอะไรให้เขาเลยสักอย่าง รถสปอร์ตที่ขับบ่อยๆ ก็เป็นรุ่นเมื่อสิบปีที่แล้วจริงๆ
ลู่เจินนีโมโหจนหน้าดำหน้าแดง เสียงก็สูงขึ้นเรื่อยๆ
ลู่อวี๋เตือนเธอเสียงเบา “ลู่เจินนี มีคนดูอยู่ตั้งเยอะแยะ อย่าเอะอะนักสิ โดนถ่ายคลิปโพสต์ลงเน็ตขึ้นมาคนที่จะขายหน้าไม่ใช่ฉันหรอกนะ”
ลู่เจินนีกัดฟัน จนลู่อวี๋หันหลังเตรียมจะเดินออกไป จู่ๆ เธอก็เอ่ย “ฉันไม่รู้หรอกนะว่าช่วงนี้นายกำลังอวดดีอะไรอยู่ นายไม่อยากร่วมมือทำสมองอัจฉริยะกับตระกูลลู่แล้วเหรอ ต้องให้ฉันเตือนนายหน่อยไหมว่ามีแค่ตระกูลลู่เท่านั้นที่ได้รับใบอนุญาตเข้าร่วมสมาพันธ์ปัญญาดิจิตอลน่ะ”
ลู่อวี๋ชะงักฝีเท้า หันกลับไปมองเธอ ชูนิ้วบอกให้เธอเงียบๆ ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
คนรอบๆ ยังคงมุงดูถ่ายคลิป ลู่เจินนีตกใจกลัวนึกว่าตัวเองเผลอหลุดปากอะไรไป เธอกลับมาทำท่าทางเหมือนคุณผู้หญิง สั่งให้ฝูงชนออกไป “ถ่ายอะไรคะ ใครกล้าโพสต์ลงเน็ตฉันเรียกทนายมาฟ้องคุณแน่ค่ะ” ว่าจบก็ลากดาราเล็กๆ คนนั้นจากไป
จนทุกคนยังอินไม่หาย ลู่อวี๋ก็หายวับไปแล้ว
ลู่อวี๋ถอดเสื้อนอกสีม่วงสะดุดตาออก เปลี่ยนมาสวมสีเขียว ยังคงดึงฮู้ดใหญ่ๆ คลุมหัว เสร็จถึงรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง
หมิงเยี่ยนยกมือขึ้นดึงหมวกฮู้ดเขาลง เม้มปากกลั้นขำ “ถ้าเป็นสีเขียวก็อย่าสวมเลยเถอะ”
หมวก…สีเขียว
ลู่อวี๋ฮึมฮัมในลำคอ คว้ามือหมิงเยี่ยนแล้วเผยยิ้มชั่วร้าย “พี่ว่าถ้าตอนนี้พี่คบกับผม จะถือว่าเป็นการสวมหมวกเขียวให้ลู่ต้าอวี๋หรือเปล่า”
หมิงเยี่ยนมองลู่อวี๋ที่กำลังชูคอลำพองอย่างยากจะอธิบาย ไม่รู้เขากำลังดีใจอะไร
ทั้งสองก้าวฉับๆ ไปอีกห้างหนึ่ง ในที่สุดก็หลุดออกจากความอึดอัดใจที่ต้องถูกล้อมมุง แล้วลู่อวี๋ถึงถามขึ้น “ใบอนุญาตเข้าร่วมสมาพันธ์ปัญญาดิจิตอลคืออะไร”
หมิงเยี่ยนครุ่นคิด ส่ายหน้าเป็นเชิงตอบว่าตนก็ไม่แน่ใจ
เขาถอดสมองอัจฉริยะบนข้อมือซ้ายออกมาพลิกดูด้านหลังหน้าปัด บนนั้นมีตรา IDU ของสมาพันธ์ปัญญาดิจิตอล “สมองอัจฉริยะทุกตัวจะมีตรา IDU นี้ทั้งหมด พวกเราไม่ได้ผลิตสมองอัจฉริยะ เลยไม่เกี่ยวข้องกับสมาพันธ์นี้ ฉันเดาว่าน่าจะคล้ายๆ กับใบอนุญาตการเข้าถึงข้อมูล เหมือนที่จะมีด้านหลังโทรศัพท์มือถือทุกเครื่องน่ะ”
ลู่อวี๋ขมวดคิ้ว ในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่าทำไมอารองลู่ถึงได้อวดดีขนาดนั้น ถ้าอยากจะผลิตสมองอัจฉริยะเชิงพาณิชย์ก็ไม่มีทางมองข้าม IDU นี้ได้ ตระกูลลู่ผลิตโทรศัพท์มือถือมาหลายปีขนาดนั้น ย่อมต้องมีช่องทางพิเศษอยู่ในนั้นบ้าง
หรือที่แผนธุรกิจผลิตสมองอัจฉริยะของลู่ต้าอวี๋ถูกพับเก็บไปคงไม่ใช่ว่าติดแหง็กตรงนี้?
หมิงเยี่ยนใช้นิ้วโป้งนวดหว่างคิ้วลู่อวี๋ “ไม่ต้องไปสนใจเธอ พวกเราไม่ได้ผลิตสมองอัจฉริยะสักหน่อยนี่” เขาไม่ต้องการให้ลู่เสี่ยวอวี๋ได้รับอิทธิพลลบจากตระกูลลู่ จึงรีบเบี่ยงเบนหัวข้อสนทนาทันที
ลู่อวี๋กลับมารู้สึกตัว มองหมิงเยี่ยนที่ดูเหมือนไม่รู้เบื้องหน้าเบื้องหลังอะไรเลยแล้วยกยิ้ม “ไปกัน พวกเราทำโปรแกรมสุดท้ายของเดตในห้างให้เสร็จกันเถอะ ไปกว้านซื้อของแบรนด์เนมกัน!”
หมิงเยี่ยนถูกเขาลากแขนเดินมุ่งหน้าไปอย่างช่วยไม่ได้ “อย่าซื้อของอะไรโดยไม่จำเป็น ที่บ้านไม่ได้ขาดอะไร”
ตอนนี้บริษัทยังอยู่ในช่วงลำบาก ยังไม่ถึงเวลาที่จะใช้เงินเป็นเบี้ยได้ ในฐานะที่หมิงเยี่ยนเป็นดีไซเนอร์คนหนึ่ง เสื้อผ้า เครื่องประดับในบ้านเขาก็เป็นคนจัดการซื้อเอง และทั้งหมดนั้นก็ล้วนเป็นแบบที่สวยและไม่สิ้นเปลืองเงิน สิ่งที่ควรมีก็มีหมดแล้ว ไม่จำเป็นต้องเพิ่มอะไรเข้าไปอีก
ลู่อวี๋รู้ว่าเขาไม่อยากให้ใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายจึงเอ่ย “เมื่อวานพี่ใหญ่โดเนตให้คอลัมน์นิยายของผมมาแสนนึง หักค่าธรรมเนียมแพลตฟอร์มแล้วก็เหลือห้าหมื่น งั้นพวกเราซื้อในงบห้าหมื่นโอเคไหมครับ”
หมิงเยี่ยนคิดครู่หนึ่ง “ได้ ลาภที่ได้มาแบบไม่คาดคิด เมื่อได้มาแล้วก็ควรจะเอาไปใช้สักหน่อยจริงๆ นั่นแหละ”
ลู่อวี๋เพิ่งจะเคยได้ยินคำพูดแบบนี้ครั้งแรก “พี่กลายเป็นคนงมงายตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย” พอพูดขึ้นมาเขาก็ฉุกนึกขึ้นได้ หมิงเยี่ยนในสิบปีข้างหน้าดูให้ความสนใจกับเรื่องพวกนี้มากกว่าเมื่อก่อนจริงๆ พวกโชคลาภเอย ฮวงจุ้ยเอย ตอนพาเขาไปหาหมอยังจุดธูปไหว้จางจ้งจิ่งด้วย
“ช่วยไม่ได้ ก็อายุเยอะแล้วนี่นา” หมิงเยี่ยนเลียนแบบน้ำเสียงของคุณแม่ตัวเอง พูดเชิงหยอกล้อ
พี่เยี่ยนของเขาทำเสียงน่ารักเป็นด้วย! ลู่อวี๋ถูกหางเสียงคำว่า ‘นี่นา’ นุ่มฟูนั่นโจมตีจนซู่ซ่าไปทั้งตัว ก่อนถูกหมิงเยี่ยนดึงแขนเดินไปข้างหน้าอย่างโง่งม “พี่เยี่ยน พี่…พี่พูดแบบเมื่อกี้อีกรอบได้ไหม”
หมิงเยี่ยนมองเขาตาเขียว
ลู่อวี๋ถึงเพิ่งรู้ตัวว่าการให้คนอื่นพูดว่าตัวเองอายุมากแล้วอีกรอบเป็นสิ่งที่น่าโดนต่อยมากจริงๆ เขาหัวเราะแหะๆ ขยับเข้าไปคลอเคลีย “ผมแค่อยากฟังหางเสียงน่ารักๆ หลังจากนี้พี่พูดกับผมแบบนี้ได้ไหมครับ”
ถ้าอยู่บนเตียงแล้วพี่เยี่ยนพูดออกมาว่า ‘ใหญ่เกินไปแล้วนะ’ ‘อย่าเร็วได้ไหมนะ’ เขาต้องเลือดสูบฉีดอย่างกับฉีดเลือดไก่เต็มโดส แล้วทำสงครามสู้รบได้อีกห้าร้อยปีชัวร์ๆ
“ฝันไปเถอะ” หมิงเยี่ยนยิ้มชำเลืองมองเขา แสงวาววับเคลื่อนไหวอยู่ในดวงตาคู่งาม จนลู่เสี่ยวอวี๋ที่ไม่เคยได้พบเจออะไรแบบนี้จากอีกฝ่ายถึงกับสมองหยุดทำงาน
เดินเล่นไปรอบหนึ่ง ลู่อวี๋ก็เดินมาถึงหน้าร้าน RZ
แบรนด์นี้มีบุญคุณความแค้นกับหมิงเยี่ยนเยอะจนเล่าไม่หมด เขาอยากจะเห็นเหลือเกินว่าแบรนด์นี้มีอะไรโดดเด่นตรงไหนกันแน่ เมื่อเห็นหมิงเยี่ยนดูไม่ได้ตั้งแง่อะไรกับมันก็ยกเท้าก้าวเข้าไปในร้าน
แบรนด์ RZ มีสินค้าหลากหลาย แต่เน้นขายอัญมณีและนาฬิกาข้อมือเป็นหลัก
อาจเพราะกิจการนาฬิกาข้อมือซบเซาลงมาก ยอดขายของ RZ จึงตกต่ำไปด้วย แต่ก็ยังมีเครื่องประดับอัญมณีช่วยหนุนไว้ได้ เลยไม่ได้ล้มลงในทีเดียวเหมือนกับหมิงรื่อวอตช์อินดัสทรี
ลู่อวี๋มองรอบๆ แล้วถูกสร้อยข้อมืออัญมณีเส้นหนึ่งดึงดูด
มันเป็นสร้อยข้อมือฝังอัญมณีเจ็ดเม็ด แต่ละเม็ดล้วนเป็นสีน้ำเงิน แต่เป็นสีน้ำเงินคนละเฉด เรียงร้อยอย่างเป็นลำดับที่แปลกตา ราวกับแสงประกายดาวบนคลื่นทะเลลึก และเหมือนกับสีสันของมหาสมุทรที่ตัดกันชัดเจน งดงามมากทีเดียว
สิ่งสำคัญที่สุดคือชื่อของมัน…เจ็ดชั้นสมุทร
เมื่อเห็นเขาถูกใจ พนักงานขายก็หยิบสร้อยเส้นนั้นมาวางบนถาดโชว์สินค้ากำมะหยี่อย่างกระตือรือร้น “คุณผู้ชายตาถึงมากเลยค่ะ เจ็ดชั้นสมุทรเส้นนี้เป็นได้ทั้งสร้อยข้อมือ แล้วก็เป็นสายนาฬิกาได้ด้วย ผู้ชายผู้หญิงใส่ก็สวยค่ะ”
นัยน์ตาหมิงเยี่ยนสั่นเครือ อึ้งเบาๆ “นายชอบมันเหรอ”
ลู่อวี๋พยักหน้า “สวยมากเลย อย่างกับความฝันเกิดขึ้นจริงตรงหน้า ไม่นึกว่าจะชื่อเจ็ดชั้นสมุทร ใครเป็นคนออกแบบ”
อยากที่รู้กัน โลกเราประกอบด้วยห้ามหาสมุทร และทะเลอีกห้าหกสิบแห่ง มีแต่ใน ‘เงือกจอมราชัน’ ของเขาที่เขียนให้เซ็ตติ้งโลกเปลี่ยนไปมีเจ็ดมหาสมุทร แบบนี้เวลาลู่ตงตงท่องบทก็จะได้ดูหล่อเท่ว่า ‘ข้าคือเทพแห่งเจ็ดคาบสมุทร ประมุขแห่งเผ่าพันธุ์วิปลาส!’
พนักงานร้านยิ้มตอบ “นี่คือผลงานของคุณ Yan อดีตดีไซเนอร์แสนล้ำค่าท่านหนึ่งของเราค่ะ” เธอว่าพลางให้เขาดูข้างใต้ตะขอล็อกสร้อยแพลทตินั่ม มีตัวอักษรเล็กๆ สามตัวสลักอยู่บนนั้น
ลู่อวี๋ตะลึง หันขวับไปมองหมิงเยี่ยน
หมิงเยี่ยนหลุบตาลง เหม่อมองสร้อยข้อมือเส้นนั้น
หัวใจของลู่อวี๋เต้นด้วยความปวดร้าวหนักอึ้ง เขารู้ว่าเมื่อก่อนหมิงเยี่ยนเคยเป็นดีไซเนอร์ให้ RZ และชื่อที่อีกฝ่ายใช้ตอนอยู่ต่างประเทศก็คือ Yan นี่คือผลงานที่หมิงเยี่ยนเคยออกแบบไว้ตั้งแต่ตอนอยู่ที่ประเทศ F
ในไดอารี่ของลู่ต้าอวี๋ ดูเหมือนเขาจะคิดว่าหมิงเยี่ยนทอดทิ้งเขา คิดดูแล้วในความรักทางไกลเป็นเวลานาน เขาเองก็คงมีความกังวลต่างๆ และจิตใจฟุ้งซ่านอยู่เหมือนกัน แต่ทำได้เพียงฮึดทำงานเก็บเงินอย่างเต็มกำลัง ไม่รู้ว่าตระกูลลู่ไปพูดอะไรกับเขาเข้าถึงทำให้เขาหมดกำลังใจ แล้วคลุ้มคลั่งขึ้นมาเพราะคิดว่าหมิงเยี่ยนไม่รักเขา
ความจริงแล้วเวลาที่หมิงเยี่ยนอยู่ไกลถึงต่างประเทศ เวลาที่วาดแบบร่างสเก็ตช์ออกแบบของตัวเอง เวลาที่จับแพลทตินั่มเส้นบางพันรอบอัญมณีเขาก็คิดถึงลู่อวี๋อยู่ตลอด ผลงานชิ้นแรกที่ออกสู่วงการแฟชั่นมีชื่อเรียกแสนโรแมนติกว่า ‘เจ็ดชั้นสมุทร’
เมื่อลู่ต้าอวี๋รู้เรื่องนี้ มันก็จะเป็นเซอร์ไพรส์ชิ้นใหญ่ในความสัมพันธ์!
แต่ลู่ต้าอวี๋ไม่เคยได้รู้เรื่องนี้
ลู่อวี๋ลูบสร้อยเส้นนั้นเบาๆ รู้สึกปวดใจอย่างบอกไม่ถูก เขาหันไปกอดหมิงเยี่ยน มุดหน้าซุกซอกคออีกฝ่าย “พี่เยี่ยน…พี่เยี่ยน ผมชอบพี่มากเลย”
หมิงเยี่ยนเป็นคนที่โรแมนติกมากจริงๆ และลู่อวี๋ก็ดันชอบความโรแมนติกแบบนี้มากๆ ด้วย เขาชอบมันเหลือเกิน
เมื่อรู้ว่าเขาเข้าใจความหมายของมัน หมิงเยี่ยนจึงกระซิบถามเสียงเบา “ฉันเอาไอเดียของนายมาใช้ นายไม่ถือสาเหรอ”
ลู่อวี๋กอดอีกฝ่ายแน่นกว่าเดิม “จะเป็นไปได้ไง พี่จะเอาผมไปแกะสลักเป็นหุ่นไม้ขายก็ยังได้”
หมิงเยี่ยนหัวเราะ ยีท้ายทอยเขา “เด็กโง่” ฉันจะขายนายลงได้ไง
ลู่อวี๋อยากจะซื้อกำไลข้อมือที่ราคาเกินงบเส้นนี้ พนักงานร้านจึงตาลุกวาว “คุณผู้ชายตาถึงมากจริงๆ ค่ะ ต้องการให้ฉันแก้เป็นสายนาฬิกาให้เลยไหมคะ” เธอขยับคล่องแคล่วเตรียมพร้อมนำลงกล่อง
“เดี๋ยวก่อน” ลู่อวี๋พลันหยุดความคิด หันไปถามหมิงเยี่ยน “พี่ได้ค่าคอมจากการขายด้วยหรือเปล่า”
หมิงเยี่ยนส่ายหน้า เอ่ยอธิบาย “ตอนนั้นฉันเซ็นสัญญาสำหรับดีไซเนอร์หน้าใหม่ ถ้าเกิดออกจากบริษัทไปแล้วเขาจะให้ค่าคอมแค่สามปี ตอนนี้หมดสัญญาแล้ว”
ในวงการแฟชั่น การขายสินค้านั้นต้องแบ่งเปอร์เซ็นต์ให้ดีไซเนอร์ผู้ออกแบบ และทรัพย์สินทางปัญญานี้จะมีผลตลอดไป แต่ว่าวงการนี้อยู่นานหลายปีจนอิ่มตัวเกินไป เริ่มมีการกลั่นแกล้งน้องใหม่ในวงการ ดีไซเนอร์หน้าใหม่ที่อยากแจ้งเกิดทำได้แค่เซ็นสัญญาที่ไม่เป็นธรรมทั้งน้ำตา
ลู่อวี๋ไม่สบอารมณ์ทันที เขาวางสร้อยข้อมือลง “งั้นไม่ซื้อ”
พนักงานที่ไม่ได้ยินบทสนทนาเบาๆ ของพวกเขาร้อนรนถามกลับ “คุณผู้ชาย มีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ”
ลู่อวี๋ตรงไปตรงมา “ฉันไม่มีตังค์!”
Comments



