everY
ทดลองอ่าน ตื่นมารับภารกิจพิชิตหัวใจคุณสามี เล่ม 2 บทที่ 58-61 #นิยายวาย
บทที่ 61
ทอดทิ้ง
ลมหายใจของลู่อวี๋พลันถี่กระชั้น “พี่รู้ทุกอย่างเลยเหรอ”
หมิงเยี่ยนพยักหน้าเบาๆ “ส่วนใหญ่”
ลู่อวี๋หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง ในห้องเล็กๆ เงียบสงบดังก้องไปด้วยเสียงพ่นลมหายใจที่ไม่เป็นจังหวะของเขา ราวกับพ่นลมออกมาเวลาตัวสั่นสะท้านกลางลมหนาว มันสั่นเครือเบาๆ แต่ยาวต่อเนื่อง
ในยามที่เขาเข้าใกล้ความจริงมากที่สุดกลับเกิดความรู้สึกขลาดกลัวขึ้นมา เขากลัวว่าหากตนเองรู้แล้วจะรับมันไม่ไหวและแหลกสลายไปเหมือนลู่ต้าอวี๋ แต่เขาจำเป็นต้องรู้ให้ได้ ไม่อย่างนั้นสุดท้ายความสุขตรงหน้าก็จะกลายเป็นแค่บุปผาบนกระจกดวงจันทร์ในผืนน้ำ เพียงแตะก็มลายหายไป
ลู่อวี๋ยิ้มขมขื่นพลางกล่าว “พี่เยี่ยน พวกเราไปที่อุ่นๆ กันเถอะ ผมหนาวนิดหน่อย”
ห้องเล็กๆ นี้ที่จริงแล้วอุ่นกว่าห้องรับแขก แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าวิวอันหนาวเหน็บนอกหน้าต่างแล้ว การนั่งอยู่บนเก้าอี้อันแสนโดดเดี่ยวที่สามารถนั่งได้เพียงคนเดียวกลับทำให้ใจลู่อวี๋เต็มไปด้วยความกระสับกระส่าย
หมิงเยี่ยนไม่พูดอะไรทั้งนั้น เพียงใช้มือที่กุมมือเขาดึงเขาขึ้นมาแล้วเดินไปยังห้องนอนของตัวเอง ก้าวไปยังส่วนลึกในห้องนอน ผลักเปิดประตูบานที่ลู่อวี๋ยังไม่เคยเข้าไปสักครั้งนับตั้งแต่ข้ามเวลามา นั่นคือห้องหนังสือเล็กที่อยู่ในห้องนอน
ห้องมาสเตอร์ทั้งสองห้องล้วนมีห้องหนังสือของใครของมัน ฝั่งห้องของลู่อวี๋เป็นห้องหนังสือใหญ่ ส่วนห้องนี้เป็นห้องเล็กๆ
“ฉันไม่มีหนังสือต้องจัดวางเท่าไหร่ เลยเลือกห้องเล็ก” หมิงเยี่ยนอธิบาย
ลู่อวี๋พยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจ เขารู้แก่ใจดีว่านอกจากเหตุผลนี้แล้วก็เป็นเพราะบ้านนี้ลู่ต้าอวี๋เป็นคนซื้อ ถึงแม้ว่าลู่ต้าอวี๋จะยืนกรานให้ใส่ชื่อหมิงเยี่ยนในโฉนดบ้านด้วย แต่ด้วยความสัมพันธ์ในตอนนั้นหมิงเยี่ยนย่อมไม่มีทางยอมรับไว้ได้อย่างสงบใจแน่นอน ยิ่งไม่มีทางเลือกห้องหนังสือใหญ่สุดได้เลย
ห้องหนังสือนี้ตกแต่งได้อบอุ่นมาก ขนาดใหญ่ราวๆ หนึ่งส่วนสามของห้องหนังสือใหญ่ เค้าโครงเป็นห้องทรงหกเหลี่ยมแบบที่หาได้ยาก นอกจากฝั่งประตูก็มีสามด้านเป็นหน้าต่างกระจกยาวจากเพดานถึงพื้น แต่ต่างจากหน้าต่างกระจกแผ่นใหญ่ไร้รอยต่อของห้องนั่งเล่น หน้าต่างกระจกสามด้านนี้มีกรอบสีขาวแบ่งเป็นช่องสี่เหลี่ยมจัตุรัส ทุกช่องเรียงเป็นระเบียบเหมือนกับรั้วนิรภัยของเด็กเล็ก
ตรงหน้าต่างแขวนผ้าม่านโปร่งสีพื้นดูนุ่มนวล แสงท้องฟ้าสีเย็นเยียบที่ลอดเข้ามาผ่านผ้าม่านถูกกรองจนกลายเป็นแสงอันอ่อนโยน
ใจกลางห้องปูพรมสีเทาทรงกลมผืนหนึ่ง มันหนามาก ดูขนนุ่มฟู มีโต๊ะทำงานกับขาตั้งกระดานวาดรูปตั้งอยู่ติดกับผนัง และอีกด้านหนึ่งของผนังเป็นเตาผิงไฟจำลอง
หมิงเยี่ยนเปิดไฟจำลองในเตาผิงไฟ เปลวไฟสีแดงเพลิงพวยพุ่งขึ้นมาสว่างวูบวาบ และยังส่งเสียงเป๊าะแป๊ะเหมือนเวลาไม้ถูกเผาออกมาเป็นระยะๆ เขาดึงลู่อวี๋ไปนั่งบนพรมผืนนั้นก่อนถาม “อุ่นหรือยัง”
มีท่อทำความร้อนฝังอยู่ใต้พื้น เวลานั่งที่พื้นจึงจะรู้สึกอุ่นที่สุด เทียบได้กับการพิงเครื่องทำความร้อนเลยทีเดียว
ลู่อวี๋พยักหน้าอึ้งๆ มองซ้ายแลขวาด้วยความอยากรู้อยากเห็น สุดท้ายสายตาก็ทอดไปยังตัวหมิงเยี่ยนที่อยู่ตรงข้ามเขา เขากระเถิบเข้าไปนั่งชิดอีกฝ่าย การสัมผัสอุณหภูมิร่างกายที่ส่งผ่านชุดนอนบางๆ นั้นอบอุ่นยิ่งกว่าความร้อนจากเตาผิงไฟเสียอีก
หลังจากฟังเสียงไม้เผาไหม้เงียบๆ พักหนึ่งลู่อวี๋ก็เอ่ยปาก “ผมอยากรู้ว่าก่อนที่เราจะเลิกกัน ตระกูลลู่บอกอะไรกับลู่ต้าอวี๋”
หมิงเยี่ยนเม้มปาก แต่ไหนแต่ไรเขาเป็นคนที่สื่อสารไม่เก่งอยู่แล้ว เรื่องทางธุรกิจเขาสามารถสื่อสารได้ชัดเจน แต่เมื่อเป็นเรื่องของลู่อวี๋กลับมักคิดคำพูดที่จะถ่ายทอดออกไปได้ตรงใจไม่ออก เขากลั่นกรองถ้อยคำครู่หนึ่งแล้วพูดเรื่องที่เหมือนจะไม่ค่อยเกี่ยวข้องกันขึ้นมาก่อน “ก่อนจะไปเรียนต่างประเทศฉันเคยถามนายว่าหลังเรียนจบนายอยากทำอะไร”
ลู่อวี๋ฟังเงียบๆ ไม่พูดแทรก
“นายตอบว่าไม่อยากออกไปทำงานข้างนอก แค่อยากหมกตัวเขียนนิยายอยู่บ้าน แล้วถามว่าฉันจะรังเกียจนายหรือเปล่า”
ลู่อวี๋ยิ้มพลางพยักหน้า มันเป็นคำที่เขาจะพูดจริงๆ หลังจากที่ ‘เงือกจอมราชัน’ ดัง เขาได้เงินทุกเดือน แล้วยังเป็นจำนวนเงินที่พนักงานออฟฟิศทั่วๆ ไปทำงานมาหลายปีก็ยังได้ไม่ถึงขนาดนี้ การทำงานบริษัทจึงเป็นเรื่องที่เสียเวลาไปโดยปริยาย
หมิงเยี่ยนนึกถึงเรื่องราวในวันนั้น เขาอดไม่ได้ที่จะจุดมุมปากยิ้ม “ตอนนั้นฉันดีใจมากเลย ถ้าเกิดนายเลือกเป็นนักเขียนนิยาย งั้นนายจะใช้ชีวิตที่ไหนก็ไม่ส่งผลกระทบต่อเส้นทางอาชีพของนาย เพราะงั้นฉันเลยยื่นเรื่องเรียนที่ต่างประเทศได้อย่างสบายใจ”
พูดถึงตรงนี้หมิงเยี่ยนก็ลุกขึ้นยืน หยิบรูปถ่ายเล็กๆ ที่หนีบแขวนกับเชือกป่านเส้นบางๆ เหนือเตาผิงไฟ มันเป็นรูปจากกล้องโพลารอยด์โบราณ เป็นทรงเหลี่ยมๆ สีเริ่มออกเหลือง
“ฉันออกมาเช่าห้องแยก ไม่ได้อยู่ร่วมกับเพื่อนคนอื่นๆ รอ…รอให้นายเรียนจบแล้วมาหาฉัน” พูดถึงตรงนี้หมิงเยี่ยนก็กระอักกระอ่วนเล็กน้อย
ลู่อวี๋รับรูปนั้นมา มันเป็นรูปถ่ายอพาร์ตเมนต์ในประเทศ F เป็นอพาร์ตเมนต์ที่มีช่องหน้าต่างเป็นตารางสีขาวดูอบอุ่น นอกหน้าต่างมีสวนดอกไม้เล็กๆ ที่ปลูกต้นไม้พุ่มเตี้ย
หมิงเยี่ยนในตอนนั้นยังเป็นคุณชายบ้านรวย สามารถเช่าอพาร์ตเมนต์หรูที่มีสวนได้สบายๆ แล้วรอให้คนรักย้ายเข้ามาอยู่ นั่งเขียนนิยายติดหน้าต่างบานนี้ และมอบจูบลึกซึ้งให้กับเขาเวลาเลิกงานกลับบ้าน
ลู่อวี๋มองภาพเล็กๆ ที่ความคมชัดต่ำด้วยดวงตาแดงก่ำ คำพูดเหล่านี้หมิงเยี่ยนคงไม่เคยบอกกับลู่ต้าอวี๋มาก่อน คิดแล้วคงเป็นเซอร์ไพรส์เล็กๆ ที่เตรียมไว้ เป็นดอกกุหลาบในกล่องของขวัญที่ยังไม่เคยถูกเปิด และมันก็เหี่ยวเฉาไปก่อนแล้ว
หมิงเยี่ยนแตะนิ้วลู่อวี๋ที่ถือรูปนั้นเบาๆ “นายจะ..เข้าใจหรือเปล่า”
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนกำลังบอกกับลู่อวี๋ว่าหมิงเยี่ยนไม่ได้ทอดทิ้งเขาและรอเขาอยู่เสมอ เขาเข้าใจแล้ว เข้าใจตั้งแต่ได้เห็นเจ็ดชั้นสมุทร
ลู่อวี๋ใช้ง่ามมือหนีบนิ้วที่ยื่นมาแตะโดนเขาเบาๆ แล้วพยักหน้า
“นายไม่ได้ถูกทิ้ง ว่ากันตามธรรมเนียมแบบคร่ำครึที่แม้จะไม่ถูกต้องแต่ก็ยังมีคนรักษาธรรมเนียมนี้อยู่ตลอด ไม่มีบ้านไหนจะทิ้งทารกชายที่แข็งแรงสมบูรณ์ได้หรอก” หมิงเยี่ยนพูดแล้วก็ใช้มือข้างหนึ่งกุมใบหน้าลู่อวี๋ ใช้นิ้วโป้งเกลี่ยเบาๆ เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ยิ่งกับเด็กที่เติบโตมาได้น่ามองขนาดนี้”
ลู่อวี๋ยิ้มตาหยี “ผมรู้อยู่แล้วว่าผมหล่อมาก เพราะงั้นเลยเดามาตลอดว่าผมน่าจะถูกลักมาขาย”
หมิงเยี่ยนส่ายหน้า “ไม่ได้ถูกลักพาตัวมาขายเหมือนกัน แม่แท้ๆ ของนายเป็นเด็กสาวมหา’ลัยที่ยังไม่แต่งงาน”
รอยยิ้มบนใบหน้าลู่อวี๋แข็งค้าง ฉับพลันลมหายใจก็เริ่มถี่กระชั้น
“หลังจากที่เธอคลอดนายก็ได้รับโอกาสเรียนต่อต่างประเทศที่ล้ำค่ามาก เธอจะได้ไปศึกษาเรียนรู้ที่สถาบันระดับแนวหน้าของโลก จึงยกนายให้กับสามีภรรยาตระกูลลู่ที่ไม่มีลูกที่เป็นคนคุ้นเคยกันดี” คราวนี้หมิงเยี่ยนใช้สองมือกุมแก้มลู่อวี๋ บังคับให้เขามองตาตัวเอง “วันนั้นที่นายไปตระกูลลู่ สิ่งที่พวกเขาบอกกับนายก็คือความจริงนี้”
ถึงพวกเขาอาจจะไม่ได้ใช้คำพูดแบบนี้ แต่มันก็เป็นความจริงข้อนี้
เรียนต่อต่างประเทศ…
ลู่อวี๋ริมฝีปากสั่นเครือ เขาเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนเอ่ยเสียงแหบพร่า “ผมเข้าใจแล้ว”
แม่แท้ๆ ของเขาทอดทิ้งเขาเพราะอยากไปเรียนต่างประเทศ ตระกูลลู่ทอดทิ้งเขาเพราะว่ามีลูกของตัวเองแล้ว จากนั้นเขาเลยคิดเชื่อมโยงไปถึงหมิงเยี่ยนที่ไปเรียนต่อต่างประเทศเหมือนกัน จึงคิดว่าถูกคนทั้งโลกทอดทิ้ง
เรื่องในโลกนี้ พลาดได้หนึ่งครั้ง สองครั้ง แต่ไม่ควรมีครั้งที่สาม ถ้าเรื่องเลวร้ายแบบเดิมเกิดขึ้นซ้ำสามครั้งชีวิตก็จะแหลกสลาย
การกระทำของแม่ผู้ให้กำเนิดเขาบ่งบอกว่าอนาคตของเธอสำคัญกว่าเลือดเนื้อเชื้อไข การกระทำของตระกูลลู่บ่งบอกว่าเลือดเนื้อเชื้อไขสำคัญกว่าความรู้สึกรัก การจากไปของหมิงเยี่ยนก็บ่งบอกว่าอนาคตสำคัญกว่าความรู้สึกรัก
เป็นทางตันอันสมบูรณ์แบบ ไม่มีใครต้องการเขา ไม่ว่าจะเรื่องไหนก็ล้วนสำคัญกว่าเขาทั้งนั้น
“ลู่อวี๋ ลู่อวี๋…” หมิงเยี่ยนคลายมือออกจากใบหน้าของเขา กอดลู่อวี๋ที่นิ่งเหม่อเข้าสู่อ้อมแขน เรียกเขาเบาๆ “ฉันไม่ได้ทิ้งนายไปไหน ฉันรอนายอยู่ตลอด นายคิดแบบนั้นกับฉันมันทำให้ฉันเสียใจมากนะ”
ลู่อวี๋ตั้งสติได้ ค่อยๆ ยกมือขึ้นกอดหมิงเยี่ยนแน่น
หมิงเยี่ยนลูบตามแนวสันหลังคนในอ้อมแขนเบาๆ “แม่ของนายก็ไม่ได้ไม่ต้องการนาย เธออายุน้อยขนาดนั้น บางทีก็อาจมีความลำบากของตัวเอง หลังจากนั้นฉันลองสืบค้นดูแล้ว เธอน่าจะรู้จักกับตระกูลลู่จริงๆ”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ที่จริงเขาก็เข้าใจแล้ว แต่สมองของลู่อวี๋ในเวลานี้อาจจะคิดอะไรไม่ออก
หมิงเยี่ยนครุ่นคิด แล้วจึงอธิบายอย่างตรงไปตรงมาเสริมอีกประโยค “ตอนนั้นสามีภรรยาตระกูลลู่ยังไม่มีลูก แล้วยังร่ำรวยมาก สำหรับนายแล้วมันเป็นทางเลือกที่ดีมาก ไม่คิดงั้นเหรอ ส่วนเรื่องที่เขามีลูกของตัวเองในทีหลังนั่นก็เป็นเรื่องที่แม่ของนายเองก็คาดไม่ถึงเหมือนกัน”
ลู่อวี๋ตัวสั่นเทา พูดอะไรไม่ออก
หมิงเยี่ยนลูบข้างแก้มของเขา เอ่ยเสียงแผ่ว “อยากร้องไห้ก็ร้องเถอะ พี่ชายไม่หัวเราะนาย”
ลู่อวี๋ถูกเขาหยอกจนหัวเราะ แล้วหยาดน้ำตาก็หยดลงมาเพราะแรงสะเทือนจากการหัวเราะ
หมิงเยี่ยนใช้นิ้วโป้งเช็ดน้ำตาเม็ดนั้น “นี่ก็คือความจริงทั้งหมด ไม่ว่าต่อจากนี้ตระกูลลู่จะเล่าใส่สีตีไข่ให้นายฟังแบบไหนก็ไม่ต้องไปสนใจทั้งนั้น”
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน ตื่นมารับภารกิจพิชิตหัวใจคุณสามี เล่ม 2
วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub และร้านหนังสือทั่วไป
รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่
Meb / OOKBEE / Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN
Comments



