everY
ทดลองอ่าน ตื่นมารับภารกิจพิชิตหัวใจคุณสามี เล่ม 1 บทที่ 1-2 #นิยายวาย
ทดลองอ่านเรื่อง ตื่นมารับภารกิจพิชิตหัวใจคุณสามี เล่ม 1
ผู้เขียน : ลวี่เหยี่ยเชียนเฮ่อ (绿野千鹤)
แปลโดย : qMondae
ผลงานเรื่อง : 再少年 (Zai Shao Nian)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 1
ข้ามเวลา
แต่กๆๆๆ แต่กๆๆๆ
ภายในหอพักมหาวิทยาลัย ลู่อวี๋กำลังเคาะแป้นคีย์บอร์ดด้วยความเร็วสูง นิ้วทั้งสิบเต้นระบำจนแทบเห็นเป็นภาพเบลอ
ช่วงนี้เขาอาศัยการเขียนนิยายลงเว็บไซต์หาเงิน กำลังเขียนถึงตอนที่พระเอกชำระแค้นไล่สังหารไปทั่วทุกหนแห่ง แล้วแป้นพิมพ์โน้ตบุ๊กก็ถูกเขาทุบดังปัง ราวกับจะทำลายให้แตกเป็นเสี่ยงๆ
จู่ๆ โทรศัพท์มือถือบนโต๊ะก็แผดเสียง
ลู่อวี๋ชำเลืองสายตามอง ‘สายจากลูกพี่ลูกน้องสาว’ ที่ทั้งแสบหูและระคายลูกตา ก่อนจะยกมือขึ้นกดปิดเสียง
รูมเมตยื่นหัวออกมาจากโต๊ะข้างๆ “เหล่า* ลู่ ซื้อคีย์บอร์ดดีๆ ไว้สักอันเถอะ ถ้าเราจะเป็นเทพด้วยการเขียนนิยาย งั้นก็ต้องมีอาวุธชั้นเทพก่อนถูกไหม”
ลู่อวี๋ยกมือขึ้นดันหัวรูมเมตกลับไปโดยไม่แม้แต่จะมอง “มีแต่พวกไก่อ่อนเท่านั้นแหละที่ต้องพึ่งปัจจัยภายนอก ยอดฝีมือของจริงแค่กิ่งไผ่ก็ไร้เทียมทาน”
เขากำลังจะพิมพ์ต่อ โทรศัพท์มือถือที่ปิดเสียงและคว่ำจอหนีก็สั่นครืดๆ แล้วก็ครืดๆ จากนั้นก็ครืดๆๆๆ ไม่หยุด จนร่วงจากขอบโต๊ะ
ลู่อวี๋หยิบขึ้นมา ก่อนเห็นข้อความที่เด้งขึ้นมาบนหน้าจออย่างต่อเนื่อง
‘ลู่อวี๋! ทำไมถึงไม่รับสาย?’
‘พี่รู้ไหมว่าลุงกับป้าเสียใจแค่ไหน? ทำไมถึงใจเหี้ยมขนาดนี้!’
‘ตระกูลลู่เลี้ยงดูพี่มาสิบแปดปี อาหารดีๆ เสื้อผ้าสวยๆ ก็มีให้พี่ตลอด ถึงพี่จะไม่สำเหนียกบุญคุณ รู้จักแต่เรียกร้องความสนใจแข่งกับน้องชายก็เถอะ แต่เพิ่งจะมาทำตัวงี่เง่าจะเป็นจะตายให้ใครดูตอนนี้?’
ลู่อวี๋ขมวดคิ้วไล่อ่านจนจบก็ตอบกลับไวจี๋
‘สำนึกบุญคุณใช้แบบนี้ เธอใช้คำผิดแล้ว’
กดส่งเสร็จก็กดบล็อกต่อทันที
โลกกลับมาเงียบสงบ แต่ความคิดที่กำลังใช้เขียนนิยายถูกขัดจังหวะไปแล้ว
ลู่อวี๋ส่งเสียง “จิ๊” ด้วยความหงุดหงิด ยกมือข้างหนึ่งขึ้นเสยผมไปข้างหลัง ก่อนจ้องข้อความบรรทัดสุดท้ายที่เขียน
‘ตัวตนมนุษย์เงือกสายพันธุ์ประหลาดถูกเปิดโปง เขาไม่ใช่เด็กดีที่มีผลการเรียนยอดเยี่ยม เปี่ยมด้วยคุณธรรมซึ่งใครๆ ต่างชื่นชมคนนั้นอีกต่อไปแล้ว หากแต่เป็นลูกสัตว์นอกคอกนอกรีตที่หากถูกกำจัดก็จะเป็นที่ปรีดาของทุกคน’
ย่อหน้านี้เขียนถึง ‘ลู่ตงตง’ พระเอกของเรื่อง เดิมทีลู่ตงตงเป็นเด็กมัธยมปลายธรรมดาคนหนึ่ง แต่วันหนึ่งถูกเปิดโปงตัวตนว่าแท้จริงแล้วเขาไม่ใช่มนุษย์ หากแต่เป็นเงือกตัวหนึ่งที่ปะปนอยู่ในกลุ่มคน บัดนี้ถูกผู้คนหักหลัง ญาติมิตรหันหลังให้ คนทั้งโลกมองเป็นศัตรู
เหมือนกับตัวเขาเอง อยู่ในตระกูลลู่มาสิบแปดปีแต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่คนตระกูลลู่ เมื่อแผ่นกระดาษบนหน้าต่างชั้นนี้ถูกเจาะขาด* ความอ่อนโยนจอมปลอมก็มอดไหม้ปลิวหายไปดังเถ้าถ่าน
ลู่อวี๋จับปลายนิ้ว สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วพิมพ์ต่อ
‘เขาต้องการ และเขาก็ควรจะรู้สึกเช่นนั้น ฉีกทึ้งโลกอันแสนจอมปลอมนี้ทิ้งเสีย เขาไม่ต้องการความอ่อนโยน ไม่ต้องการความสงสาร เขาเป็นเทพแห่งเจ็ดคาบสมุทร ประมุขแห่งเผ่าวิปลาส กรงเล็บคมกริบของเขาสามารถฉีกทึ้งขุนเขาให้แหลกลาญ หางเงือกของเขาเพียงสะบัดก็ปลุกคลื่นยักษ์ได้เป็นพันเป็นหมื่นลูก สั่นกลัวเสียสิ เจ้าพวกมนุษย์โลกตัวเล็กจ้อยและโง่เขลาทั้งหลาย!’
ติ๊ง!
แอพพลิเคชั่นแชตพลันเด้งขึ้นมาส่งเสียงแจ้งเตือนแสนไพเราะเพราะพริ้งที่มีเฉพาะเวลากดรับแจ้งเตือนจากแอ็กเคานต์หนึ่งเป็นพิเศษ หน้าต่างแชตที่กะพริบถูกทำเครื่องหมายว่า ‘เทพบุตร’
เทพบุตรส่งรูปหนึ่งมาให้เขา แล้วบอกอย่างเกรงอกเกรงใจว่าไม่พอใจตรงไหนสามารถบอกให้เขาแก้ไขได้
ในรูปเป็นมนุษย์เงือกเวอร์ชั่นจิบิตัวอวบอ้วน มือน้อยกลมๆ ชูตรีศูลทื่อๆ หางปลาอาบแสงสีฟ้าเรืองรองโค้งงอแบบฝืนๆ เพราะหางสั้นเกินไป น่ารักน่าชังสุดๆ
ลู่อวี๋ที่ตอนแรกยังหน้าบูดบึ้งดุร้าย อารมณ์ยังคงจมอยู่ในการเขียนนิยาย พอได้เห็นสิ่งนี้มุมปากสองฝั่งก็คลี่ยิ้มอย่างควบคุมไม่อยู่ ทั้งใบหน้าบิดเบี้ยวบู้บี้ไปหมด
รูมเมตเห็นเขาเป็นอย่างนั้นก็หดคอกลัวๆ “เหล่าลู่ นายโอเคไหมวะ”
ลู่อวี๋ไม่ทันได้ปรับสีหน้าตัวเอง ชี้หน้าจอด้วยมือสั่นระริก “หมิงเยี่ยน…”
เหมือนเขาเพิ่งจะตั้งสติได้ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าหน้าจอโน้ตบุ๊กไม่อาจแสดงความงดงามของภาพนี้ออกมาได้ทั้งหมด ลู่อวี๋รีบมองหาแท็บเลต เปิดรูป ชูขึ้น ประหนึ่งลิงบาบูนเฒ่าชูราชาราชสีห์เกิดใหม่ในหนังการ์ตูน ทั้งภาคภูมิทั้งเลื่อมใส “หมิงเยี่ยนวาดรูปให้ฉัน! เขาต้องชอบฉันแน่ๆ”
รูมเมตที่ถูกแท็บเลตจ่อประชิดหน้าอับจนคำพูด “ก็นายจ่ายสามร้อยไคว่** จ้างเขาวาดตัวละครในนิยายให้นายไม่ใช่หรือไง” การซื้อขายแบบที่มือหนึ่งยื่นเงิน อีกมือหนึ่งยื่นผลงานให้มันเกี่ยวกับเขาชอบนายตรงไหนกันฟะ
ลู่อวี๋ตบหัวรังนกของรูมเมตไปหนึ่งป้าบ “นายจะไปเข้าใจอะไร เขาเป็นคุณชายใหญ่ กะอีแค่สามร้อยไคว่จะมาแคร์ทำไม นายเคยเห็นเขารับงานคนอื่นด้วยเหรอ ก็ไม่!”
รูมเมตเกาหัว “ถ้าพูดอย่างงั้น…”
“แถมนี่ไม่ใช่แค่รูปธรรมดานะ นี่เป็นตัวละครที่ฉันสร้างขึ้นมา แล้วเขาวาดให้ ปัดเศษขึ้นก็นับว่านี่คือลูกของพวกเราสองคน” ลู่อวี๋น้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ “มีลูกด้วยกันแล้ว เขาจะปฏิเสธไม่ให้ฉันตามจีบเหรอ ไม่มีทาง!”
รูมเมต “บะ…แบบนั้นก็ได้ด้วยเหรอ”
ลู่อวี๋ยัดแท็บเลตใส่อ้อมแขนรูมเมต “มา อุ้มหลานคนโตของนายซะสิ รอเขาโตแล้วจะได้รู้จักกตัญญูกับนาย”
รูมเมตอุ้มหลานชายสองมิติที่เพิ่งออกมาจากเตาหมาดๆ แบบงงๆ พลางมองลู่อวี๋กระโดดโลดเต้นถึงขั้นตีลังกากลับหลังอยู่ในหอพักอย่างลิงโลด
เขารู้ว่าลู่อวี๋ชอบหมิงเยี่ยนมานานมากแล้ว แล้วก็รู้ว่าการตอบรับจากเดือนคณะวิจิตรศิลป์ผู้สูงส่งเย็นชาคนนั้นเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง แต่ก็เข้าไม่ถึงความระริกระรี้จนเกินเหตุของลู่อวี๋อยู่ดี
“ลู่อวี๋!”
ลู่อวี๋ที่ดีใจจนตัวลอยได้ยินเสียงตื่นตระหนกของรูมเมต วินาทีต่อมาภาพตรงหน้าพลันมืดสนิท ไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งนั้น
เกิดอะไรขึ้น
เขาคงไม่ได้ล้มหัวกระแทกพื้นหรอกนะ
ลู่อวี๋รู้สึกเหมือนตัวเองถูกโยนเข้าถังเครื่องซักผ้า หมุนติ้วไปมาไม่รู้กี่รอบ ศีรษะถูกเบียดทับ กระแทก คอถูกหักงอ ดึงยืด
“เฮือก!” ความเจ็บปวดแสนสาหัสบีบให้ลู่อวี๋ส่งเสียงโหยหวนแหบพร่าออกมาอย่างยากลำบาก เขาดิ้นทุรนทุรายหายใจไม่ออกท่ามกลางความมืดก่อนเบิกตาโพลง
สิ่งที่ปรากฏเข้ามาในสายตาของเขาคือเพดานแสนหรูหรา ใต้ร่างเป็นพื้นพรมหนานุ่ม
ลู่อวี๋มั่นใจว่ามหาวิทยาลัย T ของพวกเขา ไม่ว่าจะด้านความแข็งแกร่งโดยรวมหรือว่าระดับความขี้เหนียวก็จัดอยู่ในท็อปสามของประเทศได้แน่นอน ไม่มีทางที่จะปักลวดลายทองบนผ้าให้หอพักนักศึกษาแหงๆ
มันไม่ถูกต้องสุดๆ
ลู่อวี๋เด้งตัวลุกขึ้นนั่งอย่างแรงเป็นปลาคาร์ปดิ้น…แต่ลุกไม่ขึ้น ร่างกายหนักอึ้งมาก ไม่มีกำลังเหมือนปกติเลยสักนิด แขนขารับคำสั่งจากสมองช้าไปเกือบหนึ่งวินาทีอย่างกับขึ้นสนิม
“เชี่ย ใครมันลักพาตัวข้ามาฟะ” ลู่อวี๋ได้แต่ใช้แขนยันตัวเองลุกขึ้นนั่งช้าๆ มองไปรอบๆ พลางร้องโวยวายเสียงดัง “จะบอกพวกแกให้ จับข้าไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก ข้าตัดขาดกับพวกตระกูลลู่ไปแล้ว พวกแกไม่ได้ไปสักแดงเดียวหรอก”
ไม่มีใครตอบ
ที่ที่เขาอยู่ตอนนี้เป็นห้องหรูประดับประดาฟุ้งเฟ้อ น่าจะเป็นห้องหนังสือ สองฝั่งผนังเป็นตู้หนังสือบิลท์อินสูงถึงเพดานห้อง จอโปรเจ็กเตอร์ขนาดใหญ่เต็มผนังด้านหลังกำลังถ่ายทอดข่าวหนึ่งซ้ำๆ
“ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ แผนการเปิดขายหุ้นสู่ตลาดหลักทรัพย์ของเฉินอวี๋เทคโนโลยีถูกระงับ ตลาดภายในประเทศยังคงขาดความเชื่อมั่นในเฉินอวี๋เทคโนโลยี บนตลาดผู้ช่วยสมองอัจฉริยะกำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือด แต่เฉินอวี๋เทคโนโลยีไม่ได้สร้างผลงานที่จุดกระแสมานานถึงหนึ่งปี คนไม่น้อยคิดว่าลู่อวี๋เป็นเจียงหลางหมดสิ้นพรสวรรค์*…”
“ไร้สาระ!” ลู่อวี๋คว้ารองเท้าแตะที่เท้าขึ้นมาปา “ฉันเพิ่งจะเขียนผลงานดังระเบิดไป มันจะ…”
เดี๋ยวนะ เฉินอวี๋เทคโนโลยีคืออะไร
เขาเป็นแค่เด็กมหาวิทยาลัยปีสอง ยังไม่เคยเปิดบริษัทเทคโนโลยีอะไรเลยด้วยซ้ำ
ลู่อวี๋ดูหน้าจออย่างละเอียด ภาพในข่าวคือด้านหน้าตึกบริษัทที่มีชื่อว่า ‘เฉินอวี๋เทคโนโลยี’ หน้าต่างเล็กๆ ขึ้นรูปถ่ายของบุคคลผู้ประสบความสำเร็จที่แต่งชุดสูทรองเท้าหนังสุดเนี้ยบ แล้วเขาคนนั้นก็ดูเหมือนลู่อวี๋ที่ดูโตขึ้นมานิดหน่อย มุมขวาล่างของหน้าจอปรากฏวันที่ ‘9 พฤศจิกายน 2033’
ปี 2033!
โกหกน่า ตอนนี้น่าจะปี 2023 สิ เขาเพิ่งจะก้าวเข้าสู่เทอมแรกของมหาวิทยาลัยปีสองเองนะ อีกตั้งสิบปีถึงจะปี 2033
โจรลักพาตัวสมัยนี้สบายอกสบายใจกันจริงๆ ยังมีอารมณ์มาเล่นเกมห้องไขปริศนากับเขาด้วย
ลู่อวี๋ร้อง “ชิ” หนึ่งที หันไปสำรวจของประดับตกแต่งในห้อง ทว่าในใจกลับรู้สึกสะพรึงอย่างที่สุด มีเวลามาจัดฉากซะซับซ้อนแบบนี้ ต้องไม่ใช่แค่การลักพาตัวธรรมดาแน่
จากนั้นเขาก็เห็นกระจกบานหนึ่ง…
ลู่อวี๋มองใบหน้าผู้ใหญ่สภาพอิดโรยของตัวเองในกระจกอย่างเหลือเชื่อ เขาเช็ดใต้ตาสีเขียวคล้ำและลูบเครารกรุงรัง “ถ้านี่เป็นการแต่งหน้าก็ใช้เทคนิคดีเกินไปแล้วมั้ง”
จังหวะการหายใจเริ่มถี่กระชั้น เขากระชากชุดนอนที่เลอะคราบไวน์แดง เผยรอยแผลเป็นรูปร่างเหมือนดอกไม้ไฟบนหน้าอกขาวซีด
นี่คือร่างกายของลู่อวี๋ แต่ไม่ใช่ลู่อวี๋ที่อายุสิบแปดคนนั้น
เขาข้ามเวลา ข้ามเวลามายังอนาคตสิบปีข้างหน้า
ในฐานะนักเขียนนิยายออนไลน์ที่อ่านนิยายมาแล้วนับไม่ถ้วน ลู่อวี๋รู้อยู่แก่ใจดีว่าถ้าย้อนเวลากลับไปสิบปีก่อน นั่นเรียกว่าดัชนีทองคำ** ของการเกิดใหม่ แต่ถ้าข้ามเวลาไปสิบปีข้างหน้า นั่นน่ะหลุมฝังศพของแท้ เขาเก็บข้อมูลได้น้อยกว่าคนทั่วไป มิหนำซ้ำยังเสียร่างกายอันหนุ่มแน่นกำยำไปอีก!
“แค่ตีลังกาทีนึงก็ถึงกับข้ามเวลาเลยเหรอ ซุนหงอคง* ยังทำไม่ได้ขนาดนี้เลยไหม ชีวิตวัยรุ่นสิบปีของฉัน แค่ตีลังกาก็หายวับไปกับตาทั้งอย่างนี้เลยอะนะ?” เมื่อมองกล้ามหน้าท้องที่เหลือแค่ก้อนเดียวกับร่องวีไลน์ที่ใกล้จะเลือนหายไป ลู่อวี๋ก็อดเศร้าโศกาไม่ได้
ในฐานะรุกแท้คนหนึ่ง ถ้าไม่มีกล้ามหน้าท้องหกก้อนขึ้นไป เขาก็ไม่สะดวกใจจะลงไปทิ้งขยะใต้ตึกแล้ว!
ติ๊งต่อง ติ๊งต่อง!
กริ่งประตูพลันดังขึ้น กดย้ำสองทีอย่างร้อนใจ ลู่อวี๋ที่กำลังหงุดหงิดงุ่นง่านปิดปากฉับ ลุกขึ้นยืนเต็มตัวอย่างระแวดระวัง
ไม่รอให้ลู่อวี๋เดินไปเปิดประตู คนข้างนอกก็เริ่มกดรหัสด้วยตัวเอง เสียงติ๊ดๆๆ ดังขึ้นแล้วตามมาด้วยเสียงเปิดประตูดังแกร๊ก จากนั้นชายหน้าเหลี่ยมสวมเสื้อสูทกั๊กสีดำพร้อมถุงมือสีขาวก็เดินเข้ามา
ผู้มาใหม่มองเห็นลู่อวี๋ก็ชะงักอย่างชัดเจน “คุณชายลู่? ผมคือพ่อบ้านของตึกนี้ครับ คุณผู้ชายของคุณโทรมาบอกว่าเหมือนคุณจะเป็นลมไป จึงมอบสิทธิ์การเข้าถึงให้พวกเราเข้ามาตรวจสอบ ตอนนี้คุณโอเคหรือเปล่าครับ ต้องการให้เราพาคุณไปโรงพยาบาลไหม”
ลู่อวี๋ไม่ค่อยเข้าใจสรรพนามประหลาดๆ อย่าง ‘คุณผู้ชายของคุณ’ นัก แต่เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่จะถามออกไปได้ “ผมน้ำตาลในเลือดตกเลยสะดุดล้มเฉยๆ ไม่เป็นอะไร”
พ่อบ้านของคอนโดฯ ผ่อนลมหายใจโล่งอก ยิ้มพลางพยักหน้า “ครับ งั้นผมไม่รบกวนแล้ว กรุณากดยืนยันบนสมองอัจฉริยะด้วยนะครับ”
สมองอัจฉริยะ?
ลู่อวี๋เลิกคิ้วเรียวน้อยๆ โลกอนาคตนี่ทันสมัยจริงๆ เขาก็พอรู้อยู่หรอกว่าสมองอัจฉริยะคืออะไร มันน่าจะเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ระดับสูงยิ่งกว่าโทรศัพท์มือถือหรือคอมพิวเตอร์ แต่ปัญหาคือไอ้ของที่ว่านั่นมันอยู่ไหนกันล่ะ
เมื่อเห็นเขายังนิ่งไม่ไหวติง พ่อบ้านประจำคอนโดฯ ก็มองข้อมือข้างซ้ายของลู่อวี๋ด้วยสายตาไม่เข้าใจ
ลู่อวี๋ยกมือซ้ายขึ้นตามสายตาของอีกฝ่าย แล้วเห็นเครื่องประดับทรงกลมเหมือนสมาร์ตวอตช์เรือนหนึ่งบนข้อมือ เขาจึงทำทีเป็นกดๆ จิ้มๆ หน้าปัด ปากพูดพึมพำ “ยืนยัน…”
หน้าปัดฉายลำแสงสายหนึ่งออกมา พร้อมเสียงพูดของชายหนุ่ม “ท่านพ่อ ท่านต้องการยืนยันว่าพ่อบ้านเข้ามาทำการตรวจสอบและยกเลิกการแจ้งเหตุ ใช่หรือไม่”
ลู่อวี๋ผ่อนลมหายใจ “ใช่”
“รับทราบครับ ท่านพ่อ” สมองอัจฉริยะตอบรับ ก่อนทำการยืนยันกับสมองอัจฉริยะของพ่อบ้านอัตโนมัติ
พ่อบ้านมุมปากกระตุก ท่าทางเหมือนอยากจะพูดแต่ไม่พูดออกมา
ลู่อวี๋ผ่อนคลายลง วางท่าเป็นนายท่านชาย “มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
พ่อบ้านยิ้ม “เปล่าครับ สมองอัจฉริยะของคุณชายใช้คำเรียกได้ไม่เหมือนใครดีครับ”
ลู่อวี๋ผายมือเตรียมจะปิดประตู “ไม่เห็นจะมีอะไร โทรศัพท์มือถือผมก็เรียกผมว่าพ่อเหมือนกัน” ทุกครั้งที่เปลี่ยนโทรศัพท์มือถือ เขาก็จะบอกกับผู้ช่วยเสียง** AI ของสมาร์ตโฟนว่าเขาชื่อ ‘พ่อ’
พ่อบ้านอึ้งไปทีหนึ่ง
ลู่อวี๋เพิ่งจะได้สติอย่างน่าตกใจว่าเขาอาจจะไม่ควรพูดถึงโทรศัพท์มือถือ บางทีสำหรับคนในปี 2033 โทรศัพท์มือถือคงจะกลายเป็นวัตถุโบราณไปแล้ว เหมือนเวลาที่คนในยุคนั้นพูดถึงเพจเจอร์ มันออกจะแปลกเกินไปหน่อย เลยรีบเอ่ยเสริมไปอีกประโยค “เพื่อนๆ ของผมก็เรียกผมว่าพ่อ ปกติมาก ถ้าคุณยินดีจะเรียกด้วยก็ได้นะ”
พ่อบ้าน “…”
ลู่อวี๋ “แค่กๆ”
ถึงจะไม่มีมารยาทเอามากๆ แต่ก็ทำให้พ่อบ้านลืมเรื่อง ‘โทรศัพท์มือถือ’ ได้สำเร็จ
พ่อบ้านเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนจะเอ่ย “ยังไงผมแจ้งให้คุณผู้ชายของคุณรีบกลับมาดีกว่าครับ”
* เหล่า เป็นคำที่ใช้เรียกคนสนิท
* แผ่นกระดาษบนหน้าต่างชั้นนี้ถูกเจาะขาด มาจากสำนวน ‘เจาะกระดาษแปะหน้าต่างจนขาด’ อุปมาถึงการพูดเปิดอก หรือพูดเรื่องราวให้ชัดเจน
** ไคว่ หมายถึงเงินหยวนที่ใช้ในภาษาพูด
* เจียงหลางหมดสิ้นพรสวรรค์ หมายถึงคนที่เคยมีความสามารถหรือพรสวรรค์สูงส่ง แต่ตอนนี้หมดความสามารถหรือหมดไอเดีย ไม่สามารถสร้างสรรค์ผลงานดีๆ ได้อีกต่อไป
** ดัชนีทองคำ เป็นคำสแลง หมายถึงได้เปรียบกว่าผู้อื่นเพราะมีความสามารถหรือตัวช่วยที่เหนือกว่า
* ซุนหงอคง เป็นพญาวานรในตำนานเทพของจีน มีอิทธิฤทธิ์มาก ในวรรณกรรมเรื่องไซอิ๋ว ซุนหงอคงปั่นป่วนแดนเทพเซียนจนถูกโทษผนึกตรึงไว้กับภูเขา 500 ปี จนพระถังซำจั๋งมาปลดปล่อย ซุนหงอคงจึงติดตามไปอัญเชิญพระไตรปิฎกที่ชมพูทวีปด้วยและใช้อิทธิฤทธิ์ช่วยปราบปีศาจที่พบเจอระหว่างทาง
** ผู้ช่วยเสียง คือแอพพลิเคชั่นที่ทำให้เกิดการโต้ตอบระหว่างมนุษย์กับเทคโนโลยีผ่านการใช้ภาษาธรรมชาติ
Comments
