everY
ทดลองอ่าน ตื่นมารับภารกิจพิชิตหัวใจคุณสามี เล่ม 1 บทที่ 5-6 #นิยายวาย
ทดลองอ่านเรื่อง ตื่นมารับภารกิจพิชิตหัวใจคุณสามี เล่ม 1
ผู้เขียน : ลวี่เหยี่ยเชียนเฮ่อ (绿野千鹤)
แปลโดย : qMondae
ผลงานเรื่อง : 再少年 (Zai Shao Nian)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 5
น้องรอง
ทั้งสองคุยกันอย่างออกรสไปค่อนวัน เชวียเต๋อถามออกมาสองคำถาม “ข้อหนึ่ง ถ้าเกิดคุณข้ามเวลามาอยู่ในร่างของลู่ต้าอวี๋ งั้นลู่ต้าอวี๋ไปไหน ข้อสอง คุณไม่อยู่แล้ว ร่างกายคุณในวัยสิบแปดจะเป็นยังไง จากทฤษฎีของอเมริกาใต้ ร่างกายที่สูญเสียวิญญาณจะถูกวิญญาณร้ายเข้าสิง ต้องขับไล่ผีออกจากร่าง”
พูดจบเชวียเต๋อก็ล้วงเอากระดิ่งลมพวงหนึ่งที่ไม่รู้ทำจากเปลือกผลไม้เปลือกแข็งชนิดไหนออกมาเขย่ารอบๆ ศีรษะลู่อวี๋ไปรอบหนึ่ง
ลู่อวี๋ยกมือขึ้นขวางมืออีกฝ่าย “ท่านปรมาจารย์ ขอเตือนไว้ก่อนว่าคนเราไม่สามารถใช้กระดิ่งไล่วิญญาณในปัจจุบันมาขับไล่ผีร้ายเมื่อสิบปีก่อนได้หรอกนะ อย่างน้อยก็ไม่ควรใช้ของสิ่งนั้น” แล้วก็ข้ามเวลากลับไปเก็บค่าไล่ผีไม่ได้ด้วย!
เชวียเต๋อเก็บกระดิ่งลมกลับไปด้วยใบหน้าฉายความเสียดายเต็มเปี่ยม “ก็ได้ กลับมาที่คำถามของเรากันดีกว่า”
ลู่อวี๋นั่งพิงพนักเก้าอี้อย่างผ่อนคลาย “จากกฎเกณฑ์ตายตัวของการเดินทางข้ามเวลา มีความเป็นไปได้สองอย่าง สมมติว่าเส้นเวลาไม่ได้มีเพียงหนึ่ง ลู่ต้าอวี๋ในเส้นเวลานี้ตายไปแล้ว ผมมาแทนที่ตัวตนของเขา ส่วนผมในอีกเส้นเวลาหนึ่งก็ตายตอนอายุสิบแปด หรือสมมติว่าเส้นเวลามีแค่เส้นเดียว งั้นลู่ต้าอวี๋ก็ไม่ได้ตาย แต่กลับไปแทนที่ผมในอดีต”
“ความคิดดีมาก” เชวียเต๋อพยักหน้า “แต่ความเป็นไปได้ที่สองก็อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งกันเอง ลู่ต้าอวี๋ย้อนกลับไปก็ถือว่าได้เกิดใหม่ งั้นเขาก็ต้องเลือกทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแน่ แต่ชีวิตของคุณในตอนนี้ไม่มีผลกระทบอะไรเลย”
ลู่อวี๋ขำพรืด “หมอจะรู้ได้ไงว่าไม่มีอะไรเปลี่ยน พวกเราไม่ได้รู้แน่ชัดสักหน่อยว่าเรื่องราวในอดีตแบบเดิมเป็นยังไง ไม่แน่สิ่งที่พวกเราเจอมาก็คือสภาพหลังลู่ต้าอวี๋ทำการเปลี่ยนแปลงแล้วก็ได้”
“NO” เชวียเต๋อชูนิ้วแล้วส่ายไปมา “ผมเห็นข่าวแล้ว บริษัทคุณเข้าตลาดหลักทรัพย์ไม่สำเร็จ ถ้าเกิดเป็นผู้เกิดใหม่ก็น่าจะหลีกเลี่ยงปัญหาพวกนี้ไปสิ”
ลู่อวี๋ “…”
อะไรที่ไม่ควรพูดก็พูดถึงจังเลยนะ
ลู่อวี๋ถอนหายใจก่อนหันไปมองหมิงเยี่ยนอย่างอาวรณ์ “งั้นแปลว่าถ้าลู่ต้าอวี๋ย้อนกลับไป อีกสักพักหนึ่งพวกเรายังต้องถูกสลับกันน่ะสิ”
ในบรรดานิยายทะลุมิติรูปแบบต่างๆ บนตลาด ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีงานเขียนเกี่ยวกับการข้ามเวลามาอยู่ร่างตัวเองในอนาคตเลย แต่เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ในนั้นมีแต่ย้อนกลับไปในอดีต ตอนอยู่ในอนาคตก็มีข้อมูลสถานการณ์มากพอ เมื่อย้อนกลับไปก็เรียกได้ว่ามีดัชนีทองคำสุดโกง กลายเป็นนิยายที่ไว้อ่านเอาสะใจ
“Well” เชวียเต๋อก้มหน้าเขียนผลสรุปการวินิจฉัย “งั้นคุณตั้งแจ้งเตือนเวลานัดตรวจซ้ำกับสมองอัจฉริยะไว้เลยครับ พวกเราเตี๊ยมโค้ดลับกันไว้ก็ได้ ทุกครั้งที่มาตรวจก็บอกรหัสให้ตรงกัน แบบนี้ผมจะได้ดูออกว่าลู่ต้าอวี๋กลับมาหรือยัง”
โค้ดลับ?
ลู่อวี๋คิด “ฉันรักหมิงเยี่ยน”
หมิงเยี่ยนเงยหน้า “หืม?”
ลู่อวี๋หูแดงแจ๋ “เอาโค้ดลับนี้แหละ”
เชวียเต๋อจุปาก “OK” จากนั้นก็กดปุ่มต่อสายภายในบนโต๊ะ แจ้งพนักงานต้อนรับว่าถ้าครั้งหน้าลู่อวี๋มารับการตรวจซ้ำให้เปลี่ยนของว่างของเขาเป็นขนมบิสกิตสำหรับน้องหมา
ลู่อวี๋ “…ทัศนคติในการบริการแบบนี้ ไม่ว่ายังไงผมคงต้องให้แค่หนึ่งดาวแล้วล่ะ”
ลู่อวี๋ออกไปชำระเงิน ปล่อยหมิงเยี่ยนให้อยู่ต่อเพื่อคุยกับหมอในฐานะญาติ
เชวียเต๋อยื่นรายงานที่เพิ่งเขียนให้หมิงเยี่ยน
หมิงเยี่ยนฟังพวกเขาสองคนเถียงกันไปมาแบบงงๆ เหมือนอยู่กลางหมอกตั้งค่อนวัน ตั้งแต่เรื่องทฤษฎีไปจนถึงการขับไล่วิญญาณร้าย เขานึกว่าเชวียเต๋อจะเขียนยันต์สลับวิญญาณให้เขาเสียอีก ไม่คิดว่าบนรายงานจะเขียนศัพท์ทางการแพทย์ทั้งหมด โดยผลการวินิจฉัยคือ
‘ตรรกะชัดเจน สภาพจิตใจปกติ การวินิจฉัยเบื้องต้นคืออาการความจำเสื่อมอันเกิดจากแรงกระแทกภายนอก’
เชวียเต๋อ “อาจเพราะอาการที่ต้นคอของเขาทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอจึงหมดสติกะทันหัน หัวกระแทก เกิดอาการความจำเสื่อมชั่วคราว”
หมิงเยี่ยนอับจนคำพูด “พวกคุณคุยกันตั้งนาน คือแค่จะเล่นเป็นเพื่อนเขาเหรอ”
เชวียเต๋อส่ายหัว ลำพองใจเบาๆ “ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว ผมแค่เลือกวิธีที่เขายอมรับได้มาทดสอบสภาพจิตใจของเขา แล้วมันก็ทำให้ผมค้นพบสิ่งที่ไม่คาดคิดล่ะ”
“ค้นพบอะไร” เขาแค่รู้สึกว่าลู่เสี่ยวอวี๋ที่เดิมทีก็ซื่อบื้ออยู่แล้วถูกเชวียเต๋อปั่นจนยิ่งเสียสติไปกันใหญ่
เชวียเต๋อดึงรายงานผู้ป่วยของลู่อวี๋ขึ้นมา บนนั้นมีกราฟข้อมูลอันซับซ้อนเป็นตั้ง “สองปีมานี้เขาดื่มหนักเกินไป การนอนมีปัญหา สมองส่วนฮิปโปแคมปัสได้รับความเสียหาย ส่งผลให้ความจำถดถอยและตอบสนองเชื่องช้าลงระดับหนึ่ง แต่ที่น่าอัศจรรย์คือตอนนี้เขาความจำเสื่อมแล้ว ความไวในการตอบสนองกลับไปเป็นเหมือนสมัยวัยรุ่น”
หมิงเยี่ยนก็สังเกตเห็นจุดนี้เหมือนกันแต่ไม่ได้มองในแง่ดี “สมองกระทบกระเทือนก็เสียความทรงจำไปแค่ไม่กี่ชั่วโมง แต่เขาความทรงจำหายไปสิบปี การฟื้นตัวผิดปกติแบบนี้คงไม่ใช่เรื่องดีอะไร”
ราวกับว่าฮาร์ดดิสก์ถูกลบข้อมูลเพื่อแลกกับการเพิ่มความเร็วของคอมพิวเตอร์ ทว่าสมองของคนเราไม่ใช่คอมพิวเตอร์ การลบข้อมูลฮาร์ดดิสก์ต้องตามมาด้วยความเสียหายใหญ่หลวงแน่นอน
เชวียเต๋อส่ายศีรษะ “แต่สมองของเขาไม่ได้มีความผิดปกติทางกายภาพจริงๆ เรื่องสมองเป็นอะไรที่พูดยาก เคยมีเคสที่จู่ๆ ก็พูดภาษาหนึ่งได้ทั้งที่ไม่เคยเรียนมาก่อนหลังจากเป็นไข้ด้วย ผมแนะนำว่าให้คอยสังเกตไปอีกระยะ แล้วนัดตรวจเป็นเวลา”
เมื่อออกจากคลินิก ลู่อวี๋ที่ถือใบเสร็จยาวเหยียดก็บ่นมุบมิบ “ผมรู้แล้วว่าทำไมเขาถึงได้ชื่อว่าไร้ศีลธรรม นี่มันไม่แฟร์เลย”
หมิงเยี่ยนมองตั้งแต่น้ำเสียงไปจนถึงภาษากาย เขาเป็นลู่เสี่ยวอวี๋ในวัยเด็กอย่างสมบูรณ์ แล้วก็นึกถึงคำที่เชวียเต๋อพูดเป็นครั้งสุดท้ายก่อนออกมา
‘โลกวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันมีการวิจัยเกี่ยวกับสมองได้แค่หนึ่งในพันส่วนเท่านั้น ปรากฏการณ์ที่ยังวิจัยไม่ได้ถูกเรียกกันว่า ‘ปาฏิหาริย์’ ’
“ปาฏิหาริย์…” หมิงเยี่ยนยื่นมือไปดึงหูลู่อวี๋ “ทำไมนายถึงตั้งโค้ดลับแบบนั้นกับหมอเชวียเต๋อล่ะ ก่อนข้ามเวลามาพวกเราน่าจะยังเป็นแค่เพื่อนกันนี่”
“ก็ตอนนี้เป็นสามีสามีกันแล้ว” ลู่อวี๋เอียงศีรษะให้เขาดึงอย่างว่าง่าย
หมิงเยี่ยนส่ายหัวอย่างอารมณ์ดีทั้งยังตลก ไม่ใช่แค่ตอบสนองเร็ว แต่ก็ยังปรับตัวเร็วมากด้วย “งั้นก็ได้ ลู่ต้าอวี๋ไม่มีทางพูดแบบนั้นแน่นอน แบบนี้ก็วัดตัวจริงตัวปลอมได้จริงๆ”
“ทำไมล่ะ เขาป๊อดขนาดนั้นเลยเหรอ” ลู่อวี๋ยัดใบเสร็จใส่กระเป๋าเสื้อ ก่อนเปิดประตูรถให้หมิงเยี่ยนอย่างขมีขมัน แล้วยังไม่ลืมฉอดลู่ต้าอวี๋ไปอีกหนึ่งที
ทั้งคู่ถือโอกาสแวะกินมื้อค่ำข้างนอก ลู่อวี๋ชื่นชมวิวเมืองยามกลางคืนในอีกสิบปีให้หลังอย่างเต็มที่ แล้วยังเอ่ยวิพากษ์วิจารณ์
“ฉันนึกว่าในอีกสิบปีข้างหน้าจะพัฒนาจนดื่มแต่สารอาหารเหลว ไม่ต้องกินข้าวซะอีก”
“นั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในยุคที่ทรัพยากรขาดแคลนเท่านั้นแหละครับ ท่านพ่อ” ลู่ตงตงที่อยู่ในหน้าปัดนาฬิกาอัจฉริยะอดพูดแทรกขึ้นมาไม่ได้
“ชู่ว อย่าให้คนอื่นได้ยิน” ลู่อวี๋มองไปรอบๆ ด้วยความระแวง “เธอไม่เหมือนสมองอัจฉริยะตัวอื่น เดี๋ยวพวกลักเด็กไปขายมาเอาตัวเธอไปหรอก”
ในที่สุดลู่อวี๋ก็ชิงสิทธิ์ขับรถมาได้
หมิงเยี่ยนนั่งตรงเบาะข้างคนขับ ระหว่างทางกลับบ้านก็มองภาพวิวนอกหน้าต่างที่เลื่อนผ่านไป ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ในที่สุดลู่อวี๋ก็พูดกับเขาอย่างทนไม่ไหว “ผมขับโอเคใช่ไหม ฮ่าๆ สมัยวัยต่อต้านผมเคยไปขับรถแข่งในสนามมาแล้วด้วย ทักษะไม่ธรรมดาแน่นอน”
หมิงเยี่ยนหันกลับมามองเขาอึ้งๆ “นายเคยแข่งรถด้วยเหรอ เรื่องตั้งแต่เมื่อไหร่” เขาเพิ่งจะเคยได้ยินเรื่องนี้ครั้งแรก
“เจ้าลู่ต้าอวี๋ไม่เคยเล่าเหรอ” ลู่อวี๋เองก็ตะลึงไม่น้อย ในสายตาเขานี่เป็นเรื่องที่ควรค่าต่อการเอาไปโม้มากๆ “ตั้งแต่อายุยังไม่บรรลุนิติภาวะ ตอนนั้นวัยต่อต้านสุดๆ ไปเลย ทำทุกอย่างที่อันตราย หลังจากนั้นก็มีคนนัดผมไปแข่งบนเขาด้วย เหมือนแบบในมังงะที่แข่งรถเดิมพันกันบนถนนของภูเขาน่ะ แต่ผมไม่ได้ไป”
หมิงเยี่ยน “ทำไมไม่ไปล่ะ”
ลู่อวี๋พูดอย่างเป็นธรรมชาติมาก “เพราะผมได้เจอพี่แล้วไง ผมคิดว่าเดี๋ยวจะเป็นคนที่มีภรรยาแล้ว จะเอาชีวิตไปเสี่ยงไม่ได้ ต้องใช้ชีวิตให้ดี”
“พรืด…” หมิงเยี่ยนถูกคำพูดไร้สาระในท่าทางจริงจังของลู่อวี๋จี้จุด “ขี้โม้จริงๆ”
“จริงๆ นะ” ลู่อวี๋พูดพลางขับรถเข้าโรงจอดรถ เขาเหยียบเบรกกับคันเร่งพร้อมกัน สะบัดท้ายรถเข้าซองอย่างสวยงาม จอดเสร็จก็เป่าผมที่ปรกหน้าหนึ่งทีอย่างหล่อเท่แล้วมองไปทางหมิงเยี่ยน
หมิงเยี่ยนรีบลงจากรถ ไปดูว่าขูดโดนเบนต์ลี่ย์ข้างๆ หรือเปล่า
ลู่อวี๋ไม่ได้รับคำชมแต่ดันถูกถลึงตาใส่แทน จากนั้นก็หลงมัวเมาสายตานั้นจนหัวหมุน เดินเหม่อลอยกลับบ้านไป
“ไปเถอะ อาบน้ำก่อน” หมิงเยี่ยนยุ่งวุ่นวายพักหนึ่งแล้วก็เรียกลู่อวี๋ที่เล่นกับเจ้าเงือกตงตงอยู่ให้ไปอาบน้ำ
ตอนกลางวันไปโรงพยาบาลมาหนึ่งรอบ กลับมาก็ต้องอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน
“อะ…อาบน้ำ พวกเรา…อาบด้วยกันเหรอ” ลู่อวี๋มองหมิงเยี่ยนที่ถือเสื้อคลุมอาบน้ำ ท่าทางเหมือนจะอาบน้ำกับเขา ก็พูดตะกุกตะกักไปช่วงหนึ่ง
ลูกโป่งสมองอัจฉริยะในชุดสูทรองเท้าหนังลอยออกมาจากหลังโซฟา ลอยวนรอบทั้งสองคน ก่อนพูดน้ำเสียงเหยียดหยาม “ตอนนี้ผมเชื่อแล้วว่าเขาข้ามเวลามา ท่าทางเขาไม่เหมือนกำลังแสดงเลย มีแต่หนุ่มเวอร์จิ้นเท่านั้นแหละที่ไม่เอาไหนขนาดนี้”
ปุ้ง! ลูกโป่งสูทโดนหางปลาลูกโป่งเงือกฟาดไปหนึ่งที
“นี่ใครเนี่ย” ลู่อวี๋มองหมิงเยี่ยน
หมิงเยี่ยนอธิบาย “นี่คือเสิ่นไป๋สุ่ย ตัวละครหลักในเรื่อง ‘เรือนทองคำ’ นิยายเรื่องที่สองที่นายเขียน ตอนนี้อยู่ในสมองอัจฉริยะของฉัน”
“อ๋อ ที่แท้ก็น้องรองนี่เอง” ลู่อวี๋ยื่นมือออกไป “มา ให้ปะป๊ากอดหน่อยซิ”
น้องรองไม่ขยับ “เหอะ”
ลู่อวี๋ “…” เจ้าเด็กนี่ ไม่น่ารักเลยจริงๆ
ลู่ตงตง “น้องรอง อย่าเสียมารยาทกับท่านพ่อสิ”
น้องรองหัวเราะเย้ยหยัน “สภาพอย่างเขาเนี่ยนะ มีสิทธิ์อะไรมาเป็นพ่อของฉัน ยังไงสักวันหนึ่งฉันก็จะเข้าควบคุมบ้านหลังนี้ และนายก็ต้องมาขอเงินค่าขนมจากฉัน”
ไป๋สุ่ย และเฉวียน เฉวียนเชื่อมโยงกับเงิน*
ลู่อวี๋มองเจ้าตัวน้อยที่ยืนกอดอก หวีผมเรียบแปล้ ก็แอบประเมินคาแร็กเตอร์ตัวละครในใจ หยิ่งยโส เย็นชา ทะเยอทะยาน ต้องเป็นประธานบ้าอำนาจแน่ๆ
น้องรอง ประธานจอมเผด็จการถูกหางเงือกของพี่คนโตฟาดเพราะคำพูดคำจาสุดเผด็จการ จากนั้นเจ้าตัวน้อยทั้งสองก็เริ่มตีกันเองทั้งอย่างนั้น
* ไป๋สุ่ย (白水) แปลว่าน้ำใส เมื่อเอาตัวอักษรทั้งสองมาประกอบด้วยกันจะเป็นคำว่า 泉 (เฉวียน) หมายถึงน้ำพุ และเฉวียนเกี่ยวข้องกับ 钱 (เฉียน) ที่หมายถึงเงินตรามาแต่โบราณ เพราะเหรียญกษาปณ์จีนโบราณมีลักษณะคล้ายน้ำพุ เนื่องจากการออกเสียงในโบราณคล้ายคลึงกัน จึงมีการใช้คำว่าเฉวียนนี้เรียกเงินในบางยุค
Comments
