everY
ทดลองอ่าน ตื่นมารับภารกิจพิชิตหัวใจคุณสามี เล่ม 1 บทที่ 15-16 #นิยายวาย
บทที่ 16
ยั่วยุ
“โถ่ สาวน้อยคนนี้เขาก็แค่ได้ยินมา ไม่เห็นจะต้องดุขนาดนั้นเลยนี่ครับ” ลู่อวี๋เกลี้ยกล่อมท่าทีประจบประแจงหนึ่งประโยค แล้วเอ่ยกับพนักงานที่ส่งสายตาซาบซึ้ง “ช่วยห่อให้ประธานซีเหมินหนึ่งเรือน แล้วค่อยห่อให้ประธานจ้าวอีกหนึ่งเรือนนะครับ”
ไฟโทสะของจ้าวเยียนชิงจุกอยู่ในลำคอ กลืนไม่ได้คายไม่ออก กัดฟันถาม “ลู่อวี๋ ทำไมคุณถึงต้องเรียกผมว่าประธานซีเหมินด้วย”
ลู่อวี๋เอนพิงเคาน์เตอร์อย่างกับไม่มีกระดูก เอ่ยอย่างหาเรื่อง “แค่ชื่อคุณเหมาะกับแซ่นี้เกินไป พอผมพูดไปรอบนึงก็ติดจำชื่อนี้ไปแล้ว เลยเผลอเรียกผิดตลอด ขอโทษจริงๆ ครับ”
พูดคำนั้นจบ พนักงานร้านก็ห่อนาฬิกาสองเรือนเสร็จพอดี เธอนำไปบรรจุใส่ถุงหูหิ้วแสนวิจิตรงดงาม ปั๊มโลโก้หมิงรื่อ ลวดลายเรียบๆ แต่ให้ความรู้สึกหรูหราสง่างาม ไม่ค่อยเหมือนกับเมื่อสิบปีก่อนนัก ลู่อวี๋เห็นแล้วรู้สึกชอบ คาดเดาในใจว่าหมิงเยี่ยนต้องเป็นคนออกแบบให้ใหม่หลังจากกลับมาแน่นอน
ลู่อวี๋ยัดสองถุงนั้นใส่มือประธานจ้าวพลางกล่าว “ขอบคุณที่อุดหนุน” ประหนึ่งว่าเป็นธุรกิจของเขาเองอย่างไรอย่างนั้น
จ้าวเยียนชิงหันหลังเดินจากไปด้วยสีหน้ามืดครึ้ม แต่ถูกลู่อวี๋ก้าวฉับๆ ตามไปเอาแขนโอบรอบคอ เขาเลิกคิ้วขึ้นเบาๆ สีหน้าแจ่มใสขึ้นเล็กน้อย ในที่สุดเจ้าคนแซ่ลู่ก็รู้สักทีว่าเขาคือเสาทองคำ จะเล่นล้ำเส้นเกินไปไม่ได้ คงจะมาขอโทษเขาสินะ
ลู่อวี๋ตบอกจ้าวเยียนชิง “ไปๆ ผมเลี้ยงข้าวเอง เฮ้อ เห็นคุณใจแคบขนาดนี้แล้ว ผมจ่ายค่าข้าวให้เองดีกว่า”
จ้าวเยียนชิง “…” หน้าอกที่ถูกตบกลายเป็นว่าอัดอั้นตันใจหนักกว่าเดิม ราวกับว่าเลือดคั่งรวมกันเป็นแอ่งอยู่ในนั้น
ทั้งสองเข้าไปในร้านอาหารสเปนร้านหนึ่ง เลือกนั่งตรงตำแหน่งติดหน้าต่าง
ประธานจ้าวสั่งของตัวเองก่อน แล้วถือแก้วน้ำมองฝูงชนที่เดินขวักไขว่ไปมาบนถนนด้านนอก พูดคล้ายกับว่าคิดถึงอดีต “หมิงเยี่ยนชอบตำแหน่งที่เห็นวิวถนนแบบนี้ที่สุดเลยล่ะ เมื่อก่อนตอนอยู่ประเทศ F เขามักจะมานั่งตรงโต๊ะติดหน้าต่างแล้วมองคนเดินบนถนน นั่งทีนึงก็นั่งทั้งบ่าย”
บนถนนต่างประเทศที่ฝนตกปรอยๆ ภายในกระจกที่มีแสงไฟสีเหลืองนวล คนงามที่นั่งและแต่งกายรสนิยมสูงมีแววตาระทมทุกข์ ภาพแบบนั้นแค่นึกถึงก็รู้สึกเมามายในหัวใจ
ลู่อวี๋สั่งอาหารของตัวเอง วางใบเมนูลง แล้วมองจ้าวเยียนชิงด้วยสายตาประหลาดหนึ่งที “คุณนี่มันคิดไม่ซื่อจริงๆ เดินบนถนนต่างประเทศ จะเอาแต่จ้องคนที่กินข้าวอยู่ข้างในหน้าต่างขนาดนั้นทำไม ถ้าไม่รู้คงคิดว่าคุณเป็นเด็กชายขายไม้ขีดไฟ* แล้ว”
ประธานจ้าวที่พยายามจะอวด “…”
ลู่อวี๋ยกจานของว่างที่ถูกยกเสิร์ฟมาก่อนขึ้นมา เคี้ยวหงับๆ แล้วยังดันจานให้ประธานจ้าวกินด้วย
เมื่อยั่วโมโหลู่อวี๋ไม่สำเร็จ พริบตาเดี๋ยวบทสนทนานี้ก็ไปต่อไม่ได้ จ้าวเยียนชิงได้แต่เกร็งคอฝืนเปลี่ยนเรื่องอย่างไม่เป็นธรรมชาติ “พวกเราสองคนรู้จักกันนานแล้ว ถ้าไม่เห็นแก่หน้าเขา ผมก็คงไม่พิจารณาลงทุนกับบริษัทซอมซ่อแบบนั้นหรอก”
พูดถึงตรงนี้ประธานจ้าวก็หาจังหวะได้แล้ว สองมือประสานวางไว้บนโต๊ะ ทำทีเหมือนนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในการเจรจา
“อุตสาหกรรมหลักของบริษัทคุณมันเปราะบางเกินไป สมองอัจฉริยะที่ออกมาจากโรงงานพร้อมกับผู้ช่วยอัจฉริยะ ส่วนผู้ช่วยสมองอัจฉริยะส่วนตัวอะไรนั่นเดิมทีก็เป็นแค่สิ่งที่เสริมเติมแต่งขึ้นมาโดยไม่จำเป็น” ว่าจบก็มองลู่อวี๋ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เผยยิ้มยั่วยุออกมา พูดชัดถ้อยชัดคำ “ผมทำเพื่อหมิงเยี่ยนทั้งนั้น”
เวลานั้นปาเอยา* ที่ลู่อวี๋สั่งก็ถูกเสิร์ฟ ลู่อวี๋ยกช้อนขึ้นมาชิมหนึ่งคำ แล้วดวงตาก็เป็นประกาย “อันนี้ไม่เลวเลย…พนักงาน”
เขาเรียกพนักงานเข้ามา แล้วสั่งเพิ่มอีกชุดสำหรับนำกลับไปกินที่บ้าน พร้อมกำชับอย่างละเอียดว่าต้องทำหลังจากเขาจ่ายเงินแล้วเท่านั้น ตอนที่เขารับมาจะได้ยังสดใหม่และร้อนๆ อยู่
ดั่งปล่อยหมัดชกปุยนุ่น ประธานจ้าวรู้สึกไม่ยุติธรรมเลย เขามองลู่อวี๋ก้มหน้าก้มตาโม้เรื่องอาหารตาปริบๆ ไปหลายคำ แล้วอีกฝ่ายถึงหันมาเอ่ยกับเขาหนึ่งประโยค “หลายวันนี้ยุ่งมาก หมิงเยี่ยนเอาแต่กินข้าวในโรงอาหาร มันไม่ค่อยดี ผมว่าจะเอากลับไปให้เขาสักชุด ตอนนั้นประธานจ้าวก็เรียนอยู่ที่ประเทศ F เหมือนกันเหรอ ไม่สิ คุณโตกว่าหมิงเยี่ยนเยอะเลยนี่นา ตอนนั้นน่าจะเรียนจบแล้วไหม”
“ผมแก่กว่าเขาแค่สามปี” จ้าวเยียนชิงกัดกรามเอ่ยเน้นย้ำ “ตอนนั้นผมไปทำธุรกิจทางนั้นนิดหน่อย ได้ยินว่าเขาเรียนออกแบบอยู่ที่นั่นก็ไปเยี่ยมดู ตอนนั้นเขาได้รับโอกาสฝึกงานกับแบรนด์หรูระดับสูงแล้วด้วย เป็นคนที่ยอดเยี่ยมมากจริงๆ จะว่าไปแล้วเมื่อก่อนเราก็น่าจะเคยเจอกันมาก่อนนะครับ ถึงตระกูลเราจะไม่ได้อยู่ในแวดวงเดียวกับตระกูลลู่ แต่ก็สามารถเจอกันได้ในหลายๆ งาน”
ลู่อวี๋ที่กำลังกินชะงักเล็กน้อย ก่อนขำเย้ยหยัน “ผมไม่เคยเข้าไปยุ่งกับกงการของตระกูลลู่ ในเมื่อคุณพูดถึงขนาดนี้ก็น่าจะรู้นะว่าผมไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของตระกูลลู่ ส่วนพวกงานของชนชั้นสูงที่คุณหมายถึง เกินครึ่งในนั้นไม่เคยมีผมอยู่ในงาน”
จ้าวเยียนชิงไม่คิดว่าเขาจะพูดออกมาตรงๆ เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับอะไรในแวดวงสังคม แค่พอเห็นลู่อวี๋พูดออกมาอย่างเปิดเผยแบบนี้เขาก็ทำตัวไม่ถูกนิดหน่อย “คุณไม่ไปมาหาสู่กับตระกูลลู่แล้ว แต่หมิงเยี่ยนเขาปล่อยตระกูลหมิงไม่ได้ สถานการณ์ของตระกูลหมิงตอนนี้ไม่ดีอย่างยิ่ง จำเป็นต้องใช้เงินมาก
ถ้าเกิดได้รับเงินระดมทุนจากชิงฉวีแคปิตอล หมิงเยี่ยนก็สามารถขายหุ้นในมือให้ผมในราคาสูงได้ เขาจะได้รับเงินก้อนใหญ่ไปใช้แก้สถานการณ์จวนตัวตอนนี้ได้ คุณสนแต่ศักดิ์ศรีตัวเอง เคยคิดเพื่อเขาบ้างหรือเปล่า”
คำพูดนี้แทงใจดำมากๆ ลู่อวี๋ถึงกับต้องขมวดคิ้ว
เดิมเรื่องการระดมเงินลงทุนก็เป็นเรื่องปกติของการพัฒนาบริษัท แต่ซีเหมินชิงกลับพูดเหมือนว่าหมิงเยี่ยนจะต้องขายหุ้นแล้วหนีเสียอย่างนั้น
“แน่นอน ไม่ใช่เพื่อหมิงเยี่ยนไปซะทั้งหมดหรอก พอมีเงินทุนแล้วหนี้ของบริษัทคุณก็จะมีทางออก ธุรกิจมันก็เสมือนสงคราม พลาดโอกาสนี้ไปก็หาใหม่ไม่ได้แล้ว อย่าปล่อยให้ตัวเองไม่มีเงินใช้หนี้ตอนที่ถึงกำหนดต้องจ่าย แล้วจุดจบเป็นเหมือนหมิงรื่อวอตช์อินดัสทรี อย่าทำให้หมิงเยี่ยนเสียใจอีกเลย” จ้าวเยียนชิงสรุป แล้วยิ้มอย่างลำพองใจ
ลู่อวี๋จ้วงปาเอยาคำสุดท้ายเข้าปาก ก่อนยกมือขึ้นบอกให้พนักงานเช็กบิลพร้อมเริ่มทำอาหารที่สั่งกลับไปกินให้เขาได้เลย
เขาดื่มน้ำแล้วเช็ดปาก เหลือบสายตาขึ้นมองประธานจ้าว “แผนเข้าตลาดหลักทรัพย์ถูกระงับไป ผมย่อมยินดีอยู่แล้วที่มีเงินลงทุนเข้ามา พอมีเงินทุนแล้วพวกเราก็ย่อมกดดันน้อยลง แต่ถึงไม่มีการระดมทุนพวกเราก็ใช่ว่าจะอยู่ไม่ได้ ถ้าเกิดว่าประธานจ้าวแค่อยากเจรจาธุรกิจก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว แต่ถ้าจะลากเรื่องอื่นเข้ามาเกี่ยวด้วย นั่นก็เป็นการล้ำเส้นกันแล้วล่ะครับ ปัจจุบันหมิงเยี่ยนยังคงเป็นคู่สมรสที่ถูกต้องตามกฎหมายของผมอยู่”
พูดพล่ามกันมาครึ่งวัน คนแซ่จ้าวก็หลุดข้อมูลออกมาไม่ใช่น้อย ลู่อวี๋นับว่าพึงพอใจกับผลลัพธ์มาก
“ส่วนการระดมทุน” ลู่อวี๋หัวเราะเบาๆ พลันขยับเข้าประชิดประธานจ้าวแล้วกระซิบ “ผมก็แนะนำให้ประธานจ้าวรีบๆ ตัดสินใจนะครับ คุณก็เห็นเครื่องจำลองมาแล้ว ถ้าเกิดว่าไลฟ์จบ ถึงชิงฉวีแคปิตอลจะอยากลงทุนกับเฉินอวี๋เทคโนโลยีแค่ไหน มูลค่าลงทุนจะไม่จบแค่ราคานี้หรอกนะครับ”
จ้าวเยียนชิงนัยน์ตาสั่นไหว ไม่พูดอะไรอีก
ลู่อวี๋ยิ้มเยาะ หิ้วถุงปาเอยาที่ห่อเรียบร้อยแล้วสะบัดก้นเดินจากไป พุ่งตัวออกไปแล้วก็โบกมือลวกๆ เป็นการบอกลาประธานจ้าว แผ่นหลังของเขาดูอยากสง่าผ่าเผยเท่าไหร่ก็ผ่าเผยได้เต็มที่
หลังออกมาจากร้านอาหารเขาก็เลี้ยวไปที่ร้านสเก็ตบอร์ด เขาเลือกซื้อลองบอร์ด* มาหนึ่งตัว ลองทำความคุ้นชินทีสองทีก็สวมหูฟังไถสเก็ตบอร์ดออกไป
ประธานจ้าวที่เห็นทุกอย่างนั้นอยู่ในสายตา “…”
ย่านถนนคนเดินตรงนี้อยู่ไม่ห่างจากเฉินอวี๋เทคโนโลยีนัก ระหว่างนั้นมีตรอกซอกซอยเล็กๆ สามารถไถสเก็ตบอร์ดทะลุไปถึงได้โดยตรง การเล่นสเก็ตบอร์ดสามารถฝึกกล้ามเนื้อส่วนเอวได้ เขาต้องรีบเอากล้ามหน้าท้องกลับคืนมาให้ไวที่สุด
สมัยเรียนเขากับเหล่าหยางต่างไม่มีใครอยากไปรับอาหารจากไรเดอร์ที่ประตูมหาวิทยาลัย จึงซื้อสเก็ตบอร์ดไว้ไถไปกัน เพราะว่าสเก็ตบอร์ดเอาไว้เก๊กเท่ เวลาไถในมหาวิทยาลัยก็จะได้รับสายตาจากหนุ่มสาวหน้าตาดี เขาเลยยิ่งกระตือรือร้น ไม่มีเหตุการณ์ที่อาหารถูกทิ้งไว้จนเย็นชืดเป็นหินแล้วค่อยออกไปเอาอีก
แล้วก็กลายเป็นสกิลการไถสเก็ตบอร์ดที่พวกเขาทั้งสองคนต่างช่ำชองไปโดยปริยาย
ลู่อวี๋ไถสเก็ตบอร์ดมาถึงหน้าตึกบริษัท หมุนตัวหยุดอย่างหล่อเท่ไปหนึ่งที พลันเห็นรถสปอร์ตสีแดงสดสะดุดตาคันหนึ่งจอดอยู่ด้านหน้า
เขาคุ้นเคยกับรถสปอร์ตคันนี้ดี นั่นก็คือญาติผู้น้องปีศาจน่ารำคาญที่ส่งข้อความมาคุกคามเขาก่อนจะทะลุมิติมายังอนาคต…ลู่เจินนี ไม่คิดเลยว่าสิบปีผ่านไปยัยนี่ยังไม่เปลี่ยนรถคันใหม่อีก ดูไม่ใช่สไตล์ของยัยลู่เจินนีเลยแฮะ
ลู่อวี๋ถือสเก็ตบอร์ดเดินก้าวยาวๆ เข้าล็อบบี้ โยนสเก็ตบอร์ดให้ รปภ. ที่เข้ามาต้อนรับ “ช่วยเอารถฉันไปจอดหน่อย” แล้วตัวเองก็วิ่งขึ้นลิฟต์ไป
ลู่เจินนีเป็นคนเรื่องเยอะ ไม่แน่ว่าอาจจะพูดอะไรไม่น่าฟังกับหมิงเยี่ยนก็ได้ เขาต้องรีบไปถึงให้เร็วที่สุด
รปภ. ยืนอุ้มสเก็ตบอร์ดอย่างนิ่งอึ้ง “ประธานลู่ครับ รถของคุณ ควรเอาไปจอดตรงไหนเหรอครับ”
ห้องทำงานของประธานบริษัท
หมิงเยี่ยนมองลู่เจินนีที่นั่งสีหน้าไม่เป็นมิตรอยู่บนโซฟาแล้วก็รู้สึกตลกเล็กน้อย
ลู่เจินนีสวมเดรสเข้ารูปสีแดงฉาน เหยียบส้นสูงสิบสามเซนติเมตรสีแดงแปร๊ด และทาปากสีแดงแจ๋ มองเผินๆ แล้วนึกว่าปีศาจชุดแดงอะไรสักอย่างมาทวงเอาชีวิตเสียอีก
หมิงเยี่ยนก้มหน้า วาดผีสวมชุดสีแดงสดลงบนจอ คิดในใจว่าน่าจะเอาไปใช้ในโลกของลู่ตงตงได้
“ฉันพูดมาครึ่งวันแล้ว ไม่รู้ว่านายจะฟังเข้าหูบ้างหรือเปล่า เมื่อก่อนตระกูลหมิงเคยยิ่งใหญ่ แต่ตอนนี้พังไปแล้ว” ลู่เจินนีก้มหน้า มองเล็บสีแดงสดของเธอ พูดเสียงไม่ช้าไม่เร็ว “ตระกูลลู่ของพวกเราไม่ยอมรับลูกสะใภ้อย่างนายหรอกนะ”
ลู่อวี๋ที่วิ่งมาถึงหน้าประตูได้ยินประโยคนั้นพอดี เขาผลักประตูเข้าไปกระชากคอเสื้อด้านหลังของลู่เจินนี ดึงตัวคนคนนั้นให้ลุกจากโซฟา “เอาเงินมา!”
ลู่เจินนีถูกกระชากขึ้นมาก็มึนงง ถลึงตาใส่ลู่อวี๋ด้วยความโกรธ “นายบ้าไปแล้วหรือไงลู่อวี๋ กล้ากระชากคอเสื้อฉันได้ไง ปล่อยนะ! แล้วเงินอะไร”
ลู่อวี๋วางปาเอยาลงบนโต๊ะ ยื่นมือให้ลู่เจินนี “เอาเงินมาก่อนห้าล้าน เธอถึงจะมีสิทธิ์บอกเขาว่า ‘เอาเงินสกปรกของตระกูลลู่ไปแล้วออกไปจากชีวิตลู่อวี๋ซะ’!”
* เด็กชายขายไม้ขีดไฟ อ้างอิงจากนิทานเรื่อง ‘เด็กหญิงขายไม้ขีดไฟ’ ในนิทานเล่าถึงเด็กหญิงคนหนึ่งที่ชะตาชีวิตรันทด ต้องขายไม้ขีดไฟในคืนวันคริสต์มาส แต่ขายไม่ได้เลยสักกล่อง จึงไม่ได้กินอะไรตลอดทั้งวัน เด็กหญิงทั้งหิวและหนาว เมื่อเธอจุดไม้ขีดไฟก้านที่หนึ่งก็มองเห็นเตาผิงอันอบอุ่น จุดก้านที่สองก็มองเห็นห่านย่างหอมกรุ่น จุดก้านที่สามก็มองเห็นต้นคริสต์มาสสวยงาม จุดก้านที่สี่ก็เห็นคุณยายผู้ล่วงลับไปแล้ว เด็กหญิงกลัวว่าถ้าไม้ขีดไฟดับ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอเห็นจะหายไปเลยจุดไม้ขีดไฟจนหมด สุดท้ายเด็กหญิงได้จากไปพร้อมรอยยิ้มบางๆ โดยไม่มีใครรู้ว่าในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตเธอมองเห็นภาพฉากที่งดงาม
* ปาเอยา (Paella) หรือปาเอ็ลยาดาร์ร็อส เป็นหนึ่งในอาหารประจำชาติของสเปน มีลักษณะเป็นข้าวสีเหลืองเสิร์ฟในกระทะก้นแบน มักทำเป็นหน้าซีฟู้ด
* ลองบอร์ด (Longboard) คือสเก็ตบอร์ดที่แผ่นกระดานมีความยาวเฉลี่ย 34-40 นิ้ว ตัวล้อจะยื่นออกนอกแผ่นมากกว่าสเก็ตบอร์ดขนาดมาตรฐาน มีท่าเล่นไม่เยอะและควบคุมยากกว่าบอร์ดประเภทอื่น
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน ตื่นมารับภารกิจพิชิตหัวใจคุณสามี เล่ม 1
วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub และร้านหนังสือทั่วไป
รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่
Meb / OOKBEE / Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN
Comments
