everY
ทดลองอ่าน ทรราชหวนคืน บทที่ 13-14 #นิยายวาย
บทที่ 13
พริบตาเดียวก็พ้นช่วงปีใหม่ เข้าสู่วันที่สิบห้า เดือนหนึ่ง ตามปฏิทินจันทรคติ งานเลี้ยงในราชสกุลย่อมถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บรรดาเชื้อพระวงศ์ที่ได้รับศักดินาจะเดินทางกลับมาทำให้วังหลวงครึกครื้นเป็นพิเศษ
ล่วงเข้าเดือนหนึ่ง ฉู่เซ่าหลิงไม่จำเป็นต้องไปสำนักศึกษาหลวง นอกจากไปคารวะไทเฮาตอนเช้าทุกวันกับไปฟังข้อราชการที่สภาขุนนางเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามแล้วก็ไม่มีธุระอย่างอื่นอีก ว่างมากจนต้องมาแหย่เว่ยจี่เล่น
นับจากวันนั้นที่เว่ยจี่มานอนอยู่ที่ตำหนักบรรทม เว่ยจี่ก็ไม่เคยได้กลับไปนอนที่ห้องเล็กของตัวเองอีก
แรกๆ ฉู่เซ่าหลิงใช้วิธีปะเหลาะ บอกว่าห้องเล็กมืดเย็นชื้น ไม่มีเตากำยาน มีแต่อ่างไฟใบเดียว ไม่อบอุ่นซ้ำยังมีขี้เถ้าเยอะ ไม่ดีต่อการรักษาบาดแผล เว่ยจี่โดนพูดจนต้องยอมอยู่ต่ออย่างไม่มีทางเลือกอื่น จนแผลเริ่มหายเว่ยจี่ก็นึกอยากจะกลับไป ทว่าฉู่เซ่าหลิงรับรู้แต่ไม่รับปาก พอเว่ยจี่พูดมาก ฉู่เซ่าหลิงก็จะใช้วิธีปิดปากเขาด้วยวิธีที่ตนชื่นชอบที่สุด
ภายหลังเมื่อเว่ยจี่พูดถึงเรื่องอยากย้ายกลับ ฉู่เซ่าหลิงก็จะถามยิ้มๆ ว่าอยากให้ตนจูบเขาอีกใช่หรือไม่ พอโดนถามเช่นเดิมซ้ำๆ เว่ยจี่ก็หน้าแดง ไม่กล้าพูดเรื่องนี้อีก
ตอนย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ๆ เว่ยจี่วางตัวไม่ถูก เนื่องจากในตำหนักบรรทมมีแต่นางกำนัล พี่สาวนางกำนัลกลุ่มนี้อายุห่างจากเขาไม่มาก ต่างให้การดูแลตนเช่นเดียวกับที่ดูแลฉู่เซ่าหลิง ทำให้เว่ยจี่หงุดหงิดขัดใจแต่พูดไม่ออก ทำอะไรไม่ได้
ต่อมาขณะเว่ยจี่ออกไปลาดตระเวน เมื่อผ่านหน้าห้องของตัวเองก็พบว่าห้องนั้นถูกยกให้พี่ชายผู้คุ้มกันคนอื่นไปแล้ว
เวลานี้ในตำหนักบรรทมของฉู่เซ่าหลิงมีตู้ใบเล็กเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งใบเพื่อใช้เก็บข้าวของของเว่ยจี่ ในห้องหนังสือก็มีโต๊ะตัวเล็กเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งตัว นั่นเป็นที่ที่เว่ยจี่ใช้เรียนวิชาการทหารกับจางลี่เฟิงทุกวัน ไม่ทันรู้สึกตัวเว่ยจี่ก็ถูก ‘เชิญ’ ตัวเข้ามาอยู่ในเรือนหลักของอุทยานปี้เทาอย่างงงๆ
วันที่สิบห้านี้เว่ยจี่ต้องเข้าเวร เขานำเหล่าผู้คุ้มกันออกลาดตระเวนไปตามที่ต่างๆ หนึ่งรอบ จากนั้นจึงสำรวจป้ายห้อยเอวก่อนเพื่อให้หวังมู่หานทำการตรวจสอบคนที่เข้าเวร แต่ไหนแต่ไรมาเว่ยจี่ทำงานพวกนี้อย่างละเอียด หลังสำรวจเสร็จหนึ่งรอบเขาก็นำรายชื่อไปมอบให้หวังมู่หานด้วยความเคารพนบนอบเหมือนเดิม “รบกวนกงกงด้วย”
“มิกล้าๆ ต้องลำบากใต้เท้าเว่ยแล้ว” หวังมู่หานยิ้ม เวลานี้รู้สึกชอบพอเว่ยจี่จากใจจริง ตอนแรกที่เห็นท่าทีของฉู่เซ่าหลิงที่แสดงความพึงพอใจในตัวเขา หวังมู่หานเข้าใจว่าอีกแค่ไม่กี่วันเจ้าเด็กคนนี้จะต้องอาศัยความเป็นคนโปรดมาวางท่า คิดไม่ถึงว่าหลายวันผ่านไปเว่ยจี่ยังคงทำตัวเหมือนเมื่อก่อน งานที่เขาควรทำก็ทำได้ไม่มีบกพร่อง เว่ยจี่เป็นคนพูดน้อยไม่ค่อยเป็นฝ่ายชวนใครคุย แต่ถ้าได้รับมอบหมายงาน ไม่ว่าจะกับคนที่ตำแหน่งสูงกว่าหรือต่ำกว่า เขาจะพูดคุยด้วยน้ำเสียงเกรงอกเกรงใจอย่างมาก หวังมู่หานแอบนึกชื่นชมคนที่องค์ชายให้ความสำคัญว่าไม่ธรรมดาเลย
งานลาดตระเวนของเว่ยจี่วันนี้เสร็จเรียบร้อย เขาจึงย้อนกลับไปยังห้องหนังสือที่ตำหนักข้าง เมื่อวานเขายังอ่านตำราแปดกลเบื้องหลังวายุไม่เข้าใจหลายจุด จึงอยากใช้โอกาสนี้ใคร่ครวญให้ละเอียด
เว่ยจี่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่หน้าโต๊ะเล็กของตนอย่างเงียบๆ สักพัก เขาก็ได้ยินเสียงคนข้างนอกบอกว่าองค์ชายสี่มา เว่ยจี่รีบลุกขึ้น แต่ยังไม่ทันได้เดินออกไปก็เผชิญหน้ากับฉู่เซ่าหยางแล้ว
เว่ยจี่รีบคุกเข่าทำความเคารพ “คารวะองค์ชายสี่ ขณะนี้องค์ชายใหญ่ไปฟังข้อราชการ ยังไม่กลับมาขอรับ” วันนี้ข้างนอกอากาศเย็นจัด ฉู่เซ่าหลิงบอกว่าแผลของเว่ยจี่ยังไม่หายสนิทจึงไม่ยอมพาเขาไปด้วย
ฉู่เซ่าหยางกวาดตามองเว่ยจี่แวบหนึ่ง ยังไม่ยอมให้อีกฝ่ายลุกขึ้น น้ำเสียงสงสัย “พี่ใหญ่ไม่อยู่แล้วเจ้ามาทำอะไรอยู่ในนี้คนเดียว”
เว่ยจี่เม้มริมฝีปาก ขณะนั้นเขาไม่รู้ว่าควรอธิบายอย่างไร เพราะถ้าพูดความจริงออกไปก็กลัวว่าจะทำให้ฉู่เซ่าหลิงเดือดร้อน แต่จะให้แต่งเรื่องขึ้นมาเขาก็คิดไม่ออก ระหว่างที่กำลังลังเล ฉู่เซ่าหยางก็ชักสีหน้า “ผู้ใดให้เจ้าเข้ามา เจ้ากล้าเข้าห้องหนังสือของพี่ใหญ่ตามใจชอบหรือ?!”
ฉู่เซ่าหยางตั้งท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่หวังมู่หานที่ได้ยินข่าวแล้วรีบร้อนมาก็ชิงเข้ามาโค้งตัว กล่าวด้วยรอยยิ้ม “คารวะองค์ชายสี่ ผู้นี้คือเว่ยจี่ เป็นผู้คุ้มกันประจำตัวที่องค์ชายให้จัดเก็บห้องหนังสือขอรับ”
“จัดเก็บห้องหนังสือเหตุใดต้องใช้ผู้คุ้มกัน?!” ฉู่เซ่าหยางมองเว่ยจี่ด้วยสายตาระแวง น้ำเสียงไม่เป็นมิตร “พี่ใหญ่อนุญาตแล้วหรือ เป็นไปได้อย่างไร?!”
หวังมู่หานหัวเราะ “เป็นความประสงค์ขององค์ชายแน่นอนขอรับ” ระยะนี้เว่ยจี่อยู่ที่ตำหนักบรรทมตลอด หวังมู่หานจึงถือว่าทั้งคู่ลงเอยกันแล้ว เขาย่อมต้องช่วยองค์ชายของตนปกปิดเรื่องพวกนี้ “ใต้เท้าเว่ยเป็นคนทำงานละเอียด พูดน้อย จึงถูกใจองค์ชายอย่างมาก”
ฉู่เซ่าหยางมองเว่ยจี่แวบหนึ่ง เขายังคงรู้สึกแปลกๆ แต่พอตั้งท่าจะพูด ข้างนอกก็บอกว่าฉู่เซ่าหลิงกลับมาแล้ว
ฉู่เซ่าหยางจึงทิ้งเว่ยจี่ออกไปต้อนรับด้วยรอยยิ้ม “พี่ใหญ่เพิ่งจะกลับมาหรือ ข้าคอยท่านได้พักหนึ่งแล้ว”
ฉู่เซ่าหลิงเดินผ่านฉู่เซ่าหยางไปพลางมองเว่ยจี่ที่ยังกึ่งคุกเข่าอยู่ที่ด้านหลัง พูดเสียงเรียบ “เมื่อครู่คุยอะไรกันหรือ”
“ผู้คุ้มกันรุ่นเยาว์คนนั้น” ฉู่เซ่าหยางเบ้ปาก “เหมือนท่อนไม้ไม่มีผิด ไม่พูดอะไรเลยสักประโยค ห้องหนังสือของพี่ใหญ่แม้แต่ข้ายังไม่กล้าเข้าไปตามอำเภอใจ เหตุใดท่านจึงให้ผู้คุ้มกันคนหนึ่งเข้าออกได้ตามใจ เกิด…เกิดคนทางนั้นแอบมาดูข้าวของของพี่ใหญ่เล่า พี่ใหญ่อย่าได้วางใจเขาเป็นอันขาด”
ฉู่เซ่าหลิงหัวเราะเบาๆ เดินอ้อมตัวฉู่เซ่าหยางไปประคองเว่ยจี่ขึ้นแล้วเอ่ยยิ้มๆ “ข้าย่อมเชื่อใจเขา ก่อนไปข้าบอกเขาเองว่าอากาศเย็น ห้ามออกไปข้างนอก…แต่เจ้ากลับไม่ยอมฟัง จะให้ข้าลงโทษอีกใช่หรือไม่” ประโยคหลังเขาพูดกับเว่ยจี่ด้วยสีหน้าอบอุ่นอย่างหาได้ยาก ถึงขั้นมีกระแสของความรักใคร่เอ็นดูแทรกอยู่ด้วย
ใบหน้าของฉู่เซ่าหยางเปลี่ยนสีทันที
เว่ยจี่กำลังร้อนใจว่าจะอธิบายอย่างไร เขาคิดไม่ถึงว่าฉู่เซ่าหลิงจะพูดเช่นนี้ จึงพูดไกล่เกลี่ยออกไปตามสัญชาตญาณ “ผู้น้อยแค่…จัดเก็บหนังสือบนชั้น มิกล้าแตะต้องของขององค์ชาย…”
ฉู่เซ่าหลิงยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “แตะแล้วจะอย่างไร ไปอ่านหนังสือของเจ้าเถอะ กลับมาข้าจะทดสอบเจ้า”
ฉู่เซ่าหลิงไล่คนกลับห้องก่อนหันมาคุยกับฉู่เซ่าหยาง “มาหาข้ามีธุระอะไรหรือ”
ฉู่เซ่าหยางหัวเราะเสียงแห้ง “อีกครู่จะมีงานเลี้ยง ข้าจึงตั้งใจมาหาพี่ใหญ่เพื่อที่จะได้ไปด้วยกัน”
“อืม เจ้าไปนั่งที่ห้องอุ่นสักครู่ ข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจะไปกับเจ้า” ฉู่เซ่าหลิงสั่งคนเตรียมชา ส่วนตัวเองก็เดินไปที่ตำหนักบรรทม ด้านฉู่เซ่าหยางก็เดินตามนางกำนัลไปที่ห้องด้านตะวันตก เขาเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็หันกลับมามองห้องหนังสือแวบหนึ่ง ดวงตาฉายแววกังวล
“องค์ชาย เมื่อครู่ท่าน…” หวังมู่หานช่วยฉู่เซ่าหลิงเปลี่ยนเสื้อผ้า อดที่จะพูดกล่อมไม่ได้ “ค่อนข้างทำให้องค์ชายสี่เสียหน้า เกรงว่าองค์ชายสี่จะไม่สบายใจ”
เมื่อครู่ฉู่เซ่าหลิงพูดอะไรไปหรือ ‘ข้าย่อมเชื่อใจเขา’ เวลานี้ห้องหนังสือที่แม้แต่ฉู่เซ่าหยางยังไม่สามารถเข้าออกได้ตามใจยังกลายเป็นที่พำนักของเว่ยจี่ เช่นนี้มิเป็นการอธิบายแล้วหรือว่าฉู่เซ่าหลิงไว้วางใจเว่ยจี่มากเพียงใด
หวังมู่หานจัดแต่งชุดออกงานให้ฉู่เซ่าหลิงอย่างระมัดระวังและพูดกล่อมเสียงเบาว่า “หากองค์ชายชอบพอเว่ยจี่จริงก็ไม่ควรโปรดปรานเขาถึงเพียงนี้ หรือต่อให้โปรดก็ไม่ควรให้ผู้อื่นล่วงรู้ การที่เว่ยจี่ได้รับความเมตตาจากองค์ชายมากย่อมมิใช่เรื่องดี”
ฉู่เซ่าหลิงหัวเราะเบาๆ เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้นางกำนัลจัดแต่งคอเสื้อให้ หวังมู่หานมองสีหน้าของฉู่เซ่าหลิงแล้วก็พูดเสียงเนิบ “หากโปรดมากเกินไปจะเป็นการชักนำภัย ทุกครั้งที่บ่าวได้ดูงิ้วฉากกุ้ยเฟยเมามาย บ่าวจะคิดอยู่เสมอว่าหากถังเสวียนจงไม่โปรดปรานกุ้ยเฟยมากถึงเพียงนั้น คงไม่เกิดเรื่องที่เนินหม่าเหวย หากยอมรับความอดสูเล็กน้อยย่อมสามารถแลกอายุขัยที่ยืนยาวได้ คุ้มค่ากว่ามาก”
“เดี๋ยวนี้กงกงรู้เยอะกว่าเดิม” ฉู่เซ่าหลิงหัวเราะ “เสียดายที่ข้าไม่ใช่หลี่หลงจี และเขาก็มิใช่หยางอวี้หวน”
ดูเหมือนกษัตริย์ผู้ประเสริฐจะไม่สามารถแสดงความรักใคร่โปรดปรานสตรีที่ตนรักจากใจจริงได้มากจนเกินไป บางครั้งถึงขั้นต้องหาแพะรับบาปมาช่วยกันหอกให้แก่รักแท้ กฎระเบียบของบรรพชนล้วนสั่งสอนกันในลักษณะนี้ คือไม่ลำเอียง ไม่จำกัดเพียงหนึ่ง
เสียดายที่ฉู่เซ่าหลิงไม่ใช่คนที่ปฏิบัติตามครรลองทั่วไป
เขาชอบพอเว่ยจี่ อีกทั้งปรารถนาจะชอบพอ โปรดปราน และทะนุถนอมอีกฝ่ายอย่างเปิดเผย ฉู่เซ่าหลิงไม่เคยหวาดเกรงว่าผู้อื่นจะล่วงรู้
ในสายตาของฉู่เซ่าหลิง วิธีแสร้งทำเป็นหมางเมินคนรักเพื่อหลีกเลี่ยงภัยร้ายคือความขี้ขลาดอ่อนแอ เพราะตัวเองไม่มีกำลังเพียงพอที่จะปกป้องคนรักจึงบอกว่าการจำกัดขอบเขตจะสามารถช่วยให้มีชีวิตอยู่ได้ยืนยาว ทั้งหมดเป็นแค่วาจาเหลวไหล! หากไม่มีความสามารถก็อย่าพูดถึงคนรักอะไรเสียเลยดีกว่า ในเมื่อชอบแล้วย่อมต้องยกย่องคนคนนั้นให้มาอยู่ข้างกายเพื่อทะนุถนอมดูแลเขาอย่างสุดจิตสุดใจ ส่วนคนที่ขัดขวาง เจอเทพสังหารเทพ เจอพระสังหารพระ เท่านั้นเป็นอันสิ้นสุด
เขาเวียนว่ายมาสองชาติภพ ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้อยู่ร่วมกับเว่ยจี่ แล้วเหตุใดจึงต้องให้เว่ยจี่ ‘ยอมรับความอดสูเล็กน้อย’ อีกเล่า ตอนที่หลอกเว่ยจี่ขึ้นเตียง ฉู่เซ่าหลิงได้เตรียมพร้อมสำหรับเรื่องในภายหลังแล้ว เขาจะไม่ยอมให้เว่ยจี่ต้องยอมรับความอดสูเล็กน้อยเหล่านั้นเพียงเพื่อมีอายุขัยยืนยาว เพราะทั้งปลาและอุ้งตีนหมี เขาล้วนปรารถนา
นึกถึงสีหน้าของเว่ยจี่เมื่อครู่แล้วฉู่เซ่าหลิงก็รู้สึกปวดใจอยู่บ้าง เว่ยจี่อาจเข้าใจว่าเขาไม่ปกป้อง เจ้าตัวโง่งมผู้นั้น…
ฉู่เซ่าหลิงเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยก็ออกคำสั่งเสียงเบา “ช่วงที่ข้าไปงานเลี้ยงที่วังเฉิงเฉียน ให้ทำอาหารเย็นของอุทยานปี้เทาตามปกติ คอยดูเว่ยจี่ด้วย อย่าให้เขากินน้อย”
หวังมู่หานชะงัก นึกทอดถอนใจ เพราะรู้ว่าสิ่งที่ตนพูดไปล้วนเสียเปล่า